แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Chomnath

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 44
21


ตั๋วเข้าชมงานแสดงคอนเสิร์ท ได้พุ่งถึง 1200 หยวน
ตามที่ทราบมาบัตรผ่านประตูงานแสดงคอนเสิร์ตจาก 20 ถึง 880 หยวนจีน
ถึงแม้จะมีตั๋วผีอยู่บ้างแต่คนก็ยังเต็มใจที่จะซื้อ

เพื่อให้การแสดงเป็นไปอย่างราบรื่นและคล่องตัว
เพราะเวลาเต้นเหงื่อจะไหลออกมาปิดหน้าปิดตา
ทำให้ไปกระทบกับแว่นตา-คอนแทคเลนส์ โหย่วเผิงถึงตัดสินใจทำเลซิกสายตา

ทุกๆอย่างต้องเตรียมความพร้อม ทั้งตัวเองและทีมงาน
การฟิตร่างกาย ทุกเช้าลุกขึ้นจากเตียงทำการเพาะกาย
ฝึกซ้อมท่าเต้น จดจำเนื้อเพลงที่จะร้อง
ใช้ความเพียรพยายาม "ทำให้ดีและสวยงามที่สุด"

การเตรียมพร้อมชุดเสื้อผ้าแสดง 500 ชิ้น
ชุดแต่งกายซึ่งมีอยู่ล้วนเป็นช่างออกแบบผู้มีชื่อเสียงชาวฮ่องกงเป็นผู้ตัดเย็บ
โหย่วเผิงบอกว่าชุดแต่ละชุดใช้หยาดเหงื่อแรงใจ เพื่องานนี้โดยเฉพาะ
อยากให้เป็นสิ่งจำจดของแฟนๆ

ชุดแต่ละชุดมันช่างเซ็กซี่จัง...
เราชอบชุดที่โหย่วเผิงใส่ร้องเพลงประกอบซีรีย์เรื่องต่างๆค่ะ
ดูเป็นคุณชาย สง่างาม และดูอบอุ่นในตัวค่ะ

22


เพื่อนแสนดีสองท่านของซูโหย่วเผิง อู๋ฉีหลงและเฉินจื้อเผิงก็เจียดเวลาของตัวเอง
เพื่อมาเป็นแขกรับเชิญให้โหย่วเผิงโดยเฉพาะ ทำให้แฟนๆได้ร่วมรำลึกถึงเสี่ยวหู้ตุ้ยอีกครั้ง
พวกเขาทั้ง 3 ได้ร่วมร้องเพลง ซิงกวนอีจิ้วช่างลั่น แปลว่า ดวงดาวยังระยิบระยับเหมือนเดิม

บนจอ VCR ได้ฉายทั้ง 3 คนเมื่อ 10 ปีก่อนที่ต่อสู้บุกตะลุยไปทั่วเจียงหนาน
เจียงเป่า ทุกเวทีการแสดงเป็นภาพแห่งความหลังที่ประทับใจของเหล่าบรรดาแฟนๆ
ทำให้บางคนถึงกับร้องไห้ออกมา

งานคอนเสริตในครั้งนี้ นับว่าเป็นเวทีใหญ่ครั้งแรกในชีวิต
มีแฟนๆแต่ละประเทศมาร่วมให้กำลังใจค่ะ อาทิเช่น จากอเมริกา
แคนนา, สิงคโปร์, มาเลเซีย, อังกฤษ, เยอรมัน, ออสเตรเลีย
ญี่ปุ่น,เกาหลี, ไอร์แลนด์ และแอฟริกา เป็นต้น

ยังมีแฟนเพลงบางกลุ่มที่นั่งเที่ยวบินลำพิเศษ เพื่อบินไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้มาร่วมงาน
ของเสริตโหย่วเผิงโดยเฉพาะค่ะ

แฟนเพลงซึ่งมีอายุมากที่สุด และติดตามโหย่วเผิงมานานซึ่งมาจากสิงคโปร์
คุณยายท่านนี้อายุ 70 ปี ค่ะ แล้วคุณยายยังได้มอบสร้อยคอทองคำให้แก่โหย่วเผิงด้วย

สิ่งที่เห็นแล้วประทับใจอีกอย่างคือแฟนๆที่ไต้หวันค่ะ
มากันเป็นกลุ่มใหญ่ เพราะว่าพวกเขาเหล่านี้ได้เติบโตมากับโหย่วเผิง
ตั้งแต่เข้าสู่วงการและได้สนับสนุนโหย่วเผิงจนกระทั่งถึงปัจจุบัน


23
2002 一场真正意义上的演唱会

<a href="http://www.tudou.com/v/xWPO6J0MVVk/" target="_blank" class="new_win">http://www.tudou.com/v/xWPO6J0MVVk/</a>

วันที่ 22 มีนาคม ปี 2002 คอนเสริตแห่งชีวประวัติ เป็นที่ควรระลึกถึงและสมควรจดจำ
ความหวัง ความฝันหวังว่าสักวันตัวเองจะได้มีโอกาสในเวทีใหญ่ๆกับเขาซักครั้งในชีวิตการเป็นนักร้อง
ตั้งแต่ปี 1997 เรื่อยมาคนใหม่ๆ ซึ่งยังไม่รู้จักโหย่วเผิงมาก่อนก็จะคิดว่า โหย่วเผิงจากดาราไปเป็นนักร้อง
แต่ความจริงแล้วโหย่วเผิงเกิดจากนักร้องไปเป็นดารา ....แต่คนส่วนใหญ่จะจดจำคิดว่า เป็นดารามากกว่า

อดไม่ได้ค่ะที่จะเขียนถึงซะหน่อย โหย่วเผิงรักชอบการร้องเพลง
การแสดงสดๆบทเวที ท่าเต้นตั้งแต่เพลงแรก ทุกคนถึงกับตกตะลึง

โหย่วเผิงได้นำเอาเพลงต่างๆที่ตัวเองชอบมาร้อง ตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน
เป็นคอนเสริตที่วิเศษมาก เขาทุ่มเทอย่างมากค่ะ เตรียมตัวเต็มร้อยสำหรับงานนี้

กว่าจะได้คอนเสริตเต็มรูปแบบ แบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆค่ะ
โหย่วเผิงต้องฝึกฝนร่างกาย เข้าโรงยิมเพาะกายให้แข็งแรง สมบูรณ์
การเพาะกายมันยุ่งยากมากคือคุณต้องเข้มงวดกับการกิน ห้ามทานหวาน ทานอาหารไม่มีรส
กำจัดไขมันส่วนเกิน ทั้งนี้เพื่อให้แฟนๆ ได้เห็นรูปร่างที่สมบูรณ์

พูดอีกอย่างคือเป้าหมายคิดอยากให้แฟนเพลงเห็นรูปร่างที่เซ็กซี่ในตัวเขา
พยายามจะสื่อให้แฟนๆได้รับรู้ว่า เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่ไกวๆหู่ในอดีต

ที่เห็นอีกอย่างคือร้องเพลงประกอบการแสดง(มีการแสดงละครพูด)
เห็นฝีมือการแสดงออกที่มีสีสัน การแสดงคอนเสริตในครั้งนี้
ซูโหย่วเผิงทำให้เรามองเห็นว่าเขาทั้งฉลาด และน่ารัก ในการแสดงแต่ละฉากการแสดง

การสวมใส่กางเกงต่ำกว่าเอวและเสื้อที่ใส่เห็นความเซ็กซี่
อยู่บนเวทีโชว์ลีลาการเต้นได้พริ้วสวยงามมากค่ะ ...ที่บอกว่า ช้าไปหนึ่งจังหวะ คงไม่ใช่แล้ว
หรือท่าเต้นเร่าร้อนกับเพลงออกสไตล์ร๊อคก็นับว่าไม่เลวค่ะ
ทำให้แฟนๆที่อยู่ข้างล่างอดใจไม่ไหวลุกขึ้นมาโยกซ้ายโยกขวาไปตามโหย่วเผิง

ทำให้ผู้ชมเห็นแล้วประทับใจแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่
โหย่วเผิง ไกวๆหู่ ไอดอล ขวัญใจ ทำได้แล้ว

24
ราตรีชุนหวั่น--เทศกาลวัน ตรุษจีน ปี 2010    เสี่ยวหู่ตุ้ยรวมตัวอีกครั้ง
ขณะจังหวะเพลง (ไอ้)—รัก   ค่อยๆดังขึ้น   
ทั้ง 3 คนของล้วนส่วมใส่เสื้อขาวปลิวสะบัดจากศูนย์กลางเวทีเต้นค่อยๆลอยขึ้น
เต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหมือนเดิมพวกเขาได้กระโดดขึ้นท่าก้าวเต้นรำอันคุ้นเคยของแฟนๆ
ข้างๆเวที หรือที่นั่งชมอยู่ข้างล่างเวทีนับแล้วก็ล้วนแต่วัย 70-80
ทำให้วันเป็นเป็นการรำลึก หวนคืนวงบอยแบนด์ ต้นฉบับของวัยรุ่นยุคราว 70-80

ถึงแม้ว่าโหย่วเผิงจะสิ้นสุด จากนักร้องวงบอยแบนด์ที่โด่งดัง
และค่อยๆจะเริ่มเข้าสู่หนุ่มวัยฉกรรจ์ แล้วก็ตาม
แต่พวกเราซึ่งรักซูโหย่วเผิง ถึงแม้จะผ่านพ้นวัยกรี๊ด วัยจ๊าบ
แต่ยังคงเหมือนเดิมในจิตใจของพวกเรา
ที่พวกเราจะต้องก้าวต่อไป สนใจทุกสิ่งทุกอย่าง ตามผลงานของเขาอย่างเงียบๆ และมั่นคง

โดยส่วนใหญ่แฟนๆโหย่วเผิงจะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ก็มีผู้ชายหลายคนที่ชื่นชอบโหย่วเผิง
และรักโหย่วเผิง แสดงกิริยาท่าทางว่าชอบ คลั่งไคล้ ได้มากกว่าผู้หญิงก็มีนะ เราเคยถามเพื่อนที่เป็นผู้ชาย
ว่าทำไมถึงชอบโหย่วเผิงหละ เขาตอบอย่างภูมิใจว่า

เขาชอบโหย่วเผิงเพราะว่า
1. เขาเป็นคนฉลาด แถมเป็นคนมีพรสวรรค์ด้วย
2. เขาเป็นคนมีใจฝักใฝ่ก้าวหน้าอยู่เสมอ
3. เขาใช้จุดเด่นในการเรียนมาเพื่อประจักษ์พยานทั้งเล่นทั้งเรียนซึ่งเป็นคำขวัญในตอนนั้น
4. เขาอยู่บนเส้นทางการแสดงสามารถเปลี่ยนแปลงบทบาทใหม่ๆได้อย่างยอดเยี่ยม และฝีมือก็มีการพัฒนาด้วย
5. ยิ่งกว่านั้นคือ โหย่วเผิงมักทำอะไรให้พวกเราซึ่งชอบเขา มีเรื่องเซอร์ไพรส์อยู่บ่อยๆ
6. เขาปฏิบัติกับคนอื่นแบบมิตรภาพไมตรี    มีความรัก    กิจกรรมการกุศลล้วนสามารมองเห็นเขามีจิตใจ
กระตือรืนร้น    ใช้จิตใจที่มุ่งมั่นเพียรตั้งใจขยายไปกลุ่มฝูงคน
7. เขามีใบหน้าสง่างามในวัยหนุ่ม   มีรอยยิ้มอบอุ่นนุ่มนวลแสงสว่างแพรวพราว
 ในวัยรุ่นท่าทางสง่าถึงบัดนี้เป็นชายแมนๆดูเด่นสง่า
9.  เขามีท่าทางแบบเฉพาะตัวทำให้ผู้คนหลงไหลทั้งหญิงและชาย
แม้กระทั่งบุคคลที่โตกว่าโหย่วผิงก็ล้วนถูกแรงเสน่ห์ของเขาดึงดูดไว้


ผู้ชายคนนี้เขาเป็นนักประพันธ์ด้านวิจารณ์หนังสือค่ะ
เขียนบทความต่างๆของโหย่วเผิงได้ดีทีเดียว   
ตอนที่เราอ่านบทความของเขาเขียนที่บล็อคส่วนตัว
เราเข้าใจว่าเป็นผู้หญิงนะ แต่พอได้คุยกัน เขาเป็นผู้ชายค่ะ


จะว่าไปแล้วคนที่รักโหย่วเผิงชื่นชมโหย่วเผิง หรือแฟๆโหย่วเผิงทุกๆคน
ไม่เพียงแต่ชอบโหย่วเผิงที่โหย่วเผิงหล่อ เท่ห์ ร้องเพลงก็เพราะ แสดงก็ดี
แต่เป็นเพราะว่าโหย่วเผิง เป็นคนดี จิตใจดี คิดดี ทำดี และวางตัวดี มากกว่ารูปร่างหน้าตา
เกี่ยวกับ โหย่วเผิง    เกี่ยวกับพวกเรารักชอบเรื่องทุกสิ่งของเขา
ไม่ใช่จะบรรยายได้หมด อยู่ในวันเวลาอดีต หรืออนาคต เขาจะอยู่ในใจพวกเราตลอดเวลา

ดังนั้นโหย่วเผิงถึงอยู่ในวงการบรรเทิงได้ 23 ปีและจะอยู่ตลอดไปเรื่อยๆ
 

25
มีแฟนๆชื่นชอบโหย่วเผิงหนึ่งในกลุ่ม QQ    เคยสำรวจตั้งคำถามขึ้นมาว่า
คุณชอบซูโหย่วเผิง มากี่ปีแล้ว    มีคนตอบว่า   20 ปี


โอ้วพระเจ้าช่วยกล้วยทอด 20 ปี ตอนนี้น้องป๊อปเราก็อยู่ราวๆ 10-12 ปี
ถูกต้องเขาบอกว่าเขาชอบโหย่วเผิงตั้งแต่ปี 90 เลยทีเดียว
ได้สัมผัสทั้ง 3 คน มองดูเหมือนพี่น้อง ช่างดูสบายตา สดใส บริสุทธิ์
โดยเฉพาะความฉลาดของไกวๆหู่ได้ดึงดูดใจ


จะว่าไปแล้วซูโหย่วเผิงก็จัดว่าเป็นวัยรุ่นที่โด่งดังมากๆ นับเป็นดารา กลุ่ม สี่จตุเทพไต้หวัน เลยทีเดียว
โหย่วเผิงได้ออกบินเดี่ยว โดยไม่มีพี่ชายทั้ง 2 เพลงรักในชีวิตของเขาก็คือเพลง (หย่งชี่)
เป็นเพลงที่บ่งบอกช่วงวัยหนุ่มที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง
(หย่งชี่) ก็คือเพลงแรกของซูโหย่วเผิง หลังจากออกบินเป็นครั้งแรกในชีวิต

สำหรับอัลบั้มชุดที่ 2 เพลง (เติ่งเต้าน่าอี้เทียน)
บนหน้าปกด้านบนมีรูปโหย่วเผิงสวมใส่ชุดสูทสีน้ำเงิน รอยยิ้มเหมือนอดีตสดใสอบอุ่นมาก

ในงานชมรมราตรีต้อนรับปีใหม่ 2011 เขาได้ร้องเพลง(เติ่งเต้าน่าอี้เทียน)
ครั้งนี้เป็นจังหวะเร็วออกกลิ่นร๊อคเกอร์เล็กน้อย ดูแปลกตาดี
ซึ่งเพลงพวกนี้ล้วนเป็นเพลงซึ่งน่าฟังไม่เบื่อ

ไม่ว่าโหย่วเผิงจะนำเอาเพลงเก่าๆ มารีมิกใหม่ ดัดแปลงให้เร็วขึ้น
เป็นจังหวะให้กระโดดโลดเต้น มองเห็นว่าโหย่วเผิงชอบการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ

26
รายงาน ปรัชญาชีวิตที่สู้ไม่ถอย

นี่เป็นเรื่องราวที่ให้กำลังใจมากๆ (โหย่วเผิงก็เคยเอาเรื่องราวนี้มาแบ่งปันที่ Blog ส่วนตัว)

ปี 1980 เดวิดเรียนหนังสือมหาลัยในเมืองหนึ่งของอเมริกา ค่าใช้จ่ายในมหาลัยนั้น หลักๆคือแต่ละเดือนพ่อแม่จะส่งเงินให้เขา

ไม่รู้เพราะอะไร สองเดือนแล้วที่ทางบ้านไม่ได้ส่งเงินมา กระเป๋าตังค์ของเดวิดนั้นเหลือเงินเพียงหนึ่งเหรียญ เดวิดที่ท้องที่ร้องจ๊อกๆก็รีบเดินไปที่ตู้โทรศัพท์ แล้วรีบหยิบเหรียญที่มีอยู่ซึ่งเป็นเหรียญสุดท้ายออกมาแล้วหยอดเข้าไปในตู้ “สวัสดี” โทรติดแล้ว เป็นเสียงของคุณแม่ที่อยู่ในแดนไกลเป็นผู้รับโทรศัพท์

น้ำเสียงของเดวิดที่ร้องไห้และหิวกล่าวว่า “คุณแม่ ผมไม่มีเงินแล้ว ตอนนี้หิวมากๆเลย”

คุณแม่พูดว่า “ ลูกรักจ๋า แม่รู้”

รู้แล้วทำไมยังไม่รีบส่งเงินมาให้ล่ะ เดวิดจะพูดประโยคนี้ออกไปให้คุณแม่อย่างโมโห แต่ก็รุ้สึกถึงน้ำเสียงของคุณแม่ที่ซึมเศร้าเปลี่ยนไป เดวิดรู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว เขารีบถามว่า “คุณแม่ ในบ้านเกิดเรื่องไรขึ้น”

คุณแม่พูด “ ใช่ ลูกเอ๋ย คุณพ่อป่วยหนักมาห้าเดือนแล้ว ไม่เพียงแต่เงินที่สะสมมาใช้หมด และงานที่เคยทำก็ไม่มีแล้ว เงินที่มาจูนเจือครอบครัวก็ตัดขาดไป ด้วยเหตุนี้ สองเดือนที่ผ่านมาแม่ไม่มีเงินที่จะส่งให้ลูกใช้ เดิมที่แม่ไม่อยากจะเล่าให้ลูกฟัง แต่ว่าลูกก็โตแล้ว อาจต้องหาเงินเรียนและเลี้ยงดูตัวเอง”

ผู้เป็นแม่นั้นพูดไปก็ร้องไห้ไป

สายโทรศัพทัยังไม่ขาด น้ำตาของเดวิดก็ไหลลงมาอย่างสายน้ำ ในใจคิดว่า คงจะต้องพักการเรียนแล้วกลับบ้าน

เดวิดพูดกับแม่ว่า “คุณแม่ ท่านอย่าเสียใจเลย ผมจะรีบไปหางานทำ จะเลี้ยงดูพวกท่านแน่นอน”

เรื่องราวที่เหี้ยมโหดนั้นทำให้เดวิดล้มทั้งยืน ยังมีอีกเดือนเศษๆ ก็จะจบเทอมแล้ว หากว่ามีเงินสักสิบเหรียญหรือแปดเหรียญ เดวิดก็สามารถจะอยู่รอดถึงช่วงซัมเมอร์ได้ แล้วใช้ช่วงเวลาซัมเมอร์สองเดือนในการหางานทำ แต่ว่าตอนนี้แม้แต่สตางค์เดียวก็ไม่มี ต้องลาออกจากการเรียนแล้ว เดวิดพูดกับผู้เป็นแม่ว่า “บ้าย บาย” ก่อนจะวางโทรศัพท์นั้นจิตใจแสนจะเจ็บปวด เพราะผลการเรียนของเขานั้นดีมาก และยิ่งกว่านั้นเขาชอบความเป็นอยู่ในมหาลัยนั้นมากๆ หลังจากที่วางสายแล้ว มีเสียงดังจากตู้โทรศัพท์ เดวิดมองไปแล้วทั้งตกใจและดีใจที่เห็นเหรียญร่วงลงมาจากตู้ เขาดีใจมากๆ ยื่นมือไปควักเหรียญเหล่านั้น



จะทำอย่างไรกับเหรียญเหล่านี้ดีล่ะ? ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยคำถาม เก็บไว้ใช้เอง ก็ทำได้ เพราะไม่มีใครเห็นเลย บวกกับตอนนี้ร้อนเงินมากๆด้วย แต่เมื่อคิดไปคิดมา เดวิดคิดว่าไม่ควรจะเก็บเอามาเป็นของตัวเอง เมื่อชั่วเวลาแห่งการขัดแย้งในใจผ่านไป เขาได้เอาเหรียญหนึ่งหยอดลงในตู้ ได้โทรไปหาพนักงานขององค์การโทรศัพท์

เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของเดวิดแล้ว ทางพนักงานบอกว่า “เงินนั้นเป็นขององค์การ ฉะนั้นขอให้หยอดเหรียญลงไปในตู้”

หลังจากที่สิ้นเสียงนี้ เดวิดก็ได้เอาเหรียญต่างๆหยอดเข้าไปในตู้ เมื่อเหรียญตกลงไปทีละเหรียญ ตู้โทรศัพท์ก็มีเหรียญตกลงมาทีละเหรียญเหมือนกัน

แล้วเดวิดก็ได้โทรศัพท์ไปหาพนักงานองค์การอีกครั้ง ทางพนักงานบอกว่า “ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เดี๋ยวฉันจะรายงานให้หัวหน้าก็แล้วกัน” เดวิดที่โดดเดี่ยวเดียวดายก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ข้างๆตู้ และทางพนักงานก็ได้ยินเสียงของเขาที่ทุกข์ใจ เธอรู้สึกว่าชายผู้ดีผู้นี้ต้องการการช่วยเหลืออยู่ และไม่กี่วินาที ทางพนักงานก็ได้โทรเข้าตู้โทรศัพท์ที่มีปัญหานั้น เธอบอกกับเดวิดว่า “ฉันได้บอกให้กับทางหัวหน้าแล้ว หัวหน้าบอกว่าจะมอบเงินเหล่านั้นให้คุณ เพราะตอนนี้พนักงานบริษัทเรานั้นขาดคน แค่เงินไม่กี่เหรียญก็คงจะไม่ลำบากที่จะไปเอามา” อ้า เดวิดดีใจกระโดดเต้น ตอนนี้ เงินเหล่านี้ก็เป็นของตัวเองโดยไม่ผิดแล้ว แล้วเขาก็นั่งลง บันเหรียญที่เหลือยังตั้งใจ ทั้งหมดเป็น๙เหรียญห้าสิบเซน เงินเหล่านี้สามารถยังชีพเดวิดได้จนถึงเวลาทำงานครบเดือนเลย ขณะที่เดินไปที่มหาลัย เขายิ้มตลอดทาง เขาตัดสินใจเอาเงินส่วนหนึ่งไปซื้ออาหาร แล้วไปหางานรับจ๊อบทำ

พริบตาเดียวถึงซัมเมอร์แล้ว เดวิดได้งานเช็กสต๊อกของบริษัทหนึ่ง วันนั้น เดวิดได้เจอเจ้าของบริษัท และได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตู้โทรศัทพ์และการหางานทำของเขาให้กับเจ้าของร้านฟัง ทางเจ้าของบริษัทบอกเขาว่าสามารถมาทำงานได้ทุกเวลา ไม่เพียงแค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้น เวลาที่ว่างจากากรเรียนหรือการเรียนไม่หนักก็สามารถมาทำได้ เพราะเจ้าของบริษัทรู้ว่าเดวิดเป็นคนที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ บวกกับเป็นคนที่ระมัดระวัง เหมาะกับการจะเป็นผู้เช็กสต๊อก

เดวิดทำงานอย่างขยันขันแข็ง เจ้าของบริษัทชอบเขามาก ทั้งยังเข้าใจสภาพของเขา ทางเจ้าของบริษัทได้ให้ค่าจ้างสองเท่ากับเขา หลังจากที่เขาได้เงินเดือนแล้ว เดวิดเอาเงินเหล่านั้นรีบส่งไปให้คุณแม่ เพราะตอนนี้เขาได้ข่าวว่าเขาได้ทุนการศึกษาแล้ว หนึ่งเดือนต่อมา เงินที่ส่งไปนั้นกลับส่งกลับมา ในจดหมายแม่เขียนว่า “โรคของคุณพ่อนั้นดีขึ้นมากแล้ว แม่เองก็หางานใหม่ได้แล้ว สามารถที่จะอยู่ได้ ลูกต้องตั้งใจเรียน อย่าอดๆอยากๆล่ะ” หลังจากที่อ่านจดหมายแล้ว น้ำตาเดวิดก็ไหลลงมา เขารู้ดีว่า แม้พ่อแม่นั้นจะอดจะหิว ก็ไม่อยากมาขอเงินจากลูกไปใช้จ่าย ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ เขาได้เพียงน้ำตาคลอเป้า เจ็บปวดในจิตใจ

หนึ่งปีผ่านไป เดวิดได้จบการศึกษาที่นั่น หลังจากที่จบแล้ว เขาได้ไปเปิดบริษัทใหม่แห่งหนึ่ง ปีแรก เดวิดสามารถทำกำไรกว่าแสนเหรียญ แต่เขาก็ไม่เคยลืมที่เคยใช้เงินจากตู้โทรศัพท์ แล้วเขาได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้กับองค์การโทรศัพท์ “เรื่องที่ผมไม่เคยลืมเลยนั้น คือทางบริษัทได้ให้เงินช่วยเหลือที่ไม่ได้ตั้งใจให้กับผม “๙เหรียญห้าสิบเซน” พระคุณอันนี้นั้น ทำให้ผมไม่ต้องลาออกจากโรงเรียน เดินสู่เส้นทางที่ลำบาก ขณะเดียวกันก็ได้สร้างแรงบันดาลใจกับผม สร้างผมให้รู้จักสู้ชีวิต ตอนนี้ผมมีเงินแล้ว ผมอยากจะตอบแทนให้ทางองค์การด้วยเงินหนึ่งหมื่นเหรียญ เพื่อเป็นสิ่งเล็กน้อยจากใจผม” และทางผู้จัดการองค์การก็ได้ตอบจดหมายรับน้ำใจนี้ไว้ว่า “ยินดีกับคุณที่เรียนจบการศึกษา การงานรุ่งเรือง พวกเราคิดว่า เงินเหล่านั้นเราใช้ได้คุ้มค่ามากๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเงิน ๙ เหรียญห้าสิบเซนมาแลกกับเงินหมื่นเหรียญ แต่หมายความว่าเงินนั้นสามารถทำให้คนคนหนึ่งเข้าใจถึงสัจธรรมของชีวิต ในช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดนั้น จะไม่ลืมว่าความหวังกำลังรอเราอยู่ข้างหน้า อย่างที่สองคืออย่าลืมที่จะรักษ์ความดีงามนี้ไว้”

ยี่สิบปีผ่านไป เดวิดเป็นอย่างไรบ้าง ในเมืองแห่งหนึ่งในอเมริกา มีตึกทีสวยงามตึกหนึ่ง ตึกนั้นรูปทรงสร้างเหมือนตู้โทรศัพท์มาก นั่นก็คือสำนักงานของบริษัทADDC และผู้ก่อตั้งบริษัทนี้นั้น ตอนนี้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ก็คือเดวิดเอง และเขาก็ยังเป็นผู้สนับสนุนเงินให้กับมูลนิธิฟีลิปที่มากที่สุดคนหนึ่งด้วย



27

29
   ปี 1995 เดือน 8 โหย่วเผิงออกหนังสือลักษณะประวัติส่วนตัวเล่มหนึ่ง ชื่อว่า (วันเวลาของผมที่เจี้ยนจง)  บันทึกในสมัยที่เขาอยู่มัธยม ประสบการณ์ ความรู้สึกตอนที่สอบติดต่อกัน  ปลายปากกาที่ละเอียดและเกลี้ยงเกลา ได้นำปัญหาและความยากลำบากในการเรียน เขียนออกมาอย่างมีชีวิตชีวา ให้พวกเรารู้ว่าแท้จริงแล้วบางครั้งเบื้องหลังศิลปินไม่ได้สดใสสวยงามอย่างที่เราคิด

   ซูโหย่วเผิง อายุสิบห้าปี ก็เป็นนักร้องวงเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว และเขาก็ได้โด่งดังในวงการเพลง ไกวไกวหู่ อย่างฉลาด แต่ก็หลีกเลี่ยงความกดดันในการสอบเข้าไม่ได้ การสอบเข้าเจี้ยนจงเป็นการพลิกผันเปลี่ยนในชีวิตของเรา มัธยมปลายเทอมสองเขาละเวทีการแสดงอย่างสิ้นเชิง กลับสู่การเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจและได้สอบเข้าคณะช่างกลดั่งใจปรารถนา ถึงแม้ผ่านไปแล้วหลายปีแต่ย้อนกลับไปคิด ในวันเวลาเหล่านี้ ส่งเสริมการเติบโตในภายหลัง  ซูโหย่วเผิงพูดเช่นนี้

   ไกวไกวหู่  ได้เขียนหนังสือด้วย แต่นั่นก็เป็นเรื่องเก่าแล้ว ที่ไต้หวันมีการพิมพ์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้งนี้เป็นสำนักพิมพ์ที่จีน ก่อนหน้านี้โหย่วเผิงมาแจกลายเซ็นต์ในหนังสือและขบวนมักระที่ยาวนั้นเป็นที่สนุกสนานก็จะเป็นชาวบ้านมากกว่าแฟนคลับ

   เมื่อได้เปิดอ่านหนังสือของโหย่วเผิง นอกจากจะเห็นรูปเกือบร้อยใบแล้ว ยังมีเนื้อหาส่วนมากจะพูดถึงชีวิตวัยหนุ่มของเขา ความเครียดก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย และความซ้ำซากของการเรียน เริ่มสนใจเพศตรงข้าม และความสุขในช่วงมหาวิทยาลัย.......ได้ข่าวว่า ที่ไต้หวันนั้นมีนักเรียนมากมายได้ซื้อหนังสือเล่มนี้ไปอ่าน เพราะข้างในมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขจัดความเครียดในเวลาเรียนได้อย่างไรด้วย และรวมถึงนักเรียนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องเตรียมตัวอย่างไร

   จากนักร้องนักเรียนคนหนึ่ง กลายเป็นนักแสดงที่ทุกแห่งเป็นบ้านของตน สิ่งที่โหย่วเผิงจะเขียนนั้นน่าจะมีมากมาย เขาได้มีประสบการณ์ร้อนหนาวในช่วงวัยรุ่นมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านั้นล้วนแต่กลายเป็นความทรงจำในชีวิต เขาอยากจะบอกสิ่งเหล่านี้กับนักเรียน นักศึกษาที่ตกอยู่ในสภาพการณ์อย่างเขา ขอเพียงยืนหยัด หาญกล้า ซื่อสัตย์ ขยัน รับผิดชอบ ฉวยทุกโอกาส ไม่มีอะไรที่ผ่านไม่ได้

   ในช่วงที่แจกลายเซ็นต์กับหนังสือเล่มนี้นั้น ทางผู้ปกครองที่มาเข้าแถวรับลายเซ็นต์ยังให้สัมภาษณ์ว่า หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่เป็นของเด็ก ๆ แต่ยังสอนให้ผู้ปกครองแนะนำลูก ๆ เรียนอย่างไรด้วย “จะร่วมเดินทางแห่งวัยเรียน วัยสอบของลูกด้วยกันอย่างไร โหย่วเผิงนั้นได้เขียนสิ่งเหล่านี้จากประสบการณ์จริงของเขา คุ้มค่าแก่การที่ผู้ปกครองอย่างเราซื้อไปอ่าน หนังสือเล่มนี้มีคุณค่ามากกว่าหนังสือเขียนของดาราท่านอื่น.........”

   ไถต้า หรือ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน

   มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (อักษรจีนตัวย่อ : 国六薹湾大学 อ่านว่า    กั๋วลี่ไถวานต้าเสวีย  นิยมเรียกย่อว่า ไถต้า ; อังกฤษ : National Taiwan University – NTU) เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในไต้หวัน และจัดว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในไต้หวันด้วย  ตั้งอยู่ในนครไทเป

30
ซูโหย่วเผิง “กบฎ”เสี่ยวไกว 
http://www.baansuyoupeng.com/webboard/index.php?topic=390.0



ซูโหย่วเผิง “กบฎ”เสี่ยวไกว เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นขวัญใจที่ดี ตั้งใจว่าจะเกษียณตอนอายุสี่สิบ

(หวนจู)ปีที่สิบ เข้าสู่วงการยี่สิบปี สำหรับอายุเกินสามสิบอย่างซูโหย่วเผิง ปีนี้สั่งจอวันต่างๆล่วงหน้ามากมาย ถ้าจะพูดเรื่องการมีชื่อเสียงนั้นจะถือว่าเร็ว สิบห้าปีก็ดังทั่วเอเซียก็นับว่าเป็นชีวิตที่เร็ว เขาที่พึ่งอัดเพลงโอลิมปิกเสร็จไปหมาดๆ เห็นได้ชัดว่ายังครุ่นคิดอยู่ในบรรยากาศของทำนองเพลงอยู่ เสียงดนตรียังให้เขาเร่าร้อนเดือดพล่านเหมือนเดิม ตื่นเต้นจะหาที่เปรียบไม่ได้ ภาษาทั้งรวดเร็วจนขีดสุด ได้ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาอย่างนับไม่ถ้วน เขาคุ้นเคยและชินกับชีวิตที่ “แบบลูกศรธนู” และยังบอกถึงอารมณ์ที่หนักแน่นของตัวเอง ได้หวนคิดถึงสมัยเด็กที่ได้แต่ใช้อารมณ์อย่างเด็ก เขาก็ยังสามารถหัวเราะเบิกบานได้ ไม่ว่าคุณจะยอมเชื่อหรือไม่เชื่อ ในตอนนั้นได้แอบย้อมผมของตัวเองเป็นสี่เขียวอย่างเสี่ยวไกว “ผู้กบฏ” ได้ค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นที่ไว้คราวอย่างขวัญใจที่มีคุณสมบัติ


พูดถึงสภาพขณะเข้าวงการนั้น  โหย่วเผิงนั้นอดที่จะขำไม่ได้ที่ขำออกมาสองสามครั้ง หลังจากนั้นค่อยพูดต่อ “ตอนเข้าวงการนั้นก็สนุก เพราะก่อนหน้านั้นผมได้แต่รู้จักเพียงเรียนหนังสือเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจบ ม.ต้น แล้วได้เป็นดาราเลย”

   หลายคนอาจไม่รู้จัก คุณพ่อของโหย่วเผิงนั้นหล่อมาก หล่อจนขณะที่เดินบนถนนยังมีแมวมองมาขุดค้นเขา แต่ความคิดพ่อของโหย่วเผิงนั้นแบบหัวโบราณ คิดว่าผู้ชายไม่ควรเอาโฉมหน้ามาทำมาหากิน แน่นอนก็ไม่อยากให้ลูกชายของตัวเองไปเกี่ยวข้องกับงานอาชีพอย่างนี้ ฉะนั้น ตอนนั้นที่จริงซูโหย่วเผิงกับคุณแม่นั้นได้ปิดบังเรื่องนี้กับพ่อ เข้าร่วม “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ตอนคัดเลือก

   “ผมในตอนนั้นการเรียนก็ไม่เลวนะ ความคิดแบบหัวโบราณอย่างพ่อแม่ก็อยากให้ลูกได้ดี คุณจะต้องตั้งใจเรียน ตอนหลังเป็นคุณแม่ที่เห็นด้วย ท่านก็รู้สึกว่าลูกก็โตแล้ว ก็น่าจะไปเพิ่มเติมความรู้ ฝึกฝนตัวเอง เพียงแต่ในตอนนั้นท่านได้ทำสัญญากับผมไว้ คือ อย่าให้มันมากระทบต่อการเรียน ฉันก็จะอณุญาตให้เธอไปร่วมกิจกรรมนี้ จะช่วยคุณปิดเรื่องนี้ไม่ให้พ่อรู้ จนมาถึงวันหนึ่ง รายการนั้นได้ออกบนทีวี สุดท้ายเห็นกันทั้งบ้าน ถูกเปิดโปงหมด ฮาๆๆๆ

   ในตอนนั้น ซูโหย่วเผิงเพียงแต่คิดว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ย”เป็นเพียงทำเพื่อเป็นการงานอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีความคิดแบบเป็นงานทำการค้า บริหาร เพื่อจะไม่ให้มันกระทบต่อการเรียน ยังได้ตกลงกับทางบริษัทว่าขณะเรียนจะไม่ขอลาหยุดการเรียน  “ฉะนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็ล้วนเป็นหนึ่งปีออกอัลบั้มสองชุด คือปิดเทอมหนึ่งและเทอมสองเทอมละอัลบั้ม” แต่การทำงานจะไม่ให้กระทบต่อการเรียนได้อย่างไร เหมือนตอนนั้นที่ถ่าย (หยิวเสี่ยวอ๋อ) แต่มันกลับถ่ายทำตลอดช่วงปิดเทอมหนึ่งก็ยังถ่ายทำไม่เสร็จ ทำอย่างไรดี ก็จำต้องสละเวลาช่วงเปิดเทอมใหม่ๆไปถ่ายทำต่ออย่างจริงจัง

   สมัยนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ย ได้ตระเวนออกคอนเสิร์ตไปทั่วไต้หวัน และยิ่งทำเอาหนุ่มน้อยที่ยังเรียนหนังสืออยู่นั้นเหนื่อยสุดๆ ทุกวันเสาร์คาบที่สี่ช่วงเที่ยงยังไม่ทันเรียนเสร็จ พนักงานของทางบริษัทก็ได้มารอโหย่วเผิงที่หน้าโรงเรียนเพื่อเตรียมส่งขึ้นเครื่อง ตอนบ่ายวันนั้นยังมีคอนเสิร์ตอีกรอบ ต่อจากนั้นรีบขับรถวนไต้หวันแล้วไปอีกสถานที่หนึ่ง เช้าวันอาทิตย์ต้องเริ่มงานคอนเสิร์ทที่สอง ตอนบ่ายรอบที่สาม จนถึงเที่ยงคือถึงจะได้กลับบ้าน ฉะนั้น หลังจากนี้หนึ่งอาทิตย์ อดหลับอดนอนอย่างเสี่ยวไกว (ไกวแปลว่าเชื่อฟัง) ไม่ไกวเลยที่ขณะเรียนนั่งหลับอยู่บ่อยๆ

   “ตอนนั้นอยู่ในโรงเรียนก็ยังรู้สึกว่าโดดเดี่ยวจริงๆ งานกิจกรรมกลุ่มของเพื่อนนักเรียนนั้นผมไม่ได้เข้าร่วมเลย อยู่ในโรงเรียนก็ได้แต่ง่วงนอนตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ หลังจากนั้นวันเสาร์ก็ถูกรับไปออกคอนเสิร์ต ฮ่าๆๆ” เมื่อถึงปีที่สาม เขาสุดจะทนแล้วได้บอกกับทางบริษัทว่า “ไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็จะสอบไม่ผ่านแน่ๆ รูปแบบอย่างนี้จะถูกทำลายเร็วๆนี้” มีการพูดและขอสิทธิของเขา จึงจะมีการหยุดหนึ่งปีของเสี่ยวหู่ตุ้ยและ(วันเวลาในความเห็นของผม)เล่มนั้นของหลังจากนั้น

   เกี่ยวกับการเรียน  ม.สี่ ม.ห้า หลังผ่านไป

   ตอนสอบเข้ามหาลัย ได้รับกำลังใจจากทางบริษัทและเพื่อนอีกสองคน และยิ่งถูกเพ่งมองจากสังคม ทุกคนล้วนเข้าใจความรู้สึกผม ผมก็ไม่มีอะไรจะอ้างอี จำเป็นต้องเอาผลสอบออกเปิดเผย ฉะนั้นมีความกดดันมาก  ความกดดันที่หนักขนาดนี้ขณะที่ได้ปล่อยให้เด็กคนนี้แบก นิสัยอย่างเด็ก ก็ออกมาพร้อมกับความกดดัน

   ช่วงม.สี่ ม.ห้า ผลการเรียนของซูโหย่วเผิงนั้นไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าจะเรียนโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดของไต้หวัน  ยังถูกทางบริษัทยกเอาชื่อมาบอกว่า เป็นขวัญใจที่ยอดเยี่ยม ทั้งเรียนดีทั้งทำงานเก่ง

   ปิดซัมเมอร์ตอนม.ห้า เสี่ยวหู่ตุ้ยปีก่อนได้ชะงักอัลบั้มชุดสุดท้าย(ซิงซิงเตอแยฮุ้ย) ที่จริงปิดเทอมของปีนั้น โหย่วเผิงได้เข้าเรียนพิเศษที่เฮ่าอยู่อินไห่  “รวมทั้งติวพิเศษของ ม.สี่ ม.ห้า ยังมีรายวิชาเรียนใหม่ ยังมีฟิสิกส์ เคมี ...วิชามากมายที่ก่อนหน้านี้ผมเรียนไม่ทัน “เพื่อนนักเรียนข้างๆก็กลายเป็นคู่ต่อสู้ในการขึ้นชั้นของผม นอกจากการแข่งขันที่ดุเดือดแล้ว อีกด้านหนึ่งทางบริษัทก็จ่องหวังให้ผมทำอัลบั้มให้เสร็จโดยดี “ ตอนนั้นผมก็คิดว่า ตายจริง ทุกคนช่วงชิงเวลาทุกวินาที แต่การสอบม.ปลาย แม่จ๋า ท่านว่าตกวิชาเดียวจะตกขนาดไหน ยิ่งกว่านั้น ม.สี่ ม.ห้าผมตามไม่ทันหมดเลย ฉะนั้นอารมณ์ของผมหนักหน่วงมาก

   ตอนนั้น ทุกคืนกว่าจะเลิกเรียนพิเศษก็ สามทุ่มแล้ว ซูโหย่วเผิงที่ได้อยู่ท่ามกลางของผู้คนได้สวมแว่นที่หนาอย่างในละครที่คุณหมอที่ได้สวมแว่นอย่างนั้น ทรงผมที่ตั้งอย่างรุงรัง ก็ไม่ต่างอะไรกับนักเรียนคนอื่น แต่เมื่อเหนื่อยจากการเรียนทั้งวันแล้ว ออกจากห้องเรียนปุ๊บ อู่ฉีหลงกับพนักงานของทางบริษัทก็ได้รอเขาที่ถนนไปเรียนพิเศษเพื่อไปซ้อมคอนเสิร์ต “ในตอนนั้นผมใจผมไม่ยินยอม ผมก็คิดว่าพวกคุณมาเป็นศัตรูกับผมชัดๆเลย ไม่ใช่บังคับผมหรือ สอบไม่ผ่านแล้วทุกคนก็จะเสียหน้าไม่ใช่หรือ ...ตอนนั้นใจหนึ่งผมอยากเรียน แต่ก็ถูกพวกเขาลากไปอย่างไม่เต็มใจ” หม่าเหลยเหมิงอาจารย์ไต้หวันที่มีชื่อเสียงการจัดเรียง มีนามว่าเสี่ยหม่า ตอนนั้นพอดีท่านได้เป็นผู้รับผิดชอบการจัดเรียงของอัลบั้ม(ซิงซิงเตอแยฮุ้ย) มีสีหน้าที่ไม่ดีขณะซ้อมอย่างซูโหย่วเผิง ก็เคยโดนเสี่ยหม่าด่าว่ายังจัง

   “สองสามวันก่อนผมได้เจออี้เนิงจิงในงานหนึ่ง เธอบอกว่ายังจำได้เมื่อก่อนได้เจอผมในงานหนึ่ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา น่าสงสารจริงๆ ทุกคนก็วิ่งมาถามผมว่าเป็นอะไร ผมก็ตอบว่าทางบริษัทไม่ให้ผมได้นอนเลย ฮาๆๆๆ เรื่องนี้ผมลืมไปหมดแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ....

  เรื่องความรัก พวกเราได้อยู่อย่างแสนลำบาก
   
วงการบันเทิงนั้นเป็นวงการหนึ่งที่ทำให้คนอารมณ์หุนหันพลันแล่น บ้างคนดังในช่วงพริบตา ก็มีบางคนชั่วคืนเดียวตกต่ำเหมือนอย่างดาวตก อิทธิพลของสื่อนั้นใหญ่มาก ถูกจ่องมองเกินไปก็ทำให้เกิดความกดดันมากเหมือนกัน

   ผมได้มีความสัมพันธ์กับสื่อนั้น ตัวเองก็มีเบื้องหลังเหมือนกัน พื้นนักข่าวของสื่อ ในตอนนั้นก็นับว่าอยู่ในระดับคุณแม่อย่างนั้น ก็ถามผมว่าความสัมพันธ์ของครั้งที่แล้วเมื่อใด? ถามอย่างนี้กันเลย แล้วผมก็รู้สึกว่า อื่ม? คุณถามเกินไปหรือเปล่า? สื่อมากมายในสมัยนี้ยิ่งของทางใต้หวันทุกคนล้วนแต่พูดเรื่องพวกนี้ สำหรับวัยรุ่นแล้วมันกระทบกระเทือนกันนะ ผมรู้สึกว่าศิลปินก็น่าจะมีคุณสมบัติดีบ้าง ผมไม่ได้หมายความว่าถามอย่างนี้ไม่ถูกหรืออย่างไร แต่ศิลปินบางคนก็ไม่แฟร์ ขณะที่ “หลิวย่ออิง” พูดเรื่องเหล่านี้กับคุณทุกวัน คุณก็รู้สึกว่า “หลิวย่ออิง” ดับสูญไปแล้ว(ความหวังหรือความฝัน) ผมได้คิดแทบล้มประดาตายกับตัวเองอย่างนั้น แต่เอาเบื้องหลังคุณมาเชื่อมพันกันก็จะกลายเป็นเชือกเส้นหนึ่ง นั่นก็คือภาพพจน์ของคุณ

   ตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้าสู่วงการความตื่นเต้นที่เผชิญกับสื่อ ถึงตอนนี้ก็อยากกล่าวตรงๆว่าตัวเองก็มีอารมณ์ที่หนักแน่นขึ้น นอกจากความกล้า คิดว่าจำยิ่งต้องมีจิตใจที่เข็มเข็งเป็นผู้ใหญ่ “ผมรู้สึกว่าเรื่องความรักบางครั้งไม่ใช่จะคิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียว เราอาจชินกับการมีชีวิตอยู่ภายใต้ความกดดัน แต่ว่าสำหรับอีกฝ่ายหนึ่งนั้นมันไม่ยุติธรรม เรื่องอย่างนี้มีทั้งคนอวยพรและคนติเตียนว่ากล่าว แต่นั้นได้ใช่ว่าผู้ที่ถูกว่าแล้วนั้นจะทำเหมือนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ทุกคน มันมีความกดดันมากมายเหมือนกัน

   มีแฟนเป็นดารา การจับมือจูงแขนอย่างชาวบ้านเดินในตลาดก็ถูกคนรอบข้างมองว่าเกินไป ซูโหย่วเผิงยิ้มแล้วพูดเล่นว่า “ ใช่ พวกเราต้องอยู่อย่างลำบากมาก ฮ่าๆๆๆ..”

   บัดนี้ สำหรับซูโหย่วผิงแล้ว อาชีพนักแสดงดูเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเป็นเหมือนภารกิจ “ตอนนี้สำหรับตำแหน่งที่สูงกว่าและความสำเร็จที่สูงกว่าผมรู้สึกเฉยๆ จะไม่เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นหนึ่งเดียวในเป้าหมายของชีวิต มีได้ใส่ใจกับการดำรงชีวิต ทั้งของตัวเองและคนที่ผมสามารถมีอิทธิพลชีวิตของเขา ในระดับหนึ่งๆ สำหรับผู้ที่สนับสนุนผมนั้น ผมได้ยืนหยัดมายี่สิบปีก็อาจเป็นแรงผลัดดันเป้าหมายของเขา  ท่าทีและทัศนคติของผม ที่จริงทุกคนอาจได้รับผลกระทบหรือมีอิทธิพลต่อทุกคนบ้าง

   เขากล่าวว่า ส่วนตัวจะเกษียณงาน(ลา)อย่างช้าก็อายุประมาณสี่สิบ “ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ทำไปก็พอสมควร หลังเวลานั้นแล้วจะไปทำงานเกี่ยวกับการกุศล สิ่งนี้น่าจะมีชีวิตที่สบายๆกว่า (ไม่เครียด) ไม่อยากวันๆอยู่แต่ใต้แสงสีเสียง อยู่ใต้สภาพชีวิตที่มีความเครียดและหาแต่ลาบยศมากเกินไป เพราะว่าผมไม่ได้จะคิดอะไรมากมายอย่างนั้น

31


13 พฤษภาคม 2555 วันแม่ดาราทำอะไรกันบ้าง = วันแม่ / Mother's Day / 母親節
 


วันนี้เป็นวันแม่ เป็นวันที่สมควรแก่การไปกราบคุณะแม่ อย่าลืมพูดกับแม่ว่า สุขสันต์วันแม่ บางทีอาจจะคิดการซื้ออะไรเป็นของขวัญให้คุณแม่

ซูโหย่วเผิงไม่เพียงแต่ลงรูปเขากับแม่ในอดีตลงในเวยโป่ว(wb)  ยังเขียนด้วยว่า รูปเก่าๆไม่ระบุวันเวลา 555+ ตอนเด็กเขาเป็นสิ่งล้ำค่าของคุณแม่ โตขึ้นคุณแม่เป็นของล้ำค่าของเขา ขอให้คุณแม่สุขภาพแข็งแรง สุขสันต์วันแม่  ลงรูปเก่าๆที่ถ่ายกับคุณแม่ และอวยพรคุณแม่ด้วยน้ำเ
สียงที่อ่อนโยน
 

32
[12.05.07] 苏有朋发起公益活动呼唤关爱空巢老人(图
http://tieba.baidu.com/p/1575592883


7 พฤษภาคม 2555  ซูโหย่วเผิงเรื่มเรียกร้องกิจกรรมสาธารณะให้กับผู้สูงอายุ

ตามที่ซุโหย่งเผิงเปดเผยห้องทำงานใหม่ของเขา  เนื่องจากซูโหย่วเผิงเริ่มที่จะจัดโครงการเพื่อผู้สูงอายุ  เป็นคนที่ริเริ่มกิจกรรมสาธารณะ ซูโหย่วเผิงเพื่อที่จะถ่ายโฆษณาโครงการนี้  หวังว่า กำลังของตนเองและการร่วมมืออย่างดีของทีม จะทำให้ทุกคนสนใจโครงการนี้    ทำให้ทุกคนรักและห่วงใยพ่อแม่มากขึ้น 

ปีล่าสุดนี้   ตามที่ปัญหาภาวะผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น แรงยิ่งขึ้น และ การเพิ่มขึ้นของประชากร ทำให้ผู้สูงอายุขาดคนดูแล ผุ้สูงอายุเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้การใส่ใจ การวางแผนของโครงการสาธารณะนี้เกิดขึ้นเพราะความรู้สึกส่วนตัวของซูโหย่วเผิง  เป็นศิลปิน เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน เวลาดูแลพ่อแม่ก็มีจำกัด ในเวลาเดียวกัน ซูโหย่วเผิงก็หวังว่า จะเป้นตัวอย่างเรียกร้องคนที่จากบ้านมานานให้หันมาเอาใจใส่พ่อแม่

33
http://tieba.baidu.com/p/1568863399
http://www.faxing6.com/nanshengfaxing/2012/0503/9848.html

มาดู สไตล์ทรงผมของซูโหย่วเผิง

ซูโหย่วเผิงไม่เพียงแต่เป็นนักร้อง นักแสดง แต่ในภาพยนตร์ยังได้เป็นผู้ชายที่เพอร์เฟค มาดู สไตล์ทรงผมของซูโหย่วเผิงในช่วงหลายปีนี้กัน

ทรงผมสั้น
ทรงผมสั้นแบบง่ายๆ ซูโหย่วเผิงให้ความรู้สึกเป็นสุภาพบุรุษ  ตัดโดยใช้กรรไกรเล็ม ให้ปุยๆขึ้นเล็กน้อย ผมหน้าม้าตรงหน้าผากปัดข้าง แล้วจัดผมตรงขมับ ทรงนี้จะทำให้ผู้ชายมีเสน่ห์และดูดีมากขึ้น


ทรงปัดผมไว้ข้างหลัง
ทรงปัดไปข้างหลังของผู้ชาย จะนำผมส่วนกลางหวีกลับไปด้านหลัง ผมตรงขมับตัวจนเท่ากัน เป็นการออกแบบทรงผมที่ทำให้คุณผู้ชายดูแมนขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ


ผมหน้าม้ายาวเท่

ผู้ชายไว้ผมหน้าม้ายาว ให้ความรู้สึกร็อค  ผมหน้าม้ายาวถึงหูให้ความรู้สึกมีมิติ เป็นโมฮอกเล็กๆ ผมด้านหลังตัดออกหมด เพื่อเน้นผมหน้าม้าที่ยาวเป๋


ผมตั้ง
ผมตั้งของซูโหย่วเผิง เป็นหนึ่งในทรงผมที่ฮิตของผู้ชาย ผมตรงกลางถูกตั้งขึ้นมา ได้ทรงผมที่ไม่เหมือนใคร ออกแบบดัดผม ทำให้ผมออกมามีลักษณะคล้ายดอกไม้ เพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้ชาย


หน้าม้าเฉียง
ซูโหย่วเผิงตัดผมสั้นให้ความรู้สึกที่ลึกลับ ผมสั้นแบบนี้ ทำให้ผมหน้าม้ายิ่งเด่นขึ้น ทำให้ดูแมนขึ้น



ผมยาว
ซูโหย่วเผิงไว้ผมยาว ต้องใช้เทคนิคการเล้มผม  ผมปลายยาวทำให้ดูฟูขึ้นเล็กน้อย ด้านหน้าปล่อยผมหน้าม้าไว้ครึ่งหน้าผาก ปรับรูปหน้าของซูโหย่วเผิงทำให้หน้าดูเพอร์เฟคมากขึ้น

34

28 เมษายน 2555 ซูโหย่วเผิงจะสร้างห้องทำงานในการบินเดี่ยวไม่มีผู้จัดการ(ไร้ต้นสังกัด..นักแสดงอิสระ)

ซูโหย่วเผิงจะสร้างห้องทำงานในการบินเดี่ยวไม่มีผู้จัดการ  ถามประสบการณ์จากฟ่านปิงปิง
ซูโหย่วเผิงยุ่งอยู่กับการโปรโมทละคร(ชาเชิง)  เมื่อวานนี้เขาเปิดเผยว่ากำลังเตรียมห้องทำงานของตัวเอง
ยิ่งเป็นการเพิ่มกระแสที่ดาราบินเดี่ยวไร้ผู้จัดการ

ปีที่แล้วซูโหย่วเผิงเป็นพระเอกหนังห้าเรื่อง ปีนี้ก้อมีงาน(ชาเชิง) (ถงเชว่ถาย) สองเรื่อง
หนึ่งในนั้นกำลังออนแอร์อยู่(ชาเชิง) ซูโหย่วเผิงเล่นเป็นคนร้าย
ซูโหย่วเผิงฝีมือพัฒนาขึ้นทำให้มีความมั่นใจอย่างเต็มที่

เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมาบนแคทวอลค์ของเสื้อผ้าแบรนด์ดัง
นอกจากจะถามประสบการณ์ของฟ่านปิงปิง ซูโหย่วเผิงก็กำลังเตรียมตัวเปิดบริษัทบินเดี่ยวเอง

ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า กำลังเตรียมตัวทำห้องทำงานของตัวเองอยู่ กำลังหาสคริปต์
อาจจะเล่นละครสองสามเรื่อง ถ้าเหมาะสมก็จะเล่นเอง การเป็นเจ้านายเอง

เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นเจ้านายต้องควบคุมคนได้
เป็นนักแสดงมันเฉื่อยชา ต้องไข่วขว้าด้วยตัวเอง
ของที่ต้องการหามาได้อย่างง่ายดาย
และเมื่อพูดถึงละครของเขาจะหาใครไปร่วมแสดง
ซูโหย่วเผิงหัวเราะแล้วพูดว่า ถ้าบทดี เขาจะเล่นเอง

35
ที่มา : http://news.766.com/dl/2012-04-05/1566081.shtml

5 เมษายน 2555ซูโหย่วเผิงออกอัลบั้มใหม่



เทรนใหม่เร็วๆนี้ แม้ว่าปีนี้จะมีผลงานละครออกมามากมาย แต่ว่าเสียงที่คุ้นเคยไพเราะยังคงเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบ
ก่อนหน้านี้ซูโหย่วเผิงได้ไปถ่ายภาพจากสตูดิโอบันทึกใหญ่ที่สุดในเอเชีย
และยังได้ติดต่อเรื่องการทำเพลงใหม่ อาจออกอัลบั้มใหม่ออกมา
ซูโหย่วเผิงคราวที่แล้วออกอัลบั้มมาเมื่อสี่ปีที่แล้ว

แม้ว่าผลงานใหม่ๆยังไม่ได้เห็น แต่แต่การร้องเพลงเป็นที่น่าอัศจรรย์มาก
และเขาได้รับการเรียกร้องจากที่แฟน ๆ และผู้ฟัง

วงเสี่ยวหู่ตุ้ยเมื่อก่อนจนถึงหลังจากเข้าร่วมฮวาอี๋-HY( ต้าปู้เหลี่ยว)
เสียงของซูโหย่วเผิงในการแสดงแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ดีต่อชีวิต
และก็เป็นเพราะการมองโลกในแง่ดีเช่นนี้ มักจะได้รับเชิญจากนิตยสารแฟชั่นและกิจกรรมของทุกเพศทุกวัย

ปีนี้ มักจะสำรวจศักยภาพของตัวเองในผลงานภาพยนต์
โดยเฉพาะในบทบาทที่ได้รับที่แตกต่างออกไป ทำให้คนประทับใจอย่างมาก
โดยเฉพาะปีที่ผ่านมา ซูโหย่วเผิงได้เปลี่ยนแปลงผลงานที่ผ่านมา
ทำลายภาพลักษณ์เจ้าชายที่คนมีต่อเขา ต้องการการเปลี่ยนแปลงผ่านบทบาทที่แตกต่างกัน

เขาได้เคยทำงานร่วมกับนักแสดง  ซูโหย่วเผิงในตอนนี้กำลังทำผลงานใหม่ออกมาให้ผู้ชมได้ชมกัน
และทุกวันนี้ กำลังทำเพลงใหม่ อาจจะเป็นซูโหย่วเผิงที่โตขึ้น เพลงมีระดับที่สูงขึ้น
ไม่ว่าทำเพลงหรือว่าเขียนเพลงต่างก็เป็นประสบการณ์ที่ดี  สามารถเป็นนักแต่งเพลงที่แท้จริง

คนที่ดีใจที่สุดคือแฟนเพลงของเขา หลังจากที่รอคอยมานาน
บางทีรู้สึกถึงความรู้สึกของซูโหย่วเผิงที่จะนำเพลงที่มีความสุขมาให้
ทุกวันนี้ตัวตนคาแร๊กเตอร์ของซูโหย่วเผิงยังคงอยู่



ไม่กี่วันที่ผ่านมา(ว่านหวางจือหวาง3เถิงซุ่นป่าน)
มีดาราเชิญซูโหย่วเผิง หวังว่าไกวไกวหู่จะกลายเป็น(ว่านหวางจือหวาง3เถิงซุ่นป่าน) 

มีรายงานว่า (ว่านหวางจือหวาง3เถิงซุ่นป่าน)   เชิญซูโหยวเผิงเป็นตัวแทนร้องเพลงของเกม
และตั้งใจที่จะเชิญชวนให้ซูโหย่วเผิงจะร้องเพลงทดสอบการเปิดเกม
แม้ว่าผู้จัดการซูโหย่วเผิงจะไม่ตอบเรื่องนี้ แต่ตามแหล่งที่มา

งานเพลงครั้งนี้จะเป็นสไตล์ยุโรปและอเมริกา ต่างกับเพลงก่อนหน้านี้ในภาพลักษณ์เจ้าชาย
แต่ปัญหาของ(ว่านหวางจือหวาง3เถิงซุ่นป่าน)   คือ อัศวินสไตล์ยุโรปและอเมริกา และก็เป็น(ว่านหวางจือหวาง3เถิงซุ่นป่าน)
มีความพยายามอย่างมากที่จะเชิญซูโหย่วเผิง ตามการรายงาน(ว่านหวางจือหวาง3เถิงซุ่นป่าน) 
นอกจากจะเชิญซูโหย่วเผิง ตอนที่ลองเกมยังเชิญซูโหย่วเผิงไปร้องเพลงด้วย แม้ว่าตอนนี้(ว่านหวางจือหวาง3เถิงซุ่นป่าน)
จะมีกระแสดีมาก แต่ว่าซูโหย่วเผิงยังไม่มีการตอบเรื่องนี้ และเรื่องนี้ยังทำให้เพื่อนในอินเตอร์เน็ตกังวล
มีเกมเดา(ว่านหวางจือหวาง3เถิงซุ่นป่าน)    ถ้า(ว่านหวางจือหวาง3เถิงซุ่นป่าน)   สามารถจับมือซูโหย่วเผิงเป็นคนสุดท้าย

เพลงที่ออกมาใหม่จะได้เป็นเพลงหลักของ(ว่านหวางจือหวาง3เถิงซุ่นป่าน)
วันที่ 6 เมษายน( ว่านหวางจือหวาง3เถิงซุ่นป่าน) จะเปิดตัว และสิ่งที่สงสัยทั้งหมดจะถูกเปิดเผยออกมา

36

1  เมษายน  2555 ซูโหย่วเผิงทำหน้าที่เป็นฑูตงานการกุศล

ซูโหย่วเผิง, หานเกิง,  หยางมี้, ทำหน้าที่เป็นทูตงานการกุศล

ซูโหย่วเผิง, หานเกิง ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการที่จะเป็นฑูตมูลนิธิประเทศจีน
สำหรับการบรรเทาความยากจน ปี 2012 เป็นทูตการกุศล

เพื่อที่จะถ่ายโฆษณางานการกุศล คนที่เรียกร้องมีมากขึ้นสนใจในการศึกษา
การกีฬาในพื้นที่เด็กยากจน สนใจในเด็กที่ถูกทิ้งอยู่ในบ้านในพื้นที่เด็กยากจน

ซูโหย่วเผิงเป็นทูตมูลนิธิประเทศจีนสำหรับการบรรเทาความยากจนมาสามปีแล้ว
เขาไม่เพียงเป็นศิลปินและดารา ที่บริจาคหนึ่งแสนหยวนทุกปี

นอกจากนี้ เขายังมีส่วนร่วมกับโครงการความกังวลต่อสังคมสงเคราะห์สาธารณะมีผลกระทบต่อแฟนเพลงและแฟนละคร
ปีที่แล้วมีการประชุมภาพยนตร์ มีแฟนๆละครส่งของให้เขาบริจาคให้กับงานการกุศลและได้รับประกาศษณีย์บัตรเป็นของขวัญ 

การถ่ายทำตัวอย่างของปีนี้ ซูโหย่วเผิงพูดอย่างอิ่มแอมใจว่า

การมีส่วนร่วมในงานสังคมสงเคราะห์สาธารณะทำให้เขาได้รับประโยชน์อย่างมาก
เขารู้สึกถึงการให้ความรักและได้รับความรักคือความสุขที่เท่าเทียมกัน
ดังนั้นคนที่มีความหวังเพิ่มขึ้นสามารถดูแลเด็กที่ยากจนเหล่านี้
ในเวลาเดียวกันการให้ความรักของตัวเอง ก็ได้รับความสุขเช่นกัน

37
[12.03.18]价值观教育之偶像:苏有朋
http://tieba.baidu.com/p/1462808467


18 มีนาคม 2555 ค่านิยมการศึกษาของไอดอล

ใครๆก็เคยเป็นวัยรุ่น วันรุ่นง่ายแก่การลุ่มหลง นับถือไอดอล เพราะไม่ต้องการเหตุผล
“เจ๋ง” หล่อ  เป็นเหตุผลหรือ พูดอย่างเข้มงวดแล้ว ไม่น่าจะใช่ เป็นแค่เพียงความรู้สึกอย่างหนึ่ง
 แต่ว่าความรู้สึกนี้เป็นเหตุผลหลัก ตอนนี้วัยรุ่นต่างก็หา ตัวตนของตัวเอง

ตัวตนของตัวเองนั้นจะหาได้อย่างไร จึงต้องการต้นแบบ 
ความรู้สึกที่ดี ก็สร้างต้นแบบขึ้น ต้นแบบก็จะเหมือนตัวตนของตัวเอง
ไม่ต้องพูด เฉินฮ้าวหนาน เล่นเป็น เสี่ยวหม่าเกอ ใส่เสื้อแจ็ตแกตกันลม
เหลียงฉาวเหว่ยในเรื่อง(อาเฟยเจิ้งฉวน)  หวีผมสองสามที ก็ทำให้คนหลงจนโงหัวไม่ขึ้นไม่ใช่หรอ

การศึกษาไม่ใช่อำนาจที่ไม่มีที่สิ้นสุด สนใจหรือไม่ยังต้องสนใจความรู้สึกของใจคน
ปัญหาคือจะแนะนำสั่งสอนอย่างไร จะให้ความรู้สึกนี้เป็นเหตุผลหนึ่ง
นับถือการลงทุน  ต้องคิดให้ดี อย่าตาบอด  จินยงเขียนไว้ใน( เสี้ยวอ้าวเจียงหู)
ลิ้งหูนับถือมาสเตอร์เขา เย่วปู้ฉุน จนถึงภายหลังพบว่าเย่วปู้ฉุนคือ เว่ยจุนจื่อ
ทำให้เขาสูญเสีย เกือบจะพังทลาย ดังนั้น ความนับถือของวัยรุ่นต้องสนใจ
ต้องมีการวิเคราะห์เหตุผล

เรื่องของไอดอล พูดไปแล้ว เป็นต้นแบบของบางคน
เช่นก๊อปปี้ดาราใส่เสื้อผ้าอะไร ว่าอีกแง่หนึ่งก็เป็นสัญลักษณ์ที่มีค่า
เรื่องนี้มีตัวอย่าง เพลงป๊อปไต้หวันต้องการที่จะผลักดันไอดอลของวัยรุ่น
ของที่พ่อแม่ไม่ได้ซื้อ ภายหลังวงเสี่ยวหู่ตุ้ยออกมา หนึ่งในนั้นมี

ไกวไกวหู่ ซูโหย่วเผิงเป็นนักเรียนที่ดี ทำให้พ่อแม่วางใจ
เพราะคนนี้สามารถเป็นสัญลักษณ์ของวัยรุ่น ผ่านค่าของสังคมกระแสหลัก”


“เวลา” สิ่งนี้ ไม่เคยหวนกลับ นักศึกษาวรรณคดีพูดว่า
วัยรุ่นโหดร้าย คำพูดนี้ฟังดูมีเหตุผล ขั้นตอนการพัฒนาช่วงชีวิตของวัยรุ่น
มีไอดอลบางคน เป็นเรื่องปกติมาก หรือว่าเป็นเรื่องดี

เพราะว่าสามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง แต่ว่าความว่างเปล่าของตัวไอดอลแม้กระทั่งการด้านลบ
ดาวโหลด ต้องผ่านการกลั่นกรอง นี่คือปัญหาการศึกษาที่ต้องเผชิญ แล้วก็เป็นปัญหาการสร้างไอดอล ที่ต้องคิด

38
[12.02.03]苏有朋:经营好你的人生
http://tieba.baidu.com/p/1397458563



3 กุมภาพันธ์ 2555 ซูโหยวเผิง : หลังจากวงเสี่ยวหู่ตุ้ยแยกวงกัน “ไกวไกวหู่” ซูโหยวเผิงไม่อยู่เฉยๆ

ในใจเขามีความคิดที่แข็งแกร่ง ก็คือถ่ายภาพยนตร์  ยังทำให้ตัวเองฝันฝ่าอุปสรรคภาพลักษณ์ความเป็นหน้าใหม่
เขาคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตอบแทนพ่อแม่ ยังรู้สึกขอบคุณพ่อแม่ที่สองสามปีนี้สนับสนุนเขาอย่างเงียบๆ

ผมต้องเป็นซูโหยวเผิงที่มีเอกลักษณ์ หลังจากซูโหยวเผิงแสดงเป็นองค์ชายห้า
ยังแสดงเป้น ซูเสี่ยวเผิง,ฮวยบ่อข่วย,  ตู้เฟย,  เตียบ่อกี้  หยางซื่อหลางเป็นต้น

มีนักแสดงมากมาย เขาได้รับว่าเป็นไอดอล(Idol)จากภาพยนตร์และโทรทัศน์
หลังจากเล่นแต่บทดีๆมามากมาย เขาก็ถ่ายละครเรื่อง(เร้ออ้าย-Re Ai) บทบาทพวกนี้ต่างก็เป็น
การเตรียมตัวของไป๋เสี่ยวเหนียนเรื่อง(เฟิงเชิง-The Message) ตอนที่เขาให้สัมภาษณ์เขาพูดอย่างนี้

บทถูกส่งไปตอนปี 2008 ส่งไปที่บริษัทจิงจี้ 
จดหมายเขียนคำโฆษณาอย่างชัดเจนว่า ”เสียงลมผ่านไปแล้ว โลกไม่มีตำนาน” 
อ่านบทจบ ซูโหยวเผิงทั้งตื่นเต้นทั้งกังวล  ที่ตื่นเต้นคือเขาอดทนรอมานาน
รอการเปลี่ยนแปลงหลายปีโอกาสในที่สุดก็มาถึงแล้ว
ที่กังวลก็คือ บทที่เขาเล่นคือการร้องอุปรากรจีน- งิ้วคุนจวี้ ของไป๋เสี่ยวเหนียนที่ลึกลับ

ถ้าแสดงไม่ดี อาจจะทำลายความพยายามสิบกว่าปีที่พยายามสร้างมา
ซูโหย่วเผิงที่กตัญญูตัดสินใจทำตามคำแนะนำของพ่อ-แม่
พ่อไม่ได้พูดอะไร แม่กลับคัดค้านอย่างมาก ความเป็นห่วงของแม่ก็คือความเป็นห่วงของซูโหยวเผิง

หนึ่งอาทิตย์เต็ม ซูโหย่วเผิงขังตัวเองในห้อง คิดอย่างหนัก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจออกจากห้อง
ก่อนเปิดมือถือ ซูโหยวเผิงหวีผม  หนวดขึ้นเต็ม  เหมือนตอนที่ถ่ายหนังเรื่อง(เย้ออ้าย)
เขาปฏิเสธสิ่งบันเทิงทั้งหมด ทุ่มทั้งกายและใจลงไปในสคริป เพื่อที่จะเรียนอุปรากรจีน

ซูโหย่วงเผิงเชิญครูสอนอุปรากรจีนโดยเฉพาะ  อุปรากรจีน-เรียนยากมาก
ทุกๆการกระทำ ทุกๆรายละเอียด เขาจริงจังมาก หลังจากฝึกซ้อมเสร็จ
ยังต้องรีบไปถ่ายละคร ระยะเวลาอันสั้นนี้ ตอนที่เขายุ่ง ขนาดข้าวยังแทบไม่ได้กิน

ซูโหย่วเผิงในละครเป็นตัวละครที่ยากมาก  เพื่อที่จะรักษาความเป็นตัวละครเอาไว้
ซูโหย่วเผิงตอนที่ถ่ายละครก็ทำตัวลึกลับ ไม่คุยกับใครๆ  แล้วยังยืนเงียบๆอยู่คนเดียว
ถึงขนาดหยุดร้องเพลงอุปรากรจีนเพื่อที่จะเข้าถึงความรู้สึก 

ในขณะที่ถ่ายทำเขาไม่ใช้ตัวแสดงแทน  การทรมานทั้งหมดเขารับเองทั้งหมด เคยถูกแส้ทำให้หูอื้อ
ไม่มีความมืดและเมฆสามารถบดบัง  ความพยายามและความทุ่มเทเช่นนี้ 
การอุทิศตนเพื่อศิลปะการแสดงอย่างหนัก ซูโหย่วเผิงถึงจะเป็น ไป๋เสี่ยวเหนียน 

เป็นความสำเร็จที่งดงามหลังจากการเปลี่ยนแปลงของซูโหย่วเผิงคนใหม่
ผู้อำนวยการหนังสือ เกาฉุน ยังกล่าวว่า ซูโหย่วเผิงเข้าใจเข้าถึงบทนี้เกินกว่าที่เขาคิด
โปรดิวเซอร์เสี่ยวกัง ก็เป็นคนที่ตะลึงในตัวซูโหย่วเผิงมากที่สุด

การแสดงของซูโหย่วเผิงทำให้คนไม่อาจลืมได้
เขาเป็นไอดอลวัยรุ่น แต่ครั้งนี้ในหนัง ( เฟิงเชิง-The Message)
เป็นการผสมผสาน เกินกว่าที่จินตนาการไว้มาก

ซูโหย่วเผิงตอนที่ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ทำไมไม่หยุดทำลายภาพลักษณ์ตัวเอง

หย่วเผิงตอบว่า ทุกคนต้องทำงานของตัวเอง จากสมาชิกวงเสี่ยวหู่ตุ้ยต้องบินเดี่ยว
จาก องค์หญิงกำมะลอ ถึง เย้ออ้าย จนถึง เฟิงเชิง เขาก็ยึดมั่นเช่นนี้เรื่อยมา
แม้ว่าจะมีการสูญเสียและสูญหาย เขาไม่เคยยอมแพ้ เพราะหวังไว้สูง

มีเพียงแต่ต้องยึดมั่นต่อไป ไม่หยุดก้าวต่อไปข้างหน้า
ถึงจะนำชีวิตของตัวเองกว้างไกลและเปิดกว้างมากขึ้น
ถึงจะสามารถเป็นที่ต้อนรับของโลกใหม่


39
ที่มา : http://ent.sina.com.cn/s/h/2011-12-31/17553522580.shtml

<a href="http://www.youtube.com/v/X8dOhp8r8EY&amp;feature=endscreen&amp;NR=1" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/X8dOhp8r8EY&amp;feature=endscreen&amp;NR=1</a>

31 ธันวาคม 2554 ซูโหย่วเผิงให้สัมภาษณ์งานข้ามปี

ช่องข่าวบันเทิง วันที่ 31เดือน 12 ตอนบ่าย
ซูโหย่วเผิง(wb) เป็นแขกของการสัมภาษณ์กับแฟนๆ

ซูโหยวเผิงตอบอย่างอย่างมีอารมณ์ขันและไวพริบได้รับกำลังใจจากแฟนๆ
เขาหัวเราะและบอกว่าเขาจะใส่บิกินี่เข้าร่วมหลินซินหยู(wb)
ยังบอกอีกว่ามั่นใจในตัวเองมากกว่าพี่ชายสี่ตรงไปตรงมากว่าไม่ต้องการเด็ก

การแสดงกังฟูตลก:  สวมบิกินี่เข้าร่วมงานวันเกิดซินหยู
แม้ว่าจะมีการคุยออนไลน์กับแฟนๆไม่นาน
แต่กังฟูตลกของซูโหย่วเผิงกลับเปิดเผยหมดจด

ถาม:  ซินหยูเชิญคุณเข้าร่วมวันเกิดของเขา คุณจะไปหรือไม่ 
ตอบ:  ใส่บิกินี่ไป
ถาม: ฉันอยากฟังเพลงใหม่ของคุณ กล้าร้องเพลงเสียงสูงหรือป่าว
ตอบ: คุณกล้าฟังหรือป่าวล่ะ
ถาม: ดูเหมือนว่าไม่เคยเห็นคุณแสดงละครลึกลับเคยมีวางแผนไว้บ้างมั๊ยแสดงเป็นปีศาจอมตะ
ตอบ: คุณดูผมโอเคมั๊ย มีแฟนๆชอบอารมณ์ขันของเขา

ซูโหยวเผิงหัวเราะตอบว่า ผมมีหลายคาแรกเตอร์ บางครั้งกังวลบางครั้งก็ดูบ้า
ตรงไปตรงมาไม่ต้องการเด็ก มั่นใจในตัวเองมากกว่าพี่ชายสี่
แฟนๆนอกจากจะเป็นห่วงเรื่องความรู้สึกของซูโหย่วเผิงแล้ว
ยังถามเขาถึงเมื่อไหรจะต้องการมีลูก  ซูโหย่วเผิงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า
ผมไม่ควรมีลูก ในบทสัมภาษณ์  ยังมีแฟนๆของอู๋ฉีหลงไม่น้อยที่มีส่วนร่วม
มีแฟนๆถามซูโหย่วเผิงพี่ชายสี่กับพี่ชายห้าใครร้ายกว่ากัน

ซูโหยวเผิงตอบอย่างมั่นใจว่า ก็ต้องพี่ชายห้าแน่อยู่แล้ว
ยังมีแฟนๆที่คิดถึงซูโหย่วเผิงการปรากฏตัวในจอ(ละครทีวี)ของซูโหยวเผิง
ถามเขาว่าจะแสดงซูเสี่ยวเผิง บทแบบพี่ชายห้า ซูโหย่วเผิงบอกว่ายาก
เขามีความต้องการที่สูงกว่านี้ ในเวลาอันสั้นนี้เขาจะเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์
ชอบฟังเพลงของหวางเฟย คุณแม่มีผลต่อตนมากที่สุด

ตอนที่พูดถึงสิ่งที่สนใจ งานอดิเรก ซูโหยวเผิงกว่าเขาชอบฟังเพลงหวางเฟย,โฟวจิง, ซีหยาง
ยังชอบดูภาพยนตร์ศิลปะ นอกจากนี้พุทธศาสนามีอิทธิพลกับตัวเองมาก
ความตื้นทำให้ทัศนคติดีขึ้น ความลึกคือความเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ซูโหยวเผิงยังเปิดเผยว่าคุณแม่มีผลต่อตนมากที่สุดคนหนึ่ง

40
<a href="http://www.youtube.com/v/gfvz4vQZSxs&amp;feature=relmfu" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/gfvz4vQZSxs&amp;feature=relmfu</a>


30 ธันวาคม 2554 สถานีโทรทัศน์ชานตงอวยพรปีใหม่

งานปีใหม่ที่อบอุ่นคลื่นความร้อนของหาดฮ่ายโค่ว(หนี่ฮ่าว 2010)
สถานีโทรทัศน์ชานตงแสดงการร้องเพลงวันนี้ตอน 19.30 ที่หลานก่านซิ่งโดยมีแขกรับเชิญคือ
ซิ่น ซูโหย่วเผิง เฉินฉู่เชิง  อยู่ฉวน จางโย่วเห้อ  อาตู้  หล่าวหลาง สู่เหว่ย  จี้หมิ่นเจี้ย  เหอเจี๋ย  คาวบอยดิ๊ค เป็นต้น
ดารานักแสดงดังจะทำให้คนดูตกตะลึงกับการแสดงเต็ม 5 ชม คนดูสองหมื่นคนทั้งสนามรวมทั้งคนดูทั่วโลกข้ามปีร่วมกันที่งานข้ามปี

ตั้งแต่บทเพลงคลาสสิกของเสี่ยวหู่ตุ้ยจนถึงละครที่โด่งดังของเอเชีย(องค์หญิงกำมะลอ) และถึงดาราดังบ๊อกซ์ออฟฟิศ
ซูโหย่วเผิงที่นับวันยิ่งมุมานะตอนนี้แสดงหนังเอง(Design of Death) หลังจากที่ออกจากวงเสือน้อย

อู๋ฉีหลงและซูโหย่วเผิงช่วงที่เล่นละครก็ไม่ค่อยได้ร้องเพลง  เพลงของวงเสือน้อยที่เป็นผลงานชิ้นเอกคือ (อ้าย)
เพราะยากที่จะต้องเต้นด้วย  -อ้ายเตอะโช่วยู๋  ครั้งนี้ท้าทายซูโหย่วเผิงมาก 
การแสดงเพลง(อ้าย) เขายังต้องรองเพลง(หว่อเตอะอ้ายซินฉิง)และ(เปยเปา)

เขาไม่ว่ายังไงต้องใส่ความรักลงไปเพลงเพื่อการแสดงของสถานีโทรทัศน์ชานตง
ให้คนดูที่ใจจดใจจ่อชมการแสดงของเขา


หน้า: 1 [2] 3 4 ... 44