Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > SCOOPS & SPECIALS

ความวิเศษสำหรับผู้หลงรักผู้ชายที่ชื่อว่า [ซูโหย่วเผิง]

(1/12) > >>

Chomnath:

How long do you know “Su You Peng” ?
When did you fall in love to Su You Peng ?
Why do we have to fall in love to Alec, any good thing he has ?
How many good faith and trust he has, we are to be called as the fanclub which follow his news continuously for long long time.

The one who love him is able to answer the above question. But…..if you still don’t know him.

We will present his news step by step whatever you need to know. And you will be known that to find and discover the real stories and the activities of Alec Su is the superb(excellence) in your life.



คุณรู้จัก "ซูโหย่วเผิง" มานานแค่ไหน?

คุณหลงรัก SUYOUPENG ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

ทำไมพวกเราต้องมาหลงรัก ALEC เขามีดีอะไร?

เขามีแรงศรัทธามากแค่ไหนที่ให้พวกเราซึ่งเรียกว่า FC ติดตามเขาได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน

คนที่รักเขาเท่านั้นสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ แต่ถ้าคุณยังไม่รู้จักเขา

เราจะค่อยๆ......นำเสนอในสิ่งที่คุณอยากจะรู้

และคุณจะได้รู้ว่ามาพบ Alec Su เป็นสิ่งที่ "วิเศษ" ที่สุดในชีวิตของคุณ

Chomnath:
ข้อความจากลายมือซูโหย่วเผิง ปี 1993

今天才发现有朋哥的字
http://tieba.baidu.com/p/3152269506
http://tieba.baidu.com/p/720919967?pn=12





ช่วงเวลานี้ ได้รับจดหมายจากผู้ปกครองและนักศึกษามัธยมปลายอย่างมากมาย หวังว่าผมได้เสนอเรื่องรักการเรียนหนังสือและวิธีเตรียมตัวเข้าร่วมสอบ ช่วงเวลาหนึ่ง ความรู้สึกตื้นตันที่ประมาณไม่ได้ผุดขึ้นมาจากใจ ซึ่งผมรู้สึกลึกๆว่าการเป็นนักแสดงคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่ ทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ยังต้องทำเพื่อบุคคลที่เอาใจใส่ต่อตัวผมเป็นอันมากร่วมอยู่ด้วย

อายุ 15 ปีก่อนหน้านั้น ผมคือบุคคลธรรมดาๆคนหนึ่ง คนรู้จักตัวผมต่างเรียกผมว่า "ซูโหย่วเผิง" ก็คล้ายในสายตายทุกคนเหมือนพวกนักเรียนอยู่ภายใต้แรงกดดัน การเปิดภาคการเรียนเช่นเดียวกัน สวมแว่นสายตาสั้นอันหนาลึก แบกกระเป๋าเรียนอันแสนหนัก ได้วิ่งเต้นบากบั่นระหว่างครอบครัวโรงเรียนและห้องกวดวิชา วันอาทิตย์เป็นวันหยุดสัปดาห์คิดอยากออกไปข้างนอกดูหนัง ก็รู้สึกไม่สบายใจนัก เวลาหลังเลิกเรียนไปพร้อมกับพวกนักเรียนที่บนท้องถนนแถวห้องกวดวิชาซื้อเต้าฮวยกิน เดินไปพลางกินข้าวโพดไปพลางช่างมีความสุขเหลือเกิน

เวลานั้นในกระเป๋าของผมมีแต่พกเงินไม่กี่สตางค์เสมอ ก็ไม่มีใครคอยมามองผมนัก ผมอยู่อย่างอิสระมากเป็นตัวของตัวเองด้วย บัดนี้หวนคิดขึ้นมา เวลานั้นถึงแม้ว่าแบกภาระอันหนักหน่วงของแรงกดดันในการเปิดภาคการเรียน แต่มีชีวิตช่วงที่มาคงไม่เคยผ่านความรู้สึกที่มีอิสระมาก่อนเลย

สาธารณะรัฐประชาชนจีน ปี 77 เดือน 7 (ในปีนั้นก็จะมีอายุครบ 16 ปี) ได้รับการคัดเลือกและเป็นนักร้อง ภายใต้ วงเสี่ยวหุ่ยตุ้ย ยังไม่ทันดูให้ชัดเจนว่าความโอ่อ่าวิไลของวงการแสดงนี้ก็ถูกครอบด้วยชื่อเป็น "เสือน้องแสนเชื่อง" หลังจากนั้นการดำรงชีวิตของผมทุกอย่างก็เปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมาเลย





จนถึงวันนี้ อายุใกล้ครบ 20 ปี แท้จริงแล้วผมยังไม่สามารถยอมรับว่าเป็นบุคคลสาธารณะชนแล้ว ผมทำตัวเป็นคนเรียบง่ายมาตลอด ผมคือ "ซูโหย่วเผิง"

ในสายตารู้สึกดี รู้สึกเศร้า เช่นนี้เกือบจะคล้ายๆสิ้นบุญวาสนา ผมรู้สึกว่าคนมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แต่ละวันกำลังต้องเผชิญกับวิถีการเจริญเติบโตไปเพื่อสยบอุปสรรคอันมากมาย ไม่จำต้องนำเอาแรงกดดันที่ไม่จำเป็นเพิ่มในตัวของตนเองอีก มีเพื่อนๆมากมายเขียนจดหมายมาบอกผมว่า "ซูโหย่วเผิง เวลาคุณยิ้มบริสุทธิ์มาก สดใสมาก ดูคุณยิ้มช่างร่าเริงจริง ฉันรู้สึกร่างเริงตามไปด้วย" 

ตอนนี้ผมกำลังจะบอกทุกคนว่า ผมไม่เคยชินกับการเอาเรื่องราวเก็บไว้ในใจ พวกคุณมองดูผมยิ้มอยู่นั้นเป็นความจริงครับ ผมกำลังยิ้มอย่างร่าเริงทีเดียว

ผมเชื่อมั่นในกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งว่า ทำเรื่องอะไรควรมีจิตสำนึกของตัวเองบ้าง

เมื่อต้องการเช่นนี้ การปฏิบัติโฆษณาชอบทำเอาทีมงาน พนักงานโมโหมากเสมอ(งงค่ะอ่านแล้วไม่เข้าใจ)  อะไรคือ "อารมณ์ควาย ปัญญาหมู ไม่สามารถอ้อมค้อม ล่วงเกินแก่ผู้อื่นโดยง่าย...." ข้อกล่าวหาต่างๆนานาเพิ่มอยู่บนศีรษะของผม ผมยังไม่ยินยอมปรองดองทำเรื่องบางอย่างที่หักหลังกฎเกณฑ์ต่อตัวเอง ตัวอย่างเช่นการพูดปด มีบางคนเห็นว่าสถานการณ์จำเป็นต้องกระทำแล้วก็ควรละเมด ผมยังเห็นว่าสักวันหนึ่งเมื่อพูดโกหกแล้ว ครั้งต่อไปจำเป็นต้องพูดปดอีกเพื่อปกปิดที่แล้วมา หากเป็นลักษณะวัฎจักรหมุนเวียนเช่นนี้ต่อไปอีก ยิ่งนานยิ่งสับสนวุ่นวายไม่รู้จักสิ้น ผมไม่ยินยอมนำตนเองไปสู่ความวุ่นวายเช่นนั้นแน่ เพราะเรื่องที่ทำไม่ได้ ผมยินดีละทิ้ง ก็จะไม่ต้องการทรยศต่อจิตสำนักตัวเอง

แต่ว่าการร้องเพลงเป็นสิ่งที่ผมไม่ยอมปล่อยละทิ้งได้

นั่นเป็นเพราะใจรักใจชอบของผม ที่ผมปฏิบัติกระทำอยู่ เหมือนกับการสืบทอดต่อเช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อแม่ต้องการให้ลูกๆ มีความก้าวหน้าต่อการเรียนหนังสือ

ผมยอมเป็นบุคคลธรรมดาเช่นเดียวกับทุกคน เพื่อปล่อยอารมณ์ให้เต็มที่ ผมตามหาสาวงามธรรมดาที่มีความบริสุทธิ์ แต่ไม่ขอบังคับ (เป็นคำเปรียบเปรยค่ะ)

ผมชอบร้องเพลงและสร้างสรรค์ นั่นเป็นเพราะผมกับดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของการกระตือรือร้นเกินกว่าที่คิด อยู่ในห้องโถงดนตรี ผมไม่มีผูกมัดบังคับ ปล่อยวางอารมณ์ตัวเองให้จมอยู่ในก้นลึก

ผมมีทั้งญาติสนิทมิตรสหารที่รัก และมีที่รักเหมือนพี่น้อง แน่นอนตัวผมก็หวังว่ามีคนที่รักใคร่

ดนตรีเป็นของประจำชาติ ผมได้พบเจอดนตรีเหมือนกับทรรศนะชีวิตของผมเช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรมาปิดบังซ่อนเร้นดีกว่านี้



ไม่ว่าเล่นบทชีวิตอะไรก็ตาม เช่น นักร้อง นักเรียน บุตรคนอื่น เวที โรงเรียน ครอบครัว ผมก็คือผมอยู่วันยังค่ำ

ได้เจอนักข่าวถามผมอยู่เสมอว่า (คุณในฐานะเป็นนักเรียนได้เข้าสู่วงการนักร้อง ระหว่างการเป็นนักเรียนและนักร้อง คุณจะผลัดเปลี่ยนทางใจได้อย่างไร)

แท้จริงแล้วผมไม่เคยพิจารณาปัญหานี้มาก่อนเลย

ผมรู้สึกว่าผมทำอะไรลงไปก็ตาม เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ผมรู้จักผิดถูกชั่วดีต่อตัวเอง ไม่มีบทบาทอะไรในชีวิตที่จะผลัดเปลี่ยนเรื่องปัญหาหลงเหลืออยู่เลย

ทำเรื่องอะไรผมก็จะทุ่มเทการกระทำที่ดีที่สุด ขอเพียงแต่ผมคิดแล้วก็ตัดสินใจทำ

ผมเป็นคนชอบความจริงใจและบริสุทธิ์ใจ

แต่ความโอ่อ่าวิไลเป็นแค่ความฝันเท่านั้น เมื่อความโอ่อ่าวิไลเสื่อมลง ได้รอคอยถึงวันนั้น ผมจะเป็นบุคคลเหมือนที่คุณมองเห็นอยู่ในทุกวันนี้

Chomnath:

ซูโหย่วเผิงสมัยเรียนเรียงความ

(เสียงดังเกินไปแล้ว หยุดเงียบครู่หนึ่งได้เปล่า ) ซูโหย่วเผิง
ผมชินกับเวลาเรียนต้องปิดหู อย่างนี้ แม้ว่าข้างนอกนั้นจะเสียงดังขนาดไหน ผมสามารถที่จะนิ่งสงบได้ ขณะที่นั่งลงแล้ว การหมุนปากกานั้นบางครั้งนานกว่าการเรียนเสียอีก เรียนหนังสือไปครึ่งเมื่อเจอข้อสงสัยไม่มีทางออกก็จะหมุนปากกา เมื่อสอบสอบไปครึ่งหนึ่งสอบไม่ได้แล้ว ก็เครียดจนหมุนปากกา คิดเรื่องต่างๆคิดไม่ออกแล้วก็จะหมุนปากกา เวลาเหม่อลอยก็จะหมุนปากกาหมุนปากกา ในบางเวลานั้นมันสามารถจะลดความเครียดลงได้

การหมุนปากกานั้นอาจไม่ใช่ความเคยชินในการเตรียมตัวเรียน แต่ว่าในสมัยนั้นนับได้ว่านักเรียนเกือบทั้งหมดนั้นก็หมุนปากกาเป็น มันสะท้อนให้เห็นว่าคนหมุนปากกาไม่เป็นนั้นถือว่าเชยมาก ตอนแรกนั้นเห็นคนอื่นหมุนเป็น ตัวเองไม่เป็น ก็รู้เลยว่าตัวเองจะต้องรีบๆในการฝึกฝนมัน ตอนใหม่ๆนั้นไม่ง่าย หมุนได้เพียงแค่ครึ่งรอบ ยิ่งกว่านั้นปากกายังตกลงพื้นประจำ ขณะที่ทุกคนตั้งใจทำข้อสอบหรืออ่านหนังสืออยู่นั้น เสียงของการหมุนปากกาที่ตกลงบนโต็ะนั้นได้ยินอย่างชัดเจน แต่ว่า มีเพื่อนนักเรียนบางคนก็เหมือนกับผมไม่ค่อยฝึกฝนจริงจังเท่าไรนัก เวลาเรียนเสียงปากกาตกบนโต๊ะนั้นทั้งของเขาของเราด้วย ตอนหลังฝึกจนชำนาญแล้ว สามารถหมุนจากหัวจรดปลาย จากปลายถึงหัว อย่างนี้เรียกว่าหนึ่งรอบ

เพื่อนนักเรียนที่มีฝีมือดีๆนั้นเก่งถึงนาดหมุนจากนิ้วกลางแล้วหมุนบนอากาศอีกสองรอบเลย อยู่ในที่หัวแม่มือกับนิ้วกลางนั้นยังเป็นหัวปากกา บางครั้งผมอยากจะฝึกให้มีลีลา อ่านหนังสือไปด้วย ทั้งยังใช้ใจทำสองอย่างในขณะเดียวกันคือหมุนปากกาไปด้วยครึ่งรอบ ตอนหลังเริ่มคล่องแล้ว เพียงแค่นั่งลง ไม่ว่าจะคิดอะไรอยู่ ก็ได้หมุนปากกาอย่างไม่รู้ตัวเลย ครึ่งหนึ่งอยู่ในศูนย์หนังสือ เค ทันใดนั้นรู้สึกเลยว่าอ่านหนังสือไม่จบแน่ อารมร์ไม่ดีขึ้นมา หมุนปากกาอย่างแรง เครียดเกินไป สองสามทีก็ตกบนโต๊ะแล้ว จนทำให้คนที่อ่านหนังสืออยู่ข้างๆวิ่งมาหาผม เสียงดังรบกวนเกินไปแล้วนะ หยุดได้ไหม? ในโรงเรียนนั้น นักเรียนก็นิยมในการหมุนหนังสือ หมุนหนังสืออ้างอิง

ความฮิตของการหมุนหนังสือนั้นเห็นกันอย่างทั่ว ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็มักจะเห็นนักเรียนรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อแข่งขันการหมุนหนังสือ พวกที่มีฝีมือนั้นก็สามรถเอาหนังสือเล่นใหญ่มาหมุนโชว์อย่างสวยงาม บางคนยังสามารถใช้นิ้วชี้หมุนก่อน หลังจากนั้นเปลี่ยนเป็นนิ้วกลาง นิ้วกลางแล้วเป็นนิ้วนาง จนจบที่นิ้วก้อย แล้วโยนขึ้นไป ตกลงมา แล้วรับ แล้วเริ่มจากนิ้วชี้อีก จะหมุนนานขนาดไหนก็ไม่ตก หน้าปกของหนังสือนั้นเหตุโดนนิ้วจี้หมุนประจำ ทำให้จุดโดนจี้ประจำนั้นกลายเป็นสีขาวไป นักเรียนบางคนยังเจาะรูในหน้าปกกลางหนังสือ บางคนเพื่อให้มีจุดรูแล้วจะหมุนได้นาน

พวกเรานอกจากเรียนหนังสือแล้วยังหาบรรยาการของการเรียนหนังสือ หาความสนุกเล็กน้อยๆอย่างนี้ มาเล่นอย่างไม่ต้องเสียอะไรมากไปเลย

(ผู้ชายไม่ร้องไห้ ) ซูโหย่วเผิง

ผมมักจะคลุ่นคิดตัวเองในสายตาของคุณครูและเพื่อนนักเรียน ในสภาพการณ์อย่างนั้น ความผิดลำบากใจของจิตใจนั้นมีมาก ยิ่งกว่านั้นเป็นเพื่อนนักเรียนต่างห้อง มักจะมีความเป็นศัตรูกับผม ตั้งแต่ประถมหนึ่งที่ผมพึ่งเข้ามา ก็จะได้ยินคำขู่มากมาย เช่นนักเรียนห้องนั้นบอกว่าจะตีต่อยผมในห้องน้ำ หรือว่าปาเป้า เขียนชื่อผมไว้ที่ผนังแล้วยิงเป้า ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผมอับอาย จนถึงประถมสามก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่ ผลการเรียนของผมก็ยังที่ขี้ปากของคนหลายคนอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ ทำให้ผมมีนิสัยอย่าง ใช้ชีวิตอยู่ในวงกลมของตัวเอง อยู่กับตัวเองปลอดภัยที่สุด เรื่องร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวผมนั้นล้วนไม่เกี่ยวข้องหรือกระทบผม จากหน้าโรงเรียนไปที่ห้องเรียนนั้น จะต้องเดินผ่านห้องเรียนคนอื่น ตลอดเวลานั้นผมได้เดินผ่านอย่างก้มหัว เดินริมๆทาง ไม่ไปสนใจคนที่อยุ่ในห้อง แม้แต่มองก็ไม่มอง หรืออาจพูดได้ว่า ผมนั้นปิดตัวเองหรือน้อยเนื้อต่ำใจ

ยิ่งกว่านั้นคืออยู่ต่อหน้าเพื่อนนักเรียนที่ไม่คุ้น แม้กระทั่งเดินก็ไม่กล้าจะเงยหน้ายึดอก นอกจากน้อยเนื้อต่ำใจแล้ว ยังมีความกลัวอยู่ด้วย สะท้อนให้เห็นว่าทุกคนทำร้ายผม ดูหมิ่นดูถูกตัวผมเข้ามัธยมแล้วผมก็ไม่ได้มีเพื่อนที่สนิทพิเศษอะไรมาก ห้องตัวเองก็ไม่มี ห้องอื่นคงไม่ต้องพูดถึง ให้โรงเรียนนั้น เพื่อนที่สนิทมากที่สุดก็แค่คนสองคน ล้วนรู้จักกันก่อนหน้าที่จีนแล้ว

คนอื่นๆ ไม่ว่าจะมีเจตนาร้ายหรือดี ทุกคนก็จะถูกผมตีหน้าเป็นผู้ไม่หวังดี ก่อนหน้าที่ผมจะชอบในการเล่นบาสนั้น ทุกครั้งก็จะรู้สึกว่าใจยิ่งเต้นยิ่งแรง ที่นั่นมีคนมากมายกำลังเล่นบาส ผมได้ก้มหัวลงในหูนั้นล้วนมีแต่เสียงคนกำลังแย่งลูกบาส กลัวมากที่เมื่อเงยหน้าแล้วเห็นสายตาที่ไม่รับแขก หรือว่าสายตาที่ขู่ ลูกบอลลูกหนึ่งลอยมา ทำให้ใบหน้าผมยุ่งมาก

Chomnath:

ซูโหย่วเผิง เด็กดีในวัยเด็กแต่กลับโดดเดี่ยว
ผมเกิดในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ปี 1973 วันเกิดของคุณแม่ก็วันไหว้พระจันทร์เหมือนกัน ฉะนั้นแม่ตั้งชื่อผมว่า เผิง เป็นตัวพระจันทร์สองตัวมารวมกัน แม่บอกว่าตอนผมเป็นทารกอยู่นั้นมักชอบร้องไห้ ตัวผมเองยุ่งมาก ท่านกลัวว่าหัวผมนอนจนเอียง เลยอุ้มผมทั้งวัน ให้ผมอยู่ในอ้อมอกของท่าน

คุณพ่อของผมเป็นนักธุรกิจ คุณแม่เมื่อจบการศึกษาแล้วก็มาเป็นครู ครอบครัวของผมนั้นในไต้หวันนับว่าเป็นครอบครัวขนาดเล็ก เหตุนี้หลังจากที่ผมเกิดแล้ว คุณแม่ไม่ได้ลาออกจากงานของตนเอง มีคุณย่าเป็นคนเลี้ยงผม มีครั้งหนึ่งเมื่อคุณย่าซักเสื้อผ้า ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของผม จนน้ำตาไหลเข้าหู จนหูผมอักเสบ คุณแม่ห่วงผมมาก ต้องตัดสินใจโดยจำใจ ลาออกจากงาน ดูแลผมที่บ้าน อย่างไรก็ตามตอนที่คุณแม่ดูแลผมอยู่นั้นก็มีเรื่องเกิดขึ้น

มีครั้งหนึ่งคุณแม่ไปที่ตลาด หลังกลับจากตลาด ตามหาผมทุกซอกทุกมุมก็หาไม่เจอ สุดท้ายร้องเดินร้องไห้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจข้างบ้าน แล้วมาเจอกำลังนั่งกินไอศครีมอย่างอเร็ดอร่อย ตอนนั้นบ้านผมอยู่ชั้นสอง ผมไม่รู้ว่ามาอยู่ชั้นหนึ่งได้อย่างไร ได้เดินตามล่องน้ำมา และแล้วก็หลงทางไม่รู้ทางไหนเป็นทางไหน เมื่อตำรวจเห็นเข้า ตอนนั้นผมอายุยังเล็ก ทั้งยังไม่สามารถจะบอกบ้านของตังเองอยู่ไหน สุดท้ายก็พาผมมาอยู่ที่สถานีตำรวจ หลังจากเรียนแล้ว ผมมีนิสัยเสียๆอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือขี้เล่น อย่างที่สองคือชอบนอน

บ่อยครั้งที่ผมเล่นเหนื่อยแล้วก็จะฟุบนอนบนโต๊ะ ตอนนั้นแม่ก็สงสัยว่าผมเป็นพวกเด็กไฮเปอร์ ครูปกครองในสมัยเรียนนั้นจนถึงตอนนี้ยังจำผมได้เลย แต่ว่าในตอนนั้นการเรียนผมนั้นดีมากๆ มักจะอยู่อันดับที่หนึ่ง คุณครูชอบผมมาก ก็เลยให้ท้ายผม รวมทั้งตอนผมอยู่ประถมก็ได้รับรางวัลหลายอย่างด้วย เช่นการชนะการแข่งทักษะ การเขียนเรียงความ การพูดที่ประชุม เป็นการประกวดที่ผมมักจะเข้าร่วมด้วย ตอนนั้นผมเกลียดเพื่อนนักเรียนที่ลอกข้อสอบมากๆ เพราะผมนั้นได้ผลการเรียนที่ดีมาด้วยความขยันพากเพียร ก็ไม่ชอบที่จะให้พวกเขาได้คะแนนดีๆโดยการเอาเปรียบผมเช่นนี้ ฉะนั้นเมื่อผมเห็นหรือรู้ว่าคนไหนลอกข้อสอบแล้ว ก็จะฟ้องคุณครู จนทำให้เพื่อนนักเรียนเหล่านั้นไม่ชอบขี้หน้าผมเลย และแม้ว่าการเรียนผมจะดีมาก แต่ก็ไม่เคยได้เป็นหัวหน้าชั้นเลย

ตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่สองก็สายตาสั้น เมื่อถึงประถมห้าหก สายตาสั้นนั้นมันสั้นไปจนถึงห้าหกร้อยเลย นี่น่าจะมาจากพันธุกรรมเป็นหลัก คุณยายผมเป็นคนสายตาสั้น และลูกทั้งห้าคนของท่านก็เป็นด้วย

ตอนประถมนั้นผมได้นั่งแบบชายคนหญิงคน ผมก็จำหน้าตาของเพื่อนที่นั่งคู่กับผมไม่ได้แล้วล่ะ ตอนนั้นเราสองคนไม่ค่อยจะคุยกัน ตรงกลางโต๊ะนั้นเราได้ขีดเส้นแบ่งเขต ในตอนนั้นจำได้ว่าเทอชอบว่าผมว่าโง่ เหตุนี้เลยทำให้ผมไม่ชอบเขา เพียงแต่เมื่อเขาได้ข้ามเขตมาทางผม ผมก็จะใช้กล่องดินสอตีเขาการเรียนเขาไม่ดี ฉะนั้นทุกครั้งที่ทะเลาะกัน คุณครูจะว่าเขา เขาด่าผมว่าโง่ช่วงนั้นผมน่าจะไม่ค่อยรู้เรื่อง จำได้ว่าห้องน้ำในโรงเรียนของผมในสมัยนั้นติดอยู่กับทางเลี้ยวหักสอก ทุกครั้งที่ผมเข้าไปนั้นก็จะไปชนกำแพงหักสอกนั้น จนเป็นที่หัวเราะเยาะของเพื่อนๆ ยังดีที่ผมเป็นคนใจสู้ พวกเขาหัวเราะผมผมก็หน้าแดง เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ ด้วยเหตุนี้ตอนนั้นคนอื่นว่าผมโง่นั้นก็น่าจะมีเหตุผล

คนที่รักหวงผมที่สุดคือคุณแม่ ตอนเด็กนั้นคุณพ่อมักจะยุ่งกับงานมาก ตอนนี้คิดดูแล้วการจะเลี้ยงครอบครัวหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย ตอนเด็กผมเป็นคนดื้อ เมื่อแม่เอาผมไม่อยู่เลยฟ้องพ่อ คุณพ่อโมโหก็จะตีผม จนกระทั่งถึงมัธยมปลายผมยังโดนตีอยู่ ตอนนี้ไม่ตีแล้ว เพราะว่าท่านไม่เจอผมแล้ว ผมมักจะออกไปแสดงหนังข้างนอกบ่อยๆ ทั้งยุ่ง ทั้งงาน เมื่อไม่อยู่บ้านท่านเองกลับคิดถึงผม ท่านโทรมาหาผมประจำ เขียนจดหมาย ครั้งของการติดต่อระหว่างผมกับท่านนั้นยังเยอะกว่าน้องชายด้วยซ้ำไป

ตอนเด็กผมแทบจะไม่มีเพื่อน ไม่ว่าผมจะอยู่ที่บ้านของคุณย่าหรือคุณยายผมก็เป็นเด็กที่โตสุด ฉะนั้นตอนเด็กนั้นทั้งคุณอาคุณน้ามักจะรักหวงผมเป็นพิเศษ คุณอาเล็กจะเป็นพิเศษ จนถึงทุกวันนี้ยังเป็นผุ้เตียมเสื้อผ้า อาหารและหนังสือให้ผม หนังสือพิมพ์ หนังสือ รูปภาพ หนังทุกอย่างที่มีรูปผมนั้นเขาจะเก็บเอาไว้ เขาจิงจังกว่าแม่ผมเยอะ เหตุที่เขารักหวงผมเป็นพิเศษ เลยไม่ชอบให้ผมไปเล่นกับเด็กๆเหล่านั้น กลัวว่าเขาดูแลผมไม่ทั่วถึงกลัวผมจะเป็นอะไรไป

น้องชายผมอายุน้อยกว่าผมหกปี ตอนเขาเด็กๆนั้นทั้งผอมทั้งเล็ก เหมือนกับเป็นลูกลิงตัวหนึ่ง ตีกันก็สุ้ผมไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาทั้งสูงทั้งใหญ่ ผมจะดูเขาต้องเงยหน้าขึ้นเลย หกปีเป็นห่างอายุที่ไม่ไกล้เลย พวกเราสองคนแต่ไหนแต่ไรก็พูดไม่เป็นภาษาเดียวกัน (คนละวัย) รวมทั้งน้องชายผมนั้นให้เกียรติผมมากๆ ผมก็ยิ่งที่จะระวังไม่อยากจะทำร้ายเขา เงินเดินครั้งแรกที่ได้รับ นอกจากซื้อแผ่นซีดีแล้ว ทั้งหมดผมยกให้กับน้องชายสุดที่รักของผม เขาดีใจมากๆ เจอใครก็จะพูดว่า “พี่ชายผมเป็นนักร้องแล้ว มีเงินใช้มากมาย” วัยเด็กของเขานั้นมักจะเล่นซ่อนหากับเด็กๆทางญาตเป็นประจำ ซ่อนหากัน เมื่อโตหน่อยก็เปลี่ยนมาเล่นฟุตบอล บาส โดยเหตุที่ผมอายุมากกว่าเยอะ ฉะนั้นสิ่งที่พวกเขาชอบเล่นนั้นมันไม่เป็นที่สนใจผมเลย

การเรียนเนอสรี่อนุบาลที่ใต้หวันนั้นไม่ใช่ว่าทุกคนต้องเรียน เรียนก็ได้ไม่เรียนก็ได้ อนุบาลนั้นผมเรียนแค่สองปีเอง อนุบาลแบ่งเป็นสามห้อง ชั้นเล็ก ชั้นกลาง ชั้นโต ผมเรียนชั้นเล็กหนึ่งปี ชั้นกลางเรียนได้สองวัน แล้วชั้นโตหนึ่งปี ยังไม่ทันได้รู้จักกับเพื่อนๆสักเท่าไรก็ต้องแยกไปเรียนอีกที่แล้ว

ประถมของทางไต้หวันนั้นเรียนหกปี โรงเรียนประถมห่างจากบ้านไกลมาก ทุกวันต้องนั่งรถประจำทางไปเรียน บางครั้งทางบ้านจะมารับผม แต่ไม่ซื้อขนมมาให้ผม แต่ว่าผมสามารถจะเลือกเอาเครื่องเขียนอะไรก็ได้ ตอนประถม โรงเรียนยังมีการจัดเดินทางไกลปีละครั้ง ที่ที่ไปบ่อยคือทะเล ตอนนั้นเหตุที่ไม่มีเพื่อน ฉะนั้นผมเลยเรียนรู้ในการสังเกตอย่างเงียบๆ ผมสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่ไปทะเลนั้นคุณครูมักจะกังวลมาก กลัวนักเรียนจะโดนคลื่นซัดไป ไม่หย่อนในการจัดระเบียบ ผมรู้สึกว่าพวกเขาเหนื่อยมากๆ จนทุกครั้งผมจะไปช่วยคุณครู ญาตผมรู้ข่าวนี้ ก็จะว่าผมชอบออกหน้าออกตา จนถึงทุกวันนี้ทั้งคุษอาคุณน้าก็ใช้เรื่องนี้มาล้อผมอยู่

เหตุที่ผมไม่มีเพื่อนก็น่าจะมาจากการที่ผมย้านโรงเรียนบ่อยๆ ตอนเด็กจนถึงมัธยมต้นก็ได้ย้านโรงเรียนอย่างไม่หยุด เมื่อย้ายบ้านหนึ่งครั้ง ก็ต้องย้ายโรงเรียนด้วย ทุกครั้งก็จะต้องพยายามในการที่จะปรับตัวกับสภาพแวดล้อม เหตุที่ผมเข้าสู่วงการบันเทิงนั้นก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่คุณแม่ผมเห็นว่าผมเป็นคนที่โดดเดี่ยว อยากจะให้ผมได้ไปขัดเกลานิสัยที่นั่น ตอนเด็กนั้นผมเองก็ไม่มีห้องส่วนตัว ได้นอนกับสองชายในเตียงเดียวกัน เสียงโกนของเขานั้นดังมาก รบกวนจนผมนอนไม่ได้ จนผมจำต้องมาอ่านหนังสือ เอาหลอดไฟเล็กๆหลอดหนึ่ง หาอะไรมาบังแสงของมัน ที่จริงไม่ต้องขนาดนั้นน้องก็คงไม่ตื่น เขานั้นนอนตายเลยแหล่ะ และผมเองก็ไม่รู้ตัวที่ทำอย่างนี้ ที่ของน้องชายนั้นกว้างมากๆ ก็มักจะมีเพื่อนๆได้เข้ามาในห้องนอนของผม คิดว่าเขากลัวจะมารบกวนเวลาของผม ตอนหลังผมรู้ว่า เพราะผมได้เป็นคนประกาสเยอะ เวลาของการกลับบ้านไม่เป็นเวลา ทั้งยังโลภในการเรียน ระเบียบของครอบครัวนั้นอาจเป็นเพราะผมทำให้วุ่นวายไป

ตอนวัยรุ่นแรกนั้นแน่นอนโดดเดี่ยว แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ดี จริงๆแล้วชีวิตของแต่ละคนนั้นก็ล้วนก็มีเป้าหมายที่จะมุ่งไป ผมรู้สึกว่าชั่วชีวิตเพียงแต่มีญาตพี่น้องได้อยู่เคียงข้างก็เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่แล้วหล่ะ

Chomnath:

คุณแม่ที่ดีของผม โรงเรียนที่ดีของผม

พฤศจิกายน 2005
ในสมาชิกครอบครัว ความสัมพันธ์ผมกับท่านนั้นแน่นแฟ้นที่สุด นี่อาจเกี่ยวกับวันเกิดผมกับคุณแม่นั้นเป็นวันเดียวกัน ช่วงวัยเด็ก ผมก็มีความนิยมชมชอบกับดนตรีเป็นอย่างยิ่ง คุณแม่ได้พูดกับคุณพ่อที่จะให้ผมไปสมัครเรียนเปียโน ยังสั่งทำเปียโนให้ผมอีกต่างหาก หลายปีให้หลัง สายตาแห่งความหวังของคุณแม่ที่รอคอยนั้น ผมได้เดินเข้าสู่เส้นทางแห่งดนตรีอย่างเป็นทางการ

ปี 1989 ช่วงซัมเมอร์ของการจบมัธยมต้น ผมได้เข้าสู่ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”กลุ่มขวัญใจวัยรุ่นชาย ได้ออกอัลบั้มแรกของตัวเอง (เซียวเหยาอิ๋ว) ทั้งยังได้ออกคอนเสิร์ตกว่ายี่สิบครั้ง ตอนนั้น ความรู้สึกของผมในตอนนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นทั้งตัว ดีใจ ทั้งภาคภูมิใจ

รอถึงเวลาของช่วงปิดเทอม ม.4 ได้เริ่มขึ้นแล้ว ใจของผมนั้นทำอย่างไรก็ไม่สามารถให้กลับสู่การเรียนได้ ผลการเรียนต่ำลง บอกให้รู้ว่า ผลการเรียนช่วงมัธยมต้นของผมนั้นอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ความกลัดกลุ้ม เบื่อหน่ายและท้อแท้มันวนเวียนอยู่รอบๆตัวผม คุณแม่เห็นสภาพดังกล่าว สุดที่จะเจ็บปวด ได้หาเพื่อนนักเรียนที่อยู่ข้างบ้านของผมอย่างเงียบๆ ขอร้องให้เขาช่วยผมในการที่จะทำการบ้านอ่านหนังสือกับผม หลังจากนี้ ทุกครั้งที่กลับจากการติวก็ย่างเข้าสี่ทุ่มแล้ว อาบน้ำอาบท่าแล้วไปที่บ้านของเพื่อนก็ประมาณห้าทุ่มแล้ว อ่านหนังสือได้ชั่วโมงเดียวก็เที่ยงคืนแล้ว เวลานั้น คุณแม่ได้รอผมที่ใต้ถุน การเดินทางไปกลับนั้นล้วนเป็นท่านเองที่ขับมอเตอร์ไซส่งผม

หลังจากที่ทำอย่างนี้ได้ช่วงหนึ่ง ผลการเรียนของผมก็ไม่เห็นว่าจะดีขึ้น ผมคิดอยากจะทอดทิ้งมัน วันหนึ่ง ผมไม่อยากจะไปทำการบ้านที่บ้านเพื่อนแล้ว ได้นอนโทรมอยู่ที่โซฟาอย่างอ่อนแรง ได้เปิดทีวีและมองไปอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นก็มีน้ำตาออกมาโดยไม่รู้เหตุ หลังจากนั้นได้คล้อยตามอารมณ์ร้องไห้ปล่อยโฮออกมา

คุณแม่รีบเดินมาโอบไหลผม ปลอบใจผม “อาเผิง เมื่อเกียรติทุกอย่างได้กลายเป็นความกดดันนั้น ลูกยิ่งต้องเข้มแข็ง แฟนเพลงคงไม่ชอบ “ไกวๆหู่” ที่ขี้ร้องไห้

จากคำพูดนี้หนุนใจที่ไม่ขาดสายของคุณแม่นั้น สุดท้ายทำให้ผมเข้าใจว่าอย่าไปยอมแพ้ให้กับความลำบากง่ายเกินไป จากนั้น ได้ผ่านความพยายามที่ไม่ท้อไม่ถอยมาสองปี ผมสอบเข้ามหาลัยไต้หวันได้อย่างสมหวัง ในตอนนั้น ผมได้เข้าสู่ บริษัทแห่งใหม่ การงาน การเรียน เรื่องเพลงก็ได้ก้าวหน้าขึ้น ขณะที่การงานผมไปได้ดีนั้น คุณแม่กลับรู้สึกไม่สบายใจ หลังที่ผมกับน้องชายคลอดนั้น คุณแม่ก็ได้ลาออกจากการสอนหนังสือซึ่งเป็นงานที่ท่านรักมาก ได้เป็นคุณแม่เต็มเวลา แต่เพราะนิสัยที่เด็ดเดี่ยวอย่างท่านนั้นไม่ยอมที่จะแบมือขอเงินกับคุณพ่อ นี่ทำให้ท่านลำบากมากๆ และแล้ว 40 ปีแล้ว คุณแม่ได้กลับไปสอนหนังสืออีกครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุของวัย ทำให้คุณแม่ทำงานอย่างลำบาก ผมในตอนนั้นก็รู้เรื่องแล้ว ห้ามคุณแม่ว่าอย่าไปทำอีกเลย ผมจะหาเงินเลี้ยงท่านเอง คุณแม่หัวเราะอย่างปลื้มใจว่า “ลูกยังเป็นเด็กอยู่ แม่เองไม่อยากให้เป็นภาระของลูก” เมื่อผมได้ฟังแล้วทำให้รู้สึกตื่นตันใจเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้น ผมได้เข้าสู่วงการหนังสำเร็จ หนังแต่ละเรื่องนั้นได้ผลักดันให้ชีวิตผมมีตำแหน่ง ตอนนี้เรื่องการเรียนกับงานการแสดงนั้นได้มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงอีกครั้ง จะแก้ไขอย่างไรดี ได้กลายเป็นปัญหาที่หนักที่สุดในเวลานั้นของผม คุณแม่ดูออกว่า ผมนั้นรักและไม่อยากจะทิ้งการแสดง ท่านได้แตะที่ไหล่ผมบอกว่า “ถ้าหากชอบจริงๆก็ไปทำเลย ชีวิตคนเราขอเพียงพยายามก็จะไม่เสียใจภายหลัง”

กระทั่ง  ในปีนั้นผมได้ลาออกจากมหาลัยไต้หวัน แต่ว่าหลังออกจากการเรียนแล้ว การงานก็ไม่ได้ราบรื่น อย่างแรกคือการจำหน่ายของอัลบั้มเพลงชุดใหม่นั้นยอดขายตกต่ำลง ต่อจากนั้น ร้านชาไข่มุกที่ผมลงทุนนั้นปิดลงเพราะผู้จัดการร้ายไม่สัตย์ซื่อ ทั้งหุ้นก็ต้องชดใช้ และร้ายแรงที่สุดคือ คุณพ่อก็ตกงานในช่วงเวลาเดียวกันอีกด้วย

จากการกลัดกลุ้มของจิตใจ ในช่วงนั้นผมได้ขับรถออกไปอย่างไร้เป้าหมาย สุดท้ายโดยคนอื่นชนเข้าที่สะพ้านหนันเจี้ย  ยิ่งกว่านั้นเดือนเดียวโดนชนตั้งสองครั้ง คุณแม่ทนไม่ไหวแล้ว ท่านได้ตำหนิผมว่าอย่าหมดอาลัยตายอยากอีกต่อไป ผมได้ร้องไห้ระบายกับคุณแม่ ขณะที่ผมได้หยุดย่างก้าวของผมเพื่อมาตรวจสอบคุณค่าของตัวเองนั้น พึ่งรู้สึกว่านอกจากการแสดงแล้ว ตัวเองไม่มีความสามารถทำอย่างอื่นได้เลย หนทางอนาคตตัวเองอยู่ที่ไหน แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลย

>> คืนนั้น คุณแม่ได้กอดผมอยู่ในอ้อมอก ได้เล่าถึงความตอนเด็กของผมให้ผมฟังอย่างอดทน “อาเผิง ตอนที่ลูกคลอดออกมานั้นเสียงลูกกับคนอื่นก็ไม่เหมือนกันแล้ว เสียงดังทั้งยังเป็นจังหวะ ตอนนั้นแม่เองก็รู้สึกว่าลูกพิเศษ” หนึ่งขวบขณะที่หยิบจัดนั้น เพียงแค่มือเดียวก็จับเปียโนเล่นของเล่นได้แล้ว ฉะนั้นฟันธงไปเลยว่าชีวิตนี้จะต้องร้องเพลง....” <<

ขณะที่ชีวิตล้มลุกครุกคานอยู่นั้น คุณแม่ได้ประคับประคองตัวผมและครอบครัว สุดท้าย ผมพิชิตน้ำตา ได้ปีนออกมาจากก้นเหวของชีวิต

ปี 1997  ผมถูกคัดเลือกให้เล่นหนัง (องค์หญิงกำมะลอ) ได้รับบทเป็นองค์ชายห้า  จากการที่หนังได้ออกอากาศบ่อยๆ ชั่วพริบตาเดียว ผมได้มีแฟนหนังกว่าหมื่นคน ช่อดอกไม้กับเสียปรบมือที่ห่างเหินไปจากผมเป็นเวลานานวันนั้นได้กลับเข้ามาสู่ชีวิตผมอีกครั้ง จนทำให้ผมรูสึกดีใจทั้งน้ำตาหลายครั้งหลายคราว วินาทีนั้น ผมรู้ว่า เป็นวาสนาที่ท่านได้นำมาให้กับผมอย่างลับๆ

ขณะที่หวนคิดถึงเวลาที่ลำบากที่สุดนั้น สมาชิกครอบครัวผมทั้งสี่คนนั้นได้พักอยู่กันคนละทิศคนละทาง ก็เพื่อสะดวกกับความเป็นอยู่ของชีวิต สิ่งนี้ก็นำบรรยากาศความแตกแยกของครอบครัวมาโดยไม่รู้ตัว ตอนนั้น ในใจก็มีความหวังใจอยู่ว่า จะซื้อบ้านที่สวยงามให้กับคุณพ่อคุณแม่สักหลัง หลังจากนั้นสามปีความตั้งใจนี้ก็ได้สำเร็จ ผมได้ซื้อบ้านให้คุณพ่อคุณแม่ จำได้ว่าวินาทีที่ผมเอากุญแจบ้านยื่นให้กับท่าน คุณพ่อคุณแม่นั้นได้อ้าปากจนพูดไม่ออก จากความพยายามของผมนั้น ท่านทั้งสองก็ได้มีความรักความอบอุ่นอย่างเมื่อก่อนอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ ผมได้สอนคุณแม่หัดใช้เอ็ม(MSN) ในการคุยกัน ถ้าเป็นนี้ แม้ตัวผมเองจะอยู่ข้างนอกก็สามารถเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคุณแม่ผ่านทางเอ็ม (M) วันแม่ของปีนี้ ผมได้ส่งการ์ดวันแม่ที่ผมทำเองให้แด่ท่าน ข้างในรูปที่ผมวาดนั้น คุณแม่ได้นั่นอยู่บนดอกไม้ดั่งทะเล มีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความสุขมองไปข้างหน้า ในการ์ดนั้นผมได้เขียนข้อความว่า คุณแม่ที่ดีเสมือนโรงเรียนที่ดีแห่งหนึ่ง ขอบพระคุณคุณแม่ที่สอนผมให้รู้จักชีวิตที่มีความหมายและชีวิตที่ต้องอดทนต่อสู้

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version