แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Chomnath

หน้า: [1] 2 3 ... 7
1
โหย่วเผิง ก็เดินมาอย่างนี้ตลอดทาง
http://nn.mop.com/thread-56905-1-1.html

โหย่วเผิง ก็เดินมาอย่างนี้ตลอดทาง

เขาเป็นวัยหนุ่มที่ได้เต้น Green Apple Paradise
เขาเป็นเพื่อนบ้านชายที่ได้ตะโกนทั่วฟ้าว่า “ผมรักคุณ”

เขาเป็นขวัญใจของประชาชนทั้งสองประเทศ
เขาเป็นไกว ๆ หู่ ของเสี่ยวหู่ตุ้ย

เขาและเพื่อนผู้ซึ่งนำความหนุ่มสาวและความกระชุ่มกระชวยมา
ได้นำสัญลักษณ์พิเศษ “ความคิดที่ร้องเก่ง เรียนเก่งมา”
จากนี้ไปขวัญใจนักร้องจะไม่เป็นที่ขัดขวางของผู้ปกครองที่มีต่อลูกอีกต่อไป

ปีนั้นเขาอายุ 16
แสงไฟบนหน้ายิ่งส่องยิ่งสว่าง
ความทุกข์ในใจยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ
สุดท้ายลาจากการเรียน เดินทางไปคนเดียวเพื่อคลายความกดดัน

พริบตา ปี 1998 เขาได้กลายเป็น (องค์ชายห้า) ที่อ่อนโยน
เขาได้สลัดคราบนักร้อง และได้เกิดใหม่อีกครั้ง

ทั้งละครต่าง ๆ มีสักกี่คนที่จะแสดงได้ดีอย่างเขา
เขาประสบความสำเร็จ รักที่อ่อนโยน (องค์ชายห้า) หลายรักใน (เตียบ่อกี้) รักเดียวใน (ฮวยบ่อข่วย)
ทุกเรื่องที่เขาแสดงล้วนเป็นหนังยอดเยี่ยม
จากนี้ไปไม่ว่าเรื่องไหน ๆ ก็มักจะเห็นตัวเขา
แฟน ๆ กล่าวขานกันว่าเป็นยุคหนังของโหย่วเผิง

Old House Has Joy
Xiang Yue Qing Chun
Love at the Aegean Sea ซีรีย์สมัยใหม่
Amazing Cases
Warriors of the Yang Clan
My Bratty Princess ซีรีย์สมัยโบราณ
กับผลงานที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้ เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนไม่น้อย
เขาที่ชอบเปลี่ยนแปลงไปมา เลือกที่จะเดินสู่ภาพยนตร์

Re ai เป็นซีรีย์เรื่องล่าสุดของเขา
ได้ท้าทายฝีมือการแสดงคนบ้าของเขา
เป็นการแสดงผลที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ปี 2009 ได้เซอร์ไพรส์เรื่อง The Massage
ไป๋เสี่ยวเหนียน กับความสำเร็จอีกครั้งของเขาในงานภาพยนต์
การร้องละครเพลงงิ้วมาตรฐานดีมาก.......เขาสำเร็จแล้ว

ด้วยเหตุนี้ทำให้เขายิ่งมั่นใจในการเข้าสู่วงการภาพยนตร์
Shoa nian xing hai รับบทเป็นครูของลี่ซิงไห่เป็นนักรักดนตรีของชาติ
A singing faira รับเล่นเป็นหนุ่มที่กลับมาบ้านเกิดแล้วได้ร้องเพลงอิตาลี่เพลงพื้นบ้าน

ตรุษจีนปี 2010 เขาได้ปรากฏตัวต่อผู้คนด้วยบุคลิกใหม่ร่วมกับเพื่อนในอดีต
ได้ร่วมร้องเพลงเพื่อนหวนถึงอดีตที่ดี ๆ
ด้วยการแสดงของเขาที่ยอดเยี่ยม ทำให้พวกเราร้องไห้อีกครั้ง

มิถุนายน 2010 ดอกไม้บานไปทั่วภาพยนตร์จีน ได้เชิญเขาร่วมงาน
การที่ได้รับเลือกนั้น เพราะจากฝีมือการแสดงในเรื่อง The Massage
เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับคำชมเป็นอย่างมาก

ภาพยนตร์ที่ดีนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงเส้นทางของเขาอีกครั้ง
การร่วมงานกุศลนั้นเป็นชีวิตจิตใจของเขา
เขากล่าว “การกุศลคือการทำไม่ดีแต่พูด”
เขาเชื่อว่า “การให้ดีกว่าการรับ” เขาให้เราจำไม่ลืม
“มีจิตใจที่ดี ทำในสิ่งที่ดี พูดในสิ่งที่ดี เป็นคนที่ดี”
เส้นทางงานกุศล เขาได้นำเหล่าแฟน ๆ ทำกันอย่างไม่หยุดหย่อน
เขาคือ “ซูโหย่วเผิง” เป็นศิลปินที่ควรค่าแก่คุณและฉันสนใจ
เป็นศิลปินที่ภาพลักษณ์ดีคนหนึ่ง.

2
Magazine Interviews-China / 2014 Ming Zhou Entertainment เล่มที่ 186
« เมื่อ: มกราคม 16, 2014, 12:14:39 PM »


【นิตยสาร】Mingbao Weekly เดือน มกราคม 2014 --- หลินอี้เฉิน เตรียมตัวเป็นเจ้าสาว ซูโหย่วเผิง ยังคงเป็นหนุ่มโสดสายธรรมะต่อไป

หลินอี้เฉิน และ ซูโหย่วเผิง เป็นการประกบคู่ที่น่าทึ่งเหมือนกัน เคมีของทั้งสองเข้ากันได้อย่างน่าตกใจ สาวสวยที่มาพร้อมความเก่งอย่างเธอ กับหนุ่มวัยกลางคนอารมณ์ขันและมั่นคงอย่างเขา ทั้งสองต่างประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ในเรื่องของความรักกลับอยู่กันคนละฝั่ง หลินอี้เฉิน เจอคู่แท้ที่พร้อมฝากชีวิตแล้ว ใบหน้าของเธอเอ่อล้นไปด้วยความสุข ต่างกับ ซูโหย่วเผิง ที่ไม่มีโชคในเรื่องความรัก ยังคงเป็นหนุ่มโสดอยู่เหมือนเดิม ได้แต่ประชดตัวเองว่า แต่งไม่แต่งก็ได้ อย่างมากก็ไปบวชช่วยมนุษยชาติ

ในภาพยนตร์เรื่อง 《Sweet Alibis》นั้น ซูโหย่วเผิง รับบทเป็นตำรวจขี้ขลาด มากด้วยประสบการณ์ ส่วน หลินอี้เฉิน รับบทเป็นตำรวจหญิงอารมณ์ร้อน ทั้งสองได้ทำคดีร่วมกัน ในชีวิตจริง เธอก็เป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนกัน แค่ไม่ค่อยแสดงออกมาเท่านั้น “ฉันเป็นคนชอบตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แต่เมื่อได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็จะทำให้ดีที่สุดค่ะ” เธอบอกว่าแม้แต่เรื่องไปเรียนต่อที่อังกฤษ ก็ไม่ได้ใช้เวลาคิดนานมาก  “ฉันถามตนเองว่า ถ้าอีก 10 ปีข้างหน้าจะเสียดายเรื่องที่ไม่ได้ไปอังกฤษมั้ย กลับมาแล้วยังจะมีงานเข้ามามั้ย คิดแค่นี้ ก็ตัดสินใจเลยค่ะ อีกอย่างการไปเรียนต่อต่างประเทศเป็นความฝันตั้งแต่ก่อนเข้าวงการอีกค่ะ”

ได้เรียนรู้มากมายจากการเรียนต่อที่อังกฤษ

หลินอี้เฉิน ไปเป็นนักเรียนอีกครั้งที่ลอนดอน ตอนนี้ก็ประมาณ 3 เดือนกว่าแล้วและเพิ่งผ่านเทอมแรกไป หลินอี้เฉิน ที่เลือกเรียนการแสดงนั้นบอกว่า เธอบอกว่าได้ความรู้เพิ่มมากมาย ซึ่งวิชาที่จำลองการออดิชั่น ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอเลยทีเดียว “พูดตามตรงเลยว่า ฉันไม่ค่อยมีประสบการณ์เรื่องออดิชั่นมากนัก ไม่ถึง 5 ครั้งด้วยซ้ำ เพราะว่าฉันเข้าวงการในช่วงที่ 《F4》กำลังดังพอดี ผู้กำกับส่วนมากนิยมหานางแบบหน้าใหม่ที่ไม่มีชื่อเสียงมาแสดง ทำให้ฉันได้รับบทนางเอกตั้งแต่ละครเรื่องแรก จากนั้นมาก็ได้แสดงเป็นตัวเอกตลอด บางครั้งก็ต้องแสดงทั้งที่ยังเตรียมตัวไม่เต็มทีเลย ระหว่างนั้นก็ค่อยไปเสริมและปรับเอา พอตอนนี้ได้เรียนในสิ่งที่นักแสดงควรต้องเรียนแล้ว รู้สึกสนุกเหมือนกันค่ะ ”

หลินอี้เฉิน บอกว่า หนังส่วนมากในอังกฤษมักจะเลือกนักแสดงที่ยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงมาออดิชั่น เพราะว่าวิชาการออดิชั่นนั้นสำคัญมาก ทางโรงเรียนมักจะหาผู้กำกับออดิชั่นมืออาชีพมาคอยสอน “เราจะได้รับบทก่อนสัมภาษณ์ 1 ถึง 2 วัน ประมาณ 2 ถึง 4 หน้า จากนั้นเราค่อยไปเตรียมชุดและแต่งหน้าตามลักษณะบทที่ได้รับ ตอนแรกก็แสดงไปตามความคิดของเราก่อน 1 รอบ แล้วให้ผู้กำกับออดิชั่นชี้แนะ ดูว่าคุณแสดงตามวิธีที่เขาบอกได้หรือไม่ จากนั้นก็จะถามคำถามเกี่ยวกับตัวละคร ทุกวินาทีถือว่าเป็นการแข่งขัน เพราะฉะนั้นต้องรักษาเวลาให้ดีที่สุด จนกระทั่งถึงเวลาลงจากเวทีก็จะประมาทไม่ได้เลยค่ะ ”

คว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจาก Golden bell awards ไป 2 สมัย ฝีมือการแสดงของ หลินอี้เฉิน นั้นเป็นที่ยอมรับของทุกคน เธอชอบที่จะท่องบทให้คล่องก่อนแสดง จำได้แม้กระทั่งบทของคู่สนทนา และชอบโน๊ตจุดสำคัญไว้เต็มกระดาษ เธอกล่าวว่า “หลังจากที่ได้ไปเรียน ค้นพบว่าสามารถเขียนบทได้ละเอียดกว่านี้ พระเจ้า มีเรื่องให้เรียนรู้ไม่มีวันหมดเลยค่ะ” เธอพูดตามตรงว่า ปวดหัวกับเรื่องการบ้านเหมือนกัน ทั้งยังต้องใช้ภาษาอังกฤษในการพูดอ่านเขียน ยิ่งทำให้ยากเข้าไปอีก “แต่พอคิดถึงสิ่งที่ได้รับหลังจากความลำบาก หลังจากส่งการบ้านแล้ว ก็รู้สึกอิ่มเอมเหมือนกันค่ะ อีกอย่าง ความรู้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะได้มาง่ายๆอยู่แล้ว” แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นราชินีนักแสดงได้นะคะ เพราะนอกจากพรสวรรคแล้ว ยังต้องรู้จักทำให้มันดีและดีกว่าด้วยค่ะ

หวังเป็นนักแสดงไร้จุดบกพร่อง

“จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผู้ชมอาจจะรู้สึกว่าหนังที่ฉันแสดงน่าสนใจดี ก็เลยดูกัน แต่หลังจากที่ได้มาเรียน ฉันหวังว่าการแสดงของฉันไม่เพียงน่าสนใจเท่านั้น แต่ว่าไม่มีจุดบกพร่องเลยด้วย” หลินอี้เฉินบอกว่าอาจารย์ได้สอนเรื่องเจ๋งๆให้เธอเรื่องหนึ่ง “ทุกบทพูดจะมีความหมายแฝงอยู่เสมอ” เหมือนอย่างหนังดีๆของอังกฤษในสมัยนี้ สิ่งที่ตัวละครต้องการจะสื่อไม่ใช่เพียงคำพูดที่พูดออกมาเท่านั้น “ต้องมีคำพูดแฝงใต้คำพูด ถึงจะมันส์“ ไม่ได้เรียนรู้แค่ความรู้ในห้องเรียนเท่านั้น การเรียนต่อในต่างเมืองครั้งนี้ เธออยากลองใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาด้วย ต้องต่อคิวเวลาไปทานแมคโดนัล ไม่ถูกปกป้อง ไม่มีสิทธิพิเศษ และลองทำทุกอย่างด้วยตนเอง

 “ที่ฉันเป็นห่วงคือมีคนไปนอนบนรางรถไฟฟ้า ฉันเคยเจอมา 2 ครั้ง ฉันเข้าเรียนสายตั้งแต่คาบแรกเพราะมีคนไปนอนบนรางรถไฟ อาจารย์เคยพูดตอนปฐมนิเทศแล้วว่า การมาสายเพราะรถไฟฟ้าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเลย ฉันก็เลยรีบโดดขึ้นแท็กซี่ไปแทน แต่ก็ยังสายไป 9 นาที ตอนแรกอาจารย์จะไม่ให้เข้าเรียนด้วยซ้ำ แต่ยังดีที่ว่าวันนั้นแยกเรียนเป็นทีม  A และทีม B ทีมB เริ่มเรียนช้ากว่า ฉันก็เลยขออาจารย์ไปเรียนกับทีม B” หลินอี้เฉิน เผยว่า ตอนนี้การงานมีอัตราส่วนใน 1 ส่วน 6 ในชีวิตเธอเท่านั้น 10 ปีที่ผ่าน เธอเอาการทำงานเป็นหลัก จนมีอยู่ช่วงนึงเริ่มไม่สนิทกับน้องชาย ปัจจุบันเธอเลือกงานไม่มากแต่มีคุณภาพ การงานอยู่ใน 1 ส่วน 6 ของชีวิตเท่านั้น “การทำงานไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แต่ว่ามันสามารถนำความสำเร็จมาให้คุณได้ ฉันคิดว่าเราต้องห้ามลืมความรู้สึกสำเร็จในตอนนั้น แต่ว่าความรู้สึกแบบนี้ต้องมาจากเรื่องอื่นๆนอกจากการทำงานได้ด้วย”

ปัจจุบัน หลินอี้เฉิน โฟกัสไปที่การเรียนเป็นหลัก สำหรับเรื่องความรักนั้น? เธอคบกับแฟนหนุ่มนักธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์ดำน้ำมาได้ 2 ปีกว่าแล้ว เธอมีความรักที่มั่นคง เพราะแฟนหนุ่มทำงานที่อเมริกา ส่วนเธอก็เรียนที่อังกฤษ ปีนี้เป็นปีที่ลำบากสำหรับเขาทั้งสองเลย “เพราะว่าเวลาที่ต่างกันทำให้ค่อนข้างลำบาก ตอนที่ฉันอยู่ไต้หวัน จะหาเวลาที่ตรงกันได้ 2 – 3 ชั่วโมง แต่ตอนนี้พอฉันไปเรียนเขาก็ต้องนอนแล้ว พอฉันเลิกเรียน เขาก็ต้องทำงาน ถ้าจะติดต่อกันก็ต้องมีคนหนึ่งที่นอนดึก หรือตื่นเช้า” เธอคิดว่าการรักษาความสัมพันธ์นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นอยู่ด้วยกันตลอด แน่นอนว่าไม่ได้เป็นการทดสอบไม่เจอกันเป็นปีนะคะ “ที่สำคัญคือเราต้องมีเป้าหมายร่วมกัน ยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำ“
คาดว่าจะแต่งงานหลังเรียนจบ

มีข่าวว่า หลินยวี่เชา บินไปฉลองวันเกิดพร้อมขอแต่งงาน หลินอี้เฉิน ถึงอังกฤษเมื่อปลายปีที่ผ่าน หรือว่า “เป้าหมายร่วมกัน”ที่ หลินอี้เฉิน พูดนั้นหมายถึง การแต่งงาน? หลินอี้เฉิน ยิ้มตอบว่า “แน่นอนว่าเมื่อได้คบกับใครแล้ว ก็หวังว่าเขาจะเป็นคนที่ใช่ซิคะ“ สเปคการเลือกคู่ชีวิตของเธอนั้น อันดับแรกคือจิตใจ รวมถึงความสามารถในการควบคุมอารมณ์และศีลธรรม แฟนหนุ่มตรงตามสเปคที่เธอตั้งไว้ทุกอย่าง แต่ก่อนอื่นต้องทำหน้าที่นักศึกษาให้ดีก่อนค่ะ เร็วที่สุดก็น่าจะปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า เรื่องแต่งงานต้องรอหน่อยนะคะ

หลินอี้เฉิน วางแผนแต่งงานหลังเรียนจบ ตอนนี้ อู๋ฉีหลง เองก็กำลังคบหากับ หลิวซือซือ อยู่ ถือโอกาสที่ ซูโหย่วเผิง ออกรายการโปรโมทหนังใหม่ จางเสี่ยวเยี่ยน ก็ได้ถามถึงเรื่องความรักของเขาด้วย เขาหัวเราะกล่าวว่า ก่อนหน้าที่ อู๋ฉีหลง จะเปิดตัวแฟนนั้น ก็ได้ส่งข้อความบอก โหย่วเผิง ก่อน พร้อมทั้งบอกให้เขารีบทำตามเลย ซูโหย่วเผิง สารภาพว่า “ผมเป็นคนค่อนข้างแปลก ก็เลยไม่ค่อยมีโชคเรื่องความรักซักเท่าไหร่ เรื่องแต่งงานมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ทุกอย่างแล้วแต่โชคชาตะและพรหมลิขิตครับ ผมมีจังหวะของตัวเอง ไม่อยากรีบเร่งเพราะจะตามคนรอบข้างครับ“ สำหรับเรื่องหลักในชีวิต เขาที่มีความสนใจด้านพระพุทธศาสนาตั้งแต่เด็ก เขาพูดติดตลกว่า ”จะบวชช่วยมนุษยชาติ“
ถึงจะเป็นดารามากประสบการณ์ แต่ ซูโหย่วเผิง ก็ไม่ได้วางมาดในงานโปรโมทเลย ก่อนหน้างานแจกลายเซ็นต์ 1 วัน เขาโทรหา อู๋จงเทียน ด้วยตนเอง พร้อมบอกให้ถามคำถามเขาได้เต็มทีเลย เพราะเขาเองก็จะไม่เบามือเหมือนกัน อู๋จงเทียน บอกว่าเจอพระเอกที่ตั้งใจขนาดนี้ครั้งแรกเลย นอกจากคำนึงถึงความรู้สึกของทีมงานแล้วยังอุตส่าห์โทรศัพท์หาด้วยตนเอง ซูโหย่วเผิง หัวเราะแล้วพูดว่า “ผมไม่ชอบการแสดงเป็นพี่เป็นน้อง สำหรับผมแล้ว มีแค่เพื่อนที่ชอบกับไม่ชอบเท่านั้น ไม่มีเพื่อนที่ควรคบไม่ควรคบ ผมจะไม่เลือกปฏิบัติเพียงเพราะว่าตำแหน่งหน้าที่ในสังคมของเขาเท่านั้น“

เคยถูกเยาะเย้ย และหวังจะได้รับการยอมรับ

ซูโหย่วเผิง มีนิสัยรักความสมบูรณ์ตามนิสัยของชาวราศีกันย์ แต่ก็มีนิสัยไม่ชอบความขัดแย้งตามราศีกุมภ์ เมื่อเผชิญกับเรื่องที่ไม่แฮปปี้มักจะเก็บไว้ในใจก่อน แต่ก็มีวินัยในตัวเองมาก ที่ผ่านทุกคนเรียกเขาว่า “ราชาแห่งความเข้มงวด“ แต่ปัจจุบันเขาค่อนข้างปล่อยวาง เขาพูดตามตรงว่า  “ตอนเด็กไม่รู้จักชีวิต ไม่รู้สิ่งที่คนอื่นแคร์ สิ่งที่คนอื่นให้ความสำคัญ และไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องสนใจด้วยซ้ำ สรุปว่าแสดงหนังไปตั้งนานผมก็ยังไม่รู้อยู่ดี หลังจากนั้นผมก็เริ่มเรียนรู้ เริ่มดีกับคนอื่น และแคร์ความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น ”

เมื่อ จ้าวโยวถิง หยวนจินเทียน เริ่มเข้ามาต่อยอดและพัฒนาในวงการของประเทศจีน ซูโหย่วเผิง กลับเลือกกลับไปสนับสนุนวงการไต้หวันแทน เขาเผยว่า มีเพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเขาตอนเมาว่า “หมดอายุแล้ว” ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายพูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาก็เสียใจมากเหมือนกัน  “ตอนนั้นผมเหมือนมีปมที่ไม่ได้คลี่คลายจากไต้หวัน หวังว่าจะได้รับการยอมรับจากคนในบ้านเกิด“ 3ปีที่แล้ว ซูโหย่วเผิง ได้เข้าร่วมงานนิทรรศกาลภาพยนตร์ที่โตเกียว พร้อมผลงาน 《คังติ่งฉินเกอ》 เข้ารับรางวัล ภาพยนตร์จีนที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด ในฐานะนักแสดงจากไต้หวัน ตอนแรกเขาหวังว่าผู้ชมไต้หวันจะภูมิใจในตัวเขา และกลับบ้านเกิดอย่างมีความสุข  แต่ตัวแทนกลับเกิดข้อขัดแย้งกันเรื่องใช้ห้องรับรองห้องเดียวกัน และถูกลามไปถึงเรื่องของการเมือง สุดท้ายแล้ว เขาไม่กล้าไปเดินพรมแดงด้วยซ้ำ การขึ้นเวทีร้องเพลง 《คังติ่งฉินเกอ》 ในงาน China Night  ก็ถูกหาว่า ”ได้ดีแล้วลืมบ้านเกิด“

เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานนิทรรศกาลภาพยนตร์ที่โตเกียวครั้งนั้น สิ่งที่เขายังปล่อยว่างไม่ลงคือ “เข้าร่วมงาน China Night เพราะว่าต้องไปแสดงผลงาน ที่ผมไม่ได้ไป Taiwan Night เพราะว่าไม่มีผลงานไปแสดง ถ้าไปก็เหมือนไปโดยไม่ได้รับเชิญ พูดตามตรงว่าตอนนั้นที่ทุกคนใช้คำพูดแรงขนาดนี้ ผมเสียใจมากจริงๆ ความฝันที่อยากกลับบ้านเกิดของผมแหลกละลาย ไม่มีโอกาสได้อธิบายด้วยซ้ำ บวกกับเรื่องเสี่ยวหู่ตุ้ย (จะรวมตัวกันอีกครั้งหรือไม่) กระจายไปทั่ว ตอนนั้นผมคิดว่าตนเองกลับไปไม่ได้แล้ว ในขณะที่เขาค่อยๆจะปลงกับเรื่องเหล่านี้แล้ว อยู่ๆก็มีหนังไต้หวันเข้ามาพอดี” ปัจจุบันนี้ เขาไม่สนใจความคิดเห็นของคนภายนอกแล้ว “ผมผ่านจุดนั้นมาแล้ว ที่จริงเป็นคนธรรมดาที่ไต้หวันดีมากเลยนะครับ พอออกจากงานปุ๊ป ผมชอบที่ตนเองเป็นเหมือนคนธรรมดา ไม่ค่อยมีใครสนใจครับ“

3
Magazine Interviews-China / 2013 Top Travel (South Africa)
« เมื่อ: กันยายน 25, 2013, 11:27:53 AM »




ก.ย.-2013 Top Travel (South Africa)

นิตยสาร “ซื่อเจี้ย” มีการนำเสนอแฟชั่นเสื้อผ้าสำหรับท่องเที่ยว ทำให้คนที่อยู่ในระหว่างการเดินทางมีสีสันโดษเด่นมากขึ้น จากตอนแรกแสวงหาเพียงรูปแบบพื้นฐานในการท่องเที่ยว จนถึงปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย การท่องเที่ยวในปัจจุบันกลายเป็นการแสดงทัศนคติส่วนบุคคล ภายใต้ภาพของช่างภาพในแอฟริกาใต้ แฟชั่นกับผลกระทบจากสภาพเดิมนี้ก็คือไอเดียใหม่ๆกับการตีความในอิสระของแต่ละบุคคล

“ก้อนหินหนึ่งก้อนกับเพชรเม็ดหนึ่งมีความแตกต่างยังไง? เขาเขียนไว้ในเว็บไซด์ Weibo การรับรู้เรื่องราวในรูปแบบเดิม หากไม่ใช่รูปลักษณ์ในการคิด ก็คือการรับรู้ที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาในการเดินทางในแอฟริกา”

ภาพถ่าย ณ สวนสาธาณะแห่งชาติแหลมกู๊ดโฮปในแอฟริกาใต้ ภายใต้ขอบฟ้าจะรับรู้ได้ถึงกรงล้อที่หมุนไปของประวัติศาสตร์ แต่พวกเราคิดว่าจะเป็นช่วงเวลาหนึ่งตลอดไป

ผู้คนในสนามบินแค่มองทีเดียวก็รู้ว่าเขามา เสื้อคลุมทีเขียวสดโดดเด่นสะดุดตา เหมือนซุปเปอร์สตาร์ทั่วไป แว่นตาดำคู่หนึ่งทำให้เขาแตกต่างจากผู้คนรอบๆ เดินเข้าไปใกล้ ก็คือใบหน้าที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่มีความรีบร้อนและไม่หงุดหงิด เหมือนตั้งใจจะควบคุมบรรยากาศความโดดเด่น แต่ว่าคนๆนี้ไม่ใช่คนที่สามารถทำให้บุคคลที่สัมภาษณ์ที่เป็นนักเขียนเกิดความตื่นเต้น มันสมอง ท่วงท่า รูปลักษณ์ ล้วนไม่มีที่ติ การสัมภาษณ์เป้าหมายแบบนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้นเขามีการคลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงมานานทำให้การการตอบสัมภาษณ์ครั้งแรกน่ากลัว ตัวฉันที่เปลี่ยนเป็นดอนกิโฆเต้ค่อยๆหันหน้าไปเผชิญหน้าทางกังหันลมอย่างไร้เรี่ยวแรง เพราะรูปแบบคำตอบของพวกเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

“คุณว่านี่เป็นยังไง?”

“ดีมากเลย”

“ดียังไงเอ่ย?”

“ก็ดีมากๆไง”

“เออ...”

คำพูดที่โดดเด่นติดปากของเขา “ก็ดีนะ” “ก็โอเค” “น่าจะอย่างนั้น” ทำให้ฉันงงตึบ แอบนึกในใจว่าสู้ไปค้นหาตามรอยชีวิตของเขาบนอินเตอร์เน็ตคงจะเร็วกว่า แต่ว่าต่อหน้าผู้ชายคนนี้ใบหน้าที่จริงใจไร้เดียงสา การมองคนต้องมองที่แววตา ฉันอ่านออกได้จากแววตาสีดำคู่นี้ ทะลุไปถึงความสงบที่ไร้กังวล และความไม่กลัวแน่วแน่ในเรื่องยากที่จะพูดถึง  ก็ได้แต่แอบถอนใจอย่างเงียบ ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบกลายเป็นความน่ากลัว ผู้ชายที่ความสมบูรณ์และหันหน้าสู่ธรรมะเป็นการเปรียบเทียบที่น่ากลัว

โชคดี ยังมีแอฟริกาใต้

ภาพถ่าย ณ แอฟริกาใต้เขตสงวน Shamwari กล้อง EOS 5D Mark Ⅲ ถ่ายภาพที่ระเอียดอย่างต่อเนื่องทำให้เห็นถึงความโดดเด่น

การท่องเที่ยวผ่านไปได้ไม่กี่วัน หรือจะถูกสภาพสิ่งแวดล้อมที่กว้างใหญ่หน้าชมของแอฟริกาใต้ดึงดูด พวกเรามองเห็นซูโหย่วเผิงคนนั้นค่อยๆดูอบอุ่นขึ้น หลินซินหยูซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเคยเปิดเผยว่า “การพูดของเขามักติดตลก แต่ก่อนทุกคนรู้สึกว่าเขาพูดง่าย เป็นคุณชายที่ดูสมาท จริงๆก็คือตัวเขาที่อยู่บนจอหนัง ซึ่งโดยส่วนตัวของเขาก็เป็นคนชอบพูดตลก เป็นคนที่มีไอเดียมากๆ บางครั้งมักจะดื้อรั้น เป็นคนที่มีจิตใจเต็มเปี่ยม”

“ซูโหย่วเผิงค่อยๆเปิดเผยตัวเองไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง ขอเพียงมีเวลา เขาจะเข้าร่วมวงสนทนากับพวกเรา แล้วก็มักจะเป็นประเด็นยกมาพูดกัน จุดที่โดดเด่นของเขาคือเป็นผู้ฟัง แบ่งปันเรื่องราวการท่องเที่ยวของคณะ กี่วันต่อมา เขาจากผู้ถูกสัมภาษณ์ค่อยๆกลายเป็นผู้สัมภาษณ์ มักจะถูกเขาถามคำถามกะทันหันทำให้พวกเราไม่สามารถรับมือได้ ซุปเปอร์สตาร์รุ่นใหญ่ที่โดดเด่น ก็เสมือนได้ถูกสภาพแวดล้อมทิวเขาที่โดดเด่นของแอฟริกาดึงดูด ให้เดินลงมาจากบัลลังซุปเปอร์สตาร์ กลายเป็นเพื่อนที่ร่วมเดินทางข้างกายที่สนิทสนม”

โดยสารไปเมืองจิ้นตูโดยเฮลิคอปเตอร์ของบริษัท Sport Helicopters เตรียมชมทิวทัศน์โดยรอบของเมือง

ใกล้จุดสมดุล

มีแต่อยู่ข้างกายช้างป่าแอฟริกาจึงจะรู้สึกถึงพวกมันใหญ่โตและสง่างาม

เพื่อจะร่วมมือกับช่างภาพ ซูโหย่วเผิงถูกจัดให้นั่งรถเฉพาะที่ใกล้กับช้างสามารถสัมผัสใกล้ชิดได้ เรื่องที่ไม่เหมาะเจาะก็คือ พวกเราอยู่ในฝูงช้างฝั่งนี้ แต่เขาอยู่ฝั่งนู้น มองไปก็ถูกกั้นไว้ด้วยช้างมหึมา เหมือนคนตัวเล็กๆอยู่บนรถเล็กๆ มีเพียงอุปกรณ์ข้างกาย มือถือ? เมื่อเรารู้สึกถึงอันตรายก็สายไปแล้ว ฝูงช้างแตกฝูง ช้างตัวเล็กเพศผู้ทำให้จ่าฝูงโมโห จึงถูกไล่ให้ไป ช้างตัวเล็กเพศผู้หงุดหงิด ไม่สามารถจำแนกทางได้ จึงจะพุ่งชนรถ SUV ที่ซูโหย่วเผิงนั่ง เพียงแค่วินาทีเดียวพวกเราทุกคนที่ก็ตกใจชงักไปเลย คนขับกลับรถอย่างรวดเร็ว เปิดทางให้ช้างตัวเล็กเพศผู้ เป็นการเปิดช่องทำให้พวกเรามองเห็น เสียงร้องของฝูงช้างและเสียงตกใจของพวกเราทำให้มีเสียงดังท่ามกลางความสงบ พวกเราสงบจิตสงบใจได้ ก็เร่งคนขับรถชื่อเบนใช้โทรศัพท์ติดต่อสื่อสารกับผู้นำทางอีกฟากชื่อจูเลี่ยน หลังจากเบนใช้ภาษาแอฟริกาพูดคุยกับผู้นำทางอีกฝั่ง ก็หันกลับมายิ้มอย่างโล่งอกว่า “เขาปลอดภัยแล้ว ก็สนุกดีนะ” กี่นาทีผ่านไปเขาก็ได้ปรากฏในสายตาของพวกเราอีกครั้ง  EOS 5D MarkⅢ ที่ถืออยู่ถ่ายภาพช้างทั้งหมดอย่างใกล้สุดๆ สนุกสนานอย่างมาก

ภาพถ่าย ณ เขตสวงน Shamwari แอฟริกาใต้ เป็นครั้งแรกที่ซูโหย่วเผิงมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับช้างมากที่สุด

จนถึงช่วงค่ำนั่งล้อมรอบกองไฟ พวกเรายังกลัวเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดล่วงหน้า เลยถามเขาว่า “ตอนนั้นคุณกลัวไหม?” ใบหน้าไม่แสดงอาการใดๆ “ไม่กลัวครับ ทำไมต้องกลัวด้วยล่ะ? จูเลี่ยนมีประสบการณ์มาก อีกทั้งพวกเรายังสนทนากันยาวมาก”

จูเลี่ยนบอกเขาว่า ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาได้ 15 ปีแล้ว การใช้ชีวิต 15 ปีโดยห่างไกลจากเมือง ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่นอนดึก อยู่ร่วมกันกับสัตว์ทั้งหลาย เห็นคนบนโลกนี้ไปๆมาๆ นำความสุขมาให้กับพวกเขา ผมชื่นชมเขา ชื่นชมในความสุขที่เรียบง่าย  ซูโหย่วเผิงสรุป “งั้นคุณจะเลือกใช้ชีวิตแบบนี้ไหม”  เขายิ้มแล้วก็หัวเราะ “แน่นอนไม่ ผมรับไม่ได้หรอก ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบการเปลี่ยนแปลง ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็มีชีวิตที่มีความสุข ผมเข้าใกล้จุดสมดุลมากแล้ว” ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเขาในกี่ปีก่อน คงจะมีคำตอบอีกแบบหนึ่ง

ภาพถ่าย ณ อ่าวเจฟฟรีส์ แอฟริกาใต้ สัมผัสเทคนิคการขี่ม้าสำหรับองค์ชายห้าอย่างไร้ความกดดัน

“เพียงแค่สิบปี ผมในสายตาคนอื่นนั้นคือความสำเร็จ แต่จริงๆแล้วในสิบปีนี้ผมห่างไกลกับครอบครัวมาก ในเวลานั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ห่างไกลจากกลุ่มเพื่อน เพื่อนเก่าก็ค่อยๆหายไป ผมอยู่ในวงการบันเทิงไม่สามารถใช้ชีวิตกับเพื่อนๆไปด้วยได้ นั่นเป็นช่วงชีวิตไม่สมดุล แต่การมีชีวิตที่แท้จริงต้องมีความสมดุล ในมุมของผม มันกลับยังไม่ใช่ความสำเร็จผ่านเรื่องราวเหล่านั้น ผมถึงรู้ว่าไม่ควรที่จะแสวงหาแต่ส่วนนั้น”  เขาที่ค่อยๆเดินทีละก้าวไปกับนิยามบนโลกใบนี้มากน้อยยังไม่มีหลักประกันอะไร ชีวิตมีสีสันมากมาย โลกก็มีสีสันสดใสม ชีวิตคนไม่มีตัวกำหนดที่แน่นอน ทำไมถึงเอาตัวชี้นำผิดๆที่ว่าความสำเร็จคือการหาได้เงินเยอะๆด้วยล่ะ? เป็นเพียงแค่คนขับรถแท็กซี่ธรรมดาคนหนึ่ง ผมก็มีความสุขแล้ว การทำงานธรรมดาทั่วไป รับผิดชอบลูกๆกับภรรยา ทำให้คนรอบข้างปรองดองรักใคร่ นี่ก็คือความสำเร็จอย่างนึง”

พูดถึงช่วงที่ตื่นเต้น เวลาพูดจะพูดเร็ว และยังเริ่มแสดงออกทางมือ เมื่อรู้สึกว่าฉันตามเขาไม่ทัน เขาก็จะช้าลงหน่อย ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลถาม “คุณเข้าใจความหมายของผมไหม?” ฉันบอกว่าเข้าใจ เห็นเขาดื่มกาแฟไปอีกรอบ กาแฟของเขาไม่เคยใส่น้ำตาล เพราะชีวิตคนเดิมก็คือทุกข์ สามารถมองทะลุได้ แต่ก็ไม่สามารถมองแตกฉาน เขาสามารถจัดการความสุขท่ามกลางความทุกข์ได้ดี

คำว่าตัวฉัน

“พูดอย่างเปิดเผย เว็บไซด์ Weibo ของคุณค่อนข้างเป็นทางการ ไม่สามารถมองตัวตนที่แท้จริงของคุณออก” ที่ฉันหมายถึงคือเว็บไซด์ Weibo ของเขาในช่วงนี้มีการโฆษณาละครใหม่ๆตลอด พูดถึงตอนนี้ พวกเราก็อยู่บนรถบัสที่จะไปยังจุดหมายถัดไป แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาว ดวงอาทิตย์ร้อนแรงในแอฟริกาที่ยังไม่ลับขอบฟ้าก็ยังส่องผ่านหน้าต่างมาถึงเรา  เขากลับดึงผ้าม่าน ทำให้แสงอาทิตย์ก็ส่องเข้ามามาก “ถ้าอย่างั้น คุณว่า คำว่า“ตัวฉัน” มีความสำคัญขนาดนั้นเลยหรอ?” เขาหลับตาภายใต้แสงอาทิตย์ ถามกลับฉันว่า “ทำไมต้องเน้นที่  “ตัวฉัน” ตลอด Weibo ของฉัน ทัศนคติของฉัน บุคลิคของฉัน ชีวิตของฉัน ฉันนั้น ฉันนี้” ช้าก่อน เขาบอกต่อไปว่า “ผมมักจะบอกกับเพื่อนๆให้ ลองลืม คำว่า“ตัวฉัน” ดู คุณอาจจะมีอิสระมากกว่านี้”

มิน่าตอนที่ถามถึงอารมณ์ส่วนลึกๆของเขาก็จะพยายามบ่ายเบี่ยง “ลูกภรรยาของผม ก็คือทีมงานของผม” ในกองถ่าย“เฟยหยวนอู้เหย่า”ก็เคยร่วมงานกันมาแล้ว พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียง เพียงแค่ได้ฟังตัวเขาบรรยายอย่างละเอียดเกี่ยวกับคำว่า“ตัวฉัน” ฉันถึงเข้าใจอย่างชัดเจนในความหมายของเขา

จริงๆแล้ว ที่ผ่านมาแล้ว จากแปลกหน้ากลายเป็นคุ้นเคย จากดารากลายเป็นเพื่อนสนิท ก๊วนเพื่อนที่ดี สถานะของเขาเปลี่ยนกลายเป็นเหมาะเจาะ แม้ว่าจะมีการเที่ยวตลอด เขากลับเป็นตัวกระตุ้นในทีมและเป็นสิ่งวิเศษคุ้มครอง งานราตรีมีการละเล่นที่วิเศษและการหลอกล้อของเขาจึงไม่ทำให้งานกล่อย การถ่ายนอกสถานที่เพราะว่าเขาจัดการและประสานงานได้ดีไร้ที่ติ ต่อผู้ป่วยในทีมเขาก็ดูแลเอาใจใส่ ต่อเพื่อนที่ผิดพลาดเล็กน้อยก็ช่วยเหลือตักเตือน ในเกมส์ฆ่าคน เขาก็สามารถสนุกสนานกับเพื่อนในทีมได้ดี อยู่ในสนามบินเขาสามารถละทิ้งความเป็นดาราดังช่วยเพื่อนในทีมขนสัมภาระ ในทีม ในสายตาเขา ไม่มีคำว่า “ตัวฉัน” อยู่ในสายตา เขาจะช่วยเหลือคนในทีมอยู่ตลอด ใจกลับสงบ ความสงบแบบนั้นเป็นอารมณ์ที่เคยผ่านเทือกเขาสายน้ำเหมือนธรรมชาติ

ภาพถ่าย ณ เขตสงวน Shamwari แอฟริกาใต้ อยู่กับคนผิวดำ”พี่น้อง”ช่วยกันวิเคราะห์หนังใหม่อย่างระเอียด

หากว่าชอบการท่องเที่ยว ไม่เพียงเพราะสามารถมองเห็นตัวตนที่แท้จริง และก็เพราะแบบนี้ทำให้ตัวเองกลายเป็น “Nobody” การใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป สามารถไปเดินตลาด สามารถที่จะดูแผนที่เหมือนนักท่องเที่ยวที่ชอบเดินไปเรื่อยๆเข้าตอกซอกซอยในยุโรป สามารถอยู่ในเกาะเขตร้อนไม่ต้องทำอะไร ตากแดดอย่างเดียว และก็สามารถจัดการเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างต่อเนื่อง เพียงเพื่อได้เห็นหลายๆมุมของเมือง เขาชอบการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่หลากหลาย แน่นอนก็ชอบรูปแบบการท่องเที่ยวที่หลากหลายและมีสีสันซู โหย่วเผิงซึ่งไม่ชอบการท่องเที่ยวคนดียวมักจะเลือกเพื่อนร่วมเดินทางสักสองสามคนเป็นกลุ่มร่วมดินทางไปด้วย เขาในปลายปีก่อน ปรารถนาและหลงใหลในทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยมีผู้คน ดังนั้นหลายปีก่อนในการทัศนศึกษา เผชิญหน้ากับการเลือกนิวยอร์กและลอนดอน แต่ตัวเขาเลือกลอนดอน “ผมพักอยู่ในโฮมสเตย์แบบเก่า ลักษณะวินเทจมากๆ แต่เมื่อออกเดินทาง ก็สามารถมองเห็นเพื่อนๆที่เดินเฉียดกันไปมาอย่างมีสีสัน รูปแบบนั้นดันกลับดูน่าสนุกมาก! ”

 

การสะสมอัลบั้มหลากหลายในการเดินทาง เป็นสิ่งที่เขาชอบทำ เขาได้สัมผัสกับคนผิวดำในแอฟริกาใต้มากมาย พนักงานบริการในโรงแรม คนขับรถ นักเต้นรำ เจ้าของร้านเล็กๆ......รูปภาพที่แตกต่างกันนี้ยิ่งดึงดูดเขา “ผมชอบศึกษาใบหน้าและแววตาของพวกเขา แววตาเหล่านั้นล้วนอธิบายถึงเรื่องราวของแต่ละคน  ทุกเรื่องล้วนแตกต่างกัน จุดนี้ทำให้คนหลงใหล”

“ถ้าหากว่าในระหว่างการท่องเที่ยวถูกคนจำได้จะทำยังไง?” เขาลองคิด “ไกวไกวหู่” มีลักษณะท่าทางยักคิ้ว ทำปาก “ใบหน้าของฉันดูเขินๆ ไม่ได้แกล้งนะ”

ชีวิตก็คือการรับรู้

ในมุมหนึ่ง เคปทาวน์ เขตมาเลย์ มีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นฟุตบอลดึงดูดเขาให้มอง ซูโหย่วเผิงก็เดินไป เขาที่พูดภาษาอังกฤษคล่องแคล่วก็ไม่สามารถทำให้เด็กเหล่านั้นหยุดเล่น  ได้แค่เพียงถือกล้อง EOS 5D MarkⅢ ยืนชมเงียบๆอยู่ข้างๆ เมื่อดูว่ามีจุดสนุกๆ ก็จะช่วยเตะบ้าง เด็กๆเห็นกล้องถ่ายภาพในมือเขาก็ยังเล่นต่อไป และก็ยังเล่นกันในกลุ่มอย่างครึกครื้น ในฐานะซุปเปอร์สตาร์จากที่บัลลังก์สูงส่งลดตัวลงไปไต่ถามกับพวกเขาดูเหมือนจะไม่เหมาะ ณ เวลานี้สถานที่นี้ เขาก็เป็นเพียงผู้ชมที่ยืนอยู่ในเส้นทางชีวิต แล้วก็พอใจในตัวเองที่เป็นผู้แสดงจัดไว้

ภาพถ่าย ณ อ่าวเจฟฟรีส์ แอฟริกาใต้ ซูโหย่วกล่าวว่า “ผมไม่ใช่คนที่ใช้เพียงการแสดงมาเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์ นอกเหนือจากนักแสดง ก็ใช้การท่องเที่ยวไปเติมเต็ม”

ชีวิตของเขาเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่คนส่วนมากที่มักมีความเคยชินสนใจใช้สายตาจดจ้องกับความสำเร็จเจิดจ้ามักจะละเลยมุมนี้ จากเด็กผู้ชายกลายเป็นไอดอล หนทางนี้เขาค่อยๆเดินมา 25 ปีแล้ว  ปัจจุบัน คุณมองเห็นแค่ริมปีปากที่แต่งแต้มสีสัน กลับมองไม่เห็นความผูกพันของเขาที่อยู่ภายนอกกล้อง คุณมองเห็นสีสันภายนอกของเขา แต่มองไม่เห็นสิ่งภายในที่ผ่านมาในอดีตของเขา บุคคลที่ร้องไห้กอดกันอยู่ในผับกับเฉินจื้อหมิงก็คือเขา เป็นไข้สามวันไม่มีคนดูแลก็คือเขา คนที่อยู่ในความโดดเดี่ยวซึมเศร้าฟังเพลง《Bring him home》ก็คือเขา คนมากมายชอบและเคยหลบหนีผู้คนทั่วโลกก็คือเขา

เขาเคยตามใจตนเองจนถูกโลกทอดทิ้ง และเพิ่มความกล้ากลับคืนสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง เขาใส่ใจกับการแต่งตัว รักษาภาพลักษณ์ไอดอลที่โดดเด่น ไม่เคยท้าทายชะตาอย่างเปิดเผยแรงกล้า กลับใช้ท่าทางที่สูงส่งอ่อนโยนข้ามผ่านชีวิต ชมเชยเพียงแค่ความสวยงามภายนอกและอิจฉาชะตาที่ดีของเขา ไม่ต้องสงสัยว่าลืมการทุ่มเทอดทนและความตั้งใจในหลายปีที่ผ่านมาของเขา หากไม่มีโชคชะตาที่ประสบความสำเร็จในวัยรุ่น  กับการตัดสินใจครั้งใหม่ที่จะฟื้นขึ้นมา ไม่ใช่พูดลอยๆแล้วจะเข้าใจ

ภาพถ่าย ณ โรงงานผลิตไวน์ Croot Constantia ในแอฟริกาใต้ คนหนึ่งคนที่ต้องเดินทางไกลๆ จึงจะสามารถพบเห็นแหล่งไวน์ร้อยปีที่ดึงดูดคนได้

“ถ้าหากเลือกได้อีกครั้ง คุณยังจะเลือกชีวิตแบบเดิมไหม?”  เขาเกาหัวคิด พยักหน้าตอบ “แน่นอน เพราะนี่คือชีวิตที่ผมต้องการ” ชีวิตคนถูกเขานิยามไว้เป็นความรู้สึกเหมือนฝ้ายที่ติดผัน แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าบุคลิกของตนเองที่ไม่ยอมตัดสินชะตาที่ประสบความสำเร็จและความล้มเหลว สิ่งที่เขาต้องการมาตลอด ก็ได้แล้ว เรียบง่ายแบบนี้ มีเพียงสิ่งเหล่านั้นที่มีเพียงหนึ่งเดียว เวลาที่พลิกผันสูญเสียไป เขาก็จะหยุดเดินเดินแบบเงียบๆ  ทำให้อารมณ์ในใจเงียบสงบและผูกพันธ์สลับซับซ้อนที่เคยเกี่ยวพันกัน มองไปยังตนเองเมื่อหลายปีก่อนที่หงุดหงิดไม่สงบ ดวงตาที่มีความเมตตา

เขาพูดว่า “เธอสังเกตช้างที่มองมายังแววตาของเราไหม?”

“ธรรมชาติแบบนั้นกับการเปิดเผยแสดงถึงใจที่ไม่มีการแบ่งแยก สำหรับช้างแล้ว คุณก็คือคุณ ไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำรวยจน แต่พวกเรามี พวกเราหวังว่าในตนเองสายตาคนอื่นก็ไม่แตกต่างกัน ดังนั้นพวกเราสามารถปรับเปลี่ยนตนเอง ตามที่คิดเสริมสิ่งต่างๆให้กับตนเอง”

ภาพถ่าย ณ โรงงานผลิตไวน์ Croot Constantia ในแอฟริกาใต้ ในร้านผลิตไวน์โบราณในแอฟริกาใต้ ดื่มได้ไม่มีวันหมด มีการบ่มไวน์ที่ดีและลึกลับมาสามร้อยกว่าปี

พิจารณาโดยระเอียด เวลาที่หมุนเวียนของตัวเขา เหลือไว้เพียงริ้วรอยที่เจือจาง ต่อหน้าผู้ชายที่อบอุ่น สะอาด นอบน้อมคนนี้ แบกรับโลกที่มีเกียรติทั้งใบ แต่เหมือนเขาจะไม่ใส่ใจ ภายใต้ความเล็กน้อย สิ่งที่เคยกระทบกระเทือนภายในจิตใจก็ผ่านพ้นไปแล้ว

เมื่อจบการเดินทาง เขาก็ได้เขียนบน Weibo ของตน “ก้อนหินหนึ่งก้อนกับเพชรหนึ่งเม็ดมีความแตกต่างยังไง? เขาเขียนไว้ในเว็บไซด์ Weibo การรับรู้เรื่องราวในรูปแบบเดิม หากไม่ใช่รูปลักษณ์ในการคิด ก็คือการรับรู้ที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาในการเดินทางในแอฟริกา”

ความอิสระของโหย่วเผิง ก็เหมือนทัศนะที่มีอิสระ

ภาพถ่าย ณ แอฟริกาใต้เขตสงวน Shamwari บางครั้งช่างภาพดีกว่าดวงตาที่สามารถจับความรู้สึกและจิตใจในตอนนั้นที่นั้น

Q&A การท่องเที่ยวก็คือการเปลี่ยนชีวิตแบบหนึ่ง

T = นิตยสาร “ซื้อเจี้ย”  S =ซูโหย่วเผิง

T: สำหรับคุณแล้วการเดินทางที่ยิ่งใหญ่คืออะไร?

S: ให้ตัวเองเปลี่ยนวิถีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง นอกเหนือจากเส้นทางการแสดงที่มีความสำเร็จและล้มเหลวนั้นแล้ว สามารถรับรู้การใชชีวิตของคนทั่วไป รับรู้รสชาติการเป็นคนทั่วไป

T: สัมภาระที่ต้องเตรียมไปในการท่องเที่ยว?

S: ต้องเตรียมมือถือธรรมดา กล้อง มือถือไอโฟน เครื่องเสียงพกพาและแผนที่ ผมเป็นคนที่ชอบดนตรี และชอบนำดนตรีให้กับเพื่อนร่วมเดินทางรอบกาย ครั้งนี้มาแอฟริกาใต้ เพราะว่าต้องเตรียมจะตีพิมพ์บันทึกจริงในแอฟริกาใต้ ผมและผู้ช่วยพกกล้องถ่ายไปหลายตัว หลังนำมาใช้และเปรียบเทียบ พบว่ากล้อง  EOS 5D Mark III ถ่ายภาพได้อย่างต่อเนื่อง คุณภาพของภาพระเอียด ข้อดีโดดเด่น รูปภาพสะท้อนถึงแอฟริกาใต้ที่แท้จริงในใจของผม

T: เป้าหมายต่อไปคือที่ไหน?

S:มัลดีฟส์ เพราะครั้งนี้จัดรางวัลการท่องเที่ยว “เฟยหยวนอู้เหย่า” ผมเชิญคณะทำงานของผมไปเข้าร่วม และก็เป็นรางวัลขอบคุณสำหรับความลำบากหนึ่งปีกว่าๆที่ผ่านมาของทุกคน

4

เนื่องใน วันครบรอบ 40 ปี  SUYOUPENG  และวันครบรอบ 3 ขวบปี บ้านซูโหย่วเผิง www.baansuyoupeng.com 11 กันยายน  2013

สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคนเนื่องในวันเกิดโหย่วเผิง 11 กันยายน 2013  โหย่วเผิงขวัญใจของพวกเราย่างเข้า 40 แล้ว เป็นวัยหนุ่มหนักแน่นสมวัยพวกเรารักเขาในสิ่งที่เป็นเขา และจะรัก พร้อมกับอยู่เคียงข้างแบบนี้เสมอๆ และตลอดไป

5

6
ซูโหย่วเผิง กับชื่อเล่น "ไกวไกวหู่" เด็กดีในสายตาคนอื่น


7
ซูโหย่วเผิง ชีวิตที่ตกสุด พลิกผันมาดังสุด "องค์หญิงกำมะลอ"



8
Magazine Interviews-China / 2012 Gainer
« เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 11:47:27 AM »
http://tieba.baidu.com/p/2013561579

บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จาก นิตยสาร Gainer  28  พฤศจิกายน 2012


"ผมมีความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตคือการปฏิบัติภายใต้สิ่วแวดล้อมภายนอก ช่วยให้คุณสามารถหันกลับเห็นความสงบของจิตใจ"

9
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จาก นิตยสาร TVBS รายสัปดาห์  20 พฤศจิกายน 2012



หนวดเครา+กล้ามเนื้อเป็นมัดมัด เพิ่มความ MAN ให้ซูโหย่วเผิง

ถึงเวลาปรับเปลี่ยน ( คุณลุง ) อายุซูโหย่วเผิง นานมากแล้วที่เค้าห่างหายจากคำว่าไกวไกวหู่ จิตวิญญาณของเค้ายังคงดื้อรั้นดึงดันที่จะทำตามความต้องการของตัวเค้า ไม่ว่าจะผ่านมามากมายหลายบทบาท.แต่นักเรียนที่ขยันและตั้งใจมักจะมีความมุ่งมั่นและใส่ใจเสมอ และเค้ามักจะอินกับบทที่ได้รับ เตรียมพร้อมกับการรวมวงอีกครั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ย เค้าก็คิดว่าทั้งหมดมันก็อาจมีของดีที่ว่า........

มาทำงานที่กองถ่ายแบบนิตยสารเวลานัด,ความเป็นผู้นำและแบบอย่างของซูโหย่วเผิง ในมืออย่างน้อยมีก๋วยเตี๋ยวหอยนางรมถือเอาไว้สิบชาม กับคนที่เดินตามหลังถือแกงเผ็ดเลือดเป็ดมาเต็มสองมือ เมื่อนั่งลงแล้ว ซูโหย่วเผิงก็แสดงมารยาทแก่คนที่อยู่ในกองถ่าย เพื่อที่จะขอทานอาหารเสร็จก่อนแล้วค่อยมาคุยเรื่องทำงานกัน.

หลังจากได้กลับมาทำงานที่ไต้หวันเค้าก็หวังที่จะได้กินอาหารที่คุ้นเคยของที่นี่,เมื่อมองดูเค้าทานก๋วยเตี๋ยวคำโตๆ ดูดูแล้วไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือดาราดัง เพื่อให้เป็นการไม่เสียเวลาทำงาน เค้าจึงรีบทานมันให้เร็วยิ่งขึ้น รีบจนเหงื่อแตกผลั่กๆ แล้วยิ่งไปกว่านั้นคือลุกขึ้นยืนทาน และไม่ลืมที่จะทักทายคนในกองถ่ายที่ยืนอยู่ข้างๆ เค้าบอกว่าอยู่ที่เมืองจีนไม่ได้กินของอะไรอย่างนี้มานานมากแล้ว,สิ่งที่ไม่อาจทำให้ผมลืมมันได้เลยก็คือของอร่อยๆที่ไต้หวันนี่แหละครับ... ( จริงๆแล้วบางครั้งผมก็จะกลับมาที่ไต้หวัน,กลับมาก็หลายครั้งนะครับ.เพียงแต่ไม่มีใครรู้เท่านั้นเอง,ยังมีคนคิดว่าผมเป็นคนจีนเลย....และวันผมก็ให้คนอ้อมไปซื้อของกินจากร้านนี้มาให้เลย มันมีความสุขจริงๆเลย! )

ไม่ชอบหนังฝรั่ง อย่างที่สุด

ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง เค้ามักจะไม่ลืมที่จะพูดถึงเรื่องของอร่อยในไต้หวัน มาดังที่เมืองจีนผลงานต่างๆทั้งหมดก็เป็นละครและภาพยนตร์ แป๊ปแป๊ปเดี๋ยวคนก็ลืม ก่อนที่เค้าจะมาเป็นไกวไกวหู่ เค้าเป็นเพียงนักเรียนจากเจี้ยนจง เด็กที่รักการอ่านเดินทางเข้าสู่วงการบันเทิง บทบาทที่เค้าแสดงก็สะกดใจคนที่ได้ชม แต่ (เสี่ยวหู่ตุ้ย) กับภาพลักษณ์ของเค้านั้นสวมมานานมากแล้ว ภาพลักษณ์นี้กับซูโหย่วเผิงเค้าคิดว่า มันเป็นทั้งแรงสนับสนุนและเป็นทั้งอุปสรรคสำหรับเค้า.

(เริ่มแรกกับบทบาทเรื่อง (องค์หญิงกำมะลอ) ผมกับหลินซินหยูไม่ได้เรียนมาทางด้านสาขาการแสดงด้วยกัน แล้วผลที่ได้คือหนังเรื่องนี้ดังเป็นพลุแตก แล้วผมก็ได้มีโอกาสมารับบททางการแสดงอีกมากมายส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก และในบางครั้งผมก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธรับบทที่ต้องแสดงบทบาทรักดูดดื่มเหมือนในหนังฝรั่งได้ ผมชอบที่จะได้รับบทบาทที่มันท้าทายไม่เหมือนคนอื่น จนกระทั่งได้มารับเล่นเรื่อง ( เฟิงเซิง ) เรื่องนี้อาจเรียกได้ว่าต้องอาศัยความสมบุกสมบันในการทำงานเป็นพิเศษ ผมเป็นดารานักแสดงที่ชอบลองสิ่งใหม่ๆ (นักแสดงที่มากด้วยความสามารถ) ไม่ว่าบทไหนผมก็จะใช้ความพยายามที่จะให้ตนเองเป็นหนึ่งเดียวกับมันให้ได้ อาจด้วยเหตุผลนี้ มันจึงทำให้ผมเหนื่อยมาก)

ไกวไกวหู่ไม่ทิ้งความมุ่งมั่น ฝึกฝนจนเป็นพ่อหนุ่มหุ่นเฟริม

เพื่อให้สมบทบาท ซูโหย่วเผิงจึงยอมเล่นบทเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวก็ชายเดี๋ยวก็หญิง เค้ายอมรับว่า ต้องทำให้ร่างกายมีกล้ามเนื้อดูเฟริมสมบทบาท ทำอย่างนี้อยู่ครึ่งปีกินแต่อาหารที่ให้โปรตีนสูง ในแต่ละวันต้องไปเก็บตัวอยู่ที่ฟิตเนต จนสามารถทำให้ตัวเองมีหน้าอกที่บึกบึน หน้าท้องมีซิกแพค ( คงจะนึกภาพกันไม่ออก ถ้าจะให้เห็นกันจะจะ เค้ายังโชว์รูปจากในมือถือของเขามาเพื่อเป็นการยืนยันด้วย) ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยังถ่ายทำไม่เสร็จ แต่กลับทำให้เห็นว่า ซูโหย่วเผิงนั้นมีจิตวิญญาณและความพยายามสูง.

ในตอนนี้ซูโหย่วเผิงได้เปลี่ยนสีผิวของตัวเองด้วยการอาบแดด หนวดเคราก็ปล่อยโดยไม่ค่อยให้การดูแล ในตอนนี้เค้าแทบดูไม่ออกเลยว่าคือไกวไกวหู่ เค้าพูดแกมขำว่า ตอนนี้ผมก็เป็น ( คุณลุง ) ด้วยอายุแล้ว กลับไปมองอดีตของเสี่ยวหู่ตุ้ย มันก็ทำให้รู้สึกอ๊ายอาย ถึงแม้ว่าเสี่ยวหู่ตุ้ยจะกลับมารวมวงอีก ถึงยังไงเค้าก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนความคิดของเค้าไปง่ายๆ แต่หวังว่าจะมีการวางแผนงานใหม่กับเรื่องนี้ ( ความทรงจำมันก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง สองปีที่ผ่านมาทุกคนพูดถึงเรื่องนี้ ผมไม่อยากทำ นั่นมันก็จะทำร้ายจิตใจใครหลายๆคนที่รู้สึกดีกับวงเสีี่ยวหู่ตุ้ย.....ผมพูดจริง   ถ้าหากว่ากลับมารวมวงกันใหม่แล้วร้องเพลงเก่าๆ ภาพลักษณ์มันต้องออกมาไม่ดีแน่ แต่ทางบริษัทก็มีความจริงใจ พวกเขาอยากทราบข้อแน่นอน เลยให้คนมาคุยพวกเราสามคน ผมหวังว่าเรื่องนี้มันควรจะจบได้แล้ว....)  ซูโหย่วเผิงปฏิเสธที่จะพบสื่อถึงเรื่องที่เค้าไม่เห็นด้วยกับการคืนวง แต่เมื่อก่อนปลายปีที่แล้วซูโหย่วเผิงปฏิเสธสามงานแสดง แล้วอยากรู้ว่า ( กำหนด ) มันจะเป็นอุปสรรคของการกลับมารวมวงของเสี่ยวหู่ตุ้ยหรือไม่.

ความพอใจ ที่ได้มาถ่ายภาพยนตร์ที่ไต้หวัน

อู๋ฉี่หลง เพื่อนรัก หลินซินหยู ทยอยกันเปลี่ยนตัวเองไปเป็นผู้จัดภาพยนตร์(ละครโทรทัศน์) ซูโหย่วเผิงปีนี้ได้เริ่มลงทุนสร้างหนัง มาเป็นผู้จัดอย่างเต็มตัว คิดไม่ถึงว่าละครเรื่องแรก (ไม่รักก็อย่างมากวนใจ) จะได้เสียงตอบรับที่ดีมาก ได้คะแนนความนิยม ซูโหย่วเผิงถึงกับยิ้มร่า เป็นผู้จัดเอง ในความคิดผมไม่ได้คาดฝันไว้ มันกลับมีผลตอบรับอย่างเกินคาดขนาดนี้ ( เคยมีคนมาคุยกับผมถึงเรื่องหน้าแล้ว.....ที่จริงที่ผมเป็นผู้จัดเองนี่ไม่ใช่เพราะอยากได้เงินเยอะๆ แต่เป็นเพราะว่าผมอยากที่ใช้คำพูดและคำสั่งซะมากกว่า เรื่องอื่นผมไม่ค่อยถนัด ก่อนหน้านี้เรื่องสึนามิผมก็ได้ให้เงินสมทบไปก็หลายร้อยล้านหยวนอยู่ แต่การทำภาพยนตร์ เป็นงานที่ผมรัก สามารถที่จะทำหนังดีๆสักเรื่องหนึ่งได้เนี่ยมันเป็นเรื่องที่น่าดีใจมากเลย) ซูโหย่วเผิง ยังเผยอีกว่า ได้ทำสัญญากับหนังเรื่องหนี่งที่ไต้หวันไว้แล้ว (เรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกดีใจมากเลย เพราะว่า ผมสามารถที่จะใช้เวลาช่วงนี้ทำงานอยู่ที่ไต้หวัน ).

ทิ้งท้าย.... ( คำหวาน ) ปล่อยไก่

ซูโหย่วเผิงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำงานที่ประเทศจีน ได้เรียนรู้ความแตกต่างของคนจีนของคนจีนสองฟากฝั่ง สั่งสมประสบการณ์ที่ได้ประสบพบเจอด้วยตนเอง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมไปกองถ่าย ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะทางทีมงานนั้นเปิดโอกาสให้ผมได้มีเวลาว่างที่จะสามารถมานั่งดื่มชาและหาของทานเล่นได้ พอทางทีมงานมาเจอผมเข้า ทำหน้าตาตื่นแล้วพูดกับผมว่า : ( ว้าว! คุณนี่ดีจริงๆ! ขอบคุณคุณมากๆนะ! ซาบซึ้งใจมากเลย! ) ผมยังคิดอยู่ว่ามาพูดจาไพเราะและแสดงความซาบซึ้งใจทำให้ทีมงานดีอกดีใจถึงขนาดนี้เนี่ย คิดไม่ถึงว่า ผมสังเกตเห็นได้จากสีหน้าของอีกฝ่ายว่ายังงงงงและไม่น่าเชื่อถือในคำพูด  (อ้าว ! ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าล่ะ? ) ซูโหย่วเผิงเริ่มคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ตาเห็นแล้วล่ะ. ( ฉัน......ผิดไปแล้ว.....ที่ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจใช่ไหม? ) อีกฝ่ายพูดขึ้นว่า. ( ไม่เป็นไร......คุณน่ะทำดีแล้วนะ! ฉันน่ะดีใจมากเลยจริงๆ! )

ต่อมา คนที่ทำงานอยู่ข้างๆก็ปล่อยก๊ากกัน แล้วก็มีใครก็ไม่รู้วิ่งเข้ามาพูดว่า: ( คุณซูโหย่วเผิง  พวกเราที่นี่น่ะ ( คำหวาน ) สองคำนี้น่ะ ก็เปรียบเสมือนการที่เอามีดมากีดกีดใจคุณอย่างเหี้ยมโหด มันจะทำให้คุณรู้สึกเจ็บแปร๊บเลยล่ะ! )

10

วันที่ 5 พฤศจิกายน 2012 ) ข่าวจากนิตยสารแอปเปิ้ลไต้หวัน : ไกวไกวหู่ หนุ่มหน้าใสกับสิ่งตอบแทน

ไกวไกวหู่ หนุ่มหน้าใสกับสิ่งตอบแทนตลอด 24 ปีที่สั่งสมประสบการด้านการแสดง

ซูโหย่วเผิง ไม่คิดอยากที่จะกลับไปสู่วงเสี่ยวหู่ตุ้ย

ไกวไกวหู่ มันฝังลึก! ที่ผ่านมา ซูโหย่วเผิง ใช้ชีวิตแบบดารานักแสดง,จะทำอะไรที่ไหนต้องรักษาภาพพจน์, [ หนุ่มหน้าใส ] , [ เป็นซุปเปอร์สตาร์ ] จนทำให้เกิดอุปสรรคด้านการรับงานแสดง,มักจะถูกผู้กำกับหลายท่านเกิดข้อสงสัย [ ซุปเปอร์สตาร์ไต้หวันเนี่ยสามารถแสดงอะไรได้มั่ง ] ? จนกระทั่งภาพยนตร์เรื่อง  < เฟิงเซิง > ทำให้เค้าสามารถขว้ารางวัลดารานักแสดงไต้หวันยอดเยี่ยมจากรางวัลไก่ทอง (The Golden Rooster Award) ได้รับการยอดรับด้านฝีมือ เมื่อปีที่แล้วเค้าทุ่มเทกับการสักอักษรคัมภีรที่แขนซ้าย ไม่กลัวงานแสดงอาจทำให้เราโงเขลา เค้าทำมันตามอำเภอใจ แสดงความเป็นตัวตน.

เขาเริ่มเข้าวงการตอนอายุ 15 กับวงเสี่ยวหู่ตุ้ยที่ดังเป็นพลุแตก วงนักร้องชายกลุ่มนี้ต้องแยกวงด้วยเหตุต้องเข้าเกณฑ์ทหาร อู๋ฉี ลง , เฉิน จื้อเผิง ทั้งสองคนค่อยทยอยกันเข้ารับเกณฑ์ทหาร เมื่อพ้นจากหน้าที่การกลับมารวมวงกันอีกครั้งมันกลับไม่ใช่เรื่องง่าย เสี่ยวหู่ตุ้ย ในปี 1995 ซูโหย่วเผิง ต้องเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษ 1997 ถ่ายทำละครเรื่อง < องค์หญิงกำมะลอ > ทำให้ประสบผลสำเร็จด้านงานละครทีวี  เค้าได้กลับมาเริ่มงานที่ประเทศจีนอีกครั้ง

11
Magazine Interviews-China / 2012 Top Travel
« เมื่อ: ตุลาคม 31, 2012, 12:18:58 PM »
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จาก นิตยสาร Top Travel  เดือน พฤศจิกายน 2012

http://tieba.baidu.com/p/1955203914


12
Magazine Interviews-China / 2012 Fashion Week
« เมื่อ: กันยายน 23, 2012, 08:17:15 AM »

13
เขียนและเรียบเรียงโดย ::  "ํฝน "


เนื่องใน วันครบรอบ 39 ปี : Alec Su You Peng

และ

วันครบรอบ 2 ขวบปี บ้านซูโหย่วเผิง www.baansuyoupeng.com
11 กันยายน  2012


คุณรู้จัก "ซูโหย่วเผิง" มานานแค่ไหน?

คุณหลงรัก SUYOUPENG ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

ทำไมพวกเราต้องมาหลงรัก ALEC เขามีดีอะไร?

เขามีแรงศรัทธามากแค่ไหนที่ให้พวกเราซึ่งเรียกว่า FC ติดตามเขาได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน

คนที่รักเขาเท่านั้นสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ แต่ถ้าคุณยังไม่รู้จักเขา

เราจะค่อยๆ......นำเสนอในสิ่งที่คุณอยากจะรู้

และคุณจะได้รู้ว่ามาพบ Alec Su เป็นสิ่งที่ "วิเศษ" ที่สุดในชีวิตของคุณ

14

How long do you know “Su You Peng” ?
When did you fall in love to Su You Peng ?
Why do we have to fall in love to Alec, any good thing he has ?
How many good faith and trust he has, we are to be called as the fanclub which follow his news continuously for long long time.

The one who love him is able to answer the above question. But…..if you still don’t know him.

We will present his news step by step whatever you need to know. And you will be known that to find and discover the real stories and the activities of Alec Su is the superb(excellence) in your life.




คุณรู้จัก "ซูโหย่วเผิง" มานานแค่ไหน?

คุณหลงรัก SUYOUPENG ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

ทำไมพวกเราต้องมาหลงรัก ALEC เขามีดีอะไร?

เขามีแรงศรัทธามากแค่ไหนที่ให้พวกเราซึ่งเรียกว่า FC ติดตามเขาได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน

คนที่รักเขาเท่านั้นสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ แต่ถ้าคุณยังไม่รู้จักเขา

เราจะค่อยๆ......นำเสนอในสิ่งที่คุณอยากจะรู้

และคุณจะได้รู้ว่ามาพบ Alec Su เป็นสิ่งที่ "วิเศษ" ที่สุดในชีวิตของคุณ

15
   "ผม...ซูโหย่วเผิง" รายงานตัวครับ   



ลืมตาดูโลก

พูดถึงเรื่องราวของผม ซูโหย่วเผิง ก็ต้องเริ่มต้นจาก 11 ก.ย. 1973 วันนั้นตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 เทศกาลไหว้พระจันทร์พอดี ผมเกิดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงไทเป ประเทศไต้หวัน ตอนเกิดทุกอย่างถือว่าราบรื่น ผมจำไม่ค่อยได้ว่าตอนเกิดมีน้ำหนักเท่าไหร่ แต่ได้ยินคุณแม่บอกว่าผมไม่ถือเป็นคนอ้วน แต่ค่อนข้างแข็งแรง ตอนนั้นผมเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน ดังนั้นจึงเป็นที่รักของคุณพ่อคุณแม่มาก

ทำไมต้องตั้งชื่อว่า "โหย่วเผิง" หรือ? เนื่องจากผมเกิดในเทศกาลไหว้พระจันทร์ คุณแม่เองก็เกิดในเทศกาลไหว้พระจันทร์เช่นกันสองเดือนมารวมกันจึงกลายเป็นอักษร "เผิง" ดังนั้นจึงเรียกผมว่า "โหย่วเผิง"

น้องชายอายุห่างจากผม 6 ปี ดังนั้นตอนเด็กๆผมเหมือนลูกโทน คุณพ่อคุณแม่จึงให้ความสนใจกับผมเป็นพิเศษพวกท่านให้ผมเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย เรียกได้ว่ามีโอกาสเรียนหมดทุกอย่างทั้ง กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ จากจุดนี้พอจะดูออกว่านอกจากพวกท่านจะรักใคร่เอ็นดูผมแล้ว ยังคาดหวังกับผมไว้สูงมาก


นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังให้ความสำคัญกับการเรียนของผมด้วย โดยเฉพาะคุณพ่อจะตื่นเต้นกับผมการเรียนของผม เพราะท่านมองว่าการเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญทีสุด โดยเฉพาะเด็กผู้ชายต้องเรียนให้ดีวันข้างหน้าจึงจะมีอนาคต จากจุดนี้ทุกคนคงจะดูออกว่า พ่อแม่ผมเข้าตำราที่ว่าพ่อเข้มงวดแม่ใจดี ดังนั้นคุณแม่จึงสนิทกับพวกเรามาก แม้แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์กับท่านก็ยังดีมาก

มีเรื่องอะไรผมจะเล่าให้ท่า่นฟัง ส่วนความสัมพันธ์กับคุณพ่อค่อนข้างเหินห่าง อาจเป็นเพราะท่านให้ความรู้สึกที่เข้มงวดกับผม ผมกับท่านจึงคุยไม่ค่อยสนิทกันเหมือนคุณแม่ บางทีเมื่อผมอายุมากกว่านี้ซักหน่อยหือโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ ความสัมพันธ์ของพวกเราจะดีขึ้นก็ได้


พูดถึงความสัมพันธ์ของผมกับน้องชาย ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่มอบน้องชายคนนี้มาให้ เพราะนอกจากเขาจะเป็นน้องชายของผมแล้ว เขายังเป็นเพื่อนที่รู้ใจผมที่สุด ผมมีเรื่องอะไรในใจจะเล่าให้เขาฟังหมด เขาเป็นนักฟังที่ดีและให้ความเห็นที่ดีๆกับผมหลายอย่างถึงแม้พวกเราอายุห่างกัน 6 ปี อีกทั้งตอนนี้เขากำลังเรียนหนังสืออยู่แต่พวกเราไม่เคยมีช่องว่างระหว่างอายุ กลับกันความสัมพันธ์ของพวกเราตอนเด็กไม่ดีเท่าตอนนี้ด้วยซ้ำเพราะตอนนั้นเขายังเด็กแต่ผมเริ่มทำงานแล้ว ฉะนั้นพวกเรามีเวลาเจอหน้าและอยู่ด้วยกันน้อยมาก

16
Interviews & Video Clips / 2004 Artists Church
« เมื่อ: มีนาคม 17, 2012, 11:59:54 AM »
https://www.youtube.com/watch?v=hr84HwYSmvs

2004 ซูโหย่วเผิงให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับอัลบั้มรูปภาพ-Photo Books 

2004 苏有朋-新鲜艺人堂
http://www.tudou.com/programs/view/LGkQg3rI6kU/?resourceId=0_06_02_99?fr=1


พิธีกร : ยินดีต้อนรับ ซูโหย่วเผิง

ซูโหย่วเผิง : สวัสดีครับ

พิธีกร:สวัสดีค่ะ เห็นว่าหมู่นี้ก็กำลังยุ่งมากเลยใช่ไหมคะ อยู่ที่จีนก็ยุ่ง อยู่ที่ไต้หวันก็ยุ่งน่าดูเลยใช่ไหมคะ
แล้วทุกปีก็ยังต้องออกอัลบั้มด้วย

ซูโหย่วเผิง : ใช่ครับ นานๆทีจะได้ออกอัลบั้ม ผมขอก็โปรโมตสักนิดนะครับ นี่ครับผมให้ไว้แผ่นนะครับ

พิธีกร : อ้อ แผ่นนี้หรอ

ซูโหย่วเผิง: คุณต้องช่วยเชียร์ผมด้วยนะครับ

พิธีกร : ค่ะ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้อยู่แล้วแหละค่ะ

พิธีกร : นี่คือชื่ออัลบัมใหม่ (หยี่เฉียนหยี่โฮ่ว:Before and After) แล้วข้างหลังนี่ก็คือ

ซูโหย่วเผิง : อัลบั้มรูปถ่ายเป็นอัลบั้มภาพที่ถ่ายที่กรีซตอนหน้าร้อนปีนี้ครับ

พิธีกร : อ๋อ

ซูโหย่วเผิง :  คือถ้าซื้อซีดีในไต้หวันก็แถมอัลบั้มรูปให้ฟรีน่ะครับไม่เพิ่มราคา

พิธีกร : หืม จริงรึเปล่าคะเนี่ยะ

ซูโหย่วเผิง :  ดูสิค่ายเพลงคุณสนับสนุนคุณขนาดนี้บ้างหรือเปล่าล่ะครับ

พิธีกร : แหม ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา งบเรามีจำกัด โห แต่ว่าสุดยอดเลยนะ
อันนี้ก็คือถ่ายที่กรีซใช่ไหมคะ

ซูโหย่วเผิง :  ใช่ครับ ถ่ายที่เอเธนส์ แล้วก็นั่งเรือไปถ่ายที่ยังเกาะแห่งความรัก Santorini ด้วยครับ

พิธีกร : แล้วตอนถ่ายนี่เหนื่อยมากไหมคะ

ซูโหย่วเผิง : ตอนไปถ่ายก็คือไปถ่ายละครเรื่อง "รักข้ามขอบฟ้า"พอดีน่ะครับก็เลยได้ไปถ่ายที่นั่นตอนแรกก็ไม่เหมือนโฆษณา H2o นะครับแต่มีคนบอกว่าเหมือน

พิธีกร : ดูมีเสน่ห์มากเลยค่ะ

ซูโหย่วเผิง : จริงหรอครับ

พิธีกร :  ใช่ค่ะ แต่ฉันไม่เคยดูมาก่อนเลย

17
Magazine Interviews-China / 2012 Men's UNO magazine
« เมื่อ: มีนาคม 16, 2012, 05:25:55 PM »

บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง
จาก นิตยสาร  Men's UNO magazine เดือน มีนาคม 2012



ณ บริเวณริมชายหาดของซานย่า ซูโหย่วเผิงผู้มาพร้อมกับสีผิวน้ำตาลเข้มภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง ปรากฏผิวมันเป็นประกาย เขาที่อยู่ตรงหน้าสายตานี้ เปรียบเหมือนเสือที่ว่านอนสอนง่าย(ไกวไกวหู่)

ใบหน้าที่มีหนวดเคราของเขา เมื่อยิ้มออกมาก็ปรากฏให้เห็นถึงริ้วรอยบริเวณหางตา

เพลงผีเสื้อบิน-Butterflies Fly  ของ "เสี่ยวหู่ตุ้ย" ที่พวกเราร้องกันตั้งแต่ยังเด็ก เป็นเพลงที่เกี่ยวกับความอยากรู้อยากเห็นและความหลงใหลในความลึกลับของท้องทะเล "ลมทะเลที่พัดมาที่หูของฉันเล่าเรื่องราวความใฝ่ฝันของกัปตันเรือ เมฆขาวพัดผ่านเนินเขาอย่างขยันขันแข็งเพื่อเสาะหาบ้านของมัน เจ้าฝนที่ปลุกให้เราตื่นจากความฝันก็ยิ้มออกมา ฉันถือว่าวัยหนุ่มสาวเป็นดังว่าวที่กำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เปลือกหอยปีนป่ายขึ้นมาบนชายหาดเพื่อดูความกว้างใหญ่ของโลกใบนี้ ตัวด้วงเฝ้ารอคอยว่าวันพรุ่งนี้จะมีปีกสวยๆซักคู่หนึ่ง แม่สายสายน้อยที่โอบล้อมไว้ด้วยผืนป่ากำลังร้องเพลงที่เขียนขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ ฉันใช้กาลเวลาค่อยค่อยถักทอภาพใบนี้ " อำลาช่วงเวลาหนุ่มสาว ซูโหย่วเผิงได้ก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่ปราศจากความสงสัยและเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์

อดีตไอดอลผู้อ่อนเยาว์ได้เข้าสู่การเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มอย่างเต็มตัว หลังจากผ่านประสบการณ์ที่มีทั้งขึ้นและลง ใบหน้าของเขาก็ยังคงปรากฏให้เห็นรอยยิ้มอันเจิดจ้าเช่นเดิม

ร่อยรอยแห่งการเติบโต

แสงแดดแห่งซานย่าไม่เพียงแต่ไม่ทำให้แสบตาแล้วยังอบอุ่นและอ่อนโยน ช่างเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ เมื่อเดินเอ้อระเหยไปตามทิวทัศน์รอบทะเลอย่างนี้ กาลเวลาใส่ความทรงจำทอดผ่านให้เห็นดังแผ่นฟิมล์มองคลื่นฟองขาวและกระแสน้ำขึ้นน้ำลง ภาพที่วิจิตรงดงามที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นดั่งอาหารตาทะเล ทะเลที่ฝากนั้นก็คือการเริ่มต้นออกเดินกา้วแรกของวัยหนุ่ม

ซูโหย่วเผิงเริ่มเข้าวงการตั้งแต่อายุ 15 ในนามของ "เสี่ยวหู่ตุ้ย" ในช่วงเวลานั้น"ไกวไกวหู่" แบบอย่างมาตรฐานของคำว่าไอดอล นักเรียนที่มีทั้งความสดใสและเป็นระเบียบ ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มที่เจิดจ้า การแสดงออกและเคลื่อนไหวแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาของวัยหนุ่มสาว

 เมื่อครั้งอู๋ฉี๋หลง เฉินจื้อเผิง และ ซูโหย่วเผิง ยังคงอยู่ในวัยหนุ่มสะพรั่ง พวกเขาได้ใช้เพลงที่เปรียบดั่งพายุทอนาโด การเต้นอันเร้าร้อน ม้วนโลกของคนเชื้อสายจีนไว้ด้วยกัน จนเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วทั้งเอเชีย

 หากคุณคือคนที่เกิดในยุคปลาย 70 หรือต้น 80 คงน่าจะต้องมีช่วงเวลาหนึ่งที่ต้องมนต์สะกดของ "เสี่ยวหู่ตุ้ย" ฮัมเพลงของเขา ซื้อเทปของเขา ติดประกาศการแสดงของพวกเขา คัดเพลงของพวกเขา...... จากนั้น พวกเราทั้งหมดก็เติบโต เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่ต้องบอกลาช่วงเวลาแห่งวัยหนุ่มสาวนั้น พูดในแง่ของวงดนตรี ไอดอลก็ต้องเติบโตเช่นเดียวกัน ผ่านไป 7 ปี "เสี่ยวหู่ตุ้ย" ได้ตัดสินใจแยกวงและเติบโตด้วยตนเอง ซูโหย่วเผิงตัดสินใจที่จะทำงานต่อไป จนมาถึงการเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ครั้งแรกของช่วงตกต่ำที่สุดของชีวิต ในเส้นทางที่โดดเดี่ยวและผิดหวัง

 ชีวิตคนเราก็คงจะเป็นอย่างนี้ คนบางคนปรากฏตัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นก็มีคนที่หายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน พอย้อนคิดไปก็เหมือนกับเพลงเพลงหนึ่ง หากวันนี้พูดถึงคำว่า"เสี่ยวหู่ตุ้ย" ซูโหย่วเผิง ตอบว่า " มีบางครั้งที่ย้ิอนคิดถึงความหลัง สำหรับผมแล้ว นั่นก็คือตัวผมเอง ตัวผมที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น"

18

11 ตุลาคม 2011 ซูโหย่วเผิง หลัง 5 ปีต่อไปได้ถอนตัวออกจากวงการบันเทิง

ณ. ปัจจุบันนี้    ซูโหย่วเผิงเพื่อหนังเรื่องใหม่  (มี่ซื่อจือปู้เข่อเค่าอั้น)—ห้องลับเข้าเทียบฝั่งไม่ได้   ได้มาถึงเมืองหลวงพร้อมโปรโมทและมีมิตติ้งกับเหล่าแฟนๆ 200 คนมาจากทุกแห่งหนสนิทสนมซึ่งกันและกัน    ความรู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาไหล    เมื่ออยู่บนธุรกิจเจริญรุ่งเรืองเหมือนตะวันฉายส่องกลางนภา    เขาคิดก็คือ”สรรพสิ่งล้วนมีจุดวรรคตอนนิยายย่อมมีกาลอวสาน”   

 ต้อนรับหนังสือพิมพ์ฉบับนี้สัมภาษณ์ตัวเขาโดยเฉพาะเปิดเผยว่าหลัง 5 ปีต่อไปจะถอนตัวกลับไปดำรงชีวิตแบบธรรมดาๆ รียบง่าย


ค้นหาโอกาสถอนตัว


นักข่าว : พวกแฟนๆเพื่อคุณทำเอ็มวี รวบรวมผลงานของคุณยาวถึง 20 นาทีเป็นของขวัญพิเศษ ที่บอกเล่าเรื่องราวของคุณที่เข้าสู่วงการมา 23 ปี นั้บตั้งแต่คุณอยู่วงเสี่ยวหู่ตุ้ย เห็นงานนี้แล้วอดตื้นตันใจไม่ได้ เห็นแล้วอยากร้องไห้ออกมา

ซูโหย่วเผิง : ขอขอบคุณมากๆที่พวกเขาติดตาม ซึ่งด้านถนนรายทางได้เป็นเพื่อนติดตามรวมทั้งมีใจประณีตทำการผลิตอัดหนังบันทึกเรื่องนี้(mvตัวผลงานค่ะ) ในการดำรงชีพผมก็พบเจอถึงคนพูดกับผมบ่อยๆว่า    “ผมได้ฟังเพลงของคุณจนกระทั่งโตเติบใหญ่”    ผมช่างมีเกียรติโชคดีเป็นพิเศษจริงๆ


นักข่าว : เข้าสู่วงการ 23 ปีแล้ว    ได้รับความสุขจากดอกไม้สด เสียงตบมือในเวลาเดียวกัน    ใช่เรื่องบังเอิญเบื่อหน่ายเหนื่อยเพลียหรือไม่   

ซูโหย่วเผิง : ไม่ใช่บังเอิญ    เป็นบ่อยๆ    ผมชอบความรู้สึกพเนจร   เนรเทศแบบนั้น    ทั่วโลกล้วนอย่ามารู้จักผมดีที่สุด ที่จริงคิดถึงเมื่อเป็นนักร้องไอดอล   เป็นสิ่งของสดใหม่   สะอาดบริสุทธิ์อย่างนั้น

19
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง
จากรายการ

"ซูโหย่วเผิงมาเป็นแขกในรายการเพลงจีน
ริเริ่มชีวิตการทำสาธารณประโยชน์"

(24 สิงหาคม 2011)


โหย่วเผิงมาเป็นแขกในรายการเพลงจีน ริเริ่มชีวิตการทำสาธารณประโยชน์   
 
               บันเทิงคลื่นลูกใหม่เย็น 24 สิงหาคม ซูโหย่วเผิง แบบฉบับศีลธรรมเลือกคน- ผู้พิพากษาศาลฝังซันรี่รี่เชิญมาเป็นแขกในรายการเพลงจีนวันนี้เหมือนกัน ก่อนบันทึกเทปรายการ รี่รี่ชมซูโหย่วเผิงว่าเป็นชายในฝันของตนเอง แสดงความกล้าหาญออกมาถึงความชอบเขา ระหว่างรายการ ทั้งสองวินิจฉัยแยกแยะด้วยตนเองเกี่ยวกับวิธีคิดของสาธารณประโยชน์ ฟังแล้วซูโหย่วเผิงเป็นคนคิดละเอียดรอบคอบ เรื่องราวความรู้สึกของคนบริจาคเซลล์ตับสร้างโลหิต ซูโหย่วเผิงของสาธารณะที่รักในรายการริเริ่มทุกคนไม่แบ่งแยกใหญ่เล็ก ควรจะผสมผสานในชีวิตของคนทุกๆคน

   แบบฉบับศีลธรรมเลือกคนรี่รี่วินิจฉัยออกเมื่อ 2007 และ 2009 บริจาคเซลล์ตับสร้างโลหิตด้วยตนเอง 2 ครั้ง เธอยังก่อตั้งกลุ่มเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนอื่นด้วยตนเอง เคยหลายครั้งได้อุทิศกิจการสาธารณประโยชน์ ตอนที่เธอได้ช่วยนำภาพถ่ายเด็กอู้ซู้ 13 คน ซูโหย่วเผิง ยิ่งซาบซึ้งถึงความไม่เห็นแก่ตัวของเธอ วินิจฉัยได้จากรูปถ่ายทุกๆแผ่น มีการเซ็นชื่อลงไปแล้วให้รี่รี่นำไปให้พวกเขา และอวยพรให้พวกเขาแข็งแรง มีความสุข ซูโหย่วเผิงยังอยู่ในรายการริเริ่มประชาชนทั้งประเทศ สาธารณประโยชน์ควรจะผสมผสานกันในระหว่างชีวิตของทุกๆคน สำหรับครอบครัวคนข้างๆ เพื่อนๆควรจะให้ความสนใจ เป็นห่วง ความเข้าใจให้มากๆทำสิ่งที่ดีงามกับทุกคน


ปีใกล้ๆมานี้ ซูโหยวเผิงนอกจากเล่นละคร นำเวลาที่มากขึ้นทุ่มตัวให้กับกิจกรรมแห่งความเมตตา ซูโหย่วเผิงเข้าใจว่าเมตตาคือการแสวงหาคุณค่าร่วมกันของมนุษยชาติญาณที่ดีงามทั่วโลก ความรักภราดรภาพไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อเพิ่มความเลื่อมใสศรัทธาในชีวิตคน ตั้งแต่เขาเริ่มก่อตั้งโรงเรียนความหวังของเด็กประถมด้วยตนเอง พร้อมก้าวไปรับภาระหน้าที่ทูตแห่งความเมตตาที่แอฟริกา เขาใช้การปฏิบัติดำเนินการบุคคลโดยทั่วไปแสดงให้เห็นแล้วทุกคนสะสมความมีน้ำใจ ยืนหยัดประคองให้รอดเหตุผลในแต่ละวัน ซูโหย่วเผิงเข้าใจว่า เมตตาไม่แบ่งใหญ่เล็ก เพียงแค่ทุกคนทั้งหมดมีการช่วยเหลือคนอื่น ก็สามารถช่วยเหลือคนให้มีความอบอุ่นมากขึ้น

ในตอนสุดท้ายเยี่ยมเยือนสื่อ ตอนที่ถูกถามถึงว่าใช่หรือไม่ใช่แสดงละครชายในฝัน ซูโหย่วเผิงรู้สึกปลง “ผมก็เคยมีเพ้อฝันตอนที่แสดงละครเป็นเจ้าชายม้าขาว แต่ว่าขณะนี้ก็ผ่านเวลานั้นมาหลายปีแล้ว เขายังเปิดเผยแผนใหม่ด้วยตนเอง (ห้องลับ) เมื่อปลายเดือนตุลาคมของwan sheng jie วันเวลาที่กำหนดและผู้ชมเห็นหน้า ไม่เพียงแต่เช่นนี้เท่านั้น     ซูโหย่วเผิงยังมีเรื่องลับๆที่ถูกเปิดเผยออกมาภาพยนตร์เรื่อง Tong Qiao Tai บทตัวแสดงมีอุปนิสัยท้าทายอย่างมาก (บทของ ฮั่นเสี้ยนตี้ ฮ้องเต้)  เป็นนักแสดงบุคคลประวัติศาสตร์คนหนึ่ง





20

หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ตู๋เจีย

ได้รับเกียรติจากซูโหย่วเผิงมานั่งให้สัมภาษณ์เรื่องราวของเขาให้พวกเราได้รู้จัก

ซูโหย่วเผิงเป็นดาราตุ๊กตาทองด้านฝีมือการแสดงที่โด่งดังไปทั่วทั้งเอเชีย

เราได้สัมผัสโหย่วเผิงแบบพบเห็นหน้าระยะใกล้ๆ พูดคุยสนทนาเรื่องราวเกี่ยวกับ

ภาพยนตร์ เกี่ยวกับการดำรงชีพ ร่วมทั้งเรื่องราวมากมายที่ทุกๆคนสนใจอยากทราบแหละ




หน้า: [1] 2 3 ... 7