แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - My Dream_ฝน

หน้า: 1 [2] 3 4
21
<a href="http://www.youtube.com/v/?v=FuzXCR83ckY" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/?v=FuzXCR83ckY</a>
http://www.youtube.com/watch?v=FuzXCR83ckY


[29/12/2012]

หลิวหลิน : ถ้าคนคนนึงที่ไม่เคยเผชิญความทุกข์ใดๆเลยในชีวิต เค้าจะไม่รู้สึกเลยว่า ความสุขที่แท้จริงนั้น
               เป็นอย่างไร


บรรยาย   : ไม่รักก็อย่ามากวนใจ
             : หนุ่มโสด สุดสมาร์ท สุดแสนเย็นชา “ ผู้ชายปากร้าย ”

ลู่ซีนั้ว     : มันก็จะมีแค่เสื้อผ้าที่ผมไม่ชอบและไม่ถูกใจเท่านั้น มีที่ไหนกันเสื้อผ้าจะมีสิทธิ์ไม่ชอบ
               ไม่ถูกใจผม


หลิวหลิน : นี่คุณมันจะไม่ดูหลงตัวเองไปหน่อยหรอกเหรอ

ลู่ซีนั้ว     : ผมว่าคงจะมีแต่คนด้วยกันเท่านั้นที่จะคุยกันรู้เรื่อง

หลิวหลิน : กับคนคนนี้ต้องระวังเนื้อระวังตัวให้มากนะ

บรรยาย   : สาวโสด มาดมั่น เอาแต่ใจ “ ผู้หญิงปากจัด ”

หลิวหลิน : ฉันจะบอกอะไรให้อย่างนะ ฉันน่ะไม่เคยคิดที่จะสนใจอะไรคุณเลยแม้แต่นิดเดียว
             : คุณนี่ยังมีความเป็นคนอยู่บ้างหรือเปล่า !


ลู่ซีนั้ว     : ก็ผมมันเป็นผู้ชายโฉดอยู่แล้วนิ แล้วยังจะต้องแสดงความเป็นคนอีกด้วยเหรอ

หลิวหลิน : พาฉันกลับบ้าน , ฉันให้

บรรยาย   : อีกด้านหนึ่งกับการคิดไม่ซื่อต่อคนรัก

หลิวหลิน : ลู่ซีนั้ว ไอ้ผู้ชายหลายใจ ! คุณนี่มันเลวจริงๆ  เลวที่สุด

บรรยาย   : ในใจลึกๆของผู้ชาย

ชาย        : แย่แน่เรา
             : เรื่องเก่าๆระหว่างเรายังมีอะไรต้องรื้อฟื้นถึงมันอีกเหรอ

ชาย        : นับแต่นี้ไปในหัวของเค้าคง มีแต่สองคำนี้ลอยวนเวียน ไอ้คำว่ารักเนี่ย

ชาย        : คุณรู้หรือเปล่าว่า พอผมได้มาเห็นคุณในสภาพที่ผอมโซขนาดเนี่ยแล้ว
                มันทำให้ผมเจ็บปวดมากขนาดไหน

ติงจวน    : ไปให้พ้นหน้าฉัน ไม่อยากเห็นน้ำหน้าคนอย่างแกอีก ออกไป !

จินกู่       : คนอย่างจินกู่ จะอยู่หรือตายก็ขอไม่อยู่ร่วมโลกกับคนอย่างแก !

หลิวหลิน : น่าจะมีอ้อมกอดของใครสักคนมากอดเรา มันคงจะดีไม่ใช่น้อย

ลู่ซีนั้ว     : แน่นอนล่ะ
             : ต่อให้ผู้หญิงที่แกร่ง และเข้มแข็งสักเท่าไร ถึงอย่างไรมันก็ต้องมีจุดอ่อนด้วยกันทั้งนั้น


หลิวหลิน : ช่างเป็นเจ้านายที่เลือดเย็นเสียนี่กะไร

ลู่ซีนั้ว     : ใครใช้ให้คุณเรียกผมว่าผู้จัดการ

บรรยาย   : อีกด้านกับความประทับใจ

หลิวหลิน : ถ้าหากว่าผู้ชายสามารถเป็นที่พึ่งได้จริงล่ะก็ ฉันคิดว่านะ หมูมันคงปีนต้นไม้ได้ด้วยแหละ

ซู ยูเว้     : เพราะฉะนั้นแล้วเราจำเป็นต้องสู้ อย่ายอมอ่อนแพ้ให้กับโชคชะตา

ลู่ซีนั้ว     : กวางตายทั้งตัว ยังจับมือใครดมไม่ได้

บรรยาย   : ทั้งความป่วนของบรรดาผู้หญิงโสด

ติงจวน    : ฉันกำลังตามหาความสุขของฉันที่ขาดหายไป

ชาย       : เป็นแค่พนักงานบริษัท อายุคุณก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว

หลิวหลิน : ไร้ยางอาย

หญิง      : เพียงแค่พระอาทิตย์ที่ขึ้นตามเวลาส่องแสงไปทั่วท้องฟ้า เพียงเท่านี้มันก็ไม่สามารถ
               ที่จะไม่มาตกอยู่ที่เรื่องความรักของคุณได้

หลิวหลิน : รับไปสิ

ลู่ซีนั้ว     : ขอบคุณนะ ที่ช่วยให้ผมตาสว่างสักที รู้ไหมว่าอะไรคือความสมเพชที่สุดของความเย่อหยิ่ง
               ในศักดิ์ศรี


หลิวหลิน : ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เรื่องระหว่างเราเป็นอันจบ

ลู่ซีนั้ว     : ใบหน้าที่แสนโหดเหี้ยม มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะเลวร้ายเสมอไป

หลิวหลิน : คนอย่างฉันมันต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน

ลู่ซีนั้ว     : เอาคืนไป

บรรยาย   : เมื่อ “ ผู้ชายปากร้าย ” มาพบกับ “ ผู้หญิงปากจัด ”

หลิวหลิน : ตั้งแต่นี้ไปในใจของฉันสำหรับคุณมันก็ไอ้แค่ผู้ชายหลายใจ ไม่ต้องมาใช้วิธีกับฉันเลย

ชาย       : ของฟรีมันไม่มีในโลกหรอก

หญิง      : แกมันนอกจากจะทำตัวต่ำแล้ว แกมันยังหน้าด้านอีกซะด้วย


หลิวหลิน : ช่วยด้วยค่ะ

หญิง      : ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จะหาคำอะไรมาเปรียบเทียบกับคนอย่างคุณได้

ซู ยูเว้     : จะบอกอะไรให้นะ ซาตานยังไงมันก็เป็นซาตาน มันจะมาเปลี่ยนเป็นมนุษย์ไม่ได้หรอก

หญิง      : ทำไมคุณต้องทำร้ายจิตใจของฉัน เหยียดหยามน้ำใจของฉันอย่างนี้ด้วย

ลู่ซีนั้ว    : ผมไม่อยากเห็นคุณมานั่งทำหน้าเศร้าอยู่อย่างนี้
            : ดูเหมือนว่าโลกของเราเนี่ย มันช่างกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน กว้างซะจน
              เพียงแค่เราหมุนตัว ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะต้องสูญเสียใครไปบ้าง


หลิวหลิน : ที่ผ่านมาฉันมันไม่ได้มีค่าอะไรในใจคุณเลย

บรรยาย   : กลุ่มคนโสดที่ไม่ยอมแต่งงาน
             : จริงๆแล้วเพียงเสี้ยววินาที มันก็สมารถที่จะเปลี่ยนในสิ่งที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้ เพียงเพื่อ
               พี่หลิน หลิน เท่านั้น
             : หรืออาจเป็นเพราะไม่อยากที่จะแต่งงาน

หลิวหลิน : ถึงอย่างไรฉันก็ต้องสู้ต่อ ใช้ชีวิตให้มีความสุข เดินต่อไปข้างหน้า สู้ๆ

ชาย        : นี่แหละคือสิ่งที่ผมตามหามันมาทั้งชีวิต

ติงจวน    : เฉิน สู้ เฟิง !

หญิง       : แกมันไอ้ผู้ชายหน้าเนื้อใจเสือ ไอ้ผู้ชายเลว

ชาย        : จะเปลี่ยนรถ ย้ายห้อง ยังไม่เท่าเปลี่ยนหัวใจดวงนี้เลย

หญิง       : ใจของผู้หญิงเราน่ะ มันอ่อนไหวเหมือนปุยนุ่น


ลู่ซีนั้ว     : ทั้งชีวิตที่เหลือคุณอย่าหนีผมไปไหนอีกแล้วนะ


ซูโหย่วเผิง  รับบท  ลู่ซีนั้ว
ฉินหลัน  รับบท  หลิวหลิน
ฐานจุ้นเยี่ยน  รับบท  เฉินสู้เฟิง

หญิง      : แก

สงหน๋ายจิ่น  รับบท  หยางหยาง
หลิวหลินหมู่  รับบท หลี่หมิงจู
เซียวกวงอี้  รับบท  จินกู่
อู๋หัวซิน  รับบท  เซียวเฉียง
หวังซวนหยู่  รับบท  ซู ยูเว้
จางเทียนหลิน  รับบท  เฉินเผิง
หยางเฉิงเฉิง  รับบท  ยู้หมิ่น
เยิ่นเจียลุ่ย  รับบท  ติงจวน


ไม่รักก็อย่ามากวนใจ

22
<a href="http://www.youtube.com/v/?v=RuscWi9LdBQ" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/?v=RuscWi9LdBQ</a>


[17/4/2012]

พิธีกร         : ต่อไปเราจะมาพูดถึงการถ่ายทำภาพยนตร์ <3 คุณแม่มือใหม่> กันนะครับ
                  ภาพยนตร์เรื่องนี้มีนักแสดงคับคั่งเข้าร่วมด้วย แต่ที่ทราบกันดีนะครับว่านักแสดงทุกคน
                  ต้องแสดงกันอย่างเหน็ดเหนื่อยทุกคน เวลาในการแสดงของพวกเรา ล้วนได้ถูกวางแผน
                  กันมาอย่างดี และเมื่อวานที่ผ่านมาเพิ่งบินลัดฟ้าลงเครื่องมาหมาดๆ จะเป็นใครไปไม่ได้
                  เค้าคนนั้นก็คือ ซูโหย่วเผิง


ซูโหย่วเผิงมาถ่ายทำภาพยนตร์แล้วยังได้เรียนภาษาถิ่นของชาวหนานถง
ผู้รายงานข่าว หวัง อิ่ง หวัง ซุ่ย ( พนักงานฝึกงาน )



พิธีกร         : ใช่แล้วล่ะครับ เค้าคือ ไกวไกวหู่ จากวงเสียวหู่ตุ้ย นั่นเอง ในปีนั้น เหล่าบรรดาคุณแม่
                  ในไต้หวัน ต่างดูแล้วชอบอกชอบใจ อยากที่จะยกลูกสาวให้

                  หลังจากนั้นเค้าก็มีผลงานด้านการแสดง <องค์หญิงกำมะลอ> เป็นตัวละครที่ยึดมั่น
                  ในความรักและคุณธรรม กับบทองค์ชาย 5
 
                  แล้วยังมี <เฟิง เซิง> ตัวละครที่ชื่นชอบในเพลงละคร งิ้วคุนฉวี่-หมู่ตันถิง กับบท
                  ป๋ายเสี่ยวเหนียน ในภาพยนตร์เรื่องนี้เค้าถือได้ว่าเป็นตัวเอกของเรื่อง เลยทีเดียว

                  ตามที่ได้กล่าวกันไว้แล้วนะครับ ว่าดีกรีนักเรียน มหาลัยไต้หวันคนนี้ เค้าถือว่า
                  ทุกสิ่งอย่างนั้นคือการเรียนรู้ การเรียนรู้ภาษาถิ่น หนานทง จากการเข้าฉากของเค้า
                  เราลองมาฟังกันดูนะครับ


ซูโหย่วเผิง : ผมกลัวว่าเค้าจะฟังผมกันไม่รู้เรื่อง
                 สวัสดีครับ ผม ซูโหย่วเผิง


พิธีกร        : เป็นยังไงกันบ้างล่ะครับ พวกเรามาลองให้คะแนนเค้ากันหน่อยซิ

                  เมื่อวานตอนเช้าเป็นฉากแรกที่เค้าได้เข้าฉาก อาจเป็นเพราะเสน่ห์ของเค้า
                  รอบสถานที่การถ่ายทำนั้นเต็มไปด้วยแฟนคลับของเค้า จากทั่วสารทิศ
                  แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเค้า ในการทำงานเลยล่ะครับ แล้วยังสามารถที่จะ
                  แสดงมันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เลยทีเดียว

                  หลังจากที่ผู้กำกับได้สั่ง คัต ! แล้ว เค้าก็ยังกลับมานั่งดูผลงานตัวเองที่หน้าจอมอนิเตอร์
                  ถ้าตามที่เราทราบกันดีกับภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ ซูโหย่วเผิง กับทางผู้กำกับ เจียงผิง นั้น
                  เคยร่วมงานกันมาแล้ว 3 ครั้ง แล้วในปี 2010 <งานประกาศรางวัล คังเตี้ยนฉิงเกอ คนใหม่>
                  ในปีนั้นเค้ายังได้รับรางวัลมากมายในด้านสาขาการแสดง เริ่มจากการเป็นนักร้อง
                  แล้วทำไมถึงได้ผันตัวเองมาเป็นนักแสดงได้กันนะ


ซูโหย่วเผิง : เมื่อไม่กี่ปีมานี้ผมได้ทุ่มเทผลงานของผมด้านภาพยนตร์ แล้วเร็วๆนี้น่าจะลองทำ
                  ผลงานกำกับของตัวเองด้วย เพราะยังต้องเตรียมงานอีกเยอะ มันคงไม่เร็วอะไรขนาดนั้น
                  คงน่าจะเป็นปีหน้านี้



พิธีกร        : ครั้งนี้ ซูโหย่วเผิง เดินทางมาทำงานถึงหนานทง มาถ่ายทำภาพยนตร์ประมาณ 1 สัปดาห์
                 แล้วเค้านั้นก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสเดินทางมาที่ หนานทง เค้ายังออกปากชมว่าชอบที่นี่มาก


ซูโหย่วเผิง : ที่นี่สวยมาก แล้วการใช้ชีวิตที่นี่มันก็เรียบง่ายดี แล้วยังเป็นที่ที่ทันสมัยด้วย

23
<a href="http://www.youtube.com/v/?v=RmJiPxCkzys&amp;feature=g-crec-u" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/?v=RmJiPxCkzys&amp;feature=g-crec-u</a>


[20/11/2012]

ซูโหย่วเผิง : สวัสดีครับ ผมซูโหย่วเผิง ผมเป็นพรีเซ็นเตอร์ นิตยสารประจำสัปดาห์ TVBS
                  ของสัปดาห์นี้ครับ บนหน้าหน้าปกนิตยสารประจำสัปดาห์



นิตยสารประจำสัปดาห์ TVBS / พรีเซ็นเตอร์ปกนิตยสาร / ซูโหย่วเผิง


ซูโหย่วเผิง : เพราะผมเดินทางกลับไต้หวันค่อนข้างบ่อย และผมก็จะมีกิจกรรมที่ใครหลายๆคน
                 อาจจะยังไม่รู้ เพียงแค่ทุกคนยังไม่ทราบ แล้วปลายเดือนหน้านี้อาจจะกลับมาที่ไต้หวันอีก
                 มางานประกาศรางวัล ม้าทองคำ แล้วก็....... มาคุยเกี่ยวกับงานภาพยนตร์ที่ไต้หวันด้วย
                 ผมเพิ่งไปพบกับทางผู้กำกับมาเมื่อวานนี้เอง

                 มีความเป็นไปได้นะที่ผมจะกลับมาถ่ายผลงานภาพยนตร์ที่ไต้หวัน อะไรประมาณนั้นครับ
                 ดังนั้นเนี่ย ก่อนวันฉลองตรุษจีนปีนี้ ตารางงานของผมน่าจะแน่นเอี้ยด แน่นไปหมด
                 ผมคิดว่ากับการทำงานที่นี่ 2 วัน มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่สำหรับผมมาก
                 มันนานมากแล้วที่ไม่ได้กลับมาทำงานที่นี่ พอได้กลับมาทำงานแล้วทำให้รู้สึกว่า
                 มีอะไรบางอย่างที่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเก่าๆ นักข่าวที่เคยสนิทกัน แล้วก็ยังมีเพื่อนหน้าใหม่อีก

                 ตอนแรกผมคิดว่าถ้าได้กลับมาแล้ว เราจะมองสภาพแวดล้อมในไต้หวัน
                 มันอาจจะทำให้ผมไม่รู้สึกคุ้นกับมัน แล้วทุกคนก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาจจะดู
                 สะดีดสะดิ้ง เกินไป อะไรประมาณนั้น ดังนั้นเนี่ยก่อนหน้านี้ ผมอาจจะรู้สึกเป็นกังวลมาก
                 แล้วผลที่ออกมาก็ ทุกๆคนให้การต้อนรับผมอย่างอบอุ่นมากเลยทีเดียวครับ ผมจึงคิดว่า
                 ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตที่ทันสมัยของผมกับ นิตยสารรายสัปดาห์ นิตยสาร TVBS


ดูกันอย่างจุใจได้ที่ นิตยสารรายสัปดาห์ TVBS No.786
นิตยสาร TVBS นิตยสารกับชีวิตที่ทันสมัย

24
<a href="http://www.youtube.com/v/?v=dkknQ6X__qE" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/?v=dkknQ6X__qE</a>

[6/11/2012]

ผู้สื่อข่าว    : ได้ข่าวมาว่า ซูโหย่วเผิง ในวัย 39 ปี ไม่คิดที่จะกลับหวนคืนวง กลับมาร่วมวง เสี่ยวหู่ตุ้ย


(เพลง) ทุกทุกครั้งที่ฉันพบหน้าคุณ High High ในหัวใจของฉัน High High วันวานที่เคยขื่นขม Bye Bye


ผู้สื่อข่าว    : ว้าว นานแล้วที่ไม่ได้เจอ ไกวไกวหู่ เปลี่ยนไปเป็นผู้ชายที่เข้มขึ้นเยอะเลย
                 กลับไปเมื่อ 24 ปีก่อน ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 24 ปีก่อน


ซูโหย่วเผิง : คุณนี่ก็ไม่คิดที่จะหยุดรื้อเรื่องเก่าๆของผมเลยเนอะ ฮา ฮา


(เพลง) พวกเรานั้นได้เติบโตเป็นหนุ่ม ความฝันมากมายที่กำลังล่องลอยไป


ผู้สื่อข่าว    : ถึงแม้ว่าผ่านไปกว่า 24 ปีแล้ว ในครั้งแรกที่เข้าวงการ ( วงเสียวหู่ตุ้ย )
                 ในนาม ไกวไกวหู่ ของเค้า แล้วหลังจากนั้นก็มีผลงานด้านงานแสดงละครโทรทัศน์


(เฟิงเซิง)  แกมันเลว อยากรู้นักว่าแกจะทนได้ซักกี่น้ำ อ้าย...อ้าย...อ้าย


ผู้สื่อข่าว    : ไม่กี่ปีมานี้เค้าได้เริ่มเข้าสู่วงการด้านภาพยนตร์ ในปี 2010 ( ภาพยนตร์ เฟิงเซิง )
                 กับบทบาทที่แสนจะอ่อนหวานดุจผู้หญิง ทำให้เค้าได้รับรางวัลดารานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
                 จากงานประกาศรางวัล ป่าย ฮัว ทำให้เค้าเป็นที่ยอมรับด้านการแสดง


ซูโหย่วเผิง : ผมในตอนนี้ก็คงต้องใช้ชีวิตตามที่พรหมลิขิตไว้นะครับ ใช่แล้วล่ะครับ ไม่งั้นผมคงคิดว่า
                 ผมคงต้องคอยเปลี่ยนแปลงตัวเองไปอย่างนี้ตลอดชีวิต มันเหนื่อยชะมัด ฮา ฮา
                 ผมคิดว่าก่อนหน้านี้ผมเป็นคนที่ต้องอยู่ในกรอบตลอด แล้วยิ่งกับเรื่องความรัก 2 คำนี้
                 ผมยิ่งต้องตีกรอบกับมันมาก

                 แต่สำหรับกับความหวังที่เคยชอบตั้งไว้สูง บางทีมันก็อาจทำให้โอกาสของเราหลุดลอยไป
                 ดังนั้น ผมไม่ได้แสดงละครโทรทัศน์มาก็เข้าปีที่ 6 แล้ว ตั้งใจทำงานผลงานด้านภาพยนตร์
                 ซะมากกว่า

                 คุณอาจจะถามผมว่าสิ่งที่ผมทำไปเนี่ยเพื่ออะไรกัน จริงๆแล้วทั้งหมดที่ผมทำไป
                 เพื่อที่จะพิสูจน์ความเป็นตัวผม.... โอเค ผมยังสามารถที่จะทำอะไรได้อีกหลายอย่าง
                 ไม่ใช่สิ่งที่พวกคุณเคยคิดกัน (พูดงี้มีเคือง)


ผู้สื่อข่าว    : สิ่งที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมากในตอนนี้ นั่นก็คือในปีหน้านี้มีหวังที่ วงเสียวหู่ตุ้ย
                 จะกลับมารวมวงทัวร์คอนเสิร์ตกันอีกครั้ง
               : ( ครั้งที่แล้วกับความรู้สึกของคุณที่จะได้คืนวงอีกครั้ง )


ซูโหย่วเผิง : หอบ แฮก แฮก ฮา ฮา ฮา
                 ตอนที่ได้ยืนแสดงอยู่บนเวทีด้วยกันนะครับ มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก
                 แต่มันก็กลับทำให้ผมรู้สึกว่าคุ้นเคยกับมันมาก แล้วหลังจากนั้นก็..... ก็.....มันรู้สึกแปลกๆ
                 ก็เพราะผมไม่ได้สัมผัสอะไรอย่างนี้มานานมากแล้ว แล้วมันก็...... ก็......


ผู้สื่อข่าว    : ( ในตอนนั้นคุณเพิ่งจะอายุ 15 เอง )


ซูโหย่วเผิง : ก็ใช่น่ะสิ ได้ร้องเพลงที่ผมเคยร้องทีไร มันทำให้ผมรู้สึกอยากที่จะร้องไห้


ผู้สื่อข่าว    : ( แล้วครั้งนี้ต้องเปลี่ยนตัว เฉินจื้อเผิง ด้วยหรือเปล่า )


ซูโหย่วเผิง : ผมก็ไม่อาจทราบได้นะครับว่าเค้าจะยังไง


ผู้สื่อข่าว    : อาจจะเป็นจริง กับเรื่องที่ไม่อาจจะมีวันเป็นไปได้


ซูโหย่วเผิง : (ก็เพราะเรื่องที่ผมทราบก็พอๆกับที่พวกคุณรู้กันน่ะครับ) ผมไม่รู้จริงๆไม่ต้องมาถามผมนะ
                  ผมก็ไม่ได้มีอะไรคาใจ ผมไม่ได้มีอะไรคาใจผมทั้งนั้น



ผู้สื่อข่าว    : ( คุณกับทาง เฉินจื้อเผิง เนี่ยยังได้ติดต่อกันอยู่บ้างไหม )


ซูโหย่วเผิง : เราก็ยังติดต่อพูดคุยกันอยู่บ้าง


ผู้สื่อข่าว    : ( แล้วคุณกับ อู๋ฉีหลง ล่ะค่อนข้างสนิทกันใช่ไหมค่ะ )
 

ซูโหย่วเผิง : จริงๆแล้วผมก็สนิทกับทุกๆคนเหมือนๆกันนั่นแหละครับ ที่คุณพูดว่าผมกับ อู๋ฉีหลง
                 น่ะสนิทกันมากนั้น นั่นมันก็ยังไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะความเป็นจริงแล้ว เราต้องรู้ว่า
                 คนคนนั้นน่ะกำลังนั่งทำอะไรอยู่ถึงจะถูก



ผู้สื่อข่าว    : พูดกันซะหมดเปลือกขนาดนี้ 3 คนนี้มักจะถูกนำมากล่าวถึงอยู่เสมอๆ


ซูโหย่วเผิง : ผมก็พูดได้แค่ เอาใจผมมาวัดใจกันดีกว่า ผมคิดว่า 3 ครั้ง ที่ผ่านมาถือว่าผมอดทนมามากนะ
                 ผมมีการศึกษาพอที่จะพูดกับเขา ผมรู้ว่าทุกๆคนน่ะดีกับผม เมื่อถูกถามเป็นครั้งที่ 20, 30 ครั้ง
                 จนผมนั้นแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว อย่ามาถามผมอีกแล้วจะได้ไหม



ผู้สื่อข่าว    : เค้ายังให้ความหวังกับพวกเรา ที่อาจจะกลับมาคืนวง เสียวหู่ตุ้ย อีก


ซูโหย่วเผิง : ถ้าสมมุติว่า เอาวงเสียวหู่ตุ้ยกลับมาทำใหม่ ผมก็คิดว่ามันก็เป็นได้เพียงแค่
                 มาตรฐานของ เจิ้งเฟิย คุณไม่อาจที่จะทำมันออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าได้หรอก ครั้งนี้ที่ เฟิงหัว
                 พยายามที่จะให้ผมกลับมาทำงานนี้นั้น ผมก็รู้สึกดีใจและซาบซึ้งมากๆ ก็คือเค้าก็สามารถ
                 ที่จะเอาความพิเศษเฉพาะตรงนี้ มาทำการตลาดได้ มันยังต้องทำเรื่องเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ
                 และการรวบรวมข้อมูลตรงนี้นั้นมันต้อง มันต้องพูดถึงเรื่องราวที่เป็นปัจจุบันในตอนนี้
                 ตัวผมเองก็แอบสนใจ คุณไม่ได้อยากที่จะให้ผม กลับไปแต่งตัวเป็นสมัยหนุ่มอีกเหรอ
                 มันก็ไม่ได้ง่ายนะ ที่ผมจะประสบความสำเร็จได้มาจนทุกวันนี้ ผมเองก็ไม่รู้จะบอกกับตัวเอง
                 ว่าอย่างไรดี ( ทำหล่อ )

                 ผมทำมันไม่ได้หรอก รวมทั้งตอนที่คุณมานั่งหอบ แฮก แฮก ด้วย เหมือนกับตัวอะไรก็ไม่รู้
                 ทุกคนคงไม่มานั่งคอยที่จะจับผิดคุณ แต่ถ้าหากคุณเปลี่ยนมาเป็น ที่จะต้อง ( ตระเวน )
                 กอบโกยเงิน ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แน่นอนล่ะมันต้องมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาแน่
                 พวกคุณ3คนมันก็เป็นแค่คนที่ทำตัวแอ๊ฟเป็นหนุ่มน้อย


ผู้สื่อข่าว    : ยากที่จะเห็น ไกวไกวหู่ พูดหมดเปลือกเสียขนาดเนี้ย แถมยังมาโชว์ของสิ่งนี้ออกมา
                 ให้พวกเราชมเป็นครั้งแรกอีกด้วย


ซูโหย่วเผิง : มันคือลายอักษรคัมภีร์ อักษรคัมภีร์ (รอยสัก)


ผู้สื่อข่าว    : ( ไปสักมาตั้งแต่เมื่อไหร่ )


ซูโหย่วเผิง : เมื่อหน้าหนาวปีที่แล้วครับ


ผู้สื่อข่าว    : ( ทำไมคุณถึงได้คิดที่อยากจะสักมันขึ้นมาล่ะ )


ซูโหย่วเผิง : ผมเป็นคนที่นับถือศาสนาพุทธอยู่แล้ว แล้วผมก็ได้มีโอกาสมาพบกับอาจารย์ท่านหนึ่ง
                 เค้าจึงช่วยสักลายสักนี้ให้กับผม



ผู้สื่อข่าว    : ( โห ..ไกวไกวหู่ สักด้วย )


ซูโหย่วเผิง : อาจารย์ท่านนี้ก็เป็นคนที่เคยสักให้กับ แองเจอรีน่า ด้วย เค้าก็เคยให้อาจารย์ท่านนี้
                 สักให้เหมือนกัน



ผู้สื่อข่าว    : ( ลายสักนี้ใช้เวลาในการสักนานมากมั้ย )


ซูโหย่วเผิง : มันก็เจ็บแต่มันก็ไม่ถึงกับตายหรอก ผมเลยจำมันไม่ได้ ที่ด้านหลังของผมก็ยังมีอีกลายหนึ่ง
                 ที่มันสวยกว่านี้ (ลายสัก) เป็นตัวอักษรที่ชัดเจน และก็ไม่เจือสี ที่แผ่นหลังของผมยังมีอีกลาย
                 ที่มันใหญ่มาก เพราะว่าผมศรัทธาครับ ศรัทธาครับ



The End

25

พิธีกร :
28 กันยายนนี้ พวกเราเตรียมรอชมกันได้ อาจารย์เหยา ในภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ จะแสดงได้สมบทบาทขนาดไหนนั้น

แล้วช่วงสุดท้ายของรายการนี้ ผมขอให้ผู้กำกับและองครักษ์ทั้งสองท่าน ขึ้นมาบนเวทีครับ ขอเชิญเลยครับ

ในการร่วมรายการของเราในวันนี้นะครับ เราจะให้โอกาสกับทุกท่านอีกสักเล็กน้อย ทุกท่านคงจะเริ่มหลงใหล ชื่นชอบในเสน่ห์ของภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ นี้แล้วนะครับ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้เข้าฉายก็ตาม ตั้งตา นับวันรอวันเข้าฉาย

ผมจะถามคำถามสุดท้ายในวันนี้นะครับ ขอถามนะครับ วันเกิดของ หลิวอี้เฟย ตรงกับวันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร อะไรนะครับ งั้นตอบพร้อมๆกันเลยครับ



ผู้ชมในห้องส่ง : 25 สิงหาคม


พิธีกร :
25 สิงหาคม ครับ, ถูกต้อง
วันนี้ 26 สิงหาคม ถึงแม้อาจจะช้าไปหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไรนะครับ พวกเราได้เตรียมของขวัญเล็กน้อยมาให้เธอในวันนี้ด้วยครับ

ยกเค้กมาได้เลยครับ บนเค้กมีอักษรจีนเขียนไว้ด้วยนะครับ ถง ชูเว้ ไถ กางปีกทะยานสู่ท้องนภา ขอให้ภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ ประสบผลสำเร็จ ว้าว..



หลิว อี้ เฟย :
ขอบคุณค่ะ ปีนี้เป็นปีที่ฉัน ในสามสี่วันที่ผ่านมาได้เค้กวันเกิดรวดเดียว 10 ก้อน ตั้งแต่เกิดมา ปีนี้เป็นปีที่กินเค้กเยอะที่สุดเลย


พิธีกร :
สังเกตเห็นไหมครับว่า ขนาดเค้กเรายังทำมันออกมาเป็นลักษณะคล้ายกับหอวิหคทองแดงเลย สมกับชื่อภาพยนตร์เลยทีเดียว

งั้นขอเชิญทุกท่านจากภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ มายืนข้างๆ อี้ เฟย เลยนะครับ มาเป่าเทียนร่วมกัน ขอให้ภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ ใน 28 กันยายนนี้ ประสบความสำเร็จ 1....2.....3 !

ท้ายรายการวันนี้นะครับ อยากจะให้ทุกๆคน กล่าวอะไรสักเล็กน้อยแนะนำภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ เริ่มจากทางโน้นก่อนเลยครับ


อาจารย์ ชิว ซิน จื้อ :
ก็ไม่ขอพูดอะไรมากอ่ะนะครับ ภาพยนตร์ดีมีคุณภาพขนาดนี้ ต้องรีบมาชมกันนะครับ ขอย้ำ 28 กันยายนนี้ ต้องมาดู ถง ชูเว้ ไถ


ซู โหย่ว เผิง : ถ้าคนเป็นคอสามก๊ก ห้ามพลาดเด็ดขาดนะครับ


อาจารย์ เหยา หลู่ :
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ตัวละครแต่ละคนมีบุคลิคที่ไม่เหมือนกัน อยากจะให้ทุกคนลองไปศึกษาดูกัน


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง :
ฉันว่า 2 ปีมานี้ทุกคนคงได้ดูภาพยนตร์เกี่ยวกับสามก๊กมาบ้างนะค่ะ แต่ฉันขอรับประกันเลยล่ะค่ะว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกว่าที่ผ่านมา มันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละตัวละคร ทุกคนในเรื่องมีจุดเด่นเฉพาะตัว


หลิว อี้ เฟย :
ทุกคนจะได้ชมผลงานชิ้นเอกที่ยอดเยี่ยม เอ่อ...ที่แสดงด้วยความตั้งใจ เพลงประกอบที่ไพเราะ เป็นความใฝ่ฝันของผู้กำกับของเรา เป็นภาพยนตร์ที่เราภูมิใจนำเสนอ


พิธีกร : ผู้กำกับจ้าวครับ


ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน :
โจว เหวิน ฟ่ะ เป็น โจ โฉ ที่หาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ถ้าพลาดแล้ว ก็พลาดเลย



พิธีกร :
งั้นพวกเราต้องรอชมกันนะครับ 28 กันยายนนี้ วันที่ ถง ชูเว้ ไถ เข้าฉาย ขอขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้งครับ ขอบคุณทุกท่านครับ


ผู้กำกับ และ นักแสดงทั้งหมด : ขอบคุณค่ะ ขอบคุณครับ


พิธีกร :
ขอเชิญแฟนคลับ หลิวอี้เฟย, ซูโหย่วเผิง ขึ้นมาบนเวทีด้วยกันครับ รีบมาเลยครับ



The End

26

พิธีกร : คุณคิดว่าใครคือคนที่คุณต้องรับบทด้วยเยอะที่สุดครับ


หลิว อี้ เฟย :
พี่ฟ่ะ เขาเป็นคนที่ร่าเริง สนุกสนาน เขาอาจจะไม่ได้เป็นคนที่เคร่งขรึมขนาดนั้น ตอนที่พี่เขาเข้าฉากแสดง กับตอนอยู่นอกฉากเนี่ย มันดูเป็นธรรมชาติมาก เขาเคยเล่าว่า ตอนนั้นคนมาถามเขาว่า คุณคิดว่า โจโฉ เป็นคนอย่างไร อยู่ในยุคไหน ถามอะไรเต็มไปหมด เขาก็ตอบไปว่า โจโฉ เขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งนั่นแหละ บทที่ผมแสดง เขาก็เป็นเพียงคนคนหนึ่งเท่านั้น

หลายคนคงคิดว่า ตอบง่ายไปหรือป่าว แต่มันก็จริงอย่างนั้นนิ ไม่ว่าบทที่เล่นจะเด่นดังแค่ไหน เขาก็เป็นเพียงคนคนหนึ่งเท่านั้น เขาก็เป็นคนที่มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน


พิธีกร :
ครับ ผมขอเอาคำพูดของพี่ฟ่ะมาใช้ คนที่เขารับบทเล่นนั้นก็เป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น โจโฉ

แล้วถ้าสมมติว่า เอาตัวละครในประวัติศาสตร์ อย่างเช่น โจโฉ โจผี ลิปโป้ แล้วก็ยังมี ไท่อี้ พวกเขาเหล่านี้ ผู้ชายทั้งหมดนี้ หลุดออกมาอยู่ในยุคปัจจุบัน มายืนอยู่ข้างกายคุณ อยากทราบว่า คุณคิดว่าผู้ชายแบบไหนที่คุณชอบที่สุด



หลิว อี้ เฟย :
ขอเลือกหมดเลยได้ไหมค่ะ เพราะว่าในแต่ละคนก็จะมีความเป็นตัวตนของแต่ละคนอยู่ มันไม่เหมือนกันจริงๆ มันไม่มีอะไรสามารถเปรียบกันได้หรอก ต้องดูก่อนว่าในตอนนั้น.....อืม ถ้าเป็นแค่เรื่องสมมติมันก็ได้อยู่หรอกนะ แต่ถ้าเรารักใครสักคนหนึ่ง มันคงไม่ต้องหาเหตุผลใดๆหรอกค่ะ



พิธีกร :
อาจจะเป็นในช่วงสมัยใดสมัยหนึ่ง แล้วถ้าได้พบรักกับใครในสมัยนั้นล่ะก็ มันอาจจะทำให้เรารู้สึกแปลกๆก็ได้ ฮาฮา... อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้

บทที่คุณแสดงมันก็ไม่ใช่แค่บทนี้บทเดียว มันยังมีอีกตัวละครหนึ่ง



หลิว อี้ เฟย :
ถึงแม้บทนั้นมันจะน้อยมากก็ตาม นั่นก็คือบทของแม่หลิงจีว์ (เตียวเสี้ยน)



พิธีกร : แล้วเวลาที่คุณแสดง มันไม่รู้สึกสับสนกับสองบทนี้บ้างเหรอครับ


หลิว อี้ เฟย :
ไม่นะค่ะ เพราะเวลาแสดง ฉันก็ไม่ได้คิดว่าสองคนนี้มีตัวตนอยู่จริงๆ ไม่มีสองคนนี้อยู่ ทั้งหมดมันคือตัวฉัน เพียงแค่ใช้ความรู้สึกเวลาแสดง ว่าสองคนนี้คือคนละคนกัน ตอนที่แสดงเป็นเตียวเสี้ยน มันก็จะเป็นฉากที่มีลิปโป้ ยืนอยู่ที่ลานประหาร แล้วลูกของฉันตอนนั้นก็ยังเล็กอยู่ ฉันต้องรู้ว่าฉากที่แสดงจะต้องออกมาอย่างไร แต่ตัวฉันยังไงมันก็คือตัวของฉันค่ะ ลบชื่อตัวละครเหล่านั้นออกจากสมอง ฉันไม่ใช่ทั้ง อี้ เฟย และฉันก็ไม่ใช่ หลิง จีว์ เราแค่แสดงความรู้สึกออกมาตามบทบาทเท่านั้นเอง



พิธีกร :
พวกเรารอชมกันได้ในวันที่ 28 กันยายนนี้ ชมความสามารถของเธอ กับบทที่ท้าทายสองบทบาทนี้ได้นะครับ

และในการถ่ายทำของอาจารย์ เหยา หลู่ ล่ะครับ แต่ไหนแต่ไรมันก็เป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยน่าเข้าใกล้สักเท่าไหร่ อะไรอย่างนั้น บทที่คุณได้รับมันออกจะดูเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา เมื่อตะกี้ที่ผมสังเกตเห็น ตอนคุณนั่งอยู่บนโต๊ะของกรรมการภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ หน้าเวทีที่จัดไว้นะครับ รู้สึกว่า เอ๊ะ มันน่าเกรงขามมากเลย แล้วปกติคุณเป็นคนอย่างไรครับ



อาจารย์ เหยา หลู่ :
ปกติผมกับการเลือกการแต่งตัว ผมออกจะเป็นคนสบายๆ ผมจะไม่ค่อยเคร่งครัดอะไรขนาดนั้น สร้างภาพอ่ะนะครับ



พิธีกร : งั้น คุณก็สามารถแสดงบทได้ออกมาดีเลยทีเดียว


เหยา หลู่ กับการแสดงละครอิงประวัติศาสตร์สามก๊ก เป็นอะไรที่คุ้นเคยมาก ในปี 1996 ภาพยนตร์เรื่องโจโฉ เหยา หลู่ ถือเป็นอีกยุคหนึ่ง คนหนึ่งที่เคยได้รับบทเป็น โจโฉ จอมทรราช ซึ่งในตอนนี้เขาก็ได้มาร่วมงานกับโจโฉ 2 เหยา หลู่ เป็นดารานักแสดงอาวุโส รับบทเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทกับโจโฉมากที่สุด เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ผู้กำกับที่มากความสามารถอย่าง จ้าว หลิน ซาน ได้มาทาบทามกับเหยาหลู่ ให้มารับบทเป็นแพทย์หลวง ในเรื่อง ถง ชูเว้ ไถ

(ระหว่างซ้อมบท) : ประคองหน่อย ประคองหน่อย
เหยา หลู่            : ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมลงเองได้

ได้ทำงานร่วมกับ โจว เวิน ฟ่ะ เหมือนกับเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันไปแล้ว สองคนเริ่มทำงานร่วมกันตั้งแต่ ภาพยนตร์เรื่อง ขงจื้อ จนมาถึงเรื่อง ภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ ในตอนนี้ แล้วอะไรล่ะที่ทำให้รู้สึกประทับใจ


อาจารย์ เหยา หลู่ :
พี่ฟ่ะ เขาเป็นคนที่แสดงได้เก่งมาก ไม่ว่าจะด้านการแสดงออกทางอารมณ์ หรือ สีหน้า เป็นคนที่มีความสามารถมากด้านการแสดงคนหนึ่ง และเขาก็สามารถทำผลงานของเขาออกมาได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ ในการถ่ายภาพยนตร์ ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับเขา 2 คน เขามาพูดกับผมว่า เนี่ยตีสามกว่าแล้วผมยังนอนไม่หลับเลย ผมก็ถามเขาว่าทำไมเขาตอบว่าผมกำลังนั่งคิดทบทวนถึงคุณอยู่ ผมรู้สึกกังวลมากเลย และผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน เขาเป็นคนที่คาดหวังกับตัวเองสูง กลัวว่ามันจะออกมาได้ไม่ดี


พิธีกร :
อาจารย์ซึ่งมารับบทแพทย์ในราชสำนักนี้อ่ะนะครับ เป็นตัวละครที่พยายามเรียนรู้ จดจำ ทุกอย่างจากโจโฉ ในตอนที่ผมได้กล่าวไว้ว่า ดูผิวเผินแล้วเหมือนเป็นฝ่ายเดียวกับโจโฉ แล้วทำไมอยู่อยู่ถึงได้มีใจคิดคด หรือที่เรียกได้ว่าเป็น ขบถ ได้ไหมครับ ท่านผู้กำกับ เรียกอย่างนั้นก็ได้ไหมครับ



ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน :
เมื่อกี้หลังไมล์คุยกันเรียบร้อยแล้ว ให้เขาเป็นคนตอบเองจะดีกว่า


อาจารย์ เหยา หลู่ :
ตัวละครที่เล่นเรื่องนี้นะครับชื่อ หลิงจิ้ง เป็นแพทย์หลวง ผมคิดว่าถ้าคุณไปดูภาพยนตร์แล้วดูเรื่องนี้ แน่นอนล่ะครับว่า ทุกคนเมื่อถ่ายทำภาพยนตร์เสร็จ ก็ต้องคิดว่าผลงานของตัวเองน่ะคือที่สุด แล้วลองคิดกลับกันสิว่า แล้วถ้าเมื่อคนอื่นได้มาดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว คุณสามารถที่จะค่อยๆมองข้ามภาพลักษณ์ที่คุณเคยรู้จัก ไม่ว่าจะ หลิวอี้เฟย, โหย่ว เผิง, ชิว ซิน จื้อ, อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง ความรู้สึกมันจะดำเนินไปตามตัวละครในเรื่อง

มีคนถามผมว่าภาพยนตร์เรื่องนี้น่ะสื่อถึงอะไร ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ มันสะท้อนถึงจิตใจของคนจีนอย่างหนึ่งแหละครับ จริงนะ ผมไม่โกหก นี่คือเรื่องจริง เพราะในปัจจุบันนี้ มีอะไรที่มันวุ่นวายสับสนปนเปกันไปหมด มันรวมถึงใจคนเราด้วยครับ แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ มันก็สะท้อนให้เราได้เห็นถึงจิตใจของคนที่มันสลับซับซ้อนเกินหยั่งถึง เอาตามตรงนะครับ ผมคิดว่าตัวละครที่ผมเล่นนั้นต้องใช้ทั้งความสามารถและจิตวิญญาณของนักแสดงล้วนๆ


27
<a href="http://www.youtube.com/v/?v=9wVJxywSVKk" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/?v=9wVJxywSVKk</a>
http://www.youtube.com/watch?v=9wVJxywSVKk


(ต่อ)


พิธีกร :
เป็นตอนหนึ่งของ ฮ่องเต้ฮั่นเซี่ยนตี้ ร้องตอนที่รู้สึกรันทดใจ เป็นตอนหนึ่งในภาพยนตร์ เหมือนได้เข้าไปสัมผัสกับอารมณ์และความรู้สึกของเขาในตอนนั้นได้เลย ทุกคนก็คงจะเคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนใช่ไหมครับ

3 คนนี้คือ มือสังหารของเรื่อง แน่นอนครับ 3 คนนี้ต้องมีความบาดหมางกับโจโฉ ขอถามสนุกๆนะครับว่า ใครกันในที่นี้ที่มีความแค้นฝังลึกกับโจโฉที่สุด


ซู โหย่ว เผิง : น่าจะเป็นผมมั้ง เพราะผมเป็นฮ่องเต้ แค้นนี้ไม่อาจชำระ


พิธีกร :
มันเป็นความเคียดแค้น

แล้วอาจารย์ เหยา หลู่ ล่ะครับ ดูผิวเผินแล้วน่าจะเป็นคนของอีกฝ่าย แต่จริงๆแล้ว เป็นที่ร้ายลึกมากเลยทีเดียว


อาจารย์ เหยา หลู่ : (เหยา หลู่ นักแสดง) :
ผมว่าน่าเรียกอย่างนั้น ตอนที่ถ่ายดูเหมือนมันไม่มีอะไรน่ายาก พอถ่ายเสร็จ มักจะมีคนมาถามผม แล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึกกดดัน พูดอีกก็ถูกอีกนะครับ ต่อหน้าเหมือนรักกันดี มีความซื่อสัตย์ต่อกัน แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่เป็นอย่างนั้น แต่ถึงยังไงมันก็เป็นแค่บทแสดงนะ



พิธีกร : อ่อครับ.... อี้ เฟยล่ะครับ


หลิว อี้ เฟย : (หลิว อี้ เฟย) :
ฉันกับโจโฉ ก็ไม่ได้มีอะไรบาดหมางกันนะค่ะ เป็นความแค้นที่คนอื่นหยิบยกให้ แต่พอเมื่อได้มาพบกับเขาแล้ว ทำให้ฉันได้เข้าใจอะไรใหม่ มันไม่เหมือนในสิ่งที่คนอื่นเคยพูด



พิธีกร : ความแค้นของคนอื่นมันก็ไม่ใช่ของเรา


หลิว อี้ เฟย :
ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความคิดเป็นของตัวเอง ตัวฉันเองก็มีความคิดเป็นของฉันเช่นกัน มันเป็นอีกความรู้สึกหนึ่งที่ฉันมีต่อเขา


หลิว อี้ เฟย ในภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ รับบทเป็น หลิงจีว์ เป็นตัวละครที่ถูกอบรมเลี้ยงดูตั้งแต่เด็กเพื่อที่จะเป็นมือสังหาร และคนที่เขาต้องการสังหารนั่น ก็คือ โจโฉ เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับโจโฉนั้น เธอยอมถูกส่งตัวมารับใช้โจโฉ ในฐานะ สหายคนสนิท ในเรื่องนี้บทบาทของ หลิงจีว์ ส่วนใหญ่เน้นไปที่การแสดงอารมณ์ที่ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ และ หลิว อี้ เฟย ก็สามารถแสดงบทบาทเหล่านี้ได้อย่างสมบทบาท


หลิว อี้ เฟย :
ไม่กี่ปีมานี้ฉันพบแล้วล่ะว่า เสียงตอบรับมันเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากเลย รวมถึงเรื่อง เจี้ยน หยู่ และ หง เหมิน เยี้ยน ด้วย ถึงแม้ใครใครจะคิดว่าตัวละครนี้ พูดตามตรงนะค่ะ อาจจะคิดว่าเป็นบทที่มีคนเคยนำมาเล่นแล้ว ถึงยังไงนะค่ะ ฉันค้นพบแล้วล่ะว่า ในการแสดงบทบาทและการทำงานแต่ละครั้ง มันล้วนแล้วแต่เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับฉัน มันเหมือนกับเราได้ลองอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะความรู้สึก ณ ตอนนั้น อารมณ์ ในตอนนั้น

ดังนั้น หลิงจีว์ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของเหตุการณ์เลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าฉันจะรับบทนี้ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือ 5 ปีที่ผ่านมา ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะยังคงเหมือนเดิม และที่ทุกคนได้เห็นในสิ่งที่ฉันได้แสดงมันออกมา มันก็คือความตั้งใจจริงของฉันที่ใช้เวลาช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
ไม่มีใครกำหนดไว้หรอกค่ะว่า ตัวละครแต่ละตัวมีบทจริงๆอย่างไร ถึงแม้ว่าบทจะเขียนไว้อย่างไร แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเราที่จะแสดงมันออกมา



หลิว อี้ เฟย รับบทเป็น หลิง จีว์ ถูกโชคชะตาชักนำเธอมา ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ความสัมพันธ์ระหว่าง เธอ กับ โจโฉ ในด้านของผู้จัด เธอเป็นอีกตัวละครหนึ่งที่เพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินเรื่อง


หลิว อี้ เฟย :
อาจจะเรียกได้ว่า เธอเป็นคนที่เคยมีตัวตนอยู่จริง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักแสดงละครโทรทัศน์ หรือ ดาราภาพยนตร์ก็ตามแต่ ควรที่จะ....เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราเนี่ย.....ร่วมไปกับบทบาทนั้นด้วย เนี่ยเพียงเท่านี้ก็น่าเพียงพอแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรให้มันซับซ้อนเลย นักแสดงที่ดี ไม่ว่าจะแสดงสด หรือแสดงตอนที่ยังไม่ได้แต่งอะไรเลย ล้วนแล้วแต่เป็นนักแสดงเหมือนกัน ถ้าคุณแสดงมันออกมาอย่างเต็มความสามารถ



พิธีกร :
ผมรู้สึกว่านักแสดงนำ ที่มาเป็นแขกรับเชิญรายการเราในวันนี้นะครับ มีนิสัยซึ่งแตกต่างกับบทที่แต่ละคนแสดงมาก
อี้ เฟย ก็เช่นกัน เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารัก ร่าเริง สดใส คนหนึ่ง แล้วในภาพยนตร์เรื่องนี้ ดูแล้วเหมือนเป็นคนที่เก็บกดเหมือนกันนะ


หลิว อี้ เฟย :
ฉันคิดว่าฉันค่อนข้างเป็นคนที่เย็นชานะ แล้วก็ค่อยๆปรับตัว ขึ้นอยู่กับอารมณ์และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง การแสดงก็เป็นอย่างนี้ เพราะเวลาเราแสดง มันก็ต้องใช้บรรยากาศทั้งในโรงถ่าย เนื้อเรื่อง และ คนแสดงที่ถูกพอร์ตเอาไว้ รวมกับทิศทางในการดำเนินของเรื่อง แล้วมันก็ทำให้เราแสดงบทนั้นออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ



พิธีกร : คุณคิดว่า ตัวละครที่คุณแสดงคนนี้ในภาพยนตร์ เป็นผู้หญิงอย่างไร


หลิว อี้ เฟย :
ฉันยังหาคำจำกัดความไม่ได้เลยนะค่ะ เพราะว่าจิตวิญญาณในการแสดง มันก็คือความเป็นตัวตนของเรา มันไม่มีอะไรมากำหนดตายตัวได้หรอกค่ะ ในบางครั้งก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าแสดงมันออกมาได้เอง ฉันสามารถนำเทคนิดการแสดงเรียนรู้มาใช้ นี่แหละคือความเป็นตัวตนที่เราถ่ายทอด แล้วมันยังทำให้เรารู้สึกว่าต้องแสดงบทให้เต็มที่ และตอนที่อยู่หน้ากล้อง เรายิ่งต้องแสดงมันให้ดูออกมาสมจริงยิ่งกว่านี้ เพราะถึงยังไงคุณก็ไม่สามารถหลอกคนดูได้หรอก คุณต้องเรียนรู้งานจากการแสดงให้มาก



พิธีกร :
ถ้าจะให้คุณตอบว่า คุณเคยได้รับบทมาแล้วก็ตั้งมาก แล้วคุณคิดว่าแต่ะละบทที่คุณได้รับ มีอะไรที่แตกต่างกันออกไปครับ


หลิว อี้ เฟย :
ที่แตกต่างก็คือช่วงสมัยของตัวละครมั้งค่ะ แล้วบทในครั้งนี้ที่แสดงมันก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าแตกต่าง แต่ก่อนฉันไม่เคยได้สัมผัสกับงานแสดงที่ต้องใช้ความละเอียดขนาดนี้ แต่ในตอนนี้คุณสามารถที่จะรับรู้ถึงความแปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรที่เขียนอยู่ในบท มันดูตื่นตาจริงๆค่ะ


โดยปกติ ผู้หญิงที่สุภาพเรียบร้อย อย่าง หลิว อี้ เฟย จะเป็นคนที่ชอบเล่นกับงู ด้วยบุคลิกเหล่านี้ ทำให้ผู้กำกับเลือกเธอมารับบทเป็น หลิงจีว์ ในวันงานโปรโมทภาพยนตร์ หลิว อี้ เฟย ได้รับความดูแลเอาใจใส่จากผู้กำกับ จ้าว ที่ลงมือทำเค้กวันเกิดด้วยฝีมือของเขาเอง ทำให้ หลิว อี้ เฟย รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

28

โจโฉ ใช้อำนาจบีบบังคับกษัตริย์ เพื่อใช้อำนาจในการคุมเหล่าบรรดาหัวเมืองต่างๆ ซู โหย่ว เผิง ซึ่งรับบทเป็นฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้ ที่ถูกบีบบังคับ บทที่เขาได้รับนั้น มันต้องนั่งร้องเพลงงิ้ว ถึงแม้ว่าเขาจะมีความถนัดทางด้านการร้อง แต่บทที่เค้าได้รับ คือฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้ ที่ชอบร้องเพลงงิ้วเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งมันกลับทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง :
ฉันรู้สึกว่าที่โหย่ว เผิง มารับบทนี้นะค่ะ และซึ่งฉันก็ได้มาทำงานร่วมกันกับเขาด้วย ฉันมีความชื่นชมในตัวเขามาก อย่างแรกเลยคือ เขาเป็นคนที่มีความพยายามทุ่มเทกับงานไม่เคยเปลี่ยน ฉันจำได้ว่าสมัยก่อนตอนที่เขายังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ เขาต้องเรียนร้องเพลง เรียนเต้นรำ เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองในทุกๆเรื่อง บางครั้งเขาก็จะดูเครียดๆ ถึงกับไม่หลับไม่นอนเลยก็มี มันก็แตกต่างกับพวกเรานะค่ะ ที่จบการศึกษาแล้ว ตาเขาก็จะแดงก่ำไปหมดเลย แล้วเขามักจะบอกว่า แล้วจะให้ผมทำอะไรล่ะ ถ้าไม่ให้อ่านหนังสือ ฉันเลยตอบเขาไปว่า คุณทำก็ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนั้นก็ได้

เขาจะเป็นคนที่ทำอะไรสักอย่างแล้วต้องทำมันให้มันออกมาดีที่สุด แล้วที่ได้มาแสดงภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ ร่วมกันอีก ฉันก็ยังรู้สึกว่านิสัยเขาก็ยังไม่เปลี่ยนเลย ยังเป็นเด็กหนุ่มที่ปรารถนาจะผลักดันตัวเองให้ดียิ่งขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่เป็นเขา และบทที่เขาได้รับในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น ก็มีความสำคัญมากเลยทีเดียว เขาก็สามารถแสดงบทบาทนั้นได้ออกมาอย่างดีเยี่ยม บทที่เขาได้แสดงนั้น ในความคิดของฉันนะค่ะ ฉันคิดว่าเป็นตัวละครที่เล่นได้ยากบทหนึ่งเลยของภาพยนตร์นี้

เขาเป็นคนที่มีความสามารถมาก มีความสามารถรอบด้าน มันทั้งหมดแฝงรวมอยู่ในตัวเค้า บทที่เค้าเล่น ถือเป็นบทที่เล่นยากมาก ลองคิดดูสิค่ะ คนคนหนึ่งที่ไม่มีแม้กระทั่งเกียรติศักดิ์ศรี ขนาดเมียตัวเองแท้ๆ ยังดูถูกดูแคลนเขาเลย เป็นบทที่ได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวมาก ฉันคิดว่าในเรื่องนี้ เขาแสดงได้สมบทบาทมากเลย


จากภาพยนตร์เรื่อง เฟิง เซิง ซู โหย่ว เผิง ได้รับบทเป็น ป๋าย เสี่ยว เหนียน บทละครเพลงงิ้ว คุน ฉุย เขาสามารถร้องออกมาได้อย่างไพเราะ ซาบซึ้งเข้าถึงอรรถรสของอารมณ์ แม้ใครได้ฟังแล้วยังรู้สึกว่าเสียงนั้นยังคงตราตรึงในหัวใจไปอีกนาน
แต่การแสดงภาพยนตร์เรื่อง ถง ชูเว้ ไถ นี้ ซู โหย่ว เผิง ต้องร้องเพลงงิ้ว คุน ฉุย ในท่วงทำนองเพลงชายสูงวัยในการขับร้องบท เจียน เจีย ถือเป็นจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้


ซู โหย่ว เผิง :
มันก็เหมือนกับเรื่อง เฟิง เซิง นั่นแหละครับ ต้องเรียนเกี่ยวกับการร้องเพลงงิ้ว และเรียนรู้ในจุดที่เราบกพร่องอยู่ ดังนั้นแรงกดดันมันค่อนข้างเยอะ ในบางครั้งผู้กำกับก็อยากให้ผมร้องมันออกมาสดเดี๋ยวนั้นเลย คุณรู้ไหม มันรู้สึกเกร็งมาก เขาคิดว่า เอ๊ะ คุณก็ร้องเพลงได้นิ เต้นรำก็เต้นได้ มันไม่น่าจะยากสำหรับคุณนะ ผมก็บอกกับเขาว่า ท่านครับ ที่ผมเคยเรียนมาน่ะมันคนล่ะอย่างกันเลย แล้วในความคิดของเขานะครับ เขาคิดว่า เธอไม่ต้องไปร่ำไปเรียนให้มันออกมาเป๊ะขนาดนั้นหรอก แล้วเขาก็บอกผมว่า มันใช่ว่าจะถูกเสมอไปหรอกนะ เพราะในสมัยนั้นจริงๆมันไม่มีหรอก คุณก็แค่แสดงมันให้เหมือนก็พอแล้ว

ในใจผมคิดว่า ในความเหมือนของคุณน่ะ ยังไงมันก็ต้องแสดงมันให้สมบทบาทนะ แล้วถ้าผมทำมันไม่ได้ล่ะ แล้วจะทำยังไง แต่เขาก็ไม่สนใจอะไร เพราะว่าในการแสดงมันก็ต้องมีบ้าง ที่ต้องคิดเดี๋ยวนั้นแสดงเดี๋ยวนั้น ถ้าเช่นนั้นผมก็คงต้องมั่วแล้วล่ะ คุณคิดว่าในฉากนั้น ตัวละครที่คุณเล่นรู้สึกยังไง คุณก็แสดงมันออกไปอย่างนั้น


พิธีกร :
ถึงแม้ว่าทุกคนอาจจะยังไม่ได้ดูกัน เพราะภาพยนตร์ยังไม่ได้เข้าฉาย ผมอยากจะบอกไว้ก่อนนะครับว่า ในภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับมีบทร้องงิ้วอยู่ตอนหนึ่งที่ไพเราะมาก



ซู โหย่ว เผิง :
ใช่แล้วล่ะ เป็นบทที่ถูกแต่งขึ้นเพื่อฮ่องเต้ฮั่นเซี่ยนตี้โดยเฉพาะ เพราะในสมัยฮ่องเต้ฮั่นเซี่ยนตี้จริงๆ ยังไม่มีบทร้องละครงิ้วเลย ผมคิดว่าหากใส่รายละเอียดลงไปในส่วนนี้ ที่ให้ตัวละครนี้ร้องเพลงงิ้ว ตรงนี้นี่แหละ ที่จะสร้างความน่าสนใจให้ตัวละครมากขึ้น เพราะในประวัติศาสตร์ ในความเข้าใจของทุกคนนั้น เป็นเพียงแค่ ฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถ ไร้ซึ่งสติปัญญาคนหนึ่งเท่านั้น

แล้วคุณลองคิดดูสิ ในขณะที่โจโฉยึดกุมอำนาจอยู่นั้น ฮ่องเต้ที่มีความกลัดกลุ้มใจรู้สึกหวานอมขมกลืนเช่นนี้ และความรู้สึกอีกหลายๆอย่างที่เขาไม่อาจจะแสดงมันออกมาได้ เพราะอำนาจทางการปกครองทั้งหมดในตอนนั้นมันไม่ใช่ของเขาแล้ว ไม่มีอำนาจราชสิทธ์แล้ว แล้วความรู้สึกเขาในตอนนั้นควรทำอย่างไรล่ะ เมื่อเผชิญกับปัญหาที่ไม่มีทางแก้เขาก็ต้องร้องเพลงงิ้วสิ แล้วก็เอาหน้ากากมาสวม ให้คนอื่นดูไม่ออกว่าเป็นเขา ผมคิดว่าการเขียนบทออกมาอย่างนี้มันทำให้ดูน่าสนใจ แล้วตัวละครก็มีบทบาทมากขึ้น มีงานอดิเรกและศิลปะที่ชอบ ถือเป็นความพิเศษอย่างหนึ่ง



พิธีกร :
อยากจะลองฟังกันดูไหมครับ ไหนไหนก็มารายการของเราแล้วนะครับ ต้องร้องโชว์กันสักหน่อย ทุกคนลองฟัง ตั้งใจฟังกันให้ดีๆ


ซู โหย่ว เผิง :
อธิบายเกริ่นหน่อยได้ไหมครับ เพลงงิ้วที่ใช้ในภาพยนตร์ส่วนใหญ่ค่อนข้างที่จะมีความหมายลึกซึ้ง เอามาจากบทกวี ที่ชื่อว่า เจียน เจีย ใช่ ใช่

และความหมายก็หมายถึง ทุ่งหญ้าอันเขียวขจี หยดน้ำค้างที่แข็งเป็นเกล็ด, เจียน เจีย คือ ต้นกก ซั่ว เว้ย อี้ เหยิน , จ้าย สุ่ย อี้ ฟาง แล้วก็พูดถึงพื้น ที่เต็มไปด้วยหิมะที่ขาวโพลน มีต้นกกขึ้นอยู่เต็มไปหมด แล้วก็มองเห็นคนรักของคุณ ที่ยืนอยู่ในอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ แต่ว่าคุณก็ไม่รู้ว่า จะไปบอกความในใจกับคนคนนั้นได้อย่างไร แล้วแม่น้ำที่คั่นกลางระหว่างเราสองนั้น ทำให้เราไม่สามารถสัมผัสแตะต้องเขาได้

ผมคิดว่านี่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นเพลงประกอบละคร ได้ไหมครับ? เพราะเนื้อหาในเพลงมันตรงกับภาพยนตร์ ไม่ว่าโจโฉจะทำอย่างไร ก็ไม่สามารถขึ้นเป็นฮองเต้ได้ และฮ่องเต้ฮั่นเซี่ยนตี้ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ราชวงศ์ฮั่นนั้นมีความรุ่งเรืองได้ รวมถึง องครักษ์ทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะกรำทหารต่างๆได้สำเร็จ ทุกอย่างมันดูเหมือนสูญเปล่า รวมทั้งเรื่องของความรัก ความฝันของหลิงจีว์ด้วย ไม่ว่าใครคิดจะทำอะไรก็ต้องสูญเปล่า

ที่เลือกบทกวีนี้มาร้อง ผมว่ามันเหมาะมากเลย เหมาะกับภาพยนตร์เรื่องนี้


พิธีกร : พูดมาตั้งเยอะขนาดนี้ ไหนเราลองมาฟัง บทกวี เจียน เจีย กันหน่อยดีกว่า


ซู โหย่ว เผิง :
มันอาจจะไม่ค่อยไพเราะสักเท่าไหร่อ่ะนะครับ นี่ทำเพราะผู้กำกับขอมาเลยนะเนี่ย ก็เขาบอกผมแล้วว่าในสมัยนั้นน่ะมันยังไม่มีเลย บอกว่าผมไม่จำเป็นต้องร้องให้เป๊ะหรอก งั้นเชิญรับฟังกันได้แล้วครับ


พิธีกร : ขอเสียงปรบมือหน่อยครับ


(โหย่วเผิง ร้องเพลงงิ้ว บทกวี เจียน เจีย)

29

พิธีกร :
ต่อไปขอเชิญพบกับทั้งสามท่าน มือสังหาร ซู โหย่ว เผิง, หลิว อี้ เฟย, อาจารย์ เหยา หลู่ ยินดีต้อนรับครับ


ถง ชูเว้ ไถ บอกเล่าเรื่องราวช่วงปลายสมัยของโจโฉ ใช้ความรู้สึกมามองอีกมุมหนึ่งของวีรบุรุษยามสงคราม แนวความคิดนี้น้อยคนนักที่ทราบ เมื่อเผชิญกับความรัก การใช้สติปัญญา โจโฉ คือ ผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง ช่วงที่บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย จากมุมมองนี้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ทำให้องค์ประกอบของเรื่องมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น กับอีกด้านหนึ่งของ โจโฉ ในละครประวัติศาสตร์สามก๊ก จากที่ทุกคนเคยให้ความเคารพเขาดุจเทพ เปลี่ยนมาเป็นเพียงแค่คนคนหนึ่ง มาเป็นโจโฉ ที่สมบูรณ์แบบ


ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน :
เป็นภาพยนตร์ที่ผมอยากแสดงให้เห็นถึง โจโฉ ในมุมมองที่แตกต่างออกไป แตกต่างกันตรงไหนน่ะเหรอ ผมจะขออธิบายเกี่ยวกับตัวละครนี้ เขาคือผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นวีรบุรุษ รุ่นใหญ่ สิ่งที่ผมจะเปรียบคือ โจโฉ คือ วีรบุรุษไม้ใกล้ฝั่ง พี่ฟ่ะ ครับแน่นอนครับ ผมคิดว่าเขาแสดงเป็นโจ โฉ ที่หาดูไม่ได้จากที่ไหน



โจว เหวิน ฟ่ะ ในวันนี้ นับได้ว่าเป็นดารารุ่นใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากมาย เป็นดาราที่เงินไม่ขาด งานไม่หด แต่ที่เขายังขาดอยู่ก็คือขาดส่วนที่เติมเต็มทางการแสดง บทที่มีความท้าทาย และน้อยคนนักที่จะแสดงมันออกมาได้ ผลงานอย่างเช่นเรื่อง เทพนักพนัน , เจ้าพ่อเซี่ยงไห้ นอกจากนี้บทที่ได้รับความสนใจจากเขาให้รับเล่นก็คือ บทของโจ โฉ คนที่จะสามารถรับบทเป็นโจโฉได้นั้น ในความคิดของผู้กำกับจ้าว โจว เหวิน ฟ่ะ นั้น สามารถสลัดภาพลักษณ์เดิมๆให้เลือนหายไป


หลิว อี้ เฟย : โจว เหวิน ฟ่ะ เขาเป็นคนที่มากด้วยความสามารถคนหนึ่ง


ซู โหย่ว เผิง :
เพราะว่าจะต้องถ่ายทำกันเป็นฉากสุดท้าย มีอยู่ฉากหนึ่งที่เป็นฉากที่สำคัญ เป็นฉากจบ ที่เราต้องต่อสู้กัน ผมก็ถือได้ว่าเป็นอีกตัวละครหนึ่งที่มีความสำคัญในฉากนี้ พี่ฟ่ะ เขาพูดกับผมว่า โหย่ว เผิง บทน่ะแม่นยัง เขาไม่ได้ที่จะ...จริงๆแล้วเขาน่ะ อยากจะให้ทุกคนไม่เครียด มีความสนิทสนมกันมากขึ้น

คุณอยากรู้ไหม ว่าเค้าทำท่ายังไง เขาทำท่านั่งไขว่ห้าง แล้วส่งสายตานักพนันมาทางผม ส่งสายตาที่มองมายังผม และก็ยิ้มที่มุมปาก โหย่ว เผิง บทคุณน่ะ ท่องได้แม่นรึยัง เราลองมาซ้อมกันดูดีกว่าไหม เล่นเอาซะ ผมตกใจหมดเลย ฮาฮา..


คนที่เคยรับบท โจโฉ นอกจาก พี่ฟ่ะแล้ว ที่สามารถเล่นบทเป็นโจโฉ ได้นั้นมีอยู่ไม่มากนัก เจียง เหวิน ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่เคยรับบทมาก่อนหน้านี้ ถง ชูเว้ ไถ ให้ความสำคัญกับมุมมองใหม่ของโจโฉ
ถง ชูเว้ ไถ ยังมีอีกตัวละครหนึ่งที่มีบทบาทไม่แพ้กัน นั่นก็คือ ฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้ รับบทโดย ซู โหย่ว เผิง ในความเข้าใจของทุกคนนั้น คิดว่าเมื่อฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้ เจอกับโจโฉ จะต้องเป็นคนที่ขี้ขลาดตาขาว แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้เขาเป็นคนที่มีความคิด วางแผน และมีปณิธานอันแรงกล้า


พิธีกร :
ต่อไปผมขอสัมภาษณ์....ไกวไกวหู่  ( ฉายาของ ซู โหย่ว เผิง ) ไม่กี่ปีมานี้ในด้านของการแสดงภาพยนตร์ ผมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของคุณ ตั้งแต่เรื่อง เฟิง เซิง ในตอนนั้น มันทำให้ผมรู้สึกถึงความแตกต่างจาก ซู โหย่ว เผิง ที่ผมรู้จัก รวมถึงครั้งนี้ด้วย


ซู โหย่ว เผิง : (ซู โหย่ว เผิง นักแสดง) : อืม.. นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากได้ยิน


พิธีกร :
ที่พวกเราได้เห็นกันตั้งแต่เรื่อง ป๋าย เสี่ยว เหนียน และมาครั้งนี้มาแสดงเป็นฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้ ความรู้สึกของคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ


ซู โหย่ว เผิง :
ถ้าจะให้เปรียบเทียบกันนะครับ อาจเป็นเพราะความแตกต่างของบทบาทด้วยมั้งครับ รับบทมาแล้วหลายเรื่อง แต่ละบทก็จะเป็นคาแรคเตอร์ที่คล้ายกับตัวผม ไม่ว่าจะเล่นบทอะไร ทุกคนก็จะคิดว่า น่ารัก สดใส เป็นคนดี ดังนั้น ก่อนที่จะได้มาเล่นเรื่อง เฟิง เซิง ผมหวังว่าจะได้รับบทที่เล่นบู้พลิกบทบาทตัวเองสักเรื่อง เพราะว่าผมคงไม่ยินยอมแล้วล่ะ แสดงหนังได้ ร้องเพลงเป็น เป็นดาราหน้าตาดีที่ทุกคนคลั่งไคล้ แต่ผมรู้สึกว่ามันใช้หน้าตามากกว่าความสามารถ จึงอยากลองแสดงหนังแนวบู๊บู๊ดูบ้าง อยากให้ทุกคนได้ชมผลงานผมในอีกบทบาทหนึ่ง แล้วในที่สุดก็ได้รับบทเป็น ป๋าย เสี่ยว เหนียน จริงๆในเรื่องนี้ต้องรับบทบู๊ค่อนข้างเยอะ ใช้เวลาในการฝึกฝนร่วมปีให้กับบทบาทนี้ แล้วเราก็สามารถทำมันออกมาได้ หลังจากนั้น ก็เริ่มรู้สึกแล้วล่ะว่า มีผู้กำกับอย่าง ผู้กำกับจ้าว เขารู้สึกว่าเอ๊ะ มีบทที่อยากให้ผมเล่นเป็นพิเศษ จึงมาลองทาบทามผมดู



พิธีกร :
บทบู๊นี้เป็นอีกแรงจูงใจหนึ่งที่ทำให้เราต้องติดตามชมกัน ตอนที่ดูเรื่อง เฟิง เซิง ตั้งแต่ฉากแรกที่คุณแสดง โอโห ครั้งนี้ทำให้รู้สึกว่า เปลี่ยนจากหน้ามือมาเป็นหลังมือเลยทีเดียว


ซู โหย่ว เผิง : นั่นมันทำให้ผมรู้สึกดีมากเลย ใครหลายคนก็ยังดูไม่ออกว่าเป็นผมแสดง


พิธีกร : และสิ่งที่ทำให้ผมประทับใจที่สุดคือการร้องเพลงงิ้ว คุน ฉุย ร้องได้ไพเราะมาก


ซู โหย่ว เผิง :
ก่อนหน้านั้นมีฉากที่ร้องเพลงงิ้วที่ชื่อว่า โหยว หยวน จิน เมิ้ง แต่มันยาวเกินไปเขาจึงตัดออก

30

ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน :
ก่อนที่จะเปิดกองภาพยนตร์ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ทุกคนก็หาว่าผมบ้าอยู่แล้ว และในตอนระหว่างถ่ายทำ มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ่งโง่เข้าไปอีก ผมต้องคอยนั่งเฝ้าติดตามงานอยู่ที่หน้าจอมอร์นิเตอร์ หรือแม้แต่ตอนพัก ผมก็ยังต้องนั่งอยู่ตรงนั้น นั่งดูบทไปเรื่อยๆไปเรื่อยๆ

และในวันนั้นผมนั่งอยู่ในโรงถ่าย อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง ในช่วงพัก ก็มานั่งข้างๆผมแล้วพูดว่า ผู้กำกับค่ะ กำลังเครียดอะไรอยู่ใช่ไหม? ผมคิดว่ายังมีอะไรบางอย่างที่ผมยังทำมันได้ไม่ดีพอ ผมยังไม่อยากทิ้งเวลาที่มีค่าทุกวินาทีในการทำงานให้มันสูญเปล่า ผมได้พูดกับผู้จัดและผู้ให้การสนับสนุนว่า ผมรู้สึกอยากขอโทษพวกเขา หลิน ซาน รู้สึกว่าได้นอนแค่วันละ 1 ชม. อยากขอโทษพวกคุณจริงๆ พวกคุณทุ่มทุนกับการสร้างภาพยนตร์ไปก็ตั้งมากมาย ผมจะต้องทำภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาให้ดีที่สุด

อาจารย์ อี้ เห็นผมพูดเช่นนั้น ก็บอกกับผมว่า ตั้งแต่ฉันได้มาทำงานร่วมกับผู้กำกับ เคยได้ยินคุณเคยพูดอยู่ประโยคหนึ่งว่า สิ่งที่ผู้กำกับจะต้องทำอย่างแรกเลยนั่นก็คือ รวมใจของทุกฝ่ายให้เป็นหนึ่งเดียว ทำให้ความปรารถนาของพวกเราทุกคนสำเร็จไปพร้อมๆกัน นี่คือความสำเร็จของผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จ ท่านผู้กำกับไม่น่าจะเครียดถึงขนาดนั้น อีกอย่างทีมงานของพวกเราทุกคน มีความเข้มแข็ง ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างดี ทุกๆฝ่ายไม่ว่าจะ ฝ่ายการถ่ายทำ จ้าว เอ่อร์ ติง ฝ่ายบันทึกภาพและเสียง ถาว จิน ทีมงานของพวกเราทุกๆคน ล้วนแล้วแต่เป็นทีมงานระดับรางวัลออสก้าเลยเชียวนะ เป็นทีมงานที่ถูกคัดสรรคุณภาพแล้ว


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง :
ตอนนั้นที่ฉันได้คุยกับผู้กำกับนะค่ะ อาจเป็นเพราะสถานที่ถ่ายทำในตอนนั้น อากาศค่อนข้างที่จะร้อนและในบางครั้งจะมีการจุดไฟเพื่อประกอบฉาก แล้วผู้กำกับต้องเดินไปเดินมาในกอง เดิมทีจะมีผู้ช่วยผู้กำกับมาคอยดูแล ว่าต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง แต่นี่ผู้กำกับทำเองแทบทุกอย่าง แล้ววังมันก็ไม่ใช่เล็กๆนะค่ะ ต้องเดินอ้อมจากรอบนอกของวัง อ้อม อ้อม อ้อม มาน่ะค่ะ มาจนถึงกลางฉากในวังที่พวกเรายืนอยู่ ว่าต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง ถึงแม้จะมาเพียงเพื่อพูดประโยคเดียวก็ตาม ส่วนใหญ่จะเป็นผู้กำกับที่จะมาบอกว่าต้องทำอย่างนี้ อย่างนี้นะ แล้วผู้กำกับจะต้องทำเองทุกอย่าง ถ้าจะให้ฉันพูดนะค่ะ ผู้กำกับที่ดีเนี่ย ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ตามแต่ ต้องทำให้ทุกคนช่วยกันทำมันให้ได้ดีที่สุด แล้วทุกๆคนต้องมาช่วยคุณทำ เนี่ยแหละถึงจะเรียกว่าผู้กำกับที่ดี

มีคนเคยถามฉันนะค่ะว่า ผู้กำกับมีข้อเสียหรือข้อบกพร่องตกไหนบ้าง เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการทำงาน แต่ฉันคิดว่าเขามีข้อเสียอยู่ข้อหนึ่ง คือ ตอนที่อยู่ในกองถ่าย เขาจะเป็นคนที่มีมารยาทมากเลยค่ะ แปลก เนอะ ทุกครั้งก่อนที่จะเข้าฉาก เขาจะต้องมาถามฉันว่า ถ้าสมมติว่า บทนี้คุณจะพูดอย่างนี้ แบบนี้ คุณคิดว่าดีไหมครับ แล้วในแต่ละฉากเมื่อถ่ายเสร็จแล้วจะมีการให้กำลังใจกันทุกครั้งนะค่ะ แล้ววันแรก ฉากแรกที่ฉันถ่ายคือฉากเลิฟซีน ฉันไม่รู้ว่า เขามีการให้กำลังใจกันอย่างนี้ทุกครั้ง แต่ในใจลึกลึกมันก็มีหวังบ้างอ่ะนะค่ะ และในวันนั้นเมื่อถ่ายเสร็จ ฉันก็เดินออกมา แล้วก็เดินหน้าเฉิดออกมาคิดว่า โห ดูสิฉันแสดงได้เยี่ยมขนาดไหน ทุกคนถึงได้ปรบมือให้ฉันขนาดนี้ แล้วหลังจากนั้นถึงได้รู้ เมื่อ ชิว ซิน จื้อ เดินออกมาหลังจากแสดงเสร็จทุกคนก็ปรบมือให้ ที่แท้ต้องปรบมือให้ทุกคนเลย ไม่ใช่ให้ฉันคนเดียว ทำงานกับกองถ่ายนี้นะค่ะ มีมารยาทกันทุกคน ถึงแม้จะเป็นยามวิกาล ใกล้พบค่ำแล้ว บรรยากาศก็ไม่เอื้ออำนวยนะค่ะ ผู้กำกับก็ยังจะใช้คำพูดที่แบบว่า อาจารย์อี้ รบกวนคุณถ่ายอีกสักรอบจะได้ไหมครับ ฮาฮา.. เขาเป็นคนที่ขี้เกรงใจเอามากๆ


พิธีกร :
ครับผมพอจะนึกภาพออก พูดได้ว่า สิ่งที่เป็นลักษณะเด่นของผู้กำกับจ้าวนั้นคือมีมารยาท มีสัมมาคารวะ
ข้อเสียก็คือ เป็นคนที่มีมารยาท มีสัมมาคารวะเกินไป


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง :
ในบางครั้งฉันยังบอกเลยว่า คุณมีอะไรก็ให้พูดมาตรงๆเลย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วเขาก็ตอบฉันว่า เมื่อตะกี้ขอโทษด้วยนะครับ ดูสิยังต้องมาขอโทษฉันอีก ขอโทษครับ ขอเชิญถ่ายอีกรอบจะได้ไหมครับ มีอีกเยอะแยะเลยค่ะ



พิธีกร :
เรารับรู้ได้ถึง ถ้อยคำ ของผู้กำกับจ้าวได้เลยว่า สิ่งที่เขาได้ทุ่มเทลงไปในการทำภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ นั้น ทำออกมาจากใจจริงๆ แล้วประกอบกับความตั้งใจจริง พวกเราจะเฝ้ารอชมผลงานที่คุณทำมันออกมาด้วยความตั้งใจนะครับ ติดตามชมกันได้ในวันที่ 28 กันยายนนี้ ผมหวังว่าจะได้เสียงตอบรับที่ดีจากแฟนภาพยนตร์อย่างล้นหลาม


ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน : ขอบคุณครับ


31

อาจารย์ ชิว ซิน จื้อ :
เรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจที่สุดน่ะเหรอครับ แน่นอนครับที่พวกเขาดูแลเทคแคร์พวกเราเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นของว่างยามบ่าย เนื้อแกะย่างที่ขึ้นชื่อของเมืองปักกิ่ง ที่ต้องเหมาร้านเนื้อแกะย่าง มาย่างให้พวกเรากินกันถึงในกองถ่าย มันจึงทำให้พวกเรารู้สึกมีความสุขมาก ที่มีทั้งรุ่นพี่ดูแลเทคแคร์น้อง ด้านทางทำงาน การแสดงของพวกเราทุกคน ผมคิดว่านี่แหละคือความสุขของพวกเราที่ได้มีอาชีพเป็นนักแสดงครับ


พิธีกร : อืม ฟังดูแล้วนะครับ....


อาจารย์ ชิว ซิน จื้อ : เมื่อท้องอิ่ม ก็มีความสุขแล้ว ฮาฮา..


พิธีกร : ผมรู้สึกว่าคุณมีความประทับใจในเรื่องนี้มากเลย แล้วคุณล่ะครับ


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง :
ความประทับใจของฉันน่ะเหรอค่ะ น่าจะเป็นฉากสุดท้ายที่ถ่ายทำกันในวังค่ะ มันเป็นฉากของฮกฮองเฮา ฉากที่มีวังใหญ่ขนาดนั้นไม่มีผู้หญิงคนอื่นอยู่เลย ฮกฮองเฮาเป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียว แล้วการที่ฉันมารับบทนี้ก็มีความกดดันพอสมควร เพราะว่าต้องปรับบุคลิกของตัวเอง ให้ดูเหมาะสมกับพี่ฟ่ะ เพราะเขาสูงตั้ง 190 กว่าแน่ะ แล้วในสมัยราชวงศ์ฮั่น ก็จะมีทหารที่ร่างกายกำยำ ใส่ชุดเกราะ ขุนนางทั้งหมดก็เป็นชายที่สูง 190 กว่ากันทั้งนั้น ราชวงศ์ฮั่นมีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งนั่นคือการนั่งกับพื้น ไม่มีรองเท้าใส่ พวกเรานักแสดงก็จะไม่ใส่รองเท้ากันนะค่ะ พี่ฟ่ะ เขาจะใส่ถุงเท้า ฉากฉากนั้น ฉันต้องยืนต่อหน้าขุนศึก เหล่าขุนนางและทหารทั้งหลาย ปกป้องราชองครักษ์ของพวกเราอ่ะนะค่ะ ยอมรับเลยว่า ฉันมีความกดดันมากพอสมควร ตัวก็เล็ก หน้าก็เล็ก หัวก็ยังเล็กอีก ฮาฮา.. ยืนยืดอกขึ้นแล้วแสดงความหนักแน่นและกล้าหาญออกมา

ฉันคิดว่า ถง ชูเว้ ไถ เป็นภาพยนตร์ที่ดีมากเลยทีเดียวค่ะ ที่ทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขและประทับใจก็คือ ก่อนที่ฉันจะได้เข้าฉากในตอนเย็นก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน เป็นสิ่งที่ฉันไม่อาจลืมได้เลย เราไปที่ร้านอาหารในโรงถ่าย มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมีความรัก เมื่อคุณมีความรัก คุณก็อยากที่จะพบคนคนนั้นเร็วๆ แล้วก็บอกความในใจให้คนนั้นได้รู้ เช่น ฉันคิดถึงคุณ ฉันรักคุณ อะไรประมาณนี้ ฉันคิดว่าวันนั้น เหมือนกับฉันกำลังมีความรักจริงๆ อยากจะพูดบทเหล่านั้นออกมาจริงๆ อยากจะเข้าฉากเร็วๆ อยากแต่งตัวเร็วๆ แล้วฉันก็รู้สึกหน้าตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาทันที รู้สึกดีมาก มีกำลังใจอยากที่จะทำงาน อยากไปยืนต่อหน้าเหล่าขุนนางขุนศึกและทหาร แล้วในเวลานี้ ถึงแม้ตัวเราจะเล็ก แต่ก็ดูเด่นเป็นสง่าได้

ฉันคิดว่า ถ้าฮกฮองเฮาเป็นผู้หญิงร่วมสมัยกับเราแล้วล่ะก็ เธอจะเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเอง จะไม่ใช่ ผู้หญิงที่ยอมอยู่เบื้องล่างชายเสมอไป เป็นผู้หญิงที่เปี่ยมไปด้วยแรงศรัทธา และพร้อมที่จะตายไปกับอุดมการณ์ของตนเอง เธอถือเป็นอีกคาแร็คเตอร์ที่สมควรแก่การยกย่อง และในคืนนั้นนะค่ะ เป็นเวลาที่ควรนอนได้แล้ว แต่ฉันนอนไม่หลับ บอกตัวเองถ้านอนไม่หลับ เดี๋ยวตาเป็นหมีแพนด้า ไม่มีแรงทำงาน ได้แต่บอกตัวเองซ้ำๆว่า นอนได้แล้วๆ อยู่ดีๆก็ลุกพรวดขึ้นมา โอ๊ะ ไม่ได้ต้องนอน ต้องนอน เป็นอยู่อย่างนี้เกือบทั้งคืน ฉันไม่ได้รู้สึกดีอย่างนี้กับการทำงานมานานแล้ว แต่ครั้งนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ในคืนนั้น มันเหมือนกับตัวเองยังเป็นเด็กอยู่เลย อยากจะรีบเข้าฉากแสดงหนังเร็วๆ ทุกคนคงจะได้เห็นเบื้องหลังภาพยนตร์ ที่ดิฉันลงไปนั่งร้องไห้อยู่กับพื้น รู้สึกดีมาก ชอบมากเลยค่ะ


พิธีกร :
ว้าว ผมคิดว่าเมื่อตะกี้ที่คุณเล่าให้พวกเราฟังนะครับ ทำให้รู้สึกถึงความมานะพยายาม ความตั้งใจทุ่มเทกับงาน รอชมกันได้นะครับ ทั้งพวกเราในที่นี้และผู้ชมทางบ้าน รอชมผลงานของเธอคนนี้กันได้ 28 กันยายนนี้ ภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ โอเค ขอเสียงปรบมือให้กำลังใจกับเธอคนนี้ด้วยครับ

ผู้กำกับจ้าว ล่ะครับ ในระหว่างการถ่ายทำนั้น สิ่งที่คุณรู้สึกประทับใจนั้นคืออะไร



32

ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน :
มีอีกฉากหนึ่งที่เราไม่สามารถบังคับมันได้เลย มันไม่ใช่ความผิดของเขาที่ไม่ได้ฟังผู้กำกับ คือ ...เป็นฉากร้องไห้ เขาร้องไห้ฟูมฟายไม่ได้สติเลย แล้วพี่ฟ่ะที่ยืนอยู่ข้างๆก็พูดขึ้นมาว่า เอ่อ..อี เหนิง จิ้ง คุณต้องเก็บอาการหน่อย เพราะเวลาเราซ้อมกันเนี่ย ไม่ต้องร้องออกมาจริงๆก็ได้ อาจจะเป็นเพราะเขาอินกับบทของตัวละครตัวนี้ ผมจึงไม่มีหนทางใดเลยที่จะทำให้เธอหยุดร้องได้ พวกเราก็ทำได้เพียงเท่านี้ และทำตัวละครนี้เล่นมันให้สมบทบาทมากที่สุด


ผู้หญิงคนนี้ เธอมีชื่อว่า อี้ เหนิง จิ้ง เธอเป็นหนึ่งในผู้ที่รักและชื่นชอบประวัติสามก๊ก ถึงแม้ว่าสามก๊กส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับวีรบุรุษ เธอก็สามารถที่จะสะท้อนมุมมองหนึ่งของผู้หญิงคนหนึ่งจากเรื่องสามก๊กนี้ได้ ทำให้ได้แง่คิด ความคิดที่ได้จากการศึกษาและคติสอนใจ รวมถึงการที่เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี ซึ่งทำให้เธอนั้นดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง :
บทบาทนี้เล่นค่อนข้างยาก โดยเฉพาะฉากเลิฟซีน ฉากเลิฟซีนเล่นยากตรงที่ เราเป็นผู้หญิงด้วยมั้งค่ะ เลยทำให้รู้สึกเกร็งๆ ถ้าฉันเกร็งแล้ว ก็จะทำให้เขารู้สึกเกร็งตามไปด้วย


อาจารย์ ชิว ซิน จื้อ :
ผมเกร็งที่ไหนกันล่ะ ผมออกจะ...ฮาฮา.. มันก็ราบรื่นดีนะ ไม่รู้สึกเกร็งเลยสักนิด ฮาฮา


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง :
ที่ฉันจะพูดก็คือ ในฉากเลิฟซีนเนี่ย เป็นฉากที่เขาต้องจับฉัน และพอในวันรุ่งขึ้นพบว่าที่ตัวของเราสองคนเนี่ย มีรอยขีดข่วนเต็มไปหมดเลย ฉันบอกเขาว่า ฉันมีรอยที่ถูกเธอข่วนด้วย คุณรู้หรือป่าว แล้วเขาก็บอกว่า เนี่ยของผมก็มีรอยเหมือนกัน แล้วเขาก็ยกแขนให้ดู


อาจารย์ ชิว ซิน จื้อ :
จริงๆแล้วในฉากเลิฟซีนเนี่ย เป็นสิ่งที่ผมก็แอบลำบากใจอยู่ เราแสดงกับผู้หญิง ไงก็ต้องให้เกียรติ์เขาด้วย มิเช่นนั้นแล้วจะโดนคนอื่นเขาเข้าใจผิดกันหมด เพราะฉะนั้นที่คนสองคนต้องเล่นฉากบนเตียง หรืออยู่บนพื้นด้วยกัน ในตอนถ่ายจริงๆผม ผมจะ ผมจะใช้แขนของผมเนี่ยแหละยันพื้นไว้ข้างหนึ่ง เพื่อรักษาระดับผมกับเขา ส่วนอีกข้างหนึ่งก็จะใช้แสดงตามบทบาท ให้เหมือนว่ามีอะไรกันจริงๆ


พิธีกร : อ๋อ...คือเวลาถ่ายทำมันต้องใช้มุมกล้องทำให้ดูเหมือนจริงมาก


อาจารย์ ชิว ซิน จื้อ :
ใช่ครับ ที่ผมทำอย่างนี้เพราะผมก็ต้องให้เกียรติ์เขาด้วย ผมไม่สามารถที่จะมาแตะเนื้อต้องตัวเขาได้ขนาดนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่นะครับ ก็จริงไหมล่ะครับ ...ฮาฮา แสดงฉากนี้จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ เล่นเอาผมเนี่ย เหงื่อแตกผลั่กๆเลย


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง :
ไม่เพียงเท่านี้นะค่ะ ซินจื้อ เขาจะเป็นคนที่สุภาพบุรุษเอามากๆเลยค่ะ ก่อนที่จะเข้าฉากไม่ว่าเขาจะเล่นบทยังไง เขาจะต้องมาขออนุญาตฉันก่อนทุกครั้ง อย่างเช่น ผมจะขอฉีกเสื้อคุณออกได้ไหม ? ฮาฮา


อาจารย์ ชิว ซิน จื้อ :
ต้องขอโทษเขาเลย คุณรู้หรือป่าว


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง :
แล้วค่อยเอามือไปลูบที่ต้นขาของคุณ แล้วก็ถกกระโปรงของคุณขึ้น ได้ไหมครับ? ทุกคนคงคิดว่า ถ่ายฉากนี้กันได้ยังไง จริงๆแล้ว ระหว่างนักแสดงด้วยกันเนี่ย มันจะรู้บทกันค่ะ พี่เขาเป็นคนที่ให้เกียรติกับฉันมาก จนในบางครั้งไม่รู้จะตอบเขาอย่างไรดี เลยตอบเขาไปว่า เต็มที่เลยค่ะ ไม่เป็นไร ฮาฮา แล้วคิดว่าฉันควรตอบมันอย่างไรดีล่ะ ฮาฮา เหงื่อแตกผลั่กๆเลย ฮาฮา


พิธีกร :
งั้นท่านผู้ชมทุกท่านต้องติดตามชมกันให้ได้ ในวันที่ 28 กันยายนนี้นะครับ คอยดูกันนะครับว่าฉากเลิฟซีน การแสดงอารมณ์เคียดแค้นของเธอจะสมบทบาทกันขนาดไหน เข้าฉาย 28 กันยายนนี้นะครับ
และในวันนี้ที่ทางเราได้เชิญท่านผู้กำกับ และนักแสดงมาเป็นแขกรับเชิญนะครับ อยากทราบว่า ก่อนที่ภาพยนตร์จะเข้าฉาย ในระหว่างที่ถ่ายทำภาพยนตร์นั้น ทั้งผู้กำกับและดารานักแสดงมีความประทับใจ หรือว่าเรื่องที่รู้สึกสนุก อาจจะเป็นเรื่องที่ควรแก่การจดจำเป็นต้นนะครับ



33

พิธีกร :
ความจริงแล้วแฟนคลับเรื่อง ถง ชูเว้ ไถ ให้ความสนใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อนที่จะมีกำหนดฉายเสียอีก ในห้องส่ง ณ ตอนนี้ ผมเห็นใบโปร์สเตอร์ภาพยนตร์เต็มไปหมดเลยอ่ะนะครับ บนโปร์สเตอร์มีอักษรอยู่ 4 คำ ที่เป็นจุดสนใจมากเลยนะครับ รัก พิศวาส อำนาจ บงการ ถ้าจะให้ผมพูดอ่ะนะครับ ผมให้ความสนใจในสองคำแรกมาก รัก พิศวาส ในตอนนี้คุณจะอธิบายอย่างไรครับ



ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน :
ผมว่าอันนี้ต้องยกให้สองคนนั้นเป็นคนอธิบายจะดีกว่านะครับ เพราะทั้งสองคนนี้เป็นตัวละครที่สื่อถึงสองคำนี้โดยตรงเลย


อาจารย์ ชิว ซิน จื้อ :
โอเคครับ ผมน่ะมีความถนัดในเรื่องพวกนี้อยู่แล้วนิ ฮาฮา...



พิธีกร :
ทุกคนคงทราบกันดีอ่ะนะครับ อาจารย์ ชิว ซิน จื้อ เป็นตัวอย่างที่ดีของบุคคลซึ่งเปี่ยมไปด้วยความรู้ เป็นผู้ชายที่ผู้หญิงหลายๆคนใฝ่ฝัน



อาจารย์ เหยา หลู่/หลิว อี้ เฟย/ซู โหย่ว เผิง : ไม่ ไม่ ไม่

อาจารย์ เหยา หลู่ : ผู้ชายทุกคนมันก็ต้องมีอย่างนี้กันบ้าง



อาจารย์ ชิว ซิน จื้อ : (นักแสดง ชิว ซิน จื้อ) :
โจผี ในประวัติศาสตร์ ไม่เพียงแต่แสดงออกทางด้านอารมณ์ในเรื่องนี้ แต่เขาจะเป็นคนที่มีความคล้ายพ่อของเขา นั่นก็คือ โจโฉ สองคนนี้ในประวัติศาสตร์นะครับ ในด้านของความรักไม่เป็นสองรองใคร และในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมจะถ่ายทอดในด้านความรักและความพิศวาส ซึ่งมันอาจเป็นแค่เพียงกลวิธีอย่างหนึ่งนะครับ จะเป็นกลวิธีได้ยังไงนั้น ผมยังคงบอกไม่ได้ครับ ให้ติดตามชมกันเอาเองแล้วกัน


พิธีกร :
พวกคุณคิดว่า เหมิง ซิง ต้า ฟ่ะ เนี่ย 4 คำเนี้ย บุคคลใดในเรื่องที่ทำให้คุณได้แสดงถึงสัญชาตญานตรงนี้ครับ


อาจารย์ ชิว ซิน จื้อ : ผมคงต้องยกให้ อี้ เหนิง จิ้ง แล้วล่ะครับ ใช่เธอเลย


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง : มันไม่ใช่อย่างนั้นนะค่ะ



พิธีกร : ก็คุณคือคนที่สามารถตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง : (นักแสดง อี้ เหนิง จิ้ง) :
ถ้าเป็น โจผี ในมุมมองของดิฉันนะค่ะ สัญชาตญานมันมาจากความต้องการของเขา ผู้หญิงก็เป็นแค่ความต้องการส่วนหนึ่งของเขาเท่านั้นเอง ฉันเป็นเพียงแค่นางสนองในฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้ และเขาเป็นคนที่คิดจะล้มล้างฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้ ทุกคนก็ทราบดีว่าในประวัติศาสตร์ หลังจากที่โจโฉ นั้นสวรรคตลง ไม่กี่ปีต่อมา โจผี ก็ได้ครองราชย์สมบัติแล้ว ในสมัยที่โจโฉ ครองราชย์อยู่นั้น เขาจะกดให้ลูกของเขาอยู่ใต้อำนาจเขาตลอด ซึ่งมันยิ่งทำให้ โจผี เป็นคนที่ยิ่งอยากได้อยากมี ทุกๆอย่างที่เป็นของฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้ ไม่ว่าจะเป็น ราชบัลลังค์ หรือนางสนมก็ดี ฉันคิดนะค่ะว่า ถึงแม้ฮกฮองเฮาจะหน้าตาสวยหรือไม่เนี่ย ยังไงเขาก็ต้องเอาเป็นเมียอยู่ดี ฮาฮา.. ฉันคิดว่าความใคร่ที่แท้จริงแล้วมันมาจากความโลภ ความโลภที่อยากจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน



พิธีกร : แล้วในตอนนี้ฮกฮองเฮาก็ทำให้ผมรู้สึกว่า เธอสวยขึ้นทันที


อี้ เหนิง จิ้ง ซึ่งแสดงเป็น ฮกฮองเฮาในเรื่อง เป็นคนที่มีความเชื่อมั่น ศรัทธา และมีอุดมการณ์อันเด็ดเดี่ยว เป็นผู้หญิงที่ปกป้องศักดิ์ศรีของราชนิกูล และในขณะเดียวกัน เธอก็ถือได้ว่าเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่งเลยทีเดียว บทฮกฮองเฮา จริงๆแล้ว เธอเปรียบเสมือนเป็นความหวังของใครบางคน จากหน้าประวัติศาสตร์สามก๊กของจีนที่มีมาอย่างยาวนานนั้น ให้ความสำคัญด้านวีรบุรุษมากกว่าวีรสตรี ผู้หญิงในหน้าประวัติศาสตร์จีนนั้น แทบจะไม่บันทึกไว้เลย นอกจาก หลิงจีว์ (เตียวเสี้ยน), ซุน ซั่ง เซียง ( ซุนฮูหยิน ), ต้าเฉียว เสี่ยว เฉียว เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้หญิงยังมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนวงล้อแห่งประวัติศาสตร์ ถง ชูเว้ ไถ ได้นำเสนออีกหนึ่งมุมมองที่แตกต่างออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ แง่คิดมุมมองใหม่ ได้คำจำกัดความใหม่ ที่สามารถทำให้หญิงแกร่งคนหนึ่งที่กล้าเป็นปฏิปักษ์ต่อโจโฉ จนได้รับโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร เธอคือผู้สะท้อนมุมมองอีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง :
ฮกฮองเฮาในประวัติศาสตร์นั้นมีตัวตนอยู่จริงค่ะ เป็นผู้หญิงที่คิดขบถ คิดลอบสังหาร โจโฉ แต่มันก็แปลกนะค่ะว่า ผู้หญิงที่กล้าหาญเช่นนี้เนี่ย ทั้งในประวัติศาสตร์ สามก๊ก ไม่ว่าจากนิทาน หรือ นวนิยายก็ดีเนี่ย คนคนนี้ทำไมถึงเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่เลยล่ะ เป็นคนที่กล้าคิดที่จะสังหารโจโฉ น่าจะเรียกได้ว่าเป็นหญิงแกร่งคนหนึ่งเลยทีเดียว หลังจากที่ฉันได้มาคิดทบทวนดูแล้ว ประวัติศาสตร์เนี่ยจะเป็นไปได้ไหม ที่มีแต่ผู้ชายเป็นคนเขียนมันขึ้นมา ดังนั้น ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่มีความกล้าที่จะ กล้าที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อบุรุษเนี่ย ต้องโดนมองข้ามไปงั้นเหรอ ฮกอองเฮานั้นพยายามเป็นปฏิปักษ์ต่อโจโฉ คำชมที่เคยชม ต้าเฉียว เสี่ยวเฉียว ว่างามเนี่ย แต่เขาเหล่านั้นไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมายในประวัติศาสตร์เลย


พิธีกร :
ผู้หญิงคนนี้เท่าที่ผมรู้จักนะครับ เธอเป็นเจ้าแม่วงการแห่งความงาม เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศ แต่ฮกฮองเฮาเนี่ยสิครับ ที่เราเพิ่งดูจบไปเมื่อสักครู่ เราจะเห็นถึงสายตาคู่นั้นของเธอ ที่สามารถฆ่าคนได้เลยทีเดียวนะครับ ซึ่งมันแตกต่างจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆพวกเราในตอนนี้


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง :
สิ่งที่ยากที่สุดในการรับบทนี้ก็คือ ความแค้น สารภาพตามตรงเลยนะว่า มีฉากฉากหนึ่งที่ต้อง....ตอนที่เขาปรารถนาใคร่ในตัวฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกถ่ายทอดอารมณ์ออกมาค่อนข้างยาก ในระหว่างเทค ฉันจะพูดกับผู้กำกับเสมอว่า ขอเวลาฉันก่อน ต้องขอสร้างอารมณ์ร่วมก่อน ฉันต้องนั่งลงยองๆแล้วนั่งสร้างอารมณ์ คิดซิว่าในชีวิตที่ผ่านมาเนี่ย เคยเกลียดใคร ไม่ชอบใครบ้าง ลองคิดทบทวนดู ถึงได้รู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่เกลียดใครฝังกระดูกขนาดนั้น ฉันไม่ใช่คนที่เกลียดใครแล้วต้องเคียดแค้นอย่างนั้น และก็ไม่เคยเกลียดใครถึงขั้นนั้นจริงๆ ทางทีมงานบอกกับฉันว่า ต้องแสดงอาร มณ์ที่รู้สึกว่าเคียดแค้นเอามากๆ แค้นที่ฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้ ที่...เป็นคนที่ไม่เข้มแข็งพอ และก็แค้นที่โจโฉ ล้มราชวงศ์ฮั่นลงได้ แค้นที่ โจผี เอานางไปครองได้



พิธีกร :
มีดารานักแสดงบางท่าน ตอนแสดงบทแค้นนี้ อาจจะคิดถึงตอนที่เกิดอาการอิจฉาริษยาก็ได้ คุณลองคิดดูนะครับว่า ถ้าผมไม่ได้โกรธ หรือเกลียด นักแสดงคนนี้ แล้วใครนะที่ผมจะเกลียด และเคียดแค้นได้ถึงขนาดนั้น ใคร ใคร ใคร แต่เมื่อกี้ที่คุณบอก คุณไม่ได้เป็นอย่างนั้นใช่ป่ะ แล้วการที่คุณต้องมาเล่นบทนี้ล่ะ


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง :
ฉากแรกที่ฉันได้เล่นในบทนี้อ่ะนะค่ะ เป็นฉากแรกที่ต้องแสดงบทว่าเคียดแค้นเขา มันทำให้ฉันรู้สึกว่า อะไรกัน ยังไม่ทันไรเลย ยังไม่ทันเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครเลย และฉากแรกที่ถ่ายนั้นนะค่ะ ฉันต้องทำเอฟเฟ็กบาดแผลทั่วทั้งตัวเลย ตรงเนี้ยเนี่ยแหละค่ะที่มันทำให้ฉันเล่นได้ง่ายเลย



34

พิธีกร :
งั้นผมขอเชิญให้ผู้กำกับอยู่กับเราบนเวทีก่อน และองครักษ์ทั้งสองท่านด้วยนะครับ เชิญนั่งก่อนครับ



3 ปีกับการทุ่มเวลาในการค้นคว้า สร้างบทภาพยนตร์เรื่อง ถง ชูเว้ ไถ นับตั้งแต่วันที่เปิดกองถ่าย ซึ่งได้รับกระแสนิยมจากประชาชน สื่อมวลชน เพราะเป็นภาพยนตร์ที่มีดาราแสดงนำเข้าร่วมมากมาย สิ่งแรกที่ จ้าว หลิน ซาน ต้องทำคือ ต้องเอาบทภาพยตร์ที่ถืออยู่ในมือ ไปปรึกษากับผู้จัดภาพยนตร์ แล้วถ้าหาก จ้าว หลิน ซาน จะบอกว่า เขาอยากให้คนที่มารับบท โจโฉ เป็น โจว เหวิน ฟ่ะ ล่ะ ผู้จัดต้องคิดว่าเขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ด้วยความดึงดันของเขาเนี้ยแหละ ด้วยความมุ่งมั่นของเขา กลับทำให้ภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ กลับทำมันออกมาได้อย่างดีเยี่ยม


หลิว อี้ เฟย :
ผู้กำกับ จ้าว เป็นคนที่...มีความมุ่งมั่น มานะ มากเลยค่ะ และเป็นคนที่มีความฝัน และยังสามารถทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงขึ้นมาได้



อาจารย์ เหยา หลู่ :
เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว แล้วเขาเคยคุยกับผม ตอนเริ่มถ่ายภาพยนตร์ใหม่ๆว่า เขาชอบฝันร้าย และสะดุ้งตกใจตื่นกลางดึกทุกครั้ง ผมเลยบอกเขาว่า มันสมควรแล้วล่ะ เพิ่งจะฝึกสร้างหนังก็คิดอยากจะเอาเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ แล้วใครบอกให้คุณไปเชิญดาราใหญ่อย่าง โจว เหวิน ฟ่ะ มาร่วมงานด้วยเล่า ผมว่ามันสมควรล่ะ


ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน :
คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งทีมงานและนักแสดงทุกคน จะร่วมงานกันกับผมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ พี่ฟ่ะ พี่เขาทุ่มเทกับการทำงานมาก เขาเต็มที่กับผม ผมเคยพูดกับพี่เขาว่า พี่เขาเนี่ย มีผลงานมาแล้วก็ตั้งมากมาย แต่พี่เขาก็เต็มใจที่วางเดิมพันกับงานของเขา ไว้ที่ผม



1 ปีกับการเตรียมความพร้อมด้านการแสดง ผู้กำกับทุกคนย่อมที่จะมีความใฝ่ฝัน ที่อยากจะสร้างภาพยนตร์เป็นของตัวเอง จ้าว หลิง ซาน ก็เช่นกัน ภาพยนตร์เปรียบเสมือนชีวิตและจิตใจของเขา เป็นความใฝ่ฝันของเขา และการทำโฆษณาภาพยนตร์ ก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญ ก่อนที่ภาพยนตร์จะเข้าฉายจริง เพื่อเตรียมความพร้อมของภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ ผู้ถ่ายทำภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ "จ้าว หลิน ซาน" คนนี้ รู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานนั้นก็คือ ความร่วมแรงร่วมใจกัน ของทีมงานทุกๆฝ่าย
(100 วันของการถ่ายทำ) เมื่อการถ่ายทำดำเนินมาครบ 108 วัน ถ้าหากวันไหนที่รู้สึกเครียดกับการทำงาน ก็จะนอนได้เพียงวันละ 2-3 ชม. นอกจากนั้นแล้ว ยังมีปัญหาทางด้านเงินทุนจัดสร้าง ที่ทำให้เขาต้องคอยเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน และอาจเป็นเพราะเขากับทีมงานที่สมัครสมานสมัคคีกัน นี่ก็ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ทำให้เขามีกำลังใจต่อสู้กับอุปสรรคในการทำงาน ยังมีผู้ให้การสนับสนุนอย่าง เครือข่าย ฉาง อิ่ง


พิธีกร :
ภาพยนตร์ของคุณนี่ถือได้ว่าเป็นอีกความภาคภูมิใจหนึ่งของ ชาว ฉางชุน ( เครือข่าย ฉาง อิ่ง ) สำหรับเครือข่าย ฉาง อิ่ง แล้ว มันมีความสำคัญมากเลยทีเดียว คุณเคยได้ยินไหมครับว่า ในการทำงานนั้น ย่อมต้องพบเจอกับอุปสรรคเสมอ แต่ดีตรงที่มีเครือข่าย ฉาง อิ่ง ยื่นมือมาให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ หลังจากที่เครือข่าย ฉาง อิ่ง


ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน :
ได้ปรับรูปแบบของบริษัทมานะครับ ภาพยนตร์ เรื่อง ถง ชูเว้ ไถ เนี่ย เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ได้เข้าฉาย มันอาจจะได้รับเสียงกดดันจากสื่อภายนอก และนี่ก็เป็นครั้งแรกในการสร้างภาพยนตร์ของผม ความกดดันหลายๆอย่าง ถึงแม้ว่ามันจะมากมายมหาศาล แต่ผู้ใหญ่หลายท่านเชื่อมั่นในตัวผม บอกให้ผมทำมันลงไป เพียงเท่านี้แหละครับ


35


พิธีกร                       : ต่อไป ผมอยากจะให้ท่านผู้ชมในห้องส่งทุกท่าน ร่วมเล่นเกมส์
                                 กับเรานะครับ ขอเชิญ ผู้กำกับ จ้าว ถามคำถามกันหน่อยดีกว่า
                                 ถ้าใครตอบถูกทางเราจะมีของรางวัลมอบให้นะครับ โอเค
                                 เชิญผู้กำกับจ้าวเลยครับ


ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน : หลิว อี้ เฟย ในภาพยนตร์เรื่องนี้รับบทเป็นใคร?
พิธีกร                       : ยกมือตอบครับ ! น้องผู้หญิงคนนั้น ยกมือคนแรกครับ เชิญครับ
ผู้ชมในห้องส่ง 1         : ฉันชอบ หลิว อี้ เฟย มากมากเลยค่ะ หลิว อี้ เฟย ในเรื่องนี้รับบทเป็น
                                 เอ่อ....เอ่อ แสดงเป็น หลิงจีว์ และ เตียวเสี้ยน ค่ะ ขอกอดหน่อยนะค่ะ !
พิธีกร                       : ขอบคุณครับ ถูกต้องนะครับ เดี๋ยวค่อยเอาของรางวัลไปมอบให้ทีหลัง
                                นะครับ ต่อมาคำถามที่สองครับ


ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน : ต้องให้ผมถามต่ออีกเหรอ ?
หลิว อี้ เฟย                : อยากให้คุณถามอะไรให้มันมีสาระมากกว่านี้ได้ไหม !
ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน : โอเคครับ งั้น...เอางี้ ภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ มีกำหนดฉายเมื่อไหร่

พิธีกร                       : อ๋อ...นี่เค้าเรียกว่าน่าสนใจแล้วใช่ไหม เรียกใครตอบดีนะ
                                เมื่อกี้ผมมองไม่ทัน เลือกใครดีนะ งั้นเอางี้ดีกว่า ผมว่าให้ทุกคนช่วยตอบ
                                พร้อมๆกันเลยดีกว่าไหม ผมคิดว่าทุกคนน่าจะรู้นะ มีกำหนดเข้าฉายเมื่อไหร่ ?

ผู้ชมในห้องส่ง            : วันที่ 28 กันยายนนี้


ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน : แล้วทีนี้ ผมจะให้นักแสดงถามคำถามพวกคุณเพิ่มความสนใจกันดีกว่า
                                ใครจะเป็นคนถามดี งั้นคุณก่อนเลยแล้วกัน
อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง     : เอ่อ...ในภาพยนตร์เรื่องนี้นะค่ะ อยู่ในสมัยรัชสมัยใด
พิธีกร                       : น้องผู้ชายคนนั้นครับ
อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง     : รัชสมัยนะค่ะ
พิธีกร                       : สมัยสามก๊ก ได้ไหม ?
อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง     : สามก๊ก ยังไม่เป็นรัชสมัยนะค่ะ
พิธีกร                       : โอเค คุณรู้นะครับ เชิญครับ เราจะให้สิทธิพิเศษ ให้คุณสามารถ
                                ยืนข้างๆ..... (ว้าว !) โอโห ไม่ลังเลเลยนะที่จะยืนตรงนี้
                                ผมยังไม่ทันจะบอกเลยว่าให้คุณยืนข้างๆนักแสดงได้ ฮา..ฮา..ตอบครับ

ผู้ชมในห้องส่ง 2        : ปลายราชวงศ์ ซี ฮั่น อ๋อ ปลายราชวงศ์ ตง ฮั่น โทษทีครับ
                                ก็มันตื่นเต้นนี่ครับ ได้มายืนใกล้ดาราที่ชอบแบบนี้
พิธีกร                      : เป็นผู้ร่วมรายการที่น่ารักมากเลยนะครับ งั้นเรามาเฉลยกันเลยดีกว่า
                                ว่าถูกไหม


อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง     : มีเพลงเพลงหนึ่งของ หลิง ยู้ เสีย ปลายราชวงศ์ฮั่น แบ่งออกเป็น สามก๊ก
                                ~ ~ ฮาฮา

พิธีกร                       : โอเค ขอขอบคุณทุกท่านครับ เขาเป็นคนมีมารยาทจริงๆเลยนะครับ


ซู โหย่ว เผิง              : ผมอยากถามสักคำถามหนึ่ง
พิธีกร                       : คุณอยากเป็นคนถามใช่ไหม
ซู โหย่ว เผิง              : อยากถามว่า ภาพยนตร์เรื่อง ถง ชูเว้ ไถ เนี่ย มีสัตว์ชนิดใด
พิธีกร                       : คนที่นั่งตรงกลางกลางเนี่ย ตอบได้กันเยอะเลยนะครับเนี่ย

ซู โหย่ว เผิง              : แป๊ปหนึ่ง แป๊ปหนึ่ง ผมอยากให้โอกาสคนที่นั่งหลังหลังบ้าง
                                เป็นแฟนคลับผมที่มานั่งรอตั้งสองวันและยังไม่เจอหน้าผมใกล้ๆเลย
                                ท่านนี้ครับ เชิญเลยครับ

พิธีกร                       : หลีกทางให้เขาลุกหน่อยครับ
ซู โหย่ว เผิง              : ในภาพยนตร์เรื่อง ถง ชูเว้ ไถ เนี่ยมีสัตว์ชนิดใดครับ มีกวาง , ลา ,
                                หรือ ม้า กันนะ หรือว่าจะเป็นนกยูงกันแน่นะ


ผู้ชมในห้องส่ง 3         : ลา, ลา กับ งู ค่ะ
ซู โหย่ว เผิง              : ลา หรือ งู ? มาฟังเฉลยจากผู้กำกับกันดีกว่า ว่าถูกไหม
ผู้ชมในห้องส่ง 3         : เพราะว่าในเรื่องมีสัตว์อยู่ตัวหนึ่ง คือ งู ใช่ไหมค่ะ
                                 แล้วก็รู้สึกจะมีลาด้วย....

ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน : ถ้าจะเอาให้ตรงกับคำถามที่ โหยว เผิง ถามล่ะก็ ในเรื่อง ถง ชูเว้ ไถ
                                 เนี่ยมีสัตว์อะไร

ผู้ชมในห้องส่ง 3         : อืม...ก็ ลา กับ งู ไง
ซู โหย่ว เผิง              : นกยูงต่างหากล่ะ

ผู้ชมในห้องส่ง 3         : อ่าว เป็นมุกป่าวเนี่ยค่ะ
พิธีกร                       : นกยูง ทำไมถึงได้กลายเป็น ลากับ งูได้ล่ะ
ผู้ชมในห้องส่ง 3         : แล้วนกยูง ถูกหรือป่าวล่ะค่ะ
ซู โหย่ว เผิง              : ถามผู้กำกับ, ถามผู้กำกับ
ผู้ชมในห้องส่ง 3         : อย่าแกล้งฉันเล่นอย่างนี้สิ ฉันกลัวนะ ฮาฮา
ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน : ถูกแล้วครับ
ผู้ชมในห้องส่ง 3         : ถูกแล้วยังค่ะ

ซู โหย่ว เผิง              : ถูกแล้วล่ะครับ
ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน : นี่ก็คือเป็นมุกของคำถามอย่างหนึ่งน่ะครับ

ซู โหย่ว เผิง              : ผมก็แค่อยากให้คุณมายืนใกล้ๆ
ผู้ชมในห้องส่ง 3         : ขอบคุณค่ะ
ซู โหย่ว เผิง              : ขอบคุณครับ
พิธีกร                       : เอ้า ให้เพื่อนๆ แชะ แชะ กันหน่อย โอเคครับ ขอบคุณมากครับ
ผู้ชมในห้องส่ง 3         : ขอบคุณค่ะ
ซู โหย่ว เผิง              : ขอบคุณครับ




36

พิธีกร    : ขอสวัสดี ท่านผู้ชมทุกท่านและแฟนแฟนในห้องส่งแห่งนี้ ที่มาร่วมเป็นกำลังใจให้กับนักแสดงภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ ในรายการวันนี้ครับ พิธีกร (เหลียง หนาน) ในตอนนี้ที่เป็นกระแส ได้รับความสนใจจากแฟนภาพยนตร์เป็นอย่างยิ่ง ทุกท่านคงทราบกันดีนะครับ ในวันที่ 28 กันยายนนี้ มีภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ถ่ายทอดเรื่องราวในอีกมุมของ “ โจ โฉ ” นั่นก็คือเรื่อง ถง ชูเว้ ไถ นักแสดงนำเหล่านั้นกำลังจะมาพบกับท่านผู้ชมทุกท่านในรายการวันนี้ และในวันนี้นะครับ ทางรายการของเรา ได้เชิญดารานักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ ที่เดินทางมาร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ มาเป็นแขกรับเชิญของพวกเราในวันนี้ด้วย ผู้กำกับและนักแสดงนำจากภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ จะมาให้สัมภาษณ์กับพวกเราที่นี่เป็นที่แรก ต่อไปนี้ขอเสียงปรบมือต้อนรับผู้กำกับและนักแสดงที่มาร่วมรายการเราในวันนี้ครับ


โจว เหวิน ฟ่ะ, หลิว อี้ เฟย, ซู โหย่ว เผิง, อี้ เหนิง จิ้ง ( แอนนี้ อูวี้ ) และดารานักแสดงนำอีกมากมาย แสดงใน อุบายลวงสังหารจอมทรราชแห่งสามก๊ก ถง ชูเว้ ไถ กำหนดฉาย 28 กันยายน 2012

นับตั้งแต่ จาง ซื่อ ยี่ จากเรื่อง ความสัมพันธ์อันตราย,  กัว ฟู่ เฉิง จากเรื่อง สงครามเย็น, เฟิง เก๋อ หลุน จากเรื่อง กำลังภายในไทเก็ก, ฟ่าน ปิง ปิง จากเรื่อง Double Xposure ภาพยนตร์เหล่านี้ได้รับร่วมเข้าฉายในเทศกาลวันชาติจีน เพราะได้รับความร่วมมือจากดารานักแสดงชั้นนำที่มากด้วยความสามารถ และทีมงานเบื้องหลังระดับคุณภาพ ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นทีมงานระดับรางวัล ออสก้าเลยทีเดียว ภาพยนตร์เรื่อง ดอกไม้แห่งสงคราม โดย จาง อี้ โหม๋ว และผู้บันทึกภาพและเสียง จ้าว เสี่ยว ปิง ผู้บันทึกภาพและเสียงระดับมือหนึ่งของจีน โฮว จิน ผู้จัดด้านศิลปะตกแต่ง มือหนึ่งจากฮองกง สี จ่ง ผู้ร่วมงานสบทบจากประเทศญี่ปุ่น เหมย หลิง ม้าว

ถง ชูเว้ ไถ นับได้ว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์คุณภาพที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามในเทศกาลภาพยนตร์


พิธีกร    : โอเคครับ พอแล้วครับ ตั้งแต่เริ่มรายการ เราจะสังเกตเห็นถึงจำนวนช่อดอกไม้ที่แฟนแฟนนำมามอบให้กับเหล่าดารานักแสดง มันแสดงถึง ผู้กำกับ และดารานักแสดงทุกท่าน มีความสามารถมากมายขนาดไหน

ก่อนอื่นเลย ผมต้องขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับ ท่านผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน ขอเสียงปรบมือด้วยครับ และต่อมา ผมขอให้ท่านผู้กำกับจ้าว แนะนำนักแสดงทุกท่านในที่นี้ ว่าใครรับบทเป็นใครกันบ้างในภาพยนตร์เรื่อง ถง ชูเว้ ไถ โอเคครับ เชิญครับ



ผู้กำกับ จ้าว หลิน ซาน :

นั่นคือ ฮ่องเต้ของพวกเรา ขอเชิญด้านนี้เลยครับ ฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้ ( หลิว เซี่ยน ฉายา ซู โหย่ว เผิง ) โหย่ว เผิง
ในภาพยนตร์เรื่องนี้รับบทเป็นฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้ คือ...แสดงเป็นฮองเต้ที่ไม่เหมือนใคร ทุกคนคงคิดว่า เป็นฮองเต้ที่ขี้ขลาดตาขาว แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นครับ

นี่คือ สาวสวยสังหาร ในวังของฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้    หลิว อี้ เฟย

นี่ก็เป็น ราชองครักษ์ ประจำพระองค์ น่าจะเป็นอย่างนั้นเนอะ อาจารย์อี้ ในภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงเป็นฮกฮองเฮา ของฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้ รวมถึง เป็นราชองครักษ์ด้วย

แล้วท่านนี้ จริงๆแล้วราชองครักษ์ปกป้องพระราชบิดาอ่ะนะครับ

แล้วท่านนั้นนะครับ ดูผิวเผินเหมือนเป็นคนของ โจโฉ เป็นหยั่งใจอยาก แท้ที่จริงเขาเป็นคนของฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้

แต่จากเค้าโครงของเรื่องในส่วนนี้ จะต้องแสดงออกอย่างชัดเจน แบ่งตัวละครออกเป็นสองฝ่ายนะครับ อาจารย์ เหยา หลู่, อาจารย์ ชิว ซิน จื้อ, อาจารย์ อี้ เหนิง จิ้ง, หลิว อี้ เฟย


37
<a href="http://www.youtube.com/v/?v=9wVJxywSVKk" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/?v=9wVJxywSVKk</a>
http://www.youtube.com/watch?v=9wVJxywSVKk



[26/8/2012]

รายการ หว่อ อ้าย ถาว เตี้ยน อิ่ง (ฉันชอบดูหนัง) สนับสนุนโดย บริษัท เยี๋ยน เกิง ตัน ถ่ายทอดเรื่องราวกลลวงจอมทรราชแห่งสามก๊ก แสดงนำโดย โจว เหวิน ฟ่ะ, หลิว อี้ เฟย, ซู โหย่ว เผิง, อี้ เหนิง จิ้ง ( แอนนี้ อวี้ ) และดารานักแสดงสมทบอีกคับคั่ง


(ตัวอย่างภาพยนตร์)
โจผี : พวกแกจะปกป้องฮ่องเต้ที่ไร้ซึ่งความสามารถอย่างข้าไปทำไมกัน !


26 สิงหาคมนี้ ดารานักแสดงเหล่านี้จะมาเป็นแขกรับเชิญ ในรายการ หว่อ อ้าย ถาว เตี้ยน อิ่ง ให้พวกเราได้สัมภาษณ์พวกเขาอย่างใกล้ชิด


(ตัวอย่างรายการ)
อาจารย์ ชิว ซิน จื้อ : ผมถนัดแต่เรื่องพันธุ์นั้นอ่ะครับ
อาจารย์ เหยา หลู่   : มันไม่ได้กดดันอย่างนั้นหรอกครับ


ติดตามชมได้ ในเย็นวันศุกร์นี้ ภาพยนตร์ ถง ชูเว้ ไถ ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์


(ตัวอย่างภาพยนตร์)
หลิงจีว์                    : 24 ปี รัชสมัยฮ่องเต้ฮั่นเซี่ยนตี้ในฤดูเหมันต์
                               ข้าได้ถูกส่งตัวมาที่หอวิหกทองแดงแห่งนี้ ในความพยายามของพวกเราทุกคน
                               ทำเพื่อฆ่าคนคนหนึ่ง
ทหาร                      : คารวะ ! อุปราชแห่งแคว้นเหว่ย ( โจ โฉ )
ฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้       : ข้าอยากรู้จริงนักว่า แกหรือข้ากันแน่ที่เป็นฮ่องเต้ !
แพทย์ประจำราชสำนัก : มีราชโองการลับ ปราบขบถแผ่นดิน ในคืนนี้
ฮกฮองเฮา               : หม่อมฉัน ยินดีรับใช้พระองค์เพคะ
โจผี                        : ข้าพระองค์ จะดำเนินการตามรับสั่ง
บอกสุ้น                   : โจโฉ มีแค่สองเราเท่านั้นที่ทำได้
พระเจ้าตาฮ่องเต้        : โจ เม่ง เต๊ก คนที่ลอบสังหารเจ้าเมื่อคืน ข้านั่นแหละที่บงการ
โจโฉ                      : แกริอาจคิดฆ่าพ่อบังเกิดเกล้าของแกเชียวรึ
โจผี                        : เมื่ออำนาจเปลี่ยน ถ้าพวกเราไม่เปลี่ยน พวกเราก็ต้องตายด้วยน้ำมือพวกมัน
โจโฉ                      : เลวสิ้นดี ! เข้ามาเลย
 


โจว เหวิน ฟ่ะ รับบทเป็น โจ โฉ
คู่รักสังหาร รับบทโดย ทามากิ รับบทเป็น บอกสุ้น  หลิว อี้ เฟย รับบทเป็น หลิงจีว์
พิศวาสสังหาร ชิว ซิน จื้อ รับบทเป็น โจ ผี   อี้ เหนิง จิ้ง รับบทเป็น ฮกฮองเฮา
อำนาจสังหาร ซู โหย่ว เผิง รับบทเป็น ฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้
บงการสังหารเหยาหลู่รับบทเป็นแพทย์ประจำราชสำนัก หนี่ต้าฮงรับบทเป็นพระเจ้าตาในฮ่องเต้ ฮั่นเซี่ยนตี้
กำกับการแสดงโดย จ้าว หลิน ซาน
ถงชูเว้ ไถ อุบายลวงสังหารจอมทรราชแห่งสามก๊ก

โจโฉ : ที่ข้าสามารถฟันฝ่ามาจนทุกวันนี้ได้ ก็เพราะว่าข้าไม่ไว้ใจผู้ใดเลย

28 กันยายน 2012


38
<a href="http://www.youtube.com/v/?v=WDwufIH4pUk" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/?v=WDwufIH4pUk</a>
http://www.youtube.com/watch?v=WDwufIH4pUk


[24/4/2012]

พิธีกร        : เรามาเริ่มกัน ที่ชิ้นแรกเลยดีไหมครับ

ซูโหย่วเผิง : โอเคครับ ลองทายสิครับว่านี่คืออะไร? (ซูโหย่วเผิง โชว์ของใช้สำหรับคนขี้เกียจ)

พิธีกร        : ฉันรู้นะ

ซูโหย่วเผิง : อะไรครับ

พิธีกร        : นี่มันที่ถูพื้นนี่ มีแต่คนขี้เกียจแหละที่ใช้กัน (โอ้ว!เจอพวกเดียวกันแล้ว)
                 คุณใช้อันนี้ด้วยเหรอ

ซูโหย่วเผิง : ก็เคยใช้นะ

พิธีกร        : และที่สำคัญคือตอนที่ถูพื้น ก็ต้องทำท่าแบบนี้ใช่ไหม
               : ใช่ๆๆๆ ดีมากเลย
               : และยังได้ออกกำลังด้วยนะ
               : เพราะถ้าเราตั้งไว้ มันก็จะไม่มีพื้นที่สัมผัส ดังนั้นต้องวางแนวราบ
                 (ที่แท้ตัวพ่อคือคนนี้นี่เอง) โหย่วเผิง คุณลองโชว์บ้างซิ เวลาถูบ้านคุณทำยังไง

ซูโหย่วเผิง : ขอเชิญผู้ช่วยสาวของผมครับ

พิธีกร        : ลำบากเอาการเลยนะเนี่ย

ซูโหย่วเผิง : เป็นครอบครัวที่น่าสงสารมาก

พิธีกร        : มันดูลำบากยากแค้นมากจริงๆนะครับ
               : อันนี้เหมาะมาก สำหรับสามีภรรยาไว้ช่วยกันถู
               : จริงครับกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว
               : เพิ่มความสัมพันธ์แล้วยัง

ซูโหย่วเผิง : กระชับความสัมพันธ์ แล้วยังออกแบบมาให้สามารถซักได้ด้วยนะครับ

พิธีกร        : โอ้โห
               : ซื้อที่ซักได้ด้วยนะเนี่ย งั้นคงแพงหน่อยใช่ไหมคะ

ซูโหย่วเผิง : ใช่ครับ

พิธีกร        : ของฉันเป็นแบบ ซักไปทั้งคู่เลยน่ะค่ะ

ซูโหย่วเผิง : ไปซื้อรุ่นใหม่ได้แล้วนะครับ (แชร์ประสบการณ์กันออกสื่อเลยทีเดียว..)

พิธีกร        : อ๋อ แล้วนี่ซื้อที่ไหนคะเนี่ย

ซูโหย่วเผิง : ซื้อจากในเนตน่ะครับ คุณจะลองสั่งดูซักชุดไหมล่ะ

พิธีกร        : เดี๋ยวก่อนนะครับนี่ให้มาโชว์นะครับ ไม่ใช่ให้มาขายสินค้า โอเคครับ
                  ต่อเลยครับชิ้นที่สอง


ซูโหย่วเผิง : มามามา, ดู

พิธีกร        : นี่มันร่มนี่คะ
               : ใช่ครับร่ม

ซูโหย่วเผิง : นี่คืออะไร

พิธีกร        : คือร่มนะครับ

ซูโหย่วเผิง : ร่ม.... มันไม่ใช่เป็นแค่ร่มธรรมดา เวลาออกไปนอกบ้าน แล้วเกิดฝนตก
                  แถมในมือมีของอีกตั่งหาก ปกติมันก็จะถือร่มได้ลำบากใช่ไหมครับ


พิธีกร        : ใช่ครับ

ซูโหย่วเผิง : ตอนนี้มีการออกแบบใหม่ที่ดีมากเลยครับ อันนี้ต้องรบกวนผู้ช่วยผมแล้วล่ะ
                  กลัวไหมครับนี่


พิธีกร        : ไม่ค่ะ
               : นี่อะไรคะ เอาหัวใส่เข้าไปเหรอ

ซูโหย่วเผิง : ใช้ครอบหัวได้เลยคร้าบบบ (ร่มส่วนตัวสำหรับคนขี้เกียจ)
                 ทีนี้คุณก็มีมือไว้ถือของอย่างอื่นได้แล้วครับ


พิธีกร        : อะไรเนี่ย.. (มาจากภาษาญี่ปุ่นน่ะค่ะ)
               : ไม่ใช่แค่มีมือถือของอย่างเดียวนะ ตรงนี้ก็ยังแขวนได้อีกด้วยนะ
               : ดูทะแม่งยังไงไม่รู้
               : ถ้าพี่ใช้ร่มคันนี้ แล้วใส่รองเท้าคู่นั้น คงดูมีความพยายามดีนะครับ
               : ดูน่าสงสารจริงๆด้วย พอแล้วพอแล้ว โอเคชิ้นต่อไป อันนี้คือ


ซูโหย่วเผิง : ส่วนใหญ่เวลาเราอยู่บ้าน กินมาม่าหรือว่าอาหารอื่นๆ ก็จะมีเหงื่อออกใช่ไหมครับ
                 ก็ไม่มีมือไว้ถือกระดาษทิชชู่ อันนี้ก็จะช่วยได้ครับ ขอเชิญคุณผู้ช่วยครับ


พิธีกร        : นี่มันใช้ยังไงคะ (นี่จงใจแกล้งฉันใช่ไหม)
               : ดูเหมือนขุนนางเลยนะ (เป็นผู้ช่วยที่ไม่ไหวเอาซะเลย!)
                 งั้นมือข้างนี้ยังไงก็เอามาใช้ไม่ได้อยู่ดี

ซูโหย่วเผิง : ลากลงมาแบบนี้ดีกว่าเนอะ เอาไว้ตรงหน้านี่แหละ ลากลงมาก็โอเคแล้ว

พิธีกร        : ปัญญาอ่อนสุดๆ
               : พวกเราชาวถิ่นซินเกียงลันลา
               : ไปไกลแล้ว
               : โอเค ผมว่าเขาได้รางวัลชนะเลิศละ ผมว่าหวงป๋อ กับพี่ฮว๋าคงจะกดดันแล้วหล่ะ
               : มันดูอนาถมากเลยค่ะ


ซูโหย่วเผิง : ยังมีอีกชิ้นหนึ่งครับ ชิ้นนี้ฮาสุดละ จริงๆนะครับ เอาล่ะ

พิธีกร        : อันนี้ต้องเอาครอบหัวไหมคะ

ซูโหย่วเผิง : ใช่ครับ บางครั้งเวลาเราหวังให้ตัวเอง เวลาเหนื่อยๆ ล้มตัวลงปุ๊บก็นอนได้เลย
                 เราสามารถเตรียมหมอนเองได้


พิธีกร        : วิเดียวก็กลายเป็นองค์หญิงได้ (คิดได้เนอะ)
               : ร้ายกาจมาก

ซูโหย่วเผิง : สุดๆเลย

พิธีกร        : นอกจากเหมือนองค์หญิง รู้ไหมว่ามันยังคล้ายอะไร เหมือนนิ่งไฉ่จวี้
                  (ตัวละครหนึ่งในหนังสือนิยาย เป็นเด็กนักเรียนดีที่มีฐานะยากจน)
               : น่ารักจริงๆ
               : ว้าวน่ารักมากเลย น่ารักจริงๆ
               : ฮาได้อีก ครับ นี่ก็คือของ ของซูโหย่วเผิง
               : ฉันว่าเขาชนะเลิศค่ะ
               : ยังครับ ยังมีที่หนักกว่านี้อีก อย่ารีบร้อน
               : ไม่จริงมั้ง
               : ใจเย็นครับ ดูตรงนี้ครับ
               : ผมขอดูหน่อยได้ไหม

ซูโหย่วเผิง : ลองใส่ดูก็ได้นะ ดูลงทุนมาก (องค์หญิงทรงพระเจริญ)

พิธีกร        : ซูโหย่วเผิงคุณอยู่ที่บ้าน เคยเอาขนมเปี๊ยะ แล้วก็เอามาแขวนไว้ตรงนี้ไหม

ซูโหย่วเผิง : ผมก็อยากมาตลอดแหละครับ จริงๆนะ

พิธีกร        : แล้วก็เอากระดาษทิชชู่มาแขวนไว้ตรงนี้ เอาขนมเปี๊ยแขวนไว้นี่
               : คุณจะเอาของทุกอย่าง มาแขวนไว้บนหัวได้ไงคะ ร่างกายมีพื้นที่อีกตั้งเยอะ
               : ใช่ๆๆ ดูแต่ละอย่าง มีแต่ต้องเอามาใส่ไว้ที่หัว
               : อ่อๆๆมีอันนี้ใส่ที่เท้า
               : เค้าเป็นคนที่ใช้ประโยชน์ของศรีษะได้เต็มที่มาก พัฒนาไปก้าวไกล
                 ถ้าจะบอกว่าเค้าลำบากลำบน ก็ลองดูที่เด็กผู้ชายบนเวทีคนนี้สิครับ
                 ไม่ได้อยู่ในมุมที่ไครๆมองเห็น ทำงานแฮนเมด (อย่าลืมผมนะ)
                 คุณต้องคอยเตือนเราเรื่อยๆเลยนะว่าอย่าลืมคุณ เพราะอย่างคุณนี่จะถูกลืมได้ง่ายมาก
                 เอาล่ะต่อไป...
 




39
<a href="http://www.youtube.com/v/?v=YwvxgpZd2O4" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/?v=YwvxgpZd2O4</a>
http://www.youtube.com/watch?v=YwvxgpZd2O4


[18/10/2012]

จาง เจีย อี้           : ไม่กลับมาแล้ว

รปภ หญิง            : วันนั้นฉันโทรไปหาเค้าแล้วนะค่ะ

อ้าย ซิน จูเว๋ ฉี่ ซิง : ฉันไม่เชื่อคุณ

แม่เด็ก                : แม่ไม่ยอมบอกฉันสักทีว่า ลูกสาวของฉันไปอยู่ที่ไหน

เชอ หย่ง ลี่          : ฉันจะทิ้งมันไปให้หมด

นักแสดงนำ          : Ai xin jue Qi xing อ้าย ซิน จูเว๋ ฉี่ ซิง
                         : Su You Peng ซู โหย่ว เผิง
                         : Che yong li เชอ หย่ง ลี่
                         : Ju Wen Pei จู เหวิน เพ่ย
                         : Zhang Jia Yi จาง เจีย อี้
                         : Huang Lei หวง เล่ย

หวง เล่ย             : แล้วเด็กคนนั้นหายไปได้ยังไง

จู เหวิน เพ่ย         : ไม่นะค่ะ มันไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ

เชอ หย่ง ลี่          : เลิกหลอกลวงฉันสักทีได้ไหม!

บรรยาย               : 3 คุณแม่มือใหม่ 26 ตุลาคมนี้ เริ่มออกเดินความรักไปด้วยกัน

40
<a href="http://www.youtube.com/v/?v=GMcFWwrD5zY" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/?v=GMcFWwrD5zY</a>
http://www.youtube.com/watch?v=GMcFWwrD5zY



[21/4/2012]

พิธีกร          : บทบาทของ ซู โหย่ว เผิง ในแต่ละเรื่อง ล้วนแล้วแต่ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดียิ่ง
                    ไม่ว่าจะเป็น "ฮวยบ่อข่วย" จากเรื่อง เดชเซียวฮื่อยี้ "เตียบ่อกี้" จากเรื่อง ดาบมังกรหยก
                    "ตู้เฟย" จากเรื่อง มนต์รักในสายฝน แล้วยังมี "ลู่เอินฉี" จากเรื่อง รักข้ามขอบฟ้า
                    แล้วเค้าจะรู้สึกประทับใจกับบทบาทไหนกันนะ เราไปฟังกัน..ว่าเค้าจะตอบว่าอย่างไร


ซูโหย่วเผิง  : กับการเปลี่ยนแปลงจาก “ ไกว ไกว หู่ ”
                   ถามผมว่ารู้สึกประทับใจกับบทไหนน่ะเหรอ ผมคิดว่าในแต่ละบทมันก็
                   อืม....เพราะตั้งแต่เราได้บทมา ก็ต้องใช้เวลาร่วมเดือนในการศึกษามัน ผมจึงคิดว่า
                   ทุกบทบาทมันก็เป็นอะไรที่เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่มีค่าสำหรับผมครับ
                   แล้วบทเหล่านั้นก็ เอ่อ....มันก็ใช่ว่าจะเล่นได้กันง่ายง่ายนะครับ
                   เลยทำให้ผมมีความทรงจำดีดี และมีประสบการณ์ในการทำงานมากขึ้นด้วย



พิธีกร         : ซูโหย่วเผิง กับการเข้าวงการครั้งแรกเพียงอายุ 15 ปี กับผลงานเพลง
                   และเป็นที่รู้จักกันดีในฉายา ไกวไกวหู่ เป็นก้าวแรกที่สร้างชื่อเสียงของเขา
                   ให้ก้าวเข้าสู่วงการ และจากผลงานเรื่อง องค์หญิงกำมะลอ ในบทของ องค์ชายห้า
                   เค้าก็ยังได้รับเสียงตอบรับที่ดี และได้รับความสนใจจากแฟนแฟน และจากชื่อเสียง
                   ในบทบาทของ องค์ชายห้า ทำให้เค้าถูกตั้งคำถามว่าเป็นนักร้องที่ผันตัวเอง
                   มาเป็นนักแสดง


ซูโหย่วเผิง : ความจริงในตอนนั้น มันค่อนข้างที่จะมีโอกาสที่ประจวบเหมาะพอดี
                  และเริ่มมีความคิดวางแผนในการทำงานในอนาคต
                  แล้วผมเองก็อยากที่จะลองทำงานอะไรใหม่ๆด้วยล่ะครับ



พิธีกร       : ในปี 2008 ซูโหย่วเผิงได้มีโอกาสร่วมงานแสดงภาพยนตร์ ต่อมาในปี 2010
                 เค้าก็มีผลงานจากเรื่อง เฟิง เซิง ซึ่งผลงานในเรื่องนี้ ทำให้เค้าได้รับรางวัล
                 ตัวประกอบฝ่ายชายดีเด่นจาก งานรางวัลป๋ายฮัวครั้งที่ 9
                 HUNDRED FLOWERS AWARDS ซึ่ง ซูโหย่วเผิง ยอมรับกับทางเราว่า
                 กว่าจะได้รางวัลนี้มา เล่นเอาเค้ากดดันไม่ใช่น้อย


ซูโหย่วเผิง : ก่อนที่ผมจะได้เข้าฉากจริง ผมจะชอบกังวลกลัวว่าจะเล่นบทไม่ได้
                 เพราะตัวละครที่ผมเล่นนั้น เป็นตัวละครที่เล่นค่อนข้างยาก
                 แล้วผมก็ใช่ว่าจะเป็นนักแสดงมืออาชีพอะไรขนาดนั้น
                 มันจึงทำให้ผมกังวลว่าผมจะสามารถเล่นมันออกมาได้ไหม
                 แล้วจะมีใครสนับสนุนเห็นด้วยกับตัวละครนี้ของผมไหม แล้ว....
                 ก่อนวันที่จะเปิดกล้อง นานอยู่หลายเดือนที่ผมขยันไปฝึกเรียนร้องเพลง
                 พอมานั่งคิดคิดดูนะครับ มันก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อนะครับ
                 ตอนแรกคิดว่าจะทำมันไม่ได้ซะอีก เป็นครั้งแรกที่ เริ่มเรียนร้อง เรียนรำ เป็นกับเค้า
                 แล้วหลังจากนั้นจะเริ่มร้องเพลงกล่อมตัวเองทุกวัน ฮาฮา...
                 นี่ก็เป็นการเตรียมตัวของผมก่อนที่จะได้เข้ากล้องแสดงจริง

                 แล้วหลังจากที่ภาพยนตร์เปิดกล้องแล้วมันก็ยังแอบรู้สึกติดติดขัดขัดอยู่บ้าง
                 มันยังแสดงไม่ออก ตอนอยู่ในฉากมันแสดงไม่ออก รู้สึกขอโทษจริงจริง
                 แล้วหลังจากนั้น........ก็ค่อยๆที่จะเรียนรู้ว่าจะแสดงมันออกมาได้อย่างไร ต้องตั้งใจ
                 มุ่งมั่น เพราะว่าบทที่ผมได้เล่นนั้นเป็นตัวเด่นของเรื่องเลย

                 ดังนั้นผมจึงใช้ความกดดันตรงนี้ เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส
                 ทำให้ตนเองสามารถที่จะพลิกบทบาทในการแสดงได้
                 ผมใช้เวลากว่าครึ่งปีที่คลุกคลีอยู่กับบทนี้ สิ่งที่ผมคิดว่ายาก
                 ผมก็สามารถที่จะทำมันได้สำเร็จ มันเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่ผมนั้นยากจะลืมเลือน
                 เก็บไว้ในส่วนลึกในความทรงจำของผม ผมว่ามันก็คุ้มค่านะครับ

                 มันก็ใช่ว่าจะเป็นบทที่เลวร้ายนัก เพราะตัวละครตัวนั้นเท่าที่ผมจำได้
                 พอผมแสดงเสร็จปั๊บจะต้องกลับมาดูว่าเป็นอย่างไร
                 มันก็เป็นอีกมุมมุมหนึ่งของคนเราที่ถูกหยิบยกออกมาจากชีวิตคนเรานั้นแหละครับ


พิธีกร       : อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์ยังน้อย ซูโหย่วเผิง ยังต้องอาศัยความพยายาม
                 ด้านการแสดงมากกว่านักแสดงคนอื่นๆ ถึงแม้ผลงานด้านภาพยนตร์ของเค้า
                 อาจจะยังไม่มากนัก แต่ผลงานของเค้าทุกชิ้นเรียกได้ว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว


ซูโหย่วเผิง : หลังจากผลงานภาพยนตร์เรื่อง เฟิงเซิง ที่เป็นงานที่ท้าทายสำหรับผม
                 แล้วไหนจะต้องถ่ายเรื่อง ซาเซิง ที่ผมครั้งแรกรับเล่นเป็นตัวร้าย ถ้าจะให้ผมพูดนะครับ
                 มันก็เป็นอะไรที่ท้าทายสำหรับผมมากเลยล่ะ เพราะว่าผม....คิดว่า
                 แสดงบทร้ายเนี่ยมันไม่สามารถที่จะยิ้มได้เลย ที่จะมาแสดงอารมณ์สดใส ร่าเริง
                 เป็นคนดี ได้ ผมคิดว่าบทนี้ต้องใช้ความพยายามอีกเช่นกัน
                 จริงๆแล้วผมก็แค่อยากให้บทที่เล่นนั้นมีความท้าทาย
                 อยากจะให้บทที่ได้เล่นนั้นมีความยากง่ายต่างกันออกไป
                 เพราะว่าก่อนหน้านี้บทที่ผมเล่นส่วนใหญ่ มันมีคาร์แรกเตอร์คล้ายกับตัวผมมากเกินไป



พิธีกร        : จากแรกเข้าวงการของ ไกวไกวหู่ ในวัยเพียง 15 ปี ตลอดเวลากว่า 20 ปี
                 เค้าได้รับความสำเร็จด้านการแสดงกว่า 50 เรื่อง พวกเรามาร่วมเป็นกำลังใจให้กับ
                 ภาพยนตร์เรื่อง 3 คุณแม่มือใหม่ของเค้า ขอให้เค้าสร้างสรรค์ผลงานการพลิกบทบาท
                 ให้พวกเราได้ชมกันในเร็วๆนี้


ซูโหย่วเผิง : สวัสดีแฟนคลับทุกคนที่กำลังรับชมอยู่ทุกท่าน ผม ซูโหย่วเผิง
                 ขอขอบคุณทุกท่านที่มาให้กำลังใจผมกันถึงที่นี่


พิธีกร        : ค่ะ แล้วหลังจากนี้เราจะร่วมกันย้อนวันวานจากวง (เสี่ยวหู่ตุ้ย) แก๊งค์เสือน้อย
                 กับผลงานเพลง (ชิงผิงกั่วเล่อหยวน) สวนสนุกแอปเปิ้ลเขียว
                 เรามาร่วมย้อนความทรงจำนั้นอีกครั้ง ไปพร้อมๆกันเลยค่ะ


วง เสียว หู่ ตุ้ย : แก๊งค์เสือน้อย
เพลง ( ชิง ผิง กั่ว เล่อ หยวน )  สวนสนุกแอปเปิ้ลเขียว อัลบั้ม สุขสันต์วันปีใหม่


เดินเตร็ดเตร่ยามเที่ยงคืนในวันหยุด เดินมาจนถึงสวนสนุกแอปเปิ้ลเขียวที่ต้อนรับเด็กหนุ่มพเนจร ไม่ต้องยืนงง มาตะโกนร้องกันให้สุดเสียง พูด bye bye ให้กับความเหงายามค่ำคืน ดนตรีและแสงดาวมันช่างแสนโรแมนติก ความกลัดกลุ้ม กังวลใจ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราทั้งนั้น ที่นี่คือเวทีของพวกเรา ตอนนี้เรามาบริหารเสน่ห์กันหน่อย ปล่อยให้เหงื่อไหลออกมาให้ท่วมกาย บอกฉันสิ what’ s your name ตอบรับคำเชิญของฉันสิ I love you ออกมาจากความมืดมิด don’t you know มอบความรักที่มีมาให้ฉัน I need you มาปลอบใจฉันให้ฉันสบายใจ มาเต้นโยกย้ายไปกับฉัน มากับฉันจะไม่เสียใจ มากับฉันจะทำให้เธอมีสีสัน มาทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวในยามมืดมิด ลา..ลา..ลา..ลา.. โยกย้ายกันให้สุดไปเลย ลา..ลา..ลา..ลา.. โยกย้ายกันให้สุดไปเลย (ซ้ำ)

what’ s your name, I love you, don’t you know, I need you
ลา..ลา..ลา..ลา.. โยกย้ายกันให้สุดไปเลย ลา..ลา..ลา..ลา.. โยกย้ายกันให้สุดไปเลย
 




หน้า: 1 [2] 3 4