Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > Magazine Interviews-Thai

คุณรู้จัก"ซูโหย่วเผิง"ดีแล้วหรือยัง?

(1/4) > >>

Alec Love Me:

แต่เล็กแต่น้อย คุณรู้จัก"ซูโหย่วเผิง"ดีแล้วหรือยัง?

จากชื่อเสียงที่ได้รับการต้อนรับกลับมาให้แจ้งเกิดอีกครั้งจากบทของ"องค์ชายห้า"ในละครทีวียอดฮิตที่ติดอันดับยอดนิยมของสถานีโทรทัศน์ของฮ่องกง ไต้หวันและจีนมาตั้งสองปีที่แล้ว จนบัดนี้ต้องยอมรับถึงความนิยมของแฟนๆ ที่มีต่อ"ซูโหย่วเผิง"นั้นไม่ได้มีแต่สามประเทศเท่านั้น แม้แต่แฟนๆเมืองไทยเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าเลยซึ่งจะขอมีส่วนร่วมหรือติดตามข่าวคราวของชายหนุ่มอารมณ์ดีคนนี้ว่าทำอะไรอยู่ ซึ่งกว่าที่จะได้ข่าวคราวของ"ซูโหย่วเผิง"นั้นไม่ได้มาง่ายๆ อย่างที่คิดกันหรอกนะจ๊ะ เพราะช่วงนี้"ซูโหย่วเผิง"มีงานรัดตัวประกอบกับงานละครที่ต้องมีการถ่ายทำเกือบทุกวันตั้งแต่ต้นปีเรื่อยมา แต่"ซูโหย่วเผิง" ก็สามารถรับทราบถึงความเป็นห่วงเป็นใยของแฟนๆ ที่มีต่อเขาได้จากจดหมายของแฟนๆ นับแสน พัสดุไปรษณีย์นับหมื่น ยังไม่รวมถึง อีเมล์ที่มีถึงเขานับพันเช่นกัน ซึ่งหากเราอยากจะรู้จักกับ"ซูโหย่วเผิง"ให้มากกว่านี้ก็ต้องเริ่มรู้จักกันตั้งแต่ก่อนเข้าวงการกันเลย

อุแว้...อุแว้

"ก็ต้องเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 1973 ในห้องคลอดของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงไทเป ซึ่งวันนั้นเป็นวันดีนะ เพราะเป็นวันที่คุณแม่ได้ให้กำเนิดผมลืมตาขึ้นมาดูโลก คุณแม่เล่าให้ผมฟังว่า ตอนนั้นท่านดีใจมากเมื่อทราบว่าลูกชายของท่านมีสุขภาพแข็งแรง ผมได้รับการเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่มาโดยตลอดจากคุณพ่อและคุณแม่

ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา

ผมเกิดในช่วงกลางของเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง ด้วยเหตุผลนี้คุณแม่ผมท่านจึงตั้งชื่อผมว่า "Peng"

ความสัมพันธ์ในครอบครัว

น้องชายผมจะอายุน้อยกว่าผม 6 ปี เมื่อตอนที่พวกเรายังเด็กพ่อกับแม่มักจะดูแลเอาใจใส่พวกเราเสมอๆ ท่านจะพาเราไปเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของผมในช่วงเวลานั้นที่ได้รับการศึกษาในศาสตร์และศิลปะแขนงต่างๆ ตอนนั้นพ่อของผมมักจะพาพวกเราไปศึกษาดนตรี รวมทั้งการเล่นหมากรุกและศิลปะต่างๆ ในโรงเรียนที่เปิดสอน

พ่อแม่ของผมท่านเป็นคนค่อนข้างเข้มงวดและคาดหวังในตัวพวกเรามาก เพราะคุณพ่อมีความคิดว่าเด็กจำเป็นต้องได้รับการศึกษาที่ดีและจำเป็นต้องเรียนรู้ในหลายๆ ด้าน ไม่จำเป็นต้องเป็นความรู้เฉพาะในตำราเท่านั้น แต่ยังต้องพยายามฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้ที่รู้จักนำสิ่งต่างๆ มาปรับเปลี่ยนเพื่อพัฒนาตนเอง เพราะท่านยังเชื่อว่าลูกผู้ชายจะต้องรับภาระเป็นหัวหน้าครอบครัวในอนาคต(โอ้โห...น่าอิจฉาหญิงสาวผู้โชคดีคนนั้นจังเลย จะมีโอกาสบ้างไหมน้า...ที่จะเจอผู้ชายดีๆ แบบนี้สักคน เฮ้อ...แค่คิดก็ท้อแท้ซะแล้ว) ใครๆ หลายคนคงคิดว่าผมและน้องชายเติบโตมาในครอบครัวตัวอย่างที่มีคุณพ่อที่เข้มงวดและมีคุณแม่ที่ใจดีแต่ในความจริงแล้วคุณแม่จะใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกเรามากกว่าคุณพ่อซะอีก ทำให้ผมสามารถพูดคุยอย่างเปิดเผยในทุกๆ เรื่องกับท่านได้โดยไม่มีปิดบังเลย แต่สำหรับคุณพ่อแล้วผมไม่ค่อยกล้าเข้าไปหาท่านสักเท่าไหร่ ระหว่างผมกับคุณพ่อแล้วมันเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างจะเหินห่างสักหน่อย ด้วยความที่ท่านเป็นคนเข็มงวดและเจ้าระเบียบ ทำให้ผมไม่ค่อยกล้าที่จะเข้าไปหา หรือไม่กล้าพูดคุยในเรื่องต่างๆ ได้เหมือนกับที่พูดคุยกับแม่ และเมื่อผมโตขึ้น ผมก็เข้าใจท่านมากขึ้นด้วยเช่นกัน ตอนนี้ผมกับคุณพ่อนั้นเราสามารถพูดคุยหรือเข้าไปหาท่านได้อย่างสนิทสนมมากกว่าตอนเด็กซะอีก(ยิ้ม)

prattana:

น้องชายที่แสนดี

ผมโชคดีมากนะครับ ที่ได้น้องชายคนนี้มาเป็นน้องชาย(จริงๆ แล้วน่าจะมีน้องสาวอย่างเราด้วยก็จะโชคดีมากกว่านี้นะ เพราะมีสาวๆ หลายคนอยากเป็นน้องสาวของ"ซูโหย่วเผิง"มากจนนับไม่ถ้วนแน่ๆ)และต้องขอบคุณคุณพ่อกับคุณแม่ที่ให้เขาเกิดมาเป็นน้องชายของผม เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พวกเรามักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอๆ เวลาที่ผมมีปัญหาเขาก็จะเป็นผู้รับฟังที่ดีทีี่สุด ก็น้องชายคนนี้แหละที่มักจะให้คำแนะนำดีๆ แก่ผมเสมอแม้ว่าเราจะมีอายุห่างกันตั้ง 6 ปีก็ตาม แต่อายุที่ห่างกันและการศึกษาที่ไม่เหมือนกันของพวกเราก็ไม่เป็นอุปสรรคในการอยู่ร่วมกันและความสัมพันธ์ของการเป็นพี่น้องกันเลย ผมและน้องชายมีความสนิทสนมกันมากตั้งแต่ยังเด็กๆ แล้ว แต่เมื่อผมโตขึ้นและเริ่มทำงานทำให้เราไม่ค่อยมีเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนแต่ก่อนเลย

ความทรงจำในวัยเด็ก

แม่มักจะเล่าเรื่องต่างๆ ในวัยเด็กของผมและน้องชายให้ฟังเสมอๆ แต่พอผมเริ่มต้นทำงานและงานก็มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก จึงไม่ค่อยได้ฟังเรื่องวัยเด็กของผมเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งบางครั้งความทรงจำบางเรื่องมันก็ดูจะลางเลือนไปตามกาลเวลา หรืออาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นผมยังเด็กมากเกินไปที่จะจดจำเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัีวเองได้มากกว่า แต่แม่เล่าให้ฟังว่ามีอยู่ครั้งนึงเมื่อตอนผมอายุประมาณ 4-5 ขวบได้มั้ง ผมหายไป พ่อกับแม่ตกใจมากและออกไปตามหาตัวผมในทุกๆ ที่ที่คิดว่าเด็กอย่างผมในตอนนั้นจะไป แต่ในที่สุดตำรวจก็โทรมาที่บ้านบอกว่าพบตัวผมแล้วและกำลังจะนำผมมาที่สถานีตำรวจให้พ่อกับแม่มารับตัวผมกลับบ้านได้ ตอนนั้นผมยังเด็กมากเลย ไม่รู้ว่าความรู้สึกกลัวมันเป็นยังงัย แถมยังถามตำรวจอีกว่าให้ซื้อไอศครีมมาให้ผมด้วยได้มั้ย(คงจะไม่รู้เลยนะว่ามีคนเป็นห่วงอยู่ ถ้าหายไปจริงๆ ตอนนี้คงไม่มี"องค์ชายห้า"ให้พวกเราดูแล้วสินะ เกือบไปมั้ยหล่ะ)

การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ

ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พ่อกับแม่มักจะเข้มงวดกับผมและน้องชายมากในเรื่องการเรียน แต่ผมก็รู้นะว่าพวกท่านทั้งสองรักพวกเราและหวังดีกับพวกเรา อยากให้พวกเราได้มีความรู้เพื่อที่จะได้มาทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเอง เมื่อพวกเราโตขึ้น(ตอนนั้นมีความคิดถึงขนาดนี้ก็ไม่ธรรมดาแล้วมั้ง ถ้าจะไปเล่นการเมืองหรือเป็นนักพูดก็จะไปได้ไกลนะเนี่ย) ท่านทั้งสองได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพวกเรา มีอยู่ครั้งนึงผมจำได้ว่า ตอนนั้นผมอยากเรียนอีเล็คโทน พ่อกับแม่ก็พาผมไปสมัครเรียนอิเล็คโทนเองด้วย

วิดีโอเกมส์เป็นเหตุ

มีอยู่ครั้งนึงที่ผมถูกที่บ้านทำโทษโดยไม่ให้ไปไหนหรือออกจากบ้านก่อนได้รับอนุญาต ก็ตอนนั้นผมยังเด็กปกติเมื่อโรงเรียนเลิกแล้วผมก็จะตรงกลับบ้านเลยทุกครั้ง(จะบอกว่าคุณเป็นเด็กที่ไม่เถลไถลไปไหนเวลาหลังโรงเรียนเลิกแล้วใช่มั้ย) แต่ในสมัยนั้นจะมีร้านวิดีโอเกมส์และร้านขายของเล่นมาเปิดเป็นร้านเล็กๆ ติดๆ กันเป็นแถวๆ ทำให้ผู้คนพลุกพล่านและยังเป็นที่ชุมนุมของเด็กที่ชอบของเล่นแปลกๆ ใหม่ๆ ด้วย ผมเองก็สนใจจึงไปเดินแถวนั้นเหมือนกัน ด้วยความเพลิดเพลินจากการดูโน่นดูนี่แต่ก็ไม่ซื้อของเล่น (เสียดายเงินหรือเปล่าจ๊ะ) จะดูเสียมากกว่าทำให้ผมลืมเวลากลับบ้าน จนถึงเวลา 5 ทุ่มกว่าแล้วผมก็ยังไม่กลับบ้าน จนเมื่อผม

กลับถึงบ้านในคืนนั้น พ่อกับแม่โกรธผมมากที่ไม่รู้จักเวลาและไม่รู้จักรับผิดชอบตัวเอง จึงลงโทษผมโดยไม่ให้ไปไหนหรืออกจากบ้านก่อนได้รับอนุญาตและยังแถมตีผมอีกด้วย

prattana:

ของเล่นที่ชอบ

หลังจากนั้นพ่อกับแม่ก็ตัดสินใจซื้อวิดีโอเกมส์ให้ผม ผมจำได้ว่าผมดีใจมากเมื่อได้เป็นเจ้าของและสนุกมากเมื่อเล่นเกมส์ต่อสู้ีที่อยากเล่นมานาน มันสนุกมากนะ เพื่อนๆ ในชั้นเรียนของผมต่างก็มาขอยืมวิดีโอเกมส์ของผมไปเล่นกันหลายคน (เป็นเด็กดีจริงๆ ด้วย ไม่หวงของเลย) แต่มีอยู่คนนึงยืมไปแล้วจะไม่คืนวิดีโอเกมส์ให้ผม เมื่อผมทวงถามเขาก็ปฏิเสธที่จะคืนมัน ผมโมโหมากจึงนัดเขามาคุยด้วยกันอีกครั้งหลังเลิกเรียนแล้ว แต่เมื่อเขายัีงปฏิเสธที่จะคืนอีก พวกเราจึงต่อสู้กัน เมื่อผมมาคิดดูเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมันกลับเป็นเรื่องตลกมาก เพราะการต่อสู้ครั้งนั้นมันทำให้เราทั้งสองคนเจ็บตัวพอๆ กัน ผมล็อคคอเขาและจับศรีษะเขาแน่นเหมือนกอดคอมากกว่ามันชุลมุนกันน่าดู แต่ไม่มีใครแพ้หรือชนะหรอกนะ แต่หลังจากนั้นเขาก็เอาวิดีโอเกมส์กลับมาคืนผม ซึ่งในตอนนั้นผมยังเด็กจริงๆ นะ พอเค้าเอามาคืนแล้ว ผมกับเค้าก็กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

วิชาที่ชอบ

จริงๆ แล้วผมเป็นเด็กเรียนคนหนึ่ง ต้องขอบคุณคุณพ่อ คุณแม่ของผมที่ได้แนะนำเรื่องการเรียนให้แก่ผมตั้งแต่เด็กๆ แล้ว (เป็นสิ่งที่ดีที่พ่อแม่ควรให้การสนับสนุนเรื่องการศึกษาของลูกๆ เพราะไม่มีสมบัติที่มีค่าใดๆ จะเทียบเท่ากับวิชาความรู้ที่จะติดตัวเขาไปจนตาย เป็นการลงทุนที่ให้ดอกผลระยะยาว เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณพ่อคุณนะ) เมื่อตอนเด็กๆ ผมจะสอบได้เป็นเลขตัวเดียวเสมอๆ คงจะเพราะเหตุนี้ผมจึงต้องขยันเรียนอย่างมากเพื่อที่จะได้เป็นนักเรียนเรียนดีของโรงเรียน ทุกครั้งที่มีการสอบ เมื่อผมเห็นคนทุจริตการสอบ หรือลอกข้อสอบกัน ผมจะฟ้องคุณครูทันที ทำให้คุณครูที่โรงเรียนรักผม อาจจะเป็นเพราะผมชอบแข่งขัน จึงทำให้ผมไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก

ตอนเด็กๆ ผมจะสอบได้เกรดดีเสมอ แต่พวกคุณครูมักจะไม่ชอบเวลาที่ผมคุยกับเพื่อนในห้องเรียน แต่คุณครูก็ไม่ได้ลงโทษหรือตำหนิอะไรผมมากหรอกนะ วิชาที่ผมชอบมากก็คือ ภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ ส่วนวิชาประวัติศาสตร์นั้นผมก็ชอบรองลงมา เพราะผมไม่ชอบท่องจำ ผมชอบที่จะเรียนแบบเข้าใจมากกว่า

คู่แข่ง

คงเพราะผมเป็นเด็กเรียนคนหนึ่ง ทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนักตอนสมัยเด็กๆ จะมีก็แต่คนหรือสองคนเท่านั้น อย่างเช่น "หวังเหลียง" เป็นเพื่อนสมัยเีรียนหนังสือของผมตอนประถม เราทั้งคู่แข่งกันมากเพราะัต้องการเป็นคนที่สอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียน แต่หลังจากนั้นเราก็เลยกลายเป็นคู่แข่งกัน จะว่าเป็นศัตรูก็ไม่เชิงหรอกนะ เมื่อสมัยประถมผมย้ายโรงเรียนไปเรียนที่โรงเรียนอื่น แต่พอเข้ามัธยมเราก็กลับมาเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกันอีกครั้ง เรากลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เมื่อผมไปที่สถานีโทรทัศน์เพื่ออัดเทป เขาก็มักจะมากับผม เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากกว่าสมัยเรียนหนังสือด้วยกันซะอีก (จากคู่แข่งกลายเป็นมิตรได้ ก็ดีแล้วหล่ะเพื่อนฝูงกันคบๆ กันไว้ ไม่เสียหลายหรอกนะจ๊ะ จะบอกให้)

ซูเปอร์สตาร์ในดวงใจ

ตอนที่เป็นวัยรุ่นนั้น จะใช้เวลาอยู่กับการแต่งตัว ดูแลทรงผมให้ออกมาดูดีสุดๆ วันนึงๆ จะเสียเวลาอยู่หน้ากระจกเป็นชั่วโมงๆ เลยนะ (แต่คุณก็ดูดีอยู่แล้วนะ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นคุณเพิ่งจะเป็นวัยรุ่นทำให้ต้องค้นหาตัวเองอยู่..ผมก็เห็นด้วยนะและขอบคุณสำหรับคำชมครับ..หัวเราะ..) ตอนนั้นนะผมเคยใฝ่ฝันที่จะเป็นดาราหนังและมีซูเปอร์สตาร์ในดวงใจด้วย ซึ่งก็คือมาดอนน่าครับ ผมหลงใหลมาดอนน่ามาก ยังฝันว่าจะไปอเมริกาเพื่อที่จะไปพูดคุยกับเธอ ผมซื้ออัลบั้มของเธอทุกอัลบั้มและมีโปสเตอร์ของเธอเยอะมาก ผมเคยบอกกับทุกคนว่าผมรักมาดอนน่ามากแต่ไม่มีใครเชื่อหรอกนะ (หัวเราะ)

คนเรามีชีวิตย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด แต่ใครจะไปคาดคิดหล่ะว่าจากเด็กน้อยหน้าตาสดใสจะเปลี่ยนมาเป็นดาราที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในทุกวันนี้ แฟนๆ หลายคนคงจะแอบยิ้มแก้มปริในความน่ารักและซุกซนของเด็กน้อยคนนี้ที่ปัจจุบันเป็นขวัญใจของสาวๆ หลายคนที่แอบปลื้มอยู่ แต่เมื่อแฟนๆ หรือน้องทั้งหลายได้รู้จักชีวิตวัยเด็กของเขาแล้วคงจะปฏิเสธถึงความน่ารักของเขาไม่ได้เพราะอย่างน้อยก็ได้รู้จักเขาและคงจะคิดเหมือนกับเราด้วยว่าความสำเร็จของ"ซูโหย่วเผิง"ในวันนี้ก็ด้วยมีแรงใจจากครอบครัวที่ดูแลและให้ความเอาใจใส่พร้อมกับปลูกฝังนิสัยที่รักเรียน คิดถึงการเรียนเป็นหลัก เพราะอย่างน้อยความรู้ก็จะอยู่กับเราไปจนตายนะจ๊ะ น้องๆ ทั้งหลายอย่าลืมเอาตัวอย่างดีๆ นี้ไปปฏิบัติกันบ้างไม่เสียหลายหรอกค่ะ

Alec Love Me:

ซูโหย่วเผิงขอคืนสิ่งดีดีให้สังคม

เมื่อมีนาคมปีนี้ “ ซูโหย่วเผิง” ก็เปิดคอนเสิร์ตของตัวเองที่เซี่ยงไฮ้ บริเวณแกรนด์สเตเดี้ยม ชีวิตของเขาที่เดินอยู่ในวงการบันเทิงมานานนับสิบปี สุดท้ายก็ได้ทำความฝันของเขาให้เป็นจริงได้ภายในการแสดงคอนเสิร์ต 1 ชั่วโมงครึ่ง

เขาได้สัมผัสถึงความรักและผูกพันที่แฟนเพลงมีให้เขามาโดยตลอด ระหว่างการแสดงคอนเสิร์ตตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากที่การแสดงจบลงในคืนนั้นเอง “ซูโหย่วเผิงก็...ได้บอกกับผู้จัดการส่วนตัวว่าเขาได้รับสิ่งดีดีจากแฟนเพลงจำนวนมาก และเขาเองก็อยากคืนสิ่งดีดีเหล่านี้กลับให้สังคมบ้าง

พระเจ้าได้ให้สิ่งที่ดีกับเขามามากแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เขาจะคืนสิ่งดีให้กับคนอื่นที่ยังขาดแคลนอยู่

เมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา “ซูโหย่วเผิง” ได้ขนเสื้อผ้าส่วนตัวของเขาจำนวนมาก รวมถึงเครื่องแต่งกายอื่นๆ นำมาเปิดประมูลเพื่อหารายได้มอบให้องค์กรการกุศลเพื่อช่วยเหลือสังคมต่อไป ดูจากรายการเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายอื่นๆแล้ว บางตัวจะเห็นว่าเขาใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นประจำ เรียกว่าถ้าใจไม่เสียสละมากพอแล้วคงจะไม่ตัดใจให้ของรักเพื่อนำมาบริจาคได้แน่นอน...

Alec Love Me:

ซูโหย่วเผิง ได้ทั้งบุ๋นและบู้เจ็บทั้งตัว

ซูโหย่วเผิง ตลอดมาต่างก็ให้ภาพลักษณ์ที่เป็นคนมีการศึกษาที่ดูทึ่มๆ แต่ในเรื่อง"อี้เพียนถูหลงจี้" ก็มีการพลิกบทบาท โดยการฝึกหัดวิทยายุทธ,ฝึกเพลงดาบ และก็ฝึกขี่ม้า ซึ่งทุกฉากของละครเรื่องนี้โหย่วเผิงพยายามแสดงด้วยตัวเองเกือบทั้งเรื่อง ทำให้ใครหลายคนต่างก็รู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่ได้ทั้งบุ๋นและบู้จริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นองค์ชาย 5 ที่ดูทึ่มในละครเรื่ององค์หญิงกำมะลอ หรือมาดนักข่าวในเรื่องฉิงเซินเซินหวี่หมงหมง  คุณชายนักศึกษาต่างประเทศในเรื่องเปียวเม่ยจี๋เสียง โหย่วเผิง  มักจะมีภาพลักษณ์ของคนที่มีความทึ่มเป็นที่ 1 แต่หลังจากที่เค้าแสดงเรื่องเจี๋ยไต้ทรวงเจียว  ในบทฮัวอู๋เซีย  โหย่วเผิง ก็มีประสบการณ์การแสดงในฉากต่อสู้วิทยายุทธมากขึ้น โหย่วเผิง พูดว่า "จริงๆ แล้วผมเป็นคนไม่มีความสามารถทางด้านกีฬามาตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะ ดังนั้นส่วนใหญ่ก็เลยมักจะเล่นแต่งานที่ต้องใช้สมองซะส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นฮัวอู๋เซีย ในเจี๋ยไต้ทรวงเจียว หรือจะเป็นหางเที่ยเซิง ในเรื่อง ไพอันจิ่งฉี๋ ซึ่งในเรื่อง ไพอันจิ่งฉี๋ นี่มีฉากที่ต้องต่อสู้วิทยายุทธมากกว่าครึ่งเรื่อง แต่ฉากส่วนใหญ่ก็มักจะตกเป็นภาระของสตั้นแมน แต่
พอผมมารับบทเป็นจางอู๋จี้ ตัวละครชั้นเอกจากปลายปากกาของกิมโหยง ซึ่งบทบู้ในละครเรื่องนี้มีมากกว่าบทบุ๋นซะอีก และตัวผมเองก็เคยตั้งเงื่อนไขไว้กับตัวเองมาตั้งนานแล้วว่าถ้าคิดจะเป็นนักแสดงก็ต้องไม่ให้ผู้ชมจับได้ ดังนั้นพอผู้กำกับถามผมว่าอยากจะลองเล่นบทบู้ด้วยตัวเองกับเค้าบ้างมั้ย ผมก็เลยตอบตกลงไปอย่างไม่ลังเลเลย (หัวเราะ)"

และเพื่อที่จะต้องเล่นฉากต่อสู้ด้วยตัวเอง โหย่วเผิง ที่ไม่มีพื้นฐานวรยุทธกับเค้าเลย ทุกวันก็ต้องมากองถ่ายเร็วกว่านักแสดงคนอื่นในเรื่องอี้เพียนถูหลงจี้ เพื่อรับการฝึกสอนด้านศิลปวิทยายุทธ โดยฝึกการแยกขา ฝึกเพลงดาบอย่างลำบากลำบน เล่นเอาปวดเมื่อยไปทั้งตัว ซึ่ง โหย่วเผิง พูดว่า "การฝึกซ้อมแบบนี้เรื่องเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเป็นเรื่องธรรมดามาก เพราจางอู๋จี้เป็นคนที่มีความกล้าหาญและทรนงในตัวเอง ฉากต่อสู้ก็เลยมากตามไปด้วย ดังนั้นก็เลยต้องพยายามให้มากกว่าเดิม เพื่อที่ว่าแฟนๆ ที่รอชมละครเรื่องนี้จะได้ไม่ผิดหวัง"

แต่ทีมงานละครในเรื่องนี้ก็ดูแลโหย่วเผิงดีมาก เดิมทีตอนแรกได้เตรียมคนแสดงฉากต่อสู้ไว้ให้แล้ว แต่โหย่วเผิงก็ไม่ยอมเพราะเค้าต้องการแสดงฉากทุกฉากด้วยตัวเอง ส่วนคนสอนวิทยายุทธก็ได้แต่เพียงยืนชี้แนะอยู่ข้างๆ เชื่อว่าในอนาคตทุกคนคงได้เห็นจางอู๋จี้ในเรื่องกระโดดแยกขากลางอากาศ ขี่ม้าและท่าทางการรำกระบี่ เพราะฉะนั้นผู้ชมควรดูอย่างตั้งใจเพราะว่าทั้งหมดเป็นการแสดงที่โหย่วเผิงแสดงด้วยตัวเองทั้งหมด

ถึงแม้ว่าโหย่วเผิงจะได้รับความลำบากไม่น้อยจากการถ่ายทำละครเรื่องนี้ แต่ทีมงานก็ดูแลเขาอย่างดีเพราะทางทีมงานได้เชิญอาจารย์นวดแบบชี่กงจากปักกิ่งมาดูแลเขา อีกทั้งห้องพักของโหย่วเผิงก็ยังมีกลิ่นต้มยาจีนหอมโชยออกมาถึงข้างนอก เรียกได้ว่าเป็นการดูแลร่างกายทั้งภายในและภายนอกให้แก่เขาจริงๆ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version