แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Chomnath

หน้า: 1 ... 5 6 [7]
121
โหย่วเผิงหวนคิดวันคืนของเสี่ยวหู่ตุ้ย (โอลิมปิกสู้ๆ)

สำนักข่าวซินลั่น เดือนกรกฎาคนปีนี้ เป็นวันครบรอบยี่สิบปีของการรวมตัวนักร้องวงเสี่ยวหู่ตุ้ย ฤดูใบไม้ร่วงเดือน กรกฏาคนของปี 1988 เสี่ยวหู่ตุ้ยแจ้งเกิดทั่วทิศ ให้ภาพแห่งวงขวัญใจก่อนใคร แม้ว่าวันนี้วงเสี่ยวหู่ตุ้ยจะแยกย้ายแล้ว แต่ฤดูใบไม้ร่วงของทุกปีก็ยากที่จะอดคิดถึงเสี่ยวหู่ตุ้ยในวันวาน ก็เหมือนกับเป็นการหวนคิดถึงวันวานของเราอีกด้วย

ปี 2006 ได้เข้าส่วนกับบริษัทใหญ่ของจีนอย่างซูโหย่วเผิง ธุรกิจในจีนนั้นราบรื่นโตวันโตคืน เขาได้บอกว่าคิดถึงวันเวลาที่ทั้งสามคนได้ร่วมกันร้องเพลงเป็นอย่างมาก อัลบั้มเพลง “รัก” เป็นเพลงที่ยอดนิยมในสมัยนั้น ในการแข่งขันจักยานที่ ซีหนิงหวนหู่ กับ สถานีตงฟาง(2008สู้ๆ) ซูโหย่วเผิงล้วนออกงาน ซูโหย่วเผิงกล่าวว่าทุกครั้งที่ได้ร้องเพลงเหล่านั้นก็จะมีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน ทุกครั้งที่ได้ร้องจะมีความรู้สึกดีมาก ศิลปินฮ่องกงกับไต้หวันได้เข้าลงทุนในบริษัทจีน มันอาจลงทุนไปเปล่า หรืออาจได้ผลลัพธ์ที่พูดไม่ออก จนกลายเป็นเรื่องที่คุยกันในช่วงนี้ เรื่องที่เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแก่พวกเราคือ สองสามปีนี้ซูโหย่วเผิงได้เสร็จผ่านพ้นวัยรุ่นจนถึงวัยเป็นผู้ใหญ่ จากนักแสดงหนังจนได้จบอย่างสวยสมบูรณ์แบบของนักแสดง


ช่วงนี้ความสัมพันธ์ของ ซูโหย่วเผิง กับ สถานีจงยาง นั้นดูเหมือนยิ่งนานวันยิ่งแน่นแฟ้ม ทุกครั้งที่สถานีมีงานกิจกรรมที่ใหญ่ก็มักจะเชิญซูโหย่วเผิงร่วม ครั้งนี้เป็นการฉลองนับถอยหลังสิบวันโอมลิมปิก สถานีจงยางจะมีการจัดงานคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ต้อนรับโอลิมปิก ซูโหย่วเผิง, หลี่ปิงปิง, หวงเสี่ยวหมิง, หวงเซิ่งอี, ได้ร้องเพลงร่วมกัน ชื่อเพลงว่า “โอลิมปิกสู้ๆ” รายการนี้จะอยู่ในรายการที่เก้า เพื่อจะยืนยันว่าจะออกรายการในวันที่29 อย่างแน่นอนแล้ว คือวันนี้ซูโหย่วเผิงยังไม่อัดโฆษณาที่สถานีจงยาง

ฤดูใบไม้ร่วงเดือน กรกฏาคนของ20 ปีที่แล้ว มีรายการสรรหาดาราดาวรุ่งที่ไม่ค่อยดังเท่าไรในไต้หวัน ชายหนุ่นสามคนอายุเฉลี่ยแล้วประมาณ16 ได้เข้าร่วมด้วย อู๋ฉีหลง ซูโหย่วเผิง เฉิงจื้อเผิง ชายหนุ่มสามคนที่ยังไม่สิ้นความเป็นเด็ก ได้รวมตัวเป็นกลุ่มวงเสี่ยวหู่ตุ้ยที่เป็นวงภาษาจีนกลายเป็นขวัญใจของปวงชน ตอนนั้น ไกวๆหู่... ซูโหย่วเผิงได้ไว้ทรงเหมือนเห็ด ผีลี่หู อู๋ฉีหลงชอบสวมกางเกงขาม้า และเสี่ยวซ้วยหู่ เฉิงจื้อเผิงก็ได้แต่สวมหมวกไม่ยอมถอด ตั้งวงได้สองปี เพลงพวกเขาได้ค่อยๆกลายเป็นเพลงที่วัยรุ่นนิยมร้องกันจากต้นซอยยันท้ายซอย ในนั้น เพลง “รัก” อัลบั้มที่ 5 ในปี 1991 ได้สร้างสถิติที่มียอดขายถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นแผ่น ณ.จนบัดนี้ นี่ก็ยังเป็นตำนานที่ไม่มีในอดีต

แต่ว่า ปีที่สี่ของการตั้งวง ทั้งซูโหย่วเผิงที่ต้องเรียนต่อ เฉิงจื้อเผิงที่ต้องไปเกณฑ์ทหาร วงเสี่ยวหู่ตุ้ยต้องเผชิญกับการที่จะต้องแยกย้ายกัน อัลบั้มชุด “พบกันใหม่” เป็นอัลบั้มที่พวกเขาบอกว่าจะแยกย้ายกันชั่วขณะ ไม่แน่ จากวันนี้เป็นต้นไป คงยากที่จะได้เห็นภาพเสี่ยวหู่ตุ้ยทั้งสามคนได้ยืนพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม ภาพที่ยี่สิบปีที่แล้วก็ยังจดจำไม่มีวันลบลืมตลอดไป เพราะมันเป็นภาพวัยรุ่นที่เรายากจะลืม เชื่อว่า สมาชิก “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ทั้งสามคนจากวันนี้เป็นต้นไปจะประสบแต่ความเจริญก้าวหน้า



122
BSYP Fan Actions / รดดอกไม้ชีวิตด้วยรัก
« เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2010, 07:36:48 PM »

รดดอกไม้ชีวิตด้วยรัก


เห็นข้อความหนึ่งในโปสเตอร์ ได้เขียนถึงความรู้สึกของฉัน และความคิดทั้งหมดของฉัน ฉันอ่านข้อความนี้ไปด้วยและฟังเพลงของจางหยี่เซิงไปด้วย ทันใดรู้สึกปวดใจ น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ฉันพยายามที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง แต่หลายๆครั้งอารมณ์ของคนเรานั้นจำต้องระบายออกมา ฉันพร้อมพูดกับตัวเองว่า มีเพียงตัวฉันเท่านั้น ที่จะเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ความตื้นตันใจ ความสะกิดใจอันนั้น ฉันได้แต่เก็บไว้ในใจ มันเป็นอะไรที่งดงามมากๆ

วันนี้ได้นั่งรอการปรากฏตัวของเขาหน้าคอมฯ ตั้งแต่บ่าย 3 แล้ว กับเพื่อนๆอีกหลายๆ คนที่กำลังรอคอยเขาอยู่ เวลาแห่งการรอคอยนั้นดูเหมือนจะผ่านไปช้ามาก แต่ก็มีความสุข เมื่อมีช่องสนทนาได้กระพริบขึ้นมา วินาทีนั้นใจเต้นจนเกือบจะหลุดออกมา เหมือนกับว่าเขาจะมายืนต่อหน้าเราในทันใด ไม่นานเขาได้ปรากฏตัว ชุดขาวที่ดูสง่ากับความหล่อที่คมกลิบทำให้รอบยิ้มฉันปากแทบจะฉีก มันดีใจสุดๆเลย

เวลาผ่านไปเร็วมาก เริ่มจากเก็บตกเรื่องราวเสี่ยวหุ่ตุ้ย เล่าจนถึงการเปลี่ยนแปลงช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา มันจริงจังขนาดไหน มันบากบั่นขนาดไหน เหมือนกับต่อหน้าพวกเรานั้นเขาพูดหมดทุกอย่าง เขาได้ใช่คำพูดสั้นๆ ได้กล่าวถึง 20 กว่าปีแห่งการผ่านร้อนผ่านหนาว และพวกเราก็ล้วนได้เดินเคียงข้างเขาผ่านมากว่า 20 ปีเหมือนกัน อุปสรรค์มากมาย ประสบการณ์ที่โชกโชน สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนอยู่บนใบหน้าของเขา ในนัยตาเขา นัยตาของเขานั้นความหนุ่มใสเดียงสาของไกวไกวหู่ได้หายไปจากเขาไปนานแสนนานแล้ว สิ่งที่มองเห็นคือความเป็นผู้ใหญ่ของเขา สำหรับการให้สัมภาษณ์ต่อพิธีกรเจี่ยนยุ้ย(หวงยุ้ย)นั้น ปฏิกิริยาเปลี่ยนไปแล้ว เขาตื้นตันใจมาก เห็นถึงการที่แคร์ เขาได้ตอบคำถามของนักข่าวว่า “ในจีนมีนิทานเรื่องหนึ่งที่คุ้นกันมากคือ รวย 2 ช่วงอายุคน” “ไม่ได้ปฏิเสธว่าผมเป็นลูกคนหนึ่งของบ้านหลังนี้ แม้ผมจะขยันทำงานนอกบ้านเพียงใดก็ไม่สามารถที่จะหาเงินได้มากเทียบเท่าสมบัติในบ้าน พวกท่านสามารถเรียกผมว่าเป็นลูกชายของบ้านหลังนี้ แต่ใช่ว่าผมจะขอนั่งกิน นอนกินสมบัติของบ้านของผม ผมก็ต้องขยันเหมือนกัน” แม้ว่านิทานที่โหย่วเผิงพูดมาฉันเขียนไม่ละเอียด แต่สามารถสัมผัสถึงความตั้งใจของเขา

ตอนหลัง จากการที่นักข่าวได้ซักไซ้ถามเขาตลอดเวลา น้ำตาของเขาก็เริ่มเต็มเบ้าตา จากนั้นเพื่อจะตอบสนองการเรียกร้องของพิธีกร เขาได้ร้องเพลงหนึ่งเพลง ซึ่งเป็นเพลงเก่าของเขา “ลี่เกอ” ทำให้เขากลั้นน้ำตาไม่อยู่ นับแล้วเขาร้องไห้ประมาณ 3 ครั้งแล้ว ตอนแรกเขาพยายามที่จะกลั้นไว้ ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ปกปิดความโดดเดี่ยวของเขา อำพรางความอ่อนแอของเขา อำพรางความกดดันที่ได้รับมา กว่าหลายปีของเขา แต่ว่าสุดท้ายเขาทนกลั้นไม่ได้จริงๆ หยดน้ำตาแต่ละหยดได้ตกลงมาจากตาเขา ตกใส่จิตใจของผู้ชมทุกคน รวมถึงฉันด้วย

ได้ดูเรื่อง “รักข้ามขอบฟ้า” จบตั้งแต่อาทิยต์ที่แล้ว จิตใจยังไม่สงบ มีความเศร้า ไม่สบายใจมากๆ จริงๆ ก็อยากจะเขียนอะไรลงไปบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหนดี รายการในวันนี้ทำให้ฉันประทับใจตื้นตันใจอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ประทับใจเพื่อนเขา สิ่งที่เข้าใจกว่านั้นคือ ในชีวิตคนเรามีเรื่องราวอุปสรรคมากมายเหมือนกัน เราจำต้องยืนหยัดที่จะต่อสู้กับมัน เผชิญกับมันอย่างมีความสุข อย่าทำให้ชีวิตต้องเสียใจ ขณะที่เวลาไหลผ่านไป แล้วย้อนคิดดู อย่าให้ชีวิตของเราผ่านไปโดยไร้ความหมาย แม้จะเต็มไปด้วยอุปสรรค แม้จะเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่เราต้องเดินต่อไป ไม่หยุดที่จะก้าวต่อไป

ให้ชีวิตเต็มล้นหน่อย ให้ชีวิตมีสีสันหน่อย ใช้เลือดเนื้อ ใช้รักรดดอกไม้แห่งชีวิตของเรา ให้มันออกดอก

123
ซูโหย่วเผิง ยี่สิบปี่ที่ผ่านมาไม่สามารถลืมได้


ชั่วชีวิตของคนหนึ่งคนจะมียี่สิบปีสักกี่ครั้ง ขณะที่ฉันยังเป็นเด็กอยู่นั้น ยี่สิบปีสำหรับฉันแล้วมันช่างยาวไกลต่อฉันเหลือเกิน แต่แค่พริบตาเดียว ยี่สิบปีก็ได้ไหลผ่านไปอย่างสายน้ำ ฉันคิดถึงคุณ (ยี่สิบปี) ฉันคิดถึงคุณในยี่สิบปีที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึกยี่สิบปีข้างในใจนั้นจะแสดงออกมาอย่างไรดี ฉันรู้เพียงว่า เพราะคุณ จนถึงบัดนี้ฉันเองก็ยังมีสิ่งที่รักษาไว้ไม่เคยเปลี่ยนไป มันเป็นนิสัยไปเสียแล้ว

มาวันนี้ฉันสามารถที่จะเล่าถึงวันสำคัญพิเศษในรอบยี่สิบปีที่ผ่านไป ปี 1990 เป็นช่วงที่กระแสได้พัดคุณเข้ามาในตัวฉัน 22 ธ ค 1992 ครอบครัวหนึ่งที่ยากจนสามารถมีเครื่องโทรทัศน์เครื่องหนึ่งได้ ทั้งยังได้ติดตามเสียงเพลงของคุณ ฉันก็ไม่ต้องรอคุณปรากฏตรงอยู่หน้าทีวีทุกๆวันแล้ว

22 สิงหาคม ปี 1993 เป็นวันที่ซื้อ(เติ่งเต้อน่าอี้เทียน)

1 พฤษภาคม 1994 เป็นวันที่ซื้อ(เจินสีเตอเป้ยเปา)

1 มกราคม 1995 เป็นวันที่ซื้อ(ซันโข่ว)

25 พฤศจิกายน 1995 เป็นวันที่ซื้อ(โจ่ว)

26 สิงหาคม 1996 เป็นวันที่ซื้อ (เฟิงเซิงหยี่เซิงทิงซูเซิง)

สิ่งเหล่านี้ล้วนประทับอยู่ในใจฉันมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช้อะไรมาบ่งบอกทั้งสิ้น ก็สามารถที่จะเอ่ยขึ้นมาได้ เพื่อจะหาซื้ออัลบั้มของคุณให้ได้ ทุกวันต้องถีบจักรยานเที่ยวหาร้านขายเพลงทั่วเมือง เพื่อความอยากได้อัลบั้ม(หว่อไจ้เจี้ยนจงเตอยื่อจื่อ)ฉันวิ่งหาร้านทุกร้าน เปิดหาข้อมูลในหนังสือแทบทุกเล่ม เพื่ออยากจะรู้ข่าวคราวของคุณ พร้อมยอมเก็บสะสมนิตสารสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆเป็นสิบๆปี ทุกครั้งที่อ้างว้างก็จะหยิบอัลบั้มของคุณมาเปิดฟังปลอบใจตัวเอง ทุกครั้งที่มีความสุขก็มีเสียงเพลงของคุณเป็นเพื่อนเสมอ รูปถ่ายของคุณเสมือนสิ่งล้ำค่าติดตัวไม่ยอมห่าง เข้านอนโดยการร้องเพลงของคุณทุกค่ำคืน ทุกวันจะเขียนบันทึกประจำวันว่าใฝ่ฝันอยากจะได้รับรู้ข่าวของคุณ ขอพระเป็นเจ้าทรงคุ้มครองคุณ

ฉันอยากจะหวนกลับไปเดินอีกรอบหนึ่ง ไม่ใช่เป็นทางที่เดินผ่านมา แต่เป็นความรู้สึกที่รักที่จริงใจและไม่คิดอะไรมากมาย ก็คือชายคนหนึ่งที่ใสบริสุทธิ์อย่างนี้ ถึงแม้จะถีบจักรยานไปรอบเมืองอย่างน้อยในใจก็มีความสุข ในตอนนั้นแม้ความสุขเล็กน้อยของคุณก็เป็นความสุขที่ยาวนานของเราเรื่อยไป ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีสื่อที่วุ่นวาย ไม่มีการคมนาคมที่ทันสมัย เส้นทางที่สะดวกสบาย ทั้งหมดล้วนคือคนคนหนึ่งก่ำลังเดินต่อไปอย่างเงียบๆ จากวันนี้เป็นต้นไป ฉันมาหวนคิดในตรงนี้ หวนคิดในสิ่งที่มีคุณ เอาวันเวลาสิบกว่าปีของตัวเองออกมา เป็นการเริ่มต้นของการหวนคิด


124
เขียนให้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีเสน่ห์กับไกวๆในสมัยนั้น


โหย่วเผิง ได้ดูเว็ปของคุณในเน็ตแล้ว ฝีมือการถ่ายรูปของคุณนั้นเยี่ยมมาก อเมริกามีไมค์เดียวน่านั้นยิ่งทำให้มีสีสัน สำหรับฉันแล้วที่ของคนจีนมีคุณก็ยิ่งจะมีสีสัน ในสมัยนั้นฉันอิจฉาเพื่อนๆที่ไต้หวันจริงๆ ได้เห็นคุณตลอด เป็นเพราะคุณ ทำให้ฉันเข้าใจว่าผู้ชายไต้หวันก็จะเหมือนกับคุณที่ใสบริสุทธิ์ที่สุด พูดดีทั้งยังรู้สึกกันเอง เหมือนสถานที่ของนิทานเด็ก ในความฝันนั้นยังได้แอบไปหาคุณตั้งหลายครั้ง

โหย่วเผิง เห็นถึงชีวิตประจำวันของคุณนั้นมีสีสันมากๆ ฉันดีใจมากๆและทั้งรู้สึกปลง คุณรู้หรือเปล่า วันเวลาในวัยแตกหนุ่มนั้น น้ำตาทุกหยดของคุณนั้น มันมักจะทำให้คนอื่นเจ็บปวดและห่วงใย อยู่ภายใต้ชื่อเสี่ยวไกวนั้น มีการดื้อบางอีกทั้งมีความเบื่อหน่ายในความเป็นวัยหนุ่ม มันซื่อและเดียงสาจริงๆ

โหย่วเผิง คุณโกรธหรือ เหตุที่ฉันพูดถึงเสี่ยวไกว รู้ว่าคุณเคยพูดในรายการว่าบางครั้งก็เบื่อกับการที่คนอื่นเรียกคุณว่าเสี่ยวไกว คุณไม่ได้เป็นเด็กซื่อเหมือนสมัยก่อนตั้งนานแล้ว ตอนนี้ได้เปลี่ยนกลายเป็นชายที่เป็นผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แล้ว

แต่ว่าชื่อนั้นเป็นชื่อที่เริ่มแรกที่ฉันรู้จักคุณนะ บางเวลาฉันได้เอาเพลงเก่าๆของคุณ อีกทั้งเพลงที่คุณร้องด้วยกันกับเพื่อนที่ดีสองคนของคุณมาเปิดฟัง ในใจนั้นได้เรียกเสี่ยวไกวอย่างเงียบๆ เป็นเพราะเพลงเหล่านี้ของคุณในขณะที่ชีวิตล้มลุกคลุกคลาน ถึงได้มีความกล้าหาญที่จะแบกกระเป๋าแล้วเดินต่อไป...

ให้อภัยฉันได้ไหม?(ที่เรียกเขาว่าเสี่ยวไกว) ฉันเองก็แค่เพียงระลึกถึงวันเวลาครั้งเยาว์วัย ทั้งมีน้ำตาทั้งได้เรียกชื่อของคุณอย่างเงียบๆในใจ ขอบคุณคุณที่ให้ความทรงจำดีๆที่มีค่าแก่การระลึกสำหรับฉัน แม้ว่าคุณไม่เคยเข้าเรียนการแสดง แต่การแสดงของคุณนั้นเยี่ยมจริงๆ หวังว่าขณะที่คุณทำงานนั้น ก็ให้ใส่ใจในด้านร่างกายหน่อย อย่าให้มีสิวขึ้นที่ใบหน้าอีก ที่ชื่นชอบคุณไม่ใช่ว่ารักประทับใจ อู๋อาเกอ (พระเอก องค์หญิงกำมะลอ) จางอู่จี้ (พระเอกหนัง อีเทียนสู่ตี้) แต่เป็นซูโหย่วเผิง ในท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของวงการบันเทิงคุณยังมีเสน่ห์ที่เดียงสาด้วย



125
<a href="http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Fa78a3bba.pbw" target="_blank" class="new_win">http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Fa78a3bba.pbw</a>


ศิลปินฮ่องกงไต้หวันผมจะอยู่เพื่อตัวเอง

ต่อไปนี้เป็นสามปีแห่งการตกอยู่ในภาวะชะงักงัน ในช่วงเวลานั้นโหย่วเผิงลังเลตลอดเวลา มีสองเสียงสะท้อนอยู่ข้างหูเขา มีคนเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา คิดว่าเขาควรจะอยู่เพื่อตัวเอง แต่ก็มีคนอีกมากมายพูดว่าเรียนหนังสืออยู่ดีๆไม่เอา บ้าไปแล้วหรือเปล่า โหย่วเผิงเคยได้ยินคนอื่นพูดกับหูตัวเองว่า ตายแล้ว ภาพพจน์ที่ดีๆของเธอที่อยู่ในใจของฉันนั้นแตกสลายไปแล้ว ลักษณะคุณไม่เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้เลย ทำไมคุณไม่สมบูรณ์แบบแล้ว(เพร์อเฟรก) ตัวโหย่วเผิงเองก็กลัวมาก เขาไม่รู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้นำมาซึ่งอะไรบ้าง

วันเวลาในสามปีนี้ โหย่วเผิงรู้สึกเหมือนกับเป็นสามสิบปี คนอยู่ในเวลาตกต่ำนั้น วันเวลาก็ยิ่งผ่านไปช้า “ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเดินออกจากก้นเหวเมื่อไร ผมรู้สึกว่าเริ่มแรกถ้าผมไม่ดังอย่างนี้มันจะดีขนาดไหน อาจเป็นเพราะผมดังเร็วเกินไป ฉะนั้นถึงล้มได้เจ็บขนาดนี้”

ช่วงเวลานี้ ผู้ที่ได้มีส่วนช่วยเขามากที่สุดคืออาจารย์ที่ปรึกษาตอนมัธยมปลายของเขา “ท่านได้แนะนำผมให้คิดไปทางไหนจะได้ ชี้ทิศทางให้กับผม ท่านยังเป็นผู้ฟังที่ยอดเยี่ยม" งานคอร์นเสริทครั้งนี้ โหย่วเผิงได้เชิญอาจารย์มาในงานโดยเฉพาะ

และในช่วงนี้ โหย่วเผิงรู้สึกได้ว่าการดังในช่วงวัยเด็ก(ยุวชน)นั้นนำมาซึ่งความรู้สึกเสียใจ เขาไม่ได้มีเวลาที่เป็นของตัวเองเลยสักนิด เด็กที่อยู่ในวัยอย่างเขานั้นได้เล่นอย่างสนุกสุดแต่ใจจะเล่น งอนงอแงโดยไม่ต้องสนใจคนรอบข้าง แต่เขาทำอย่างนั้นไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นความเสียใจที่สุดของโหย่วเผิง “สิ่งที่ผมเสียใจที่สุดคือครั้งหนึ่งผมเดินผ่านประตูโรงเรียนหนึ่ง เห็นนักเรียนมากมายเดินออกมา สามห้าคนจับกลุ่มคุยกัน ทันใดนั้นในใจผมมีหลุมแห่งการทุกข์เจ็บที่ลึก ผมเกิดอารมณ์ฮึกเหิมขึ้น อยากจะไปตั้งวางขายริมถนน ไปเสริฟอาหารในร้าน ผมจะไปใช้ชีวิตตามประสาวัยรุ่นคนหนึ่ง"


ในเวลานี้ โหย่วเผิงไปที่อังกฤษมาแล้วครั้งหนึ่ง อยู่ที่อังกฤษเขาเห็นนักเรียนที่มาท่องเที่ยวที่นี่มากมาย ในท่ามกลางพวกเขาบางคนเรียนจบแค่ ม.4 แล้วก็พักการเรียน ออกมาทัศนาจรโลก หลังจากกลับไปแล้วค่อยไปเรียนต่อ ม.5 ในตอนนั้นโหย่วเผิงสำนึกได้ว่าที่จริงชีวิตคนมีหนทางในการเติบโตหลายทาง ไม่ใช่มีเพียงแค่นักเรียนดีๆทางเดียวที่เดินได้ เขาได้มองเห็นแสงอรุณแห่งอนาคตของตน และมันมีส่วนในการให้อนาคตของเขามีความมั่นคง

“อย่างเรียนฉันว่าเสี่ยวไกว” (เด็กดี)

“องค์หญิงกำมะลอ” ท้ายสุดได้ให้โอกาสใหม่แก่โหย่วเผิง เวลาเปลี่ยนสลับของการถ่ายอย่างนี้ เขาคิดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าหนังเรื่องนี้เข้าฉายในไต้หวันแล้ว ประเดี๋ยวเดียวก็ดังแล้ว และไฟดังอันนี้ยังรุกไปถึงจีน ฮ่องกงและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ซูโหย่วเผิงกลับกลายเป็นจุดโฟกัสที่สนใจ

บินขึ้นมาสองด้านพร้อมกัน โหย่วเผิงกลายเป็นฮีโร่ที่วัยรุ่นไล่ตาม ที่ที่มีเขาปรากฏจะมีเสียงกรี๊ดที่นั่น


<a href="http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F3f1c2c7f.pbw" target="_blank" class="new_win">http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F3f1c2c7f.pbw</a>


ครั้งนี้เขายิ่งให้ผู้คนสัมผัสถึงเสน่ห์ของศิลปินดารา อายุก็ไม่นับว่าน้อยอย่างโหย่วงเผิงมีช่วงหนึ่งเคยกลัดกลุ้มใจที่ได้ฉายา “ขวัญใจ” (ดาราโปรด) “ตอนหลังผมสังเกตได้ว่าสมมุติว่ามีวันหนึ่งทุกคนได้รักคุณแล้ว คุณจะรู้สึกได้ว่าการเป็นขวัญใจนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน” โหย่วเผิงพูดประโยคนี้แล้ว จิตสำนึกนั้นคัมภีร์มากๆ อดไม่ได้ที่จะมีความภูมิใจขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าเจิดจ้ามาก ที่จริงใบหน้าของขวัญใจนั้นก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ

โหย่วเผิงไม่กลัวที่คนอื่นจะเรืยกเขาว่าเป็นขวัญใจอีกต่อไป ยังเพราะว่าเขาเชื่อมั่นตัวเองว่าไม่ใช่ “แจกัน” “ธรรมดาแล้วบทบาทของผมก็ยังมีให้เล่น ไม่ใช่ว่าเพียงแต่อ่านเชื่อซูโหย่วเผิง หนังจากนั้นก็ไม่มีความหมายอะไรเลย” เขาไม่หลบเลี่ยงใน (หนังเรื่อง ชิงเซินเซิน) ที่ตู้เฟยมีความคิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบ “ที่จริงผมสามารถที่จะแสดงต่อจากหวูอาเกอที่มีคุณสมบัติพออย่างเสี่ยวเซิง มีอะไรไม่ดีหรือ แต่เพราะเล่นต่อจากตู้เฟย ไม่ใช่ซูโหย่วเผิงบ้าไป แต่เป็นเพราะอยากให้การแสดงของตนมีการเปลี่ยนแปลงไป ผมเป็นคนที่ชอบการเปลี่ยนแปลง ปฎิรูป ไม่ชอบในการตายตัว เปลี่ยนไม่ได้

ฉันเคยเห็นภาพที่โหย่วเผิงถูกรอบล้อมด้วยช่อดอกไม้ เสียงกรี๊ด เสียงปรบมือ ฉันได้สามารถจะจิตนาการณ์ได้ว่าเขาในท่ามกลางอย่างนั้นสามารถเงียบนิ่งได้ดีมาก ฉันขอให้เขามีอะไรให้พูดตตรงๆ โหย่วเผิงเขาบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาไม่มีอะไรอวดได้ ไม่ใช่ว่าเป็นศิลปินหน้าใหม่ เคยดัง ก็ไม่เคยดัง เขาชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้มันล้วนอานิจจัง วันนี้อาจดัง พรุ่งนี้อาจไม่มีใครรักชอบ เขากล่าวว่าเพียงแต่ตอนอยู่บนเวทีเขาก็สำนึกได้ว่าเขาเป็นศิลปินดารา ชีวิตประจำวันเขาก็เป็นคนสามัญชนคนหนึ่ง ผมก็มีป่วย ผมมีเจ็บ ยังมีความกลุ้มใจ” ดูท่าทางที่มีความสงสัยอย่างผม โหย่วเผิงกล่าวว่าเขามีความกลุ้มใจมากมายจริงๆ กลุ้มกับเรื่องในครอบครัว เพราะเขาต้องเป็นผู้เลี้ยงดูครอบครัว กลุ้มเรื่องทำไมน้อยชายไม่โตเป็นผู้ใหญ่สักที ทำไมไม่รู้ถูกผิดเลย ฉันยื่นยั่นมาตลอดว่าโหย่วเผิงไม่สามารถเป็นพี่ได้ ในตอนนี้ ฉันรู้ชัดเห็นจริงถึงใบหน้าที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่



โหย่วเผิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าท่าทีความรู้สึกที่มีชื่อเสียงในตอนนี้กับตอนอายุสิบห้านั้นมันต่างกันมาก “อดีตไม่ได้เจออุปสรรค์อะไรก็ดังแล้ว ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่สมควรแล้ว ไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเชื่อเสียงที่ดัง ตอนนี้ผมรู้สึกว่าที่สำคัญที่สุดของชีวิตคืออย่าปล่อยให้ทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิตนั้นผ่านไป จะต้องขยันพยายาม ทำอย่างขยันขันแข็ง อย่าสูญมันเปล่าๆ ถ้าหากทำไม่ถึงสิ่งที่เราตั้งหวังไว้ ก็จะไม่โทษตัวเอง นั้นก็คือพรหมลิขิต"

126
<a href="http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F3b09d940.pbw" target="_blank" class="new_win">http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F3b09d940.pbw</a>

ซูโหย่วเผิง :อย่าเรียกผมเสี่ยวไกวอีก

20 ปีก่อน เสือน้อยสามตัว(วงเสี่ยวหู่ตุ้ย)ที่ต่างไสตส์ได้ทะลุเข้ามาสู่สายตาพวกเรา พวกเราเยาว์วัยไร้ศัตรู จิตใจปราดเปรียวได้บีบบังคับเราให้คล้อย ชั่วระยะเวลาอันสั้นได้พัดลมเสี่ยวหู่ตุ้ยแห่งเอเซีย

เริ่มจากเวลานั้น คนหนึ่งที่เคยมีนามว่า “เสี่ยวไกว” ผู้เป็นชายที่น่ารักได้ทะลวงเข้าไปในสายตาของทุกคน และได้ทะลวงเข้าไปในใจของคนอย่างนับไม่ถ้วน ช่วงเวลาเดียวก่อกวนน้ำฤดูใบไม้ผลิตหนึ่งบ่อ ยากจะลืมผู้ร้อง "เพลงชิงผิงกว่อเล่อเหยียน" อย่างเขา อาจจะในเวลานั้นเขาคลุมเคลืออย่างยิ่ง แต่เป็นความคลุมเคลืออันนั้นให้พวกเราได้ตัวตนแท้จริงของเขา

นับทางบันเทิงนานร้อยปีอย่างละเอียด มีสักกี่คนให้ความแท้จริงแก่พวกเรา อย่างอื่นก็ไม่เอ่ยถึง อย่างน้อย "ซูโหย่วเผิง" ก็ได้เป็นตัวตนแท้จริงของตัวเองมาตลอด ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่จำต้องพยายามพิสุจน์ตัวเองอย่างสุดๆ พยายามหลุดพ้น “ไกวไกวหู่” ฉายานี้ กลับทำงานที่หนักที่ไม่ได้รับคำชม เขาสามารถแสร้งทำเป็นไกว(เด็กดี)ของเขาพึ่งจะได้รับการชื่นชอบจากผู้ชมมากกว่านี้ มาเสพความสบายชื่อเสียงที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ จำเป็นด้วยหรือ?

ใยจะต้องเพื่อกับพวกอันคำที่เรียกว่า “ทำตัวเอง” ประเภทของคำพูดที่เลื่อนลอยจนทำให้ตัวเองเปลี่ยนไปจนไม่สามารถที่จะทนไหว รับความกดดันที่มากมายกับคำตำหนิล่ะ? ผมคิดว่า นี่ก็เพราะเขาคือ "ซูโหย่วเผิง" เขาไม่ชอบเสแสร้ง พูดอย่างจริงๆว่า ธาตุแท้ของเขาก็คือเสแสร้งไม่เป็น เขาเองก็ไม่น่าจะเสแสร้ง แน่นอนเขาก็เข้าใจระเบียบของแวดวงที่เขาอยู่ แต่เขาก็ยอม “เข้าดินเลนแต่ไม่ถูกกลืน” ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าหลังเขาปล่อยธาตุแท้ของการทรยศแล้วจะได้รับอะไร ?

สิ่งเหล่านี้เขาไม่เป็นไร ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ใส่ใจเลย(แคร์) แต่ไม่ใช่เป็น "ซูโหย่วเผิง" ที่ทุกคนจิตนาการณ์ไว้ ยืนยันตนเองจะทุ่มเท การทุ่มเทของเขานั้นก็คือการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าและผะอืดผะอมในเวลานั้น แต่น่ายินดี "ซูโหย่วเผิง" ทนผ่านมาแล้ว ใช้ใบหน้าที่เปลี่ยนใหม่หมดปรากฏต่อหน้าทุกคน ครั้งนี้ บุคคลทั่วไปจะไม่เรียกเขาว่า “เสี่ยวไกว”(เด็กดี) และก็จะไม่เรียกเขาว่า “ซูโหย่วเผิง” แต่เป็นคำหนึ่งที่รู้สึกใกล้ชิดอย่าง “อู่อาเกอ”(พี่ห้า) แม้ว่า “อู่อาเกอ” ให้เขาหลุดพ้นในช่วงเวลาที่ตกหลุมแล้วผะอืดผะอมไป แต่ก็เชื่อว่าจะกระทบในหัวใจของเขาอีกครั้ง ถึงแม้ความใฝ่ฝันจะหยิบขึ้นมาเปิดหนทางแห่งศิลปิน แต่ใจขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกได้ว่าการจะพิสูจน์ตัวเองนั้นเป็นการสิ่งที่ยากมาก

เป็นตัวของตัวเองนั้นก็ยากจริงๆ ให้คนอื่นเรียกชื่อของเขาโดยไม่ให้ผิดนั้นก็ยิ่งยาก คนที่สนใจ "ซูโหย่วเผิง" นั้นก็สังเกตได้ทุกครั้งที่ทักทายกันก็จะพูดคำหนึ่งที่ง่ายๆ “สวัสดีทุกๆคน ผมชื่อ "ซูโหย่วเผิง” นี่เป็นการเตือนของเขาต่อทุกคน เขาไม่ใช่ “ไกวๆหู่” ไม่ใช่ “อู่อาเกอ” เขาคือ “ซูโหย่วเผิง” “ไกวๆหู่” กับ “อู่อาเกอ”ล้วนเป็นเพียงแค่ไฟสารแมกนีเซี่ยมของตัวเขา ซูโหย่วเผิง ถึงจะเป็นตัวตนของตัวเอง



แน่นอน ตัว โหย่วเผิง กับ อู่อาเกอก็มีความเหมือนกันอยู่บ้าง ยกตัวอย่าง พวกเขาล้วนเป็นผู้มีจิตใจงามทั้งมีความลึกซึ้ง ชีวิตรักของโหย่วเผิงเป็นดั่งเส้นหมี่อย่างนั้น ยากจะไปวิจารณ์ โดยแก่นแท้แล้วจะต้องเหลือบริเวณที่จะสามารถให้จิตใจของเขาได้หายใจ พวกเราไม่สามารถคาดเดามั่วๆ เพียงให้เขามีความสุขก็พอแล้ว ส่วนจิตใจที่งามของเขา ผมคิดว่าผมมีคุณสมบัติพอที่จะวิจารณ์ หลายปีนี้ โหย่วเผิงทุ่มเทกับงานกุศลแม้จะพูดได้ว่าดาราศิลปินทำการกุศลเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ต้องดูท่านที่ในใจตัวเองของเขา เหมือนอย่างการทำสวยวิจิตร โหย่วเผิงใช้กำลังความคิดมากมายของตัวเองไปทำสวยวิจิตร เช่นนั้นสุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือใคร ไม่ว่าเป็นใคร จะไม่เป็นตัวเขาเองอย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังดำเนินการสวยวิจิตรไปให้ถึงที่สุด ยังสวยวิจิตรอย่างงาม การมองของตัวเขาเองแล้ว “การให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” งั้นก็ให้พวกเราอวยพรเขาจบการทำสวยวิจิตรอย่างสมบูรณ์

20 ปี จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ยี่สิบปีเปลี่ยนไปหมดแล้ว ใบหน้าของซูโหย่วเผิงนั้นเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทุกวัน ใคร่ครวญเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทุกวันแต่จิตใจที่แท้จริงดวงนั้นก็ยังเหมือนเดิม เชื่อว่าแฟนๆเพื่อนๆที่ติดตามเขามานานหลายปีไม่ใช่ใบหน้าที่ดีของเขาอย่างเด็ดขาด พูดตามจริง ในวงการบันเทิงนั้นก็มีดาราหน้าใหม่อยู่ทุกวัน อยากได้พวกหล่อๆนั้นมีมากจริงๆ นอกจากหน้าตาแล้ว สำคัญที่สุดก็คือดวงจิตใจ หวังว่าอีกยี่สิบปีต่อไปของโหย่วเผิงนั้น จะอยู่เพื่อตัวเอง อย่ารู้สึกว่าติดหนี้คนอื่นทั่วไปหมด อย่าให้ตัวเองยังมีชีวิตอยู่อย่างแคร์ความรู้สึกคนนั้นคนนี้อีก จะต้องคิดเพื่อตัวเองให้มากๆ บางครั้งก็โกรธคุณจริงๆ ดีต่อทุกคน แต่ไม่ดีต่อตัวเอง จำไว้ ทีหลังอย่ารู้สึกไม่เสียใจต่อตัวเอง ไม่อนุญาตเกิดการขัดแย้งกับความคิดของตัวเอง ต้องรักตัวเองให้มากหน่อย ดีไหม สุดท้าย ก็ยังยากจะหลีกเลี่ยงที่จะอวยพรตามประเพณีว่าให้คุณยิ่งอยู่ยิ่งดี คำพูดเป็นหมื่นๆคำมันอยู่ในการไม่พูด

127

<a href="http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Fdbe9249e.pbw" target="_blank" class="new_win">http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Fdbe9249e.pbw</a>


ซูโหย่วเผิงเขียนหนังสือ "ซิงซุนเตอฉางสั่ว:สถานที่ของวัยรุ่น"

ไกวไกวหู่ได้เขียนหนังสือด้วย แต่นั่นก็เป็นเรื่องเก่าแล้ว ที่ไต้หวันมีการพิมพ์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้งนี้นั้นเป็นสำนักพิมพ์ที่จีน ก่อนหน้านี้โหย่วเผิงมาแจกลายเซ็นในหนังสือ และขบวนมังกรที่ยาวนั้น เห็นที่สนุกก็จะเป็นชาวบ้านมากกว่าแฟนคลับ

เมื่อได้เปิดอ่านหนังสือของโหย่วเผิง นอกจากจะเห็นรูปเกือบร้อยใบแล้ว ยังมีเนื้อหาส่วนมากจะพูดถึงชีวิตวัยหนุ่มของเขา ความเครียดก่อนสอบเข้ามหาลัย และความซ้ำซากของการเรียน เริ่มสนใจเพศตรงข้าม และความสุขในช่วงมหาลัย... ได้ข่าวว่า ที่ไต้หวันนั้นมีนักเรียนมากมายได้ซื้อหนังสือเล่นนี้ไปอ่าน เพราะข้างในมีส่วนที่เกี่ยวข้องการขจัดความเครียดในเวลาเรียนได้อย่างไรด้วย และรวมถึงนักเรียนจะสอบเข้ามหาลัยต้องเตรียมตัวอย่างไร

จากนักร้องนักเรียนคนหนึ่ง กลายเป็นนักแสดงที่ทุกแห่งเป็นบ้านของตน สิ่งที่โหย่วเผิงจะเขียนนั้นน่าจะมีมากมาย เขาได้มีประสบการณ์ร้อนหนาวในช่วงวัยรุ่นมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่กลายเป็นความทรงจำในชีวิต เขาอยากจะบอกสิ่งเหล่านี้กับนักเรียนนักศึกษาที่ตกอยู่ในสภาพการณ์อย่างเขา ขอเพียงยืนหยัด หาญกล้า ซื่อสัตย์ ขยัน รับผิดชอบ ฉวยทุกโอกาส ไม่มีอะไรที่ผ่านไม่ได้

ในช่วงที่แจกลายเซ็นกับหนังสือเล่มนี้นั้น ทางผู้ปกครองที่มาเข้าแถวรับลายเซ็นยังให้สัมภาษณ์ว่า หนังสือเล่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นของเด็กๆ แต่ยังสอนให้ผู้ปกครองแนะนำลูกๆเรียนอย่างไรด้วย “จะร่วมเดินทางแห่งวัยเรียนวัยสอบของลูกด้วยกันได้อย่างไร โหย่วเผิงนั้นได้เขียนสิ่งเหล่านี้จากประสบการณ์จริงของเขา คุ้มค่าแก่การที่ผุ้ปกครองอย่างเราซื้อไปอ่าน หนังสือเล่นนี้มีคุณค่ามากกว่าหนังสือเขียนของดาราท่านอื่น....”




128

<a href="http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Feec160f6.pbw" target="_blank" class="new_win">http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Feec160f6.pbw</a>


ให้คุณได้อ่านตัวตนจริงๆของโหย่วเผิง

เมื่อได้เปิดเว็ปหน้าแรกก็เจอ “โหย่วเผิงตอบกลับเสี่ยวหุ่ตุ้ย ไม่เป็นอย่างที่ข่าวลือ”ทันใดฉันรู้สึกไม่พอใจเพื่อนเขา ก็รู้สึกเสียใจเหมือนกัน

เหมือนกับที่ทุกคนทราบ โหย่วเผิงเป็นคนราศีกันย์ เป็นคนที่แสวงหาความเพอร์เฟคของชีวิต แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนที่เลือกโน่นเลือกนี่กับชีวิต คนที่รู้จักตัวตนโหย่วเผิงจริงๆก็จะทราบว่าโหย่วเผิงเป็นคนที่เอาจริงเอาจัง ทุกเรื่องนั้นจะต้องตั้งใจทำด้วยมือตัวเอง หากว่าสามารถทำได้ดีกว่า แล้วทำไมไม่ทำ? หากว่าการแสวงหาความเพอร์เฟคเป็นเรื่องที่ผิดแล้ว แล้วในโลกนี้ยังจะมีอะไรที่เป็นความถูกต้องล่ะ? จำได้ว่าโหย่วเผิงเคยพูดไว้ “วงการบันเทิงมีการเปลี่ยนแปลงร้องแปดพันเก้า แต่ทุกก้าวของโหย่วเผิงที่เดินผ่านล้วนจริงจังตั้งใจ” ฉันเชื่อว่าแต่ต้นจนจบ โหย่วเผิงเขาก็จะมุ่งเป้าหมายอันนี้ของเขา และเชื่อมั่นในนิสัย ความจริงใจ ความเงียบของเขา ไม่งั้นคงจะไม่มีแบบอย่างหลงเหลือไว้ให้ สิ่งที่เขาทำไว้นั้นจะไม่มีวันสูญไป

เชื่อฉันเถอะเพื่อนๆ ความทุกข์ลำบากเป็นช่วงหนึ่งของชีวิต หากว่าไม่ใช่การงานของเขาที่เหนือกว่าทั้ง 2 คนแล้ว คงจะไม่มีข่าวอย่างนี้ออกมา เรื่องนี้สำหรับเขาแล้วมันไม่แฟร์จริงๆ โหย่วเผิงเป็นคนที่นับถือพุทธ ตามนิสัยของเขาแล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รวมเสี่ยวหู่ตุ้ย อาจเป็นเพราะคนอื่นไม่เข้าใจเขา แต่ว่าแฟนคลับนั้นเป็นผู้ที่เข้าใจเขาที่สุด

หลายปีมานี้ หากตัวโหย่วเผิงเป็นอย่างที่ข่าวเขียวไว้ อยากถามว่าทำไมยังมีคนมากมายยินดีที่จะติดตามเขาอยู่ ปกป้องเขา? แล้วเขาจะมีใจเขียนข้อความให้กับเฟนคลับตี 2 ตี 3 หรือ? หากว่าเขาไม่รักเสี่ยวหู่ตุ้ย น้ำตาเขาตกในช่วงให้สัมภาษณ์ได้ไง ? เสี่ยวหุ่ตุ้ยนั้นเป็นสิ่งที่ขาดจากชีวิตโหย่วเผิงไม่ได้ สามารถบอกได้ว่า “ เสี่ยวหู่ตุ้ยสร้างเวทีให้โหย่วเผิง เสี่ยวหู่ตุ้ยทำให้โหย่วเผิงมีวันนี้” บางครั้งเขาอาจจะไม่ได้พูดตรงๆเกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อเสี่ยวหุ่ตุ้ย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาลืมเสี่ยวหู่ตุ้ย ความผูกพันธ์ที่ลึกซึ้งนั้นไม่ได้มาจากปาก “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ในความทรงจำของโหย่วเผิงนั้นจะตลอดไป เป็นความประทับใจนิรันดร์




129
SCOOPS & SPECIALS / 2003 กล่าวถึงวัยแตกหนุ่มโหย่วเผิง
« เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2010, 06:04:42 PM »

กล่าวถึงวัยแตกหนุ่มโหย่วเผิง

วันเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เริ่มแรกที่ได้ฟังเพลง( I Only Want You To Love Me) โหย่วเผิงนั้นยังเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ทิ้งความเป็นเด็กเลย แต่เวลาผ่านไปชั่วพริบตาเดียว ไกวๆหู่ในอดีตนั้นได้กลายเป็นวัยรุ่นแล้ว เริ่มจากวัยรุ่นต่อสู้ไปจนถึงวัยเป็นผู้ใหญ่ พวกเราล้วนเห็นถึงในระยะเวลาสิบห้าปีที่ผ่านมาเขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเองตลอด

ไกวๆหู่ที่ไม่ไกว(ไกวคือเด็กเชื่อฟังหมายถึงเด็กดีที่ไม่เชื่อฟัง)

แม้ว่าช่วงเวลาที่อยู่ในวงเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นจะได้รับฉายาว่าไกวๆหู่ แต่โหย่วเผิงก็ยังกล่าวว่าแท้จริงเขาเป็นเด็กที่ซนคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเด็กที่ซุกซนมากแต่การเรียนของเขาก็อยู่ในเกฑณ์ที่ดีมาก ด้วยเหตุนี้ โหย่วเผิงก็ได้กล่าวอย่างไม่อายว่า “ผมเป็นพวกหนอนหนังสือ ในชีวิตนั้นนอกจากอ่านหนังสือแล้วก็คืออ่านหนังสืออีก” ฉะนั้นโหย่วเผิงก็เก่งในหลายๆวิชา จากคิดเลข ไวยกรณ์ รวมทั้งคีบอร์ดอีกด้วย จนได้กลายเป็น เด็กหนุ่มที่มากด้วยความสามารถ

หลังจากจบประถมศึกษาแล้ว โหย่วเผิงเกือบจะได้เป็นผู้ให้คะแนนการสอบคีบอร์ดของโรงเรียนเลยทีเดียว จะเห็นได้ว่าฝีมือของเขานั้นสูงส่งขนาดไหน แม้ว่าในช่วงมัธยมจะขาดจากการเล่นคีบอร์ดไป แต่ก็เห็นว่าเมล็ดแห่งคีบอร์ดนั้นได้ถูกหว่านเข้าไปในชีวิตของเขาไปแล้ว


ความใฝ่ฝันเป็นดาราในวัย 17

อายุ 17 โหย่วเผิงได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง เขาในตอนนั้นก็ยังเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง “แต่เด็กผมเองก็เรียนดนตรีแล้ว และชอบร้องเพลงด้วย ตอนเรียนมัธยมเหตุที่ชื่นชอบศิลปิน คือมาดอนน่า จงเซิงหมิง เส่าเหนียนตุ้ยเป็นต้น ฉะนั้นก็เริ่มฝันอยากเป็นดารา เมื่อเห็นรายการ(ชิงชุนต้าตุ้ยคั่น)ได้เชิญชวนสมัครเป็นผู้ช่วย ผมก็ไปสมัครด้วยตัวเอง แต่ตอนนั้นไม่เคยคิดว่าจะได้มีการออกอัลบั้ม เพียงแค่ทำงานเป็นอาชีพเท่านั้น” โหย่วเผิงได้กล่าวถึงความฝันอยากเป็นดาราในวัยเด็กของเขา

“ผมในตอนนั้นเดียงสามาก ก็เหมือนเป็นหนอนหนังสอนในสายตาคนอื่น ที่ฝังใจมากๆก็คือช่วงนั้นมีรายการ(จืออิงสือเจียน)ของไทเป ทุกสัปดาห์มีการจัดอันดับ ผมเป็นแฟนคลับพันธ์แท้ของพวกเขาเลย ตอนนั้นเพลงแรกของเสี่ยวหู่ตุ้ยคือ(ชิงผิงก่อเล่อเหยียน:Green Apple Paradise ) หลังจากที่ได้เปิดแล้วอันดับก็ขึ้นอย่างรวดเร็ว สัปดาห์ที่เพลงของเราได้ติดอับดับหนึ่งนั้นผมเองก็ร้องตะโกนดังมากบอกแม่ว่า  “แม่ พวกเราได้อันดับหนึ่งแล้ว ได้อันดับหนึ่งแล้ว” จนคิดไม่ถึงว่าตัวเองได้กลายเป็นขวัญใจไปแล้ว” โหย่วเผิงกล่าว


ชื่อเสียงไม่ยั่งยืน

แล้วตอนนั้นเสี่ยวหู่ตุ้ยดังแค่ไหนกัน? คนที่เกิดในช่วงปี 70 ก็จะเข้าใจดี แต่ว่ารายได้ของเสือน้อยสามตัวนี้นั้นหากจะพูดไปแล้วก็ไม่ดีนัก โหย่วเผิงกล่าวอย่างห่อเหี่ยวใจว่า “ค่าตอบแทนดาราใหม่นั้นไม่สูง และทางบริษัทก็หักค่าอะไรเยอะด้วย แล้วเงินที่ได้จากการขายเทปก็ยังต้องหารสามด้วย”

เงินนั้นได้มาไม่มาก แต่ความเครียดนั้นได้มาเป็นกอง ความดังของเสี่ยวหู่ตุ้ยมากเท่าใด ความเครียดของโหย่วเผิงก็มากขึ้นเท่านั้น จนเคยคิดที่ยากจะตายด้วยซ้ำไป ในช่วงนั้นของโหย่วเผิง เขาก็ได้คิดอยู่ตลอดเวลาว่า การสอบนั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา หากว่าสอบได้ไม่ดี ก็จะมีคนมาว่าเขาถ่มน้ำลายใส่เขา เหมือนกับว่าผมกำลังหลอกลวงชาวโลก ไหนบอกว่าร้องเพลงก็เก่งเรียนก็เก่งไง ตอนนี้เมื่อผมหวนคิดไปแล้ว ชีวิตที่ผมผ่านมานั้น ความกดดันที่ได้รับนั้นมันหนักกว่าคนในวัยนั้นที่จะรับได้ แม้ว่าในตอนนั้นผมเองก็ไม่เข้าใจว่าแท้จริงมันเป็นอย่างไร รู้เพียงว่าผมต้องปากกัดตีนถีบเพื่อจะผ่านมันไปให้ได้”

โหย่วเผิงสอบเข้ามหาลัยดังได้ตามคาด แต่ว่าที่น่าปวดใจคือ วิชาช่างวิชาศิลปะเป็นวิชาที่เขาอ่อนมากๆ แม้ว่าจะสอบมหาลัยได้ แต่ว่าเขานั้นไม่สนุกกับการเรียนวิชาช่างยนต์เลย อีกใจหนึ่งของเขาคิดอยากจะเปลี่ยนคณะไปเรียนบริหาร เหตุที่ทั้งงานที่ทำอยู่ ทำให้เขายุ่งและไม่มีเวลา แม้ว่าจะมีการสอบเก็บคะแนน หรือสอบปลายภาคจะถึงแล้ว ทางบริษัทก็ไม่ยอมให้เขาลาอ่านหนังสือ เวลาอ่านหนังสือของเขาไม่มี แน่นอนเรื่องการบ้านไม่ต้องพูดถึง แต่สังคมก็ยังคิดว่าการเรียนของเขานั้นดีมาก ทำให้โหย่วเผิงนั้นลำบากใจเป็นอย่างมาก ทำให้เขาเริ่มคิดว่าเรียนไปเพื่ออะไร? เขากล่าวว่า “แม้หากผมจบได้ ผมก็ถือใบปริญญาใบหนึ่งมาอวด ว่าดูซิ ผมเป็นไกวๆหู่ที่พวกคุณชมนักชมหนา ผมจะแสดงบทไกวๆหู่ไปอีกนานแค่ไหนกัน?”

โหย่วเผิงที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นสุดท้ายก็ลาออกจากการเรียน แม้จะลาออกแล้ว ความกดดันของเขาก็ยังมีมาก หากกล่าวถึงการลาออกจากการเรียนของเขา โหย่วเผิงได้พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า การตัดสินใจลาออกจากการเรียนครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจที่ยากจะลืมในชีวิต “หลังจากที่ตัดสินใจลาออก ก็เหมือนกับว่าฟ้ากำลังถล่มลงมา ทำให้ผมเคยคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะว่าการจะลาออกนั้นไม่ได้ง่ายอย่างคิดผมคิดไว้ ตอนนั้นผมยังเป็นคนที่แคร์ในสายตาความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างมาก ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะปล่อยวางการเรียนของผม เพราะแต่แรกทางบ้านก็ไม่เห็นด้วยกับการที่ผมจะเข้าสู่วงการแล้ว กลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อการเรียนของผม บวกกับตัวเองซึ่งก็เป็นเหมือนหนอนหนังสือตัวหนึ่ง สิ่งเดียวที่จะทำได้ดีคือการเรียน อนาคตจะเป็นหมอหรือทนายความ สำหรับผู้ชายนั้น การศึกษาถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ” โหย่วเผิงบอกว่าชีวิตในช่วงนั้นของเขานั้นถดถอยมาก ไม่เพียงแค่รับศึกจากในบ้าน เรื่องหัวใจก็ไม่รู้จะลงเอยอย่างไร ขนาดขับรถก็ยังเกิดอุบัติเหตุ ความซวยทุกอย่างมันมาประจบกันในเวลานั้น ทุกเรื่องเลวร้ายไปหมด “แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วมองย้อนหลังไปดู แท้จริงแล้วนั่นก็เป็นช่วงสั้นๆช่วงหนึ่งของชีวิตคนเราเอง สิ่งที่สำคัญคือหนทางข้างหน้าจะเดินต่อไปอย่างไร?” โหย่วเผิงเน้นว่าเขาในตอนนี้กับอดีตนั้นสิ่งที่แตกต่างกันคือ เขาในวันนี้นั้นจะไม่มีชีวิตอยู่หรือแคร์ต่อความรู้สึกของคนอื่น แต่จะเป็นตัวของตัวเอง

หลังจากที่ลาออกจากการเรียนแล้วโหย่วเผิงก็ได้ไปพักผ่อนที่อังกฤษช่วงเวลาหนึ่ง เริ่มคิดวางแผนหนทางข้างหน้าของตัวเอง สิ่งที่ผะอึดผะอมคือ แม้ว่าช่วงนั้นจะเข้าสู่วงการบันเทิงได้หกเจ็ดปีแล้ว แต่เหตุที่เข้าสู่วงการเร็วเกินไป แม้ว่าตอนนั้นเขาเองอยากจะหันไปเอาดีทางการแสดง แต่ด้วยอายุแค่ยี่สิบต้นๆของเขานั้นก็เป็นได้เพียงตัวประกอบ ยังดีที่เรื่ององค์หญิงกำมะลอได้ช่วยเขาไว้ มิฉะนั้นฝีมือการแสดงก็ไม่ดี ทำให้ผมที่เกิดมาเดียงสาอย่างนี้ต้องหมดอนาคตไป ทุกวันผมก็ได้จดบันทึกประจำวัน บอกกับตัวเองว่า "ทุกอย่างนั้นล้วนเริ่มจากศูนย์” โหย่วเผิงกล่าว

จริงๆในช่วงนั้น โหย่วเผิงเข้าสู่การแสดงโดยที่ไม่ดังเลย ในสายตาของคนอื่นแล้วเขาก็เป็นเพียงนักแสดงธรรมดาคนหนึ่ง จากจุดนี้ โหย่วเผิงอธิบายว่า “ ผมยังจำได้ว่าหลังจากที่ถ่ายละครจบแล้ว ผมได้กลับไต้หวันด้วยความภูมิใจ ตอนนั้นผู้จัดการส่วนตัวได้นำผม ไปหาค่ายละครและแนะนำให้ผมรู้จักกับผู้ใหญ่ เพื่อที่จะได้เล่นละครต่างๆ" จากนักร้องที่ตกเวทีต้องไปหาคาราวะค่ายละครต่างๆ ความปวดเจ็บของใจก็มีเพียงโหย่วเผิงเท่านั้นที่เข้าใจ

ไม่มีใครคาดคิด องค์หญิงกำมะลอพลิกชีวิตโหย่วเผิง ดังระเบิดเทิดเทิงทั่วไต้หวัน, ฮ่องกง เหมือนที่โหย่วเผิงกล่าว “ ในช่วงมือเงียบของชีวิตนั้น ไม่รู้หรอกว่าสวรรค์จะจัดสิ่งดีอะไรไว้และประทานมาให้คุณ เรื่องหลายเรื่องนั้นจะได้รับความกระจ่างก็ต่อเมื่อเราหมดสิ้นทุกอย่าง” แม้ว่าการแสดงจะให้อะไรมากมายกับโหย่วเผิง แต่สิ่งที่เขารักที่สุดนั้นไม่ใช่ละคร การเล่นละครก็มีความทุกข์ที่คิดไม่ถึง ละครหนึ่งเรื่องถ้าจะถ่ายให้เสร็จก็ต้องสี่ห้าเดือน ไม่เพียงแต่ทั้งปีไม่ได้พัก ทั้งนอนไม่อิ่มแทบทุกวัน บวกกับไม่ได้รับข่าวสารภายนอกเลย วันเวลามันทุกข์ระทมมาก แต่ว่าเมื่อคิดถึงชีวิตในการทำงานช่วงนั้นของเขา ทำให้เขายิ่งที่จะฉวยวันนี้ที่ยังมีอยู่
 
หลายครั้งโหย่วเผิงได้บอกว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่รักเดียวมาตลอด แล้วผู้หญิงตามสเปกของเขานั้นจะเป็นอย่างไร? “ไม่ชอบคนโกหก ต้องจริงใจ เข้ากันได้ นี่เป็นสิ่งพื้นฐานที่จะต้องมี” โหย่วเผิงกล่าวว่า “ยังต้องน่ารักหน่อย”

เมื่อถามถึงมุมมองในเรื่องการแต่งงาน เขาได้ตอบอย่างไม่รีรอ “ผมจะไม่รู้สึกว่าไม่แต่งงานไม่ได้ อยู่ด้วยกันก็โอเคแล้ว” โหย่วเผิงยิ้มแล้วบอกว่าตัวเองเป็นคนหัวสมัยใหม่ “ผมคิดว่ากระดาษเซ็นสัญญาสมรสใบหนึ่งก็งั้นๆ บวกกับผมเองก็เป็นคนที่ไม่ค่อยรักเด็ก ฉะนั้นผมเพียงรู้สึกว่าขอให้เราสองคนอยู่ด้วยกันด้วยความรัก มีเวลาไปท่องเที่ยวด้วยกันก็โอเคแล้ว


ไม่ว่าจะเป็นไกวๆหู่ในวัย 17  หรือว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วในวัย 30 ได้มีโอกาสร่วมงานกับเขามาตลอดเวลานั้นก็เห็นว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่คงเส้นคงวาตลอด ผมคิดว่า ความเป็นกันเอง จริงจังกับการงาน นี่ก็เป็นเสน่ห์ของเขาที่ไม่เปลี่ยนแปลงมาจนถึงทุกวันนี้






130
Scoop 24 ธันวาคม 2001


โหย่วเผิง แท้จริงเป็นคนอย่างไรกันแน่?

ความเดียงสาที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

โหย่วเผิงในสายตา

หน้าตาของโหย่าวเผิงกับในอดีตนั้นได้เปลี่ยนไปมาก จากการสัมภาษณ์ในวันนี้ เห็นถึงสีผิวที่ถูกแดดเผา เริ่มที่จะไว้ผมยาวและทั้งยังแต่งชุดสีดำด้วย ทำให้รู้สึกแปลกๆ มีความแตกต่างจากความสง่าในอดีตไป หรือว่านี่คือการโตเป็นผู้ใหญ๋แล้ว? โหย่วเผิงที่อยู่ต่อหน้าคนนี้ ฉันสามารถพูดได้ว่า เขามีความป็นสุภาพบุรุษมากขึ้น ดูไปแล้วมีความมั่นใจมากขึ้น

โหย่วเผิงในเสี่ยวหู่ตุ้ย

ถามถึงเสี่ยวหู่ตุ้ยในอดีต โหย่วเผิงได้ชะงักไปครู่หนึ่ง เชื่อว่าเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มานานแล้ว

“อดีตนั้น ผมเป็นไกวๆหู่ในวงเสียวหู่ตุ้ย ตอนนั้นผมเองก็ยังเป็นนักเรียนอยู่ เรื่องภายนอกของสังคมนั้นผมเองก็ไม่ค่อยจะรู้เท่าไหร่ ซื่อมากๆ ตอนนั้นผมเองก็ได้แต่ตั้งใจในการเรียนและร้องเพลง แทบจะไม่เข้าใจเรื่องอื่นเลย”

หลังตอบคำถามเสร็จแล้ว โหย่วเผิงก็ได้เงยหน้ามองเพดานอีกครั้ง แล้วเสริมอีกว่า ก็ยังเดียงสาเหมือนเดิม

โหย่วเผิงที่หลังแยกวง

หลังจากที่แยกวงไปแล้วโหย่วเผิงก็ไม่เหมือนช่วงอยู่เสี่ยวหู่ตุ้ย เมื่อก่อนมีเรื่องอะไรจะเป็นเราสามคนช่วยกันแบ่งเบา แต่มาวันนี้มีเพียงตัวผมคนเดียวที่จะรับแบกมัน

“ฉะนั้นจึงว่าเรื่องหลายๆเรื่องทำให้คิดได้ เป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ก่อนถ้าไปถึงต่างถิ่นก็จะไม่คุ้นต้องใช้เวลาปรับตัวไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เดี๋ยวนี้นั้นไม่ต้องใช้เวลามากมายในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมอย่างนั้นแล้ว นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของผม ฉะนั้นผมจึงมีความเชื่อมั่นต่อตัวเองเป็นอย่างมากสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง

ตลอดเวลานั้นก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง ก็คือตัวเองเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง


โหย่วเผิงในเวทีละคร

หลายคนเริ่มแรกรู้จักโหย่วเผิงจากทางละครทีวี จนบางคนนั้นแทบจะไม่รู้ว่าโหย่วเผิงก้าวสู่วงการโดยเป็นนักร้องมาก่อน ด้วยเหตุนี้เองเลยทำให้โหย่วเผิงหันไปเน้นในการแสดงมากกว่าร้องเพลงหรือเปล่า?

“การแสดงนั้นเป็นอาชีพที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในชีวิตผมเป็นอย่างมาก (องค์หญิงกำมะลอ) ที่เล่นเป็นอู่อาเกอ กับ มันต์รักในสายฝน ที่เล่นเป็นตู้เฟย สองตัวละครนี้มันฝังลึกเข้าไปในหัวใจของคนดูเป็นอย่างมาก แวดวงการแสดงนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้เวลามากมายในการไปเข้าใจกับตัวบท ตัวผมในการแสดงกับตัวผมในการร้องเพลงนั้นมันต่างกัน”

ตอนนี้โหย่วเผิงหวังที่จะเล่นบทของจางอู่จี้ในเรื่องดาบมังกรหยก ในภาคต่อไปเป็นอย่างมาก หากว่าถูกทาบทามไปรับบทต่ออีก ความสำเร็จก็จะสูงมาก โหย่วเผิงกล่าวว่า ตัวเองนั้นได้ทุ่มเทเวลากับการแสดงเยอะมาก แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าต่อไปอนาคตจะเป็นอย่างไร


โหย่วเผิงในเวทีนักร้อง

ห้าปีให้หลังจะขอออกอัลบั้มเพลงหนึ่งชุด โหย่วเผิงเปิดเผยว่าเหมือนกับตัวเองเกิดใหม่อีกครั้ง

“ภายในห้าปีนี้ ผมเองมีแต่งานการแสดง แฟนเพลงหลายคนก็คิดว่าผมลืมอาชีพการร้องเพลงไปแล้ว ฉะนั้นผมเลยบอกกับตัวเองว่า เวลาที่เหลือว่างหลังจากนี้ก็จะตั้งใจในการทำอัลบั้ม”

อาชีพนักร้องที่เขาเข้าใจคือ หากแต่จะร้องเพลงอย่างเดียวนั้นก็คงจะไม่พอ เขาเลยรับงานอย่างอื่นไปด้วย ในระยะอันใกล้นี้จะเปิดคอนเสิร์ต จะนัดพบเจอกับแฟนเพลงของเขาสักครั้งซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในความฝันของเขา


โหย่วเผิงในบทของอู่อาเกอกับตู้เฟย

อู่อาเกอและตู้เฟยในเรื่ององค์หญิงกำมะลอกับมนต์รักในสายฝน ตัวละครสองบทนี้เป็นที่รู้จักและฝังใจของผู้ชมเป็นอย่างมาก  “อู่อาเกอในเรื่องนั้นเป็นคนที่เพอร์เฟคมาก ไม่ว่าจะเป็นความรักต่อแฟน ต่อเพื่อน ต่อพ่อแม่มันซึ้งมาก มันครบถ้วนจริงๆ แต่ตู้เฟยในเรืองมนต์รักในสายฝนกับองค์ชายห้านั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าสภาพครอบครัวของตู้เฟยจะยากจน แต่เขาก็เป็นคนที่ดีต่อเพื่อน ต่อแฟน อย่างจริงใจ

โหย่วเผิงรู้สึกพอใจกับสองบทบาทนี้ เพราะมีอะไรหลายๆอย่างให้แสดงออกและพัฒนาได้

“จุดเหมือนกับของทั้งสองเรื่องนี้นั้น คือพวกเขาทั้งสองเต็มไปด้วยจิตใจที่ดีงามและการรู้จักให้อภัย นี่ก็เป็นนิสัยของผม ฉะนั้นเวลาที่จะถ่ายทำนั้นก็ไม่ได้ยากมากเท่าไหร่ แน่นอน ผมเองก็จะค้นหาบทที่แตกต่างออกไปในการที่จะพัฒนาตัวเองในการแสดงต่อไป”


โหย่วเผิงในสายตาของโหย่วเผิง

นักแสดงมากมายในภาพบนจอนั้นเป็นอย่างหนึ่ง มีภาพลักษณ์ที่ดี แต่ชีวิตส่วนตัวหรือเบื้องหลังชีวิตนั้นก็เป็นอีกอย่างหรือไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร แล้วโหย่วเผิงจะมีชีวิตนิสัยอย่างอื่นที่ไม่ปรากฏหรือเปล่า

“ชีวิตหลังละครของผมนั้นเป็นคนที่เรียบง่าย จะไม่ไปทำอะไรที่ตัวเองไม่ชอบทำ ในด้านทัศนะความคิดนั้นผมเป็นคนเปิดกว้าง ผมมักจะชอบลองอะไรที่ใหม่ๆ ชอบเปลี่ยนแปลง เพราะเหตุนี้เองจึงสามารถทำให้ผมพัฒนาตัวเองได้ “

“จริงๆแล้วผมเป็นคนที่จิตใจดี”






หน้า: 1 ... 5 6 [7]