แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Alec Love Me

หน้า: 1 ... 202 203 [204] 205 206 ... 216
4061


FC: ผมอยากทราบว่าคุณชอบชนบทของเมืองไหนมากกว่า

โหย่วเผิง : พูดความเป็นจริงเมืองหลายแห่งไม่มีปัญญาที่จะไปรับรองบ่อยๆ โดยทั่วไปเวลาไปแสดงก็คือสองสามวันยากที่จะเข้าใจเมืองหนึ่งอย่างถ่องแท้ ผมชอบบรรยากาศอิสระของกรุงปักกิ่ง ผมรู้สึกอยู่ปักกิ่งช่วงตอนเย็นหิวก็ออกไปซื้อของกิน ยังไม่เคยได้ยินอดจนตายก็ยังหาซื้อของกินไม่ได้

FC: เคยไตร่ตรองอนาคตบ้างไหมว่าตัวเองอยากจะเป็นผู้กำกับ

โหย่วเผิง: ตอนนี้ไม่มีใจชอบด้านนี้ ผมรู้สึกว่าเป็นนักแสดงยังแสดงไม่ดี เวลานี้ผมไม่มีใจมักใหญ่ใฝ่สูง

FC: ตามที่คุณพูดมาเคยไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษช่วยแนะนำหน่อย

โหย่วเผิง: ไม่ใช่ไปศึกษาต่อที่เมืองนอกแต่ไปเรียนการท่องเที่ยว ตอนนั้นผมเพิ่งหยุดการเรียนหลังจากได้เรียนจบจึงถูกกดดันอย่างมาก อารมณ์ช่วงนั้นตกต่ำมาก เพราะไปประเทศอังกฤษพักอยู่หลายเดือน ด้านหนึ่งเรียนภาษา ส่วนอีกด้านหนึ่งโดดออกไปสู่ช่องว่างจุดเดิมเพื่อไปตรึกตรองอีกที ในช่วงเวลานั้นยังเป็นเอกเทศมากกว่า เป็นครั้งแรกผมไปสถานที่ที่ไม่มีผู้คนรู้จักทีเดียว ตอนนั้นได้ไตร่ตรองเรื่องราวที่เป็นทรรศนะแขกอยู่บ้าง กล่าวโดยสรุปนั่นคือโอกาสการท่องเที่ยวช่วยตัวเองอันหนึ่ง

พิธีกร: ทันทีไปสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักมีอารมณ์หล่นหายหรือไม่

โหย่วเผิง : ไม่เป็น ตอนนั้นผมเพิ่งหยุดเรียน ช่วงนั้นถูกกดดันมาก ทันทีได้ไปสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักช่างเบิกบานใจมาก

FC: โหย่วเผิงบอกแบบจริงใจแก่พวกเราว่าปีนี้วันวาเลนไทร์คุณจะฉลองอย่างไร

โหย่วเผิง : วันนั้นผมไปที่ไต้หวันประกาศโฆษณา อยู่ในร้านเหล้าบาร์จองที่นั่งชั้นบ๊อกนัดเพื่อนๆกลุ่มใหญ่ฉลองดื่มด้วยกัน

FC: ในการดำรงชีพของคุณคนที่แสนรักคือใคร

โหย่วเผิง: ตัวผมเองครับ

FC: ต่อไปดนตรีของคุณจะปรากฎตัวเองประพันธ์กลอน ทำนองเพลงไหม

โหย่วเผิง : ถ้าอย่างงั้นทุกคนอยากเห็นผมแสดงหน้าแตก ผมก็ขอเพียรพยายามสุดกำลัง

FC: ระยะนี้มีการตัดสินใจเปิดชมรมการแสดงร้องเพลงหรือไม่

4062

FC: ฉันอยากทราบว่าปกติเวลา คุณว่างจากการแสดง คุณชอบอะไร

โหย่วเผิง: แต่ละวันก็มีงานทำ  อย่างน้อยกลับมาถึงบ้านต้องเปิดอินเตอร์เน็ต เหมือนเมื่อกี้นี้ที่พูดถึงผมจะเปิดไปที่เว็บไวด์ดูมีสิ่งใหม่ๆอะไรบ้าง ด้านบน เว็บมีแฟนคลับแต่ละแห่งทั่วโลก ระยะนี้ผมไปที่ไต้หวันประชาสัมพันธ์ FC ไต้หวันชอบถ่ายรูปมากๆ หลังจากนั้นนำเอาเหตุการณ์สภาพสดๆไว้บนเว็บไซด์ ตัวผมเองรู้สึกอบอุ่นสนุกมาก นอกจากเปิดเว็บไซด์แล้ว ผมและบรรดาเพื่อนๆก็ไปดื่มน้ำชาพร้อมกัน คุยเล่นบ้าง ร้องเพลงบ้าง

พิธีกร:  คุณรู้สึกแฟนเพลงของคุณติดตามรูปลักษณ์เด่นกับตัวคุณเอง เป็นคนละเรื่องกันบ้างไหม

โหย่วเผิง: ที่จริงมองดูพวกเขาติดตามรูปลักษณ์สวยเด่นส่วนไหน หากรู้สึกซูโหย่วเผิงในส่วนนี้สามารถช่วยคุณได้ ผมยินดีอย่างยิ่งยวดแบ่งปันใจให้ ผ่านหน้าจอโทรทัศน์อย่างบริสุทธิ์สดใสในการแสดงบทละครบางบทของผม คุณอยากเข้าใจซูโหย่วเผิงผมรู้สึกว่านั่นเป็นไปไม่ได้ อันดับแรกผมมีแต่แต่งกายแสดงบทบุคคลอื่น อันดับสองเพียงแต่เขาคืออุปนิสัยส่วนในอีกด้านหนึ่งคือตัวผม ผมคิดว่าไม่มีวิธีไหนจะเข้าใจซูโหย่วเผิงได้ทีเดียว

FC: ผมใกล้จะผ่านการสอบชั้น ม.ปลาย สามารถได้ยินคุณส่งเสริมบ้างไหมหนอ หากมีคุณส่งเสริมผมก็สามารถสอบได้ที่หนึ่งอย่างแน่นอน

โหย่วเผิง: ขอสนับสนุนส่งเสริมคุณ หวังว่าคุณสอบได้ที่หนึ่ง

FC: โหย่วเผิงเห็นว่าตัวเองนอกจากสามารถเป็นนักแสดงแล้วยังสามารถเป็นอะไรอีก

โหย่วเผิง: ถามอย่างไม่มีที่จะยืน เปิดร้านค้าที่มีรสชาติเล็กๆหนึ่งร้าน ชงกาแฟทุกวันให้ลูกค้าดื่มนับว่าไม่เลว

FC: โหย่วเผิงมีส่วนคล้าย F4 ของคนรุ่นใหม่ แบบนี้รวมกันจัดตั้งขึ้นคุณช่วยวิจารณ์คุณค่าของพวกนี้มีอะไรบ้าง

โหย่วเผิง: ผมรู้สึกว่าผมคือบุคคลที่ผ่านมาแล้ว ที่จริงเวทีร้องเพลงตอนนี้ยังมีตัวแทนนักร้องใหม่ๆอยู่บ้าง มีคนหนุ่มสาวทันสมัยมากมาย  มาเป็นตัวแทนยุคนี้ในวิธีคิดบางอย่างของพวกเขา  พวกเขาได้นำเอาแบบอย่างการแสดงไว้ในเพลงของพวกเขาหรือบนเวทีการแสดง ตัวแทนคนหนุ่มสาวเป็นเรื่องสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง ให้ผมพูดผมรู้สึกได้ผ่านขั้นตอนอันนี้มาแล้ว  ผมรู้สึกว่าคนหนุ่มสาวไม่ว่าทำอะไรก็สามารถให้อภัยได้  ผมรู้สึกว่าวัยหนุ่มสาวก็เป็นเช่นนี้ ให้สังคมนี้เพิ่มความกระตุ้นบ้าง


FC: ตอนนี้คนใหม่ๆที่มีระเบิดไฟหลากหลายปรากฎ พวกเขาจะทำให้คุณเกิดขึ้นต่อความรู้สึกอันตรายบางอย่างใช่หรือไม่

ซูโหย่วเผิง:  ผมรู้สึกสภาพจิตใจของทุกคนไม่เหมือนกัน ผมรู้สึกภายในวงการบันเทิงเรื่องที่ควรทำยังมีให้ความรู้สึกแก่คนที่ไม่เหมือนกัน ผมควรทำสิ่งที่ตัวเองให้ดี

พิธีกร:  สมมติในปีนั้นบุคคลที่มีชื่อเสียงพร้อมคุณก็มีมากทีเดียว เหมือนหลายปีมานี้ทุกคนต่างรักลำเอียงต่อคุณมากเป็นพิเศษ และก็มิใช่หลายปีมานี้เพียงแต่ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาของวงเสี่ยวหุ่ยตุ้ย ทุกคนต่างมีความลำเอียงต่อเขามากขึ้น

โหย่วเผิง: ผมรู้สึกว่าผมโชคดีหน่อย วงเสี่ยวหู่ตุ่ยทุกคนต่างเติบโตขึ้นมา 10 ปี ผมรู้สึกว่าผมมีความโชคดีมากผมได้พบเจอละครองค์หญิงกำมะลอ (หวนจูเก๋อๆ) อีก

FC: ผมอยากทราบว่าคุณชอบเครื่องดนตรีอะไร

โหย่วเผิง: ตอนเด็กผมเคยเรียนพิณอีเล็คตรอน(กีต้าไฟฟ้า) หลายปี แต่ว่าต่อมาได้เรียนชั้นมัธยมก็ไม่ได้เรียนต่อเพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่ว่าอย่างไร ผมรู้สึกว่าเมื่อก่อนผมเก่งจริงๆ ฟังเพลงครั้งเดียวก็สามารถดีได้ทันที ตอนนี้ไม่ได้แล้ว

FC: โหย่วเผิงคุณเป็นชาวไต้หวัน คุณจะปฏิบัติอย่างไรต่อความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่

โหย่วเผิง: ผมรู้สึกเรื่องเล็กน้อยนี้บางครั้งไม่มีปัญญาไปกล่าวถึงจริงๆ ผมรู้สึกว่าทุกคนก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ผมรู้สึกของบางอย่างไม่สะดวกพูด ผมหวังว่าจะลงเอยได้ดีจริงๆ ผมรู้สึกว่าทั้งสองฝั่งต่างไปมาหาสู่กันหลายปีแล้ว  ไม่ว่าความรักใคร่ต่อกันหรือความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ ผมหวังว่าทุกคนต่างต่อใจในผลลัพธ์ที่ออกมา

พิธีกร: โหย่วเผิงไปแสดงที่จีนบ่อยๆ รวมทั้งนั่งที่นี่พร้อมกับแฟนๆทางอินเตอร์เนตทุกท่านได้แลกเปลี่ยนความคิดกันในวันนี้ การกระทำของเขาได้ชนะทุกสิ่งแล้ว

FC: เชิญแนะนำหน่อยปี 2003 งานสำคัญของคุณคืออะไร

โหย่วเผิง: ปีนี้เดือนกันยายนอายุของผมครบ 30 ปี และก็ออกมาทำงานได้ 15 ปีแล้ว  หวังว่าได้มีกิจกรรมครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้นยังจะออกอัลบั้มเพลงใหม่รวบรวมเฉพาะกิจ มาพูดแผนการระยะสั้นผมได้สรุปการเผยแพร่อัลบั้มครั้งนี้ ผมจะถ่ายละครหนังยุคโบราณ

พิธีกร: คนจีนโบราณพูดไว้ว่าอายุ 30 ปีตั้งตัวได้ ไม่ใช่คนทั่วไปที่ฉลองวันเกิดอายุ 30 ปี แล้วคุณเตรียมการฉลองวันเกิดอย่างไร

โหย่วเผิง: ผมไม่เคยคิดว่าตัวคนเดียวฉลองวันเกิด

4063

FC : ได้ข่าวว่าคุณนับถือศาสนา พุทธ จริงไหม

โหย่วเผิง : ผมนับถือศาสนาพุทธครับ

พิธีกร : บวชพระแล้วใช่ว่าจะต้องทานอาหารเจตลอดชีวิตหรือห้ามแต่งงานถูกต้องไหม

โหย่วเผิง : ผมรู้สึกว่าผมได้ทำกุศลอยู่บ่อยๆ

FC : สักวันหนึ่งหากคุณมีลูกขึ้นมาคุณหวังว่ามีลูกกี่คน ผู้ชายหรือผู้หญิง

โหย่วเผิง : ยังไม่เคยคิดเลย ไม่ใช่ผมคิดอยากมีลูกเต็มที

FC : มีหลายคนที่ชอบคุณมาก ชอบทำนองเพลงของคุณ รูปลักษณะภายนอก การแสดงหนังของคุณด้วย เป็นต้น ถ้าเช่นนั้นตัวคุณเองชอบอะไรเกี่ยวกับตัวของคุณ

โหย่วเผิง : พูดถึงเรื่องโดยรวมยังไม่เลว ผมรู้สึกว่าผมยังมองโลกแง่ดี ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามไม่ไปถือสามากอย่างจริงจัง ผมรู้สึกเสมอว่าทัศนะสิ่งนี้ของผมจำต้องไปแบ่งความสุขแก่คนทั้งหลาย เพื่อให้ทุกคนอย่าไปถือสาเรื่องไม่เป็นเรื่องต่างๆ อันมากมาย ผมรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันน่าเกลียดมาก ผมไม่ชอบเรื่องเหล่านี้เลย

พิธีกร : คุณจำต้องเอาด้านหนึ่งไปโชว์แสดงให้แก่บุคคลอื่นเยอะๆ รวมทั้งคุณให้บริจาคแก่คนพิการ ด้วยเป็นต้น

โหย่วเผิง : เว็บไซด์ของผมเผยแพร่ศาสนาอยู่เสมอ ทุกคนที่นี่สามารถมารับการอมรมเรื่องศาสนา

FC : อยากให้คุณเปรียบเทียบความแตกต่างของแฟนเพลงระหว่างฮ่องกง และไต้หวันหน่อย คุณชอบแฟนเพลงลักษณะแบบไหนที่สุด

โหย่วเผิง : ผมชอบแฟนเพลงเหมือนเป็นสหายเดียวกัน ผมรู้สึกว่าสถานที่แห่งไหนแตกต่างกันเกินไป เช่นที่ไต้หวันมีแฟนเพลงเยอะแยะเพราะรู้จักกันมาหลายปีแล้ว ทุกคนต่างก็คุ้นเคยกันมากกว่า อีกทั้งเพราะรู้จักกันมานานพวกเขาต่างเข้าใจอารมณ์ของผม หน้าดำเมื่อไรก็พูดคุยกับผม เมื่อไรต้องการพวกเขาทำอะไร ผมรู้สึกทุกคนต่างสนิทสนมกันแบบเงียบๆมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน

ผมอยู่ทางฮ่องกงมีวัฒนธรรมด้านมาตรฐานสูงกว่าผู้เป็นแม่หน่อน นั่นเป็นเพราะเกี่ยวกับหนังละครผมมีแม่หลายคนคุณแม่เหล่านี้ก็มีความแตกต่างกัน ผมมีความเครารพพวกเธอมาก และผมเป็นบุคคลหนึ่งให้ความสำคัญแก่เรื่องจริยธรรม ผมรู้สึกพวกเธอนั้นมีอายุมากกว่าผม พวกเธอสามารถให้ข้อวิจารณ์แบบกลางๆอยู่บ้าง พวกเธอให้ข้อแนะนำหลากหลายเป็นพิเศษ 

พวกเธอรู้ว่าพวกเรานักแสดงต้องการการสนับสนุนอะไร เพราะในท้องถิ่นเป็นแหล่งสถานที่กว้างใหญ่มาก แฟนๆ หลายคนก็หาวิธีไม่ออก ต้องอาศัยความคุ้นเคยอยู่เสมอจึงกลายเป็นมิตรสหาย โอกาสเจอหน้ากันน้อยมาก เพราะฉะนั้นทุกคนเมื่อพบหน้ากันจะรู้สึกปลุกเร้าใจและเร่าร้อนใจมาก

ผมรู้สึกว่าแฟนๆหลายคนต่างก็เคยผ่านมาทาง เว็บไซด์ ของผม จึงรู้จักกับตัวผม ดูๆ คำพูดของผมบ่อยๆจึงรู้จักวิธีคิดของผม เช่นนี้ทุกคนจึงรู้จักลึกซึ้งมากขึ้น


FC : ทราบว่าคุณชอบการท่องเที่ยว สถานที่แหล่งที่คุณเคยไปแห่งไหนซึ่งคุณชอบมากที่สุด

โหย่วเผิง : ผมชอบการท่องเที่ยวมาก แต่ว่าผมก็ไม่มีเวลาไป พูดถึงเรื่องชอบก็คือประเทศอเมริกา ประเทศอังกฤษก็ไม่เลว อยู่สถานที่เหล่านี้ผมรู้สึกว่าบรรยากาศมีอิสระเสรี ไปที่ไหนก็มีแต่คนจึนทั้งนั้น บางเวลาไปท่องเที่ยวมักจะเจอนักท่องเที่ยวต่างชาติบ่อยๆ ไปอเมริกายุโรปสภาพแวดล้อมก็มีแต่อิสระเสรีทีเดียว

พิธีกร : ผมอยากทราบว่าคุณได้รับความสนใจกับทุกคนอย่างสนิทสนมมาหลายปีแล้ว นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายสักนิดเดียว ผมรู้สึกว่าคุณมีความอดทนดีเยี่ยม ไปที่ไหนทุกคนต่างก็รู้จักคุณ นี่คือเรื่องยุ่งยากมากเรื่องหนึ่ง

โหย่วเผิง : ผมมีโอกาสน้อยมากที่จะไปสถานที่สาธารณะกับแฟนๆ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเขาคือส่วนหนึ่งชีวิตของผม

FC : ตามคำพูดคุณได้ออกพิมพ์หนังสือเล่มใหม่ (ซิงซุนเตอฉางสั่ว ปี 2003) คุณสามารถแนะนำหน่อยได้ไหมเมื่อไรสามารถให้พวกเราดูบ้าง

โหย่วเผิง : ความจริงไม่ใช่หนังสือเล่มใหม่ ตอนผมอยู่ มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4- ม.6) ได้เป็นสมาชิกวงเสี่ยวหู่ตุ้ย เวลานั้นถูกกดดันมาก ผมเขียนหนังสือเล่มหนึ่งได้บันทึกการมีชีวิตตอนอยู่มัธยมศึกษาตอนปลาย(ม.4-ม.6)  ถึงการเผชิญหน้าต่อแรงกดดันอย่างไร หนังสือเล่นนี้ตั้งชื่อว่า "บอกกล่าวใจความอันยาวตอนวัยหนุ่ม" (หรือ สถานที่ของวัยรุ่น)   มีการเพิ่มเติมภาพถ่ายหลากหลาย หลังจากนั้นก็เขียนคำนำหนึ่งหน้า ที่จริงเนื้อความก็เหมือนกัน (วันเวลาของผมที่เจี้ยนจง : MY DAYS IN JIAN ZHONG)

FC : ผมหวังมาตลอดว่าคุณสามารถอยู่บนเส้นทางดนตรีมีการทำลายสถิติอีกครั้ง คุณเองมีการตัดสินใจทางด้านนี้หรือไม่

โหย่วเผิง : เป็นไปได้ครับ ระยะนี้ได้ติดสินใจจริงๆ รวบรวมผู้แต่งเพลงเฉพาะหนึ่งอัลบั้ม ผมรู้สึกเพลงรวบรวมเฉพาะก่อนช่วงหน้าสองอัลบั้มเป็นครั้งแรกบริษัทฯให้ตอนช่วงเวลาผมว่าง ผมคิดอยากทำดนตรีบริษัทจึงปล่อยให้ผมทำ เพราะฉะนั้นผมเองได้รีบเร่งนำเอาสิ่งที่ใจรักออกมาใช้ รวมทั้งโยกย้าง ทำนองเพลงเต้นอีเล็คตรอน ตอนนี้ผมรู้สึกเล่นจนเบื่อแล้ว แผ่นต่อไปอยากใช้วิธีคิดของตัวเองเข้าไปอัลบั้มเพลงบ้าง

FC : อยากทราบว่าคติพจน์ของคุณคืออะไร

โหย่วเผิง : ลิขิตสวรรค์เป็นคนดี ผมรู้สึกไม่ว่าเรื่องอะไรต้องพยายามไปแย่งชิงมา หลังจากนั้นก็ใช้สิทธิของตัวเองทำให้ดีที่สุด แต่ว่าเรื่องสมหวังผิดหวังอย่าได้เอามาใส่ใจ

FC : ผมเคยไปตีกอล์ฟพร้อมกับคุณที่เมืองเจี้ยนจง และเมืองไถต้า คุณยังจำพวกผมได้ไหม

โหย่วเผิง : พวกเราต่างก็มีอายุที่ไล่เลี่ยกัน

4064
พิธีกร : คุณมีแฟนเพลงของคุณหรือยัง ซึ่งมีโอกาสเผชิญหน้ากันตัวต่อตัว

โหย่วเผิง : ตัวต่อตัวยังไม่มี

FC : ผมชอบคุณมากที่บทละครของคุณได้แต่งตัวในละครซีรีย์เรื่ององค์หญิงกำมะลอ(หวนจูเก๋อๆ) กับนายอำเภอยผู้ไร้เทียมทาน (นายอำเภอถานเทียนเซิง) ผมอยากทราบว่าคุณยังหวังว่าตัวเองแต่งตัวบทละครที่เป็นบทอารมณ์พวกนั้นไหม

โหย่วเผิง : ที่จริงพื้นฐานของผมไม่มีการตั้งค่ากำหนดอะไร แต่ว่าผมกับนักแสดงทั้งหลายเช่นเดียวกันต้องไปสัมผัสชีวิตที่แตกต่างกัน จากด้านในผมชอบไปใกล้ชิดกับบทละครบทนั้น ผมรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่สะใจมาก ส่วนด้านหนึ่งสามารถปรากฏพบอีกด้านหนึ่งที่ไม่คุ้นเคยดั้งเดิมของคุณ อันดับที่สองแสดงบทคนอื่นซึ่งยังคงเล่นได้ดีมาก เพราะฉะนั้นผมหวังว่าการรับหนังหรือละครจะต้องเหมือนตัวผมที่มีด้านแตกต่างกลับกันบ้าง

FC : ทำไมถึงต้องไว้ผมยาวเนอ ผมรู้สึกว่าคุณไว้ผมสั้นจะเท่กว่า

โหย่วเผิง : ผมชอบไว้ผมยาวมาก ผมรู้สึกว่าคนส่วนใหญ่ชอบไว้ผมสั้น ผมรู้สึกว่าการไว้ผมยาวจะเปลี่ยนความรู้สึกที่ดีกว่า อันดับสองการไว้ผมยาวจะรู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ไว้ผมสั้นจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเป็นเด็กไม่ยอมโต ผมหวังว่าพวกเขาจะมองผมเป็นผู้ชายอายุ 30 ปี

พิธีกร :  คุณควรทราบว่ามีคนมากมายที่เหมือนผม ไม่มีวิธีที่จะให้คุณเกิดภาพที่จารึกอยู่ในสมองเป็นผู้ชายอายุ 30 ปี นี่มิใช่เป็นเรื่องเลว หากเป็นผู้หญิงย่อมดีใจจนแทบบ้า

FC : ผมคือแฟนเพลงเมืองเสิ่นหยาง ผมอยากเชิญคุณช่วยแนะนำหน่อยว่ามีแผนการมาเสิ่นหยานหรือไม่

โหย่วเผิง : พอดีมีแผนการไปเมืองเสิ่นหยาง ปลายเดือนมีนาคมที่เมืองเสิ่นหยางมีพิธีแจกรางวัลดนตรี เป็นไปได้ที่จะไปเข้าร่วม ปลายเดือนเมษายนเป็นไปได้จะมีกิจกรรมการแสดง

FC : ขอถามคุณ "เสี่ยวหุ่ยตุ้ย" ยังคงติดต่อไปมาหาสู่กันบ่อยไหม่

โหย่วเผิง : ปกติพวกเราไม่ค่อยเจอหน้ากัน มีแต่โทรคุยกัน เพื่อเข้าใจสถานการณ์ของฝ่ายตรงข้าม

FC : ฉันเพิ่มจบการศึกษาได้ทำงานด้านออกแบบเครื่องแต่งกายชายหญิง ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะมีโอกาสได้ออกแบบรูปลักษณะเพื่อคุณ คุณจะยอมไหม

โหย่วเผิง : ก่อนอื่นให้ติดผลิตภัณฑ์บางส่วนที่ เว็บไซด์ซูโหย่วเผิงของผม ผมขอดูก่อน

FC : โหย่วเผิงตัวคุณเองเห็นว่าช่วงเวลาไหนจึงจะสามารถออกจากวงการบันเทิงได้

โหย่วเผิง : จำเป็นก็ไม่ออกจากวงการทีเดียว นอกจากวันไหนทุกคนจะไม่ดูผมอีกแล้ว

FC : คุณชอบให้คนอื่นเรียกคุณว่า นักร้องชาย หรือ นักแสดงชาย ตามสายตาของคุณตำแหน่งไหนสำคัญกว่า

โหย่วเผิง : สองตำแหน่งสำคัญหมด

FC : ผมประพันธ์เพลงเพื่อคุณ ผมไม่ทราบว่าจะให้คุณได้อย่างไร ผมก็ไม่ทราบว่าคุณชอบทำนองเพลงอะไร

โหย่วเผิง : ส่งไปทางไปษณณีมายังบริษัท ที่อยู่คือบริษัท วัฒนธรรมเทียนจงปังกิ่งบ้านเลขที่ 1 ถนนอันติ้ง เขตฉาวหยาง กรุงปักกิ่ง

FC : ผมอยากจะทราบว่าแฟนเพลงได้เขียนจดหมายให้คุณ คุณเองได้อ่านดูจดหมายจริงๆใช่ไหม

โหย่วเผิง : ได้อ่าน

FC : ปกติคุณขึ้นหน้าอินเตอร์เนตหรือไม่ ใช่ QQ หรือไม่

โหย่วเผิง : ไม่ใช่ QQ แต่ว่าผมได้ไปขึ้นอยู่ที่ เว็บไซด์ส่วนตัวของผม Suyoupeng .com ของผมเกือบทุกวัน

FC : ผมอยากทราบว่าโหย่วเผิงชื่นชมนักร้องต่างประเทศมากที่สุดคือใคร

โหย่วเผิง : มาดอนนา

พิธีกร : ทำไมจึงเป็นเธอ

โหย่วเผิง : เพราะว่าเธอคือคนรักคนแรกของผม เธอคือผมที่ได้สัมผัสคนแรกที่เป็นนักร้องบนเวทีฝรั่ง ตอนนั้นชอบเธอมาก จนถึงทุกวันนี้ ผมรู้สึกว่ามาตรฐานหุ่นของเธอยิ่งสูงเด่ง ทุกครั้งเธอไม่ได้ทำให้ผมผิดหวัง บทประพันธ์ของเธอทุกครั้งดีเยี่ยม

พิธีกร : มาดอนน่า เพิ่งประพันธ์บททำนองเพลงต่อต้านสงครามหนึ่งเพลง เธอถือหลักสภาพต่อต้านสงคราม ยังงั้นคุณละ

โหย่วเผิง : ผมรู้สึกว่าสงครามคือสิ่งที่ไม่ดีใช้วิธีแก้ปัญหาอย่าง ผมรู้สึกว่านั่นคือนโยบายแย่ๆ

4065

พิธีกร : ผมทราบว่าคุณไปศึกษาต่อที่ไต้หวันเป็นวิชาเฉพาะแผนกวิทยาศาสตร์ เป็นวิชาเฉพาะแขนงใด

โหย่วเผิง : ผมเรียนวิศวกรรมเครื่องกลครับ


พิธีกร : ถ้าในอนาคตคุณมีโอกาสไปศึกษาต่อคุณจะเรียนอะไร

โหย่วเผิง : ผมจะไปเรียนการท่องเที่ยว ต้องการเรียนภาษาอังกฤษเก่งๆ ถึงจะพูดอย่างไรผมหวังว่าตัวเองก็ยังเป็นบุคคลหนึ่งที่อยู่ในวงการบันเทิง

พิธีกร : เป็นไปได้ เพียงแต่ปัญหาของคุณตามมาได้หรือไม่ ที่เป็นปัญหาก็คือจะเป็นผู้นำทุกคนได้อย่างไร

FC : ผมเป็นแฟนเพลงเมืองนานกิง(หนานจิง) ที่นี่ได้ฉายหนังของคุณที่แสดงเรื่องกระบี่อิงฟ้าดาบมังกรหยก(อี่เทียนถูหลงจี้) หรือมังกรหยกภาค 2 พวกเรารู้สึกว่าคุณแสดงใช้ได้ แล้วคุณว่าตัวคุณเองแสดงอย่างไรบ้าง

ซูโหย่วเผิง : แน่ละต้องยอมรับว่ามีส่วนการแสดงไม่ดีบ้าง อีกทั้งถ่ายเรื่องหนังที่มีชื่อเสียงนี้ทุกคนต่างโดนกดดันมากเป็นพิเศษ ส่วนฝ่ายนักลงทุนของเราก็ไม่ยอมสละทุนทรัพย์มาก หวังว่าสามารถได้รับคำยกย่อง ยอมรับ และทุกๆคนสามารถให้อภัยที่ขาดตกบกพร่องแก่พวกเราได้ ให้ดูจุดเด่นของพวกเราด้วย

FC : ผมเข้ามาในห้องนั่งคุยไม่ได้ ผมอยากทราบว่าในที่สุดคุณมาแล้วหรือยัง

โหย่วเผิง : ผมกำลังมาแล้ว

พิธีกร : คุณซูกาวทราบว่าโหย่วเผิงได้มาที่นี่ เขาแจ้งให้พวกเราทราบก่อนล่วงหน้าแล้ว นี่มันเป็นเครื่องบริการที่ทำให้พวกเราได้รับการกระแทกอย่างแรง

โหย่วเผิง : แฟนๆสามารถไปดูเว็บไซด์ส่วนตัวของผมได้ ที่อยู่ su you peng. com

FC : ผมกับคุณถึงแม้อายุจะห่างกันมาก แต่ว่าพวกเราได้ยินเพลงของวงเสี่ยวหุ่ยตุ่ยจนเติบใหญ่ ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมวงเสี่ยวหุ่ยตุ่ยจึงได้แยกวง ผมขอตั้งความหวังว่าพวกคุณจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง

โหย่วเผิง : วงเสี่ยวหุ่ยตุ่ยไม่ได้แยกวงอย่างเป็นทางการ เริ่มแรกเพราะ "จื้อเผิง" ไปเกณฑ์ทหาร พวกเราจึงรวบรวมเฉพาะคนเดียวบินเดี่ยว เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้แยกวงอย่างเป็นทางการ แต่พวกเราก็ยังไปมาหาสู่กันอยู่ อย่าห่วงมากไปเลยครับ

พิธีกร : ขณะนั้นพวกคุณทั้งสามคนกำลังโด่งดัง "จื้อเผิง" ก็ไปเกณฑ์ทหารแล้ว หลังจากสองปีต่อมาเกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้น ธุรกิจของ "ฉีหลง" นับวันมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น "จื้อผิง" รู้สึกย่ำแย่ลงบ้าง คุณรู้สึกนี่คือเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารของเขาใช่หรือไม่

โหย่วเผิง : อันนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ภายหลัง "ฉีหลง" ก็ถูกไปเกณฑ์ทหาร ระหว่างการเกณฑ์ทหารสองปีของเขานั้น พูดขึ้นมาแล้ววงการแสดงมีท่าทีต่อการทำงานของพวกเรายังรู้สึกให้อภัยอยู่บ้าง หากหยุดกลางคันต้องมีการกระทบกระเทือนอย่างแน่นอน

พิธกร : ผมได้ยินนักแสดงหญิงหลายคนชมว่าคุณช่างมีเสน่ห์ชวนให้คนหลงไหลบ่อยๆ

FC : โหย่วเผิงช่างดีอกดีใจกับคุณเป็นแขกค้นหาอินเตอร์เนตตามลำพัง ฉันอยากทราบว่าธุรกิจของคุณมีช่วงเวลาตกต่ำหรือไม่ ณ เวลานั้นคุณจะผ่านพ้นชีวิตได้อย่างไร

โหย่วเผิง : มี ตกต่ำมากที่สุดก็คือหลังจากจบการศึกษามหาวิทยาลัยปีที่ 3 เนื่องจากสิ่งที่เรียนมาไม่ใช่ตัวเองชอบ เวลานั้นคิดว่าอยากเปลี่ยนแขนงวิชาอื่นก็ไม่สำเร็จ และคิดอยากไปจากโรงเรียนอย่างเดียว ไม่คิดอยากเป็นบุคคลที่คาดหวังของทุกคุน หลังจากนั้นผมจึงตัดสินใจหยุดเรียน อย่าทำอย่างนี้อีก ไม่มีวิธีอื่นทำได้แล้ว เวลานั้นก็เริ่มลองไปเป็นนักแสดง ผมรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นคือธุรกิจตกต่ำที่สุดของผม เพิ่งออกจากโรงเรียนมาก็ไม่มีอะไรเก่งสักอย่าง เป็นเหมือนหุ่นเชิดผมรู้สึกว่าไม่มีอารมณ์ที่สดใส เพราะฉะนั้นในเวลานั้นมีความลังเลใจต่ออนาคต

พิธีกร : ล่าสุดทำไมจึงผ่านพ้นไปได้

โหย่วเผิง : ผมรู้สึกว่ายังโชคดีหน่อย หนังเรื่องแรกก็เจอหนังเรื่ององค์หญิงกำมะลอ อีกอย่างตัวเองยังต้องขยันขันแข็งมากๆ ดูวิธีการแสดงของนักแสดงผู้อาวุโสหลังจากนั้นตัวเองก็ฝึกหัดตาม

FC : คุณมีวิธีใดมองดูเรื่องการแต่งกายเครื่องแบบทหารของ "จ้าวเว่ย" นี่คือสาเหตุการห่างเหินระหว่างพวกคุณใช่หรือไม่

โหย่วเผิง : ผมรู้สึกว่าคนเราก็ต้องมีเวลาเลือเล่อบ้าง ผมรู้สึกว่าขอเพียงรู้ว่าผิดก็สามารถแก้ไขได้ ทุกคนจำต้องมีการให้โอกาสของแต่ละคน

FC : อาศัยที่ผมทราบมา โหย่วเผิง ได้เป็นโสดมา 15 ปีแล้ว แต่ว่าก็ยังคงเป็นหนุ่มโสดอยู่ คุณมีเคล็ดลับอะไรสามารถรักษาพลังวัยหนุ่มโสดไว้ได้

โหย่วเผิง : ผมไม่รู้สึกผมหนุ่มเป็นพิเศษ ไม่ว่าสภาพจิตใจหรือวิธีคิดก็ตาม แต่ว่าเป็นไปได้ผมดูจริงๆแล้วภาพที่จารึกอยู่ในสมองที่มีอายุน้อยกว่าหลายปีก่อนสร้างขึ้นมา ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนไม่มีอะไรที่น่ากลุ้มใจ ไม่ใช่เพราะเหตุเรื่องอะไรผมจึงผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น เพราะว่าเรื่องอะไรผมมองโลกในแง่ดี เมื่อนอนหลับทุกสิ่งทุกอย่างก็ลืมหมดแล้ว  เรื่องไหนปล่อยวางก็ต้องปล่อยวาง ผมรู้สึกว่าชีวิตบางครั้งอย่าไปยึดติดมากเกินไป หรือถือสาบางเรื่อง

FC : ตอนคุณอายุ 20 ปีผมได้บอกกับตัวเองว่าหลังจากผมโตขึ้นจะไปหาคุณ ถึงเวลานั้นไว่คุณจะชราลงหรือไม่ หรือยังโด่งดังอยู่ ผมอยากทราบว่าคนที่ผมชื่นชมอยู่นั้นจะเป็นบุคคลลักษณะอย่างไร หากผมไปหาคุณ คุณจะพบผมไหม

โหย่วเผิง : แน่นอนสามารถพบได้ครับ

4066
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "มีนัดกับผู้มีชื่อเสียง" 27 กุมภาพันธ์ 2003



พิธีกร : สวัสดีตอนเย็นแฟนอินเตอร์เนตทุกท่าน ยินดีต้อนรับการตรงต่อเวลาของผู้ชมเข้าร่วม "มีนัดกับผู้มีชื่อเสียง"  กับทางรายการแพร่สื่ออินเตอร์เน็ต คืนนี้แขกผู้มีเกียรติท่านหนึ่งเป็นบุคคลที่มีเชื่อเสียงมาก ชื่อของเขาคือ "ซูโหย่วเผิง" ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขา ขณะนี้เขาได้นั่งอยู่ข้างๆตัวผม และได้สร้างสิ่งอัศจรรย์ค้นหาตัวคนเดียวทางอินเตอร์แล้ว การสัมภาษณ์ยังไม่ทันเริ่มต้น นำเอากลิ่นไอยอดมนุษย์ที่ทำให้เครื่องบริการเผชิญหน้ากับการทดสอบอันยิ่งใหญ่แก่พวกเรา ก่อนอื่นขอเชิญ ซูโหย่วเผิง แนะนำตัวกับการมากรุงปักกิ่งครั้งนี้เพื่ออะไร

โหย่วเผิง : ครั้งนี้คือเพื่อมาโปรโมทอัลบั้ม Best Love 1992-2002 รวบรวมคัดเลือกเพลงที่ดีที่สุดของเพลง ในอัลบั้มว่า "จุ้ยอ้าย-รักที่สุด"

พิธีกร : อัลบั้มชุดใหม่นี้มีอะไรเป็นจุดพิเศษใหม

โหย่วเผิง : นี่คืออัลบั้มรวบรวมคัดเลือกดีเลิศ อัลบั้มอยู่ที่ไต้หวันมีเพลงใหม่ 2 เพลง  When the Snow Comes (disc1) กับเพลง Prisoner of Love (disc2) เพลงนี้เรียกว่าความรักอันบริสุทธิ์เป็นแผ่นอวยพร หลังจากนั้นเว็บไซด์ส่วนตัวผมมีแฟนๆทางอินเตอร์เน็ตหลายคนรู้เรื่องนี้เข้าในเวลาต่อมา ก็วิ่งไปที่ศูนย์คังฝู (คืนสู่สุขภาพ) เพื่อไปช่วยแรงกายและบริจาคเงินด้วย ครั้งนี้พวกเราได้ร้องแผ่นเสียงอวยพรที่ทำการร้องใหม่อีกครั้ง เก็บรวมแผ่นเสียงนี้รวบรวมเป็นพิเศษ สภาพภาษีแผ่นเสียงส่วนบุคคลแผ่นนี้ทั้งหมดได้ถูกแพร่ออกไป และเป็นเป้าหมายหลักอันสำคัญในการรวบรวมพิเศษของอัลบั้มเพื่อทำการกุศลสาธารณะประโยชน์ต่อเรื่องหนึ่ง

พิธีกร : มีหลายๆคนต่างก็ไม่ทราบว่า โหย่วเผิง เคยถูกทางองค์กรอุตสาหกรรมหัตถกรรมเขตฉาวหยางกรุงปักกิ่งให้ไปทำธุรกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ รบกวนโหย่วเผิงบอกรายละเอียดต่อทางผู้ชมด้วย

โหย่วเผิง : ผมเคยพูดกับทางบริษัทมาตลอด ผมพูดว่าถ้ามีโอกาสสามารถทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ผมจะเข้าร่วมทำอย่างเต็มที่ ผมยังคงรู้สึกว่าคนส่วนใหญ่ยังเอาใจใส่ห่วงใยผมมาก หวังว่ามีโอกาสสามารถตอบแทนคืนแก่สังคมเล็กน้อยนี้ได้ เวลานั้นไม่มีใครคาดคิดมาก่อนและหวนคิดถึงอันใหญ่หลวงนี้ หลังจากนั้นก็หาเงินได้ถึงสี่หมื่นกว่าหยวน ช่วงเวลาอันสั้นๆนี้ ได้แจ้งผ่านทางเว็บไซด์ของผมแจ้งข่าวเล็กน้อยแก่ทุกคน ดูเหมือนทุกคนยังคงมีใจต่อการกุศลเป็นอย่างยิ่ง

พิธีกร : พวกเราจำเป็นต้องขอขอบคุณโหย่วเผิงที่ทำกิจกรรมการกุศลครั้งนี้ด้วย

โหย่วเผิง : นี่ไม่ใช่ตัวผมทำคนเดียวนะครับ มีอีกหลายๆคนช่วยๆกันทำครับ

แฟนอินเตอร์เนต : ทราบว่าคุณป่วยไม่สบายผมรู้สึกกระวนกระวายใจมาก ผมคิดอยากจะส่งยาให้คุณทานครับ แล้วคุณป่วยจริงใช่ไหมครับ

โหย่วเผิง : ผมเป็นตั้งหลายโรค ผมเป็นทั้งไข้หวัดตั้งแต่ตรุษจีนจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่หายดีขึ้น หลายวันก่อนไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้เกิดกระเพาะลำไส้อักเสบ ไม่มีเรี่ยวแรง ตั้งหลายวันแล้วก็ไม่ได้รับประทานอาหารลงท้อง แต่ว่าได้ไปหาหมอจีนแล้ว ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงมาก เปลี่ยนแง่อีกมุมหนึ่ง กล่าวลักษณะเช่นนี้เปรียบเหมือนลดความอ้วน (หัวเราะ)

FC : ผมเห็นว่าคุณเป็นบุคคลที่เท่ห์สง่าคนหนึ่ง และเป็นนักแสดงที่เด่นสง่างามคนหนึ่งด้วย ผมเคยเห็นในหนังละครของคุณในลักษณะท่าทางโกรธ ผมอยากจะทราบว่าการดำรงชีวิตปกติของคุณมีโกรธบ้างไหม แล้วเวลาโกรธจะมีลักษณะแบบไหน

โหย่วเผิง : อย่ามองผมในขณะโมโหนะครับ ผมโมโหหน้าตาน่าเกลียดมากๆ เวลาผมนอนหลับไม่พออารมณ์ก็แปรปรวนได้ง่าย

FC : อยากทราบว่าโหย่วเผิงชอบนักแสดงหญิงประเภทไหน ตอนนี้อยู่ในวงการบันเทิงมีหญิงสาวคนไหนที่คุณชื่นชมาก

โหย่วเผิง : มาตรฐานการเลือกคู่ครองของผมรู้สึกโบราณนิดๆ ขอให้พูดจานุ่มนวลเอาอกเอาใจหน่อยๆ แต่ว่าเธอต้องมีความคิดของตัวเองบ้าง คนในวงการบันเทิงมีแต่ไม่ยอมใครทั้งนั้น เมื่อได้พูดคำเหล่านี้ออกมาแล้วทุกคนต่างก็รู้สึกว่าผมเป็นคนชอบออกลายมาก อย่าให้ผมพูดต่อไปอีกเลยครับ

FC : คุณมีความประทับใจต่อเจ้าเหว่ยดีเป็นพิเศษใช่หรือไม่

โหย่วเผิง : ผมรุ้จักเจ้าเหว่ยมานานแล้ว จะพูดว่าอย่างไรพวกเราก็มีความรู้สึกชอบพอรักใคร่กันอยู่ส่วนหนึ่ง(รักชอบคล้ายพี่น้อง)  แต่ว่าผมกับเธอไม่เคยเจอหน้ากันมานานหลายปีแล้ว

FC : แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเป็นโหย่วเผิงจริงๆ ในชีวิตของผมคุ้นเคยกับช่วงเวลาเจ็ดโมงเช้าในแต่ละวันของคุณ ไม่มีอะไรดีเลิศเท่าคุณแล้ว คุณทราบบ้างไหน ไม่ว่าอะไรก็ตามผมเชื่อว่าเส้นทางวัยหนุ่มที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามา จะสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ มีทั้งหัวเราะและน้ำตา แต่ว่าคุณแล้วเป็นสิ่งที่ดีเลิศที่สุด

โหย่วเผิง : ดีแล้ว

FC : โหย่วเผิงฉันกับคุณอายุไล่เลี่ยกัน สมัยฉันเรียนหนังสือ วงเสี่ยวหุ่ยตุ้ยของพวกคุณกำลังโด่งดังมาก เวลานั้นฉันชอบคุณมาก เดี๋ยวนี้ฉันได้เป็นแม่คนแล้ว คุณก็ยังคงเป็นหนุ่มโสดอยู่เลย เมื่อกล่าวถึงทางนี้แล้วคุณมีการวางแผนอะไรบ้างไหม

โหย่วเผิง : ไม่มีการวางแผนอะไรเลย ผมรู้สึกว่าคนวงการนักแสดงทั่วไปต่างก็มีการแต่งงานล่าช้ากันทุกคน ผมหวังว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ขอทำธุรกิจให้มากๆก่อน

พิธีกร : คุณได้เก็บเงินเยอะแล้วจะทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร

โหย่วเผิง : สามารถทำได้หลายเรื่องเช่นเรียนหนังสือต่อ ทำการท่องเที่ยว

4067

2 พฤศจิกายน 2009  โหย่วเผิงได้เข้าสู่ ภาคเหนือ ได้เปลี่ยนไปดังหน้ามือเป็นหลังมือต่อหน้าผู้ชม

เสื้อแจ๊คเก็ทสีเทา แว่นตาสีดำ ใต้คางไว้หนวดนิดๆ คืนนี้สามทุ่มโหย่วเผิงได้เสร็จสิ้นจากหน้าที่การงาน อ่อนเพลียเล็กน้อย เขาที่นั่งต่อหน้านักข่าวนั้นไม่มีภาพของไกวๆหู่หลงเหลืออยู่เลยสักนิดเดียว

โหย่วเผิงไม่อยากเป็นขวัญใจอีกต่อไป

เขาเกลียดการอนุรักษ์อย่างเดิม เขาไม่อยากจะเป็นขวัญใจอีกต่อไป เขาเลยใช้ถ้อยคำแห่งการตัดสินใจมาประกาศถึงแจตนารมณ์ในการจะทะลุทะลวงภาพลักษณ์เก่าของตัวเอง

หลังจากสองปีที่ได้เงียบไป ไกวๆหู่นั้นได้พลิกบุคลิกตัวเอง รับเล่นไป๋เสี่ยวเหนียนซึ่งเป็นนักร้องละครเพลงในเรื่องเฟิงเซิง หลังจากที่ผู้กำกับหม่าได้ดูเรื่องนี้จบแล้วบอกว่า “ผมยังคิดว่าเขานั้นแสดงเป็นแต่บทผู้ดีๆเท่านั้น ในเรื่องเฟิงเซิงนั้นเขาเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลย”

สำหรับโหย่วเผิงแล้ว การเล่นบทของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นสิ่งที่ยากที่สุดคือบุคลิก วันแรกที่เปิดกล้อง โหย่วเผิงรู้ดีว่าประสบการร์การแสดงในสิบปีที่ผ่านมานั้น มันไม่ได้ช่วยในเรื่องนี้สักนิดเดียว

ตอนที่ได้รับเนื้อบทของเฟิงเซิง โหย่วเผิงรู้ว่าโอกาสมาแล้ว แต่จะแสดงได้ดีขนาดไหนนั้น ตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจ “บทไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทาย ขอเพียงแสดงได้ดี จะกลัวทำไมมือใหม่โอกาสที่จะดังชั่วคำคืนนั้นก็มี โอกาสอย่างนี้นั้นไม่มีใครจะมีเหตุผลปล่อยมันหลุดไป ไม่สำเร็จก็ไม่อาย แต่ถ้ากลัวซิถึงจะต้องอาย”

การแสดงเฟิงเซิงแน่นอนเป็นการพนันกัน การที่ได้แสดงกับมืออาชีพอย่าง (โจวซิ่น) (จางหันอี๋) (หวังจื้อเหวิน) นั้นก็จะทำให้เห็นถึงฝีมือการแสดงว่าเป็นอย่างไรได้ชัดเจน หากแสดงได้ดีก็มีแววต่อ หากแสดงไม่ดีก็คงต้องดับ”

โหย่วเผิงกล่าว  การจะเล่นบทไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นยากตรงบุคลิก “ภาพยนตร์นั้นเป็นการเล่นศิลปะที่สูงมาก ผมเองก็ไม่ได้เป็นนักร้องละครเพลงมาก่อน การที่จะมีบุคลิกในสายเลือดสะท้อนออกมานั้นมันยากจริงๆ”

เริ่มจากการแต่งตัว โหย่วเผิงเองก็รู้สึกถึงการไม่พร้อม จริงๆแล้วตอนเริ่มถ่ายทำนั่นตัวเองเล่นได้ไม่ดีเลย “วันแรกที่ถ่ายทำคือตอนที่พวกเราถูกขังในจวน ไป๋เสี่ยวเหนียนฟังเพลงอยู่ในห้อง หวนคิดถึงอดีตที่ร้องเพลง ตอนนั้นผมนั้นมือไม้สั่นไปหมด ต้องจำเนื้อ ต้องปรับเสียงการร้อง ต้องท้องบท ยังจะต้องทำท่า ไม่ว่าจะถ่ายอย่างไร มันออกมาไม่เหมือนเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าขาดเกินตรงไหนบ้าง” ความทุกข์ทรมานในช่วงนั้น ทำให้เขาฝังใจ “ผมรู้สึกว่าตอนนั้นตัวเองน่าสงสารมาก ประสบการณ์แสดงสิบปีของผมนั้นไม่สามารถช่วยอะไรผมได้เลย อะไรก็ทำไม่ถูก”

สภาพอารมณ์อย่างนี้มีไปถึงเที่ยงวันที่สอง หลังกินข้าวเที่ยงแล้ว ภายใต้ความกดดัน โหย่วเผิงได้เอาสิ่งที่ควรจำทั้งหมดจำไว้ สิ่งที่ควรลืมทั้งหมดให้ลืมมันไป หลังจากที่เสร็จสิ้นการถ่ายฉากกระเทยรอบแรกผ่านไป ในที่สุดโหย่วเผิงก็สัมผัสถึงอารมณ์ของไป๋เสี่ยวเหนียน

ละทิ้งภาพลักษณ์ การแสดงบทของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นทำให้โหย่วเผิงยิ่งแสดงยิ่งมั่นใจ ไม่ว่าจะยกไม้ยกมือบุคลิกนั้นเหมือนนักร้องละครเพลงมากๆ ฉากที่ถูกขังที่จวน ตอนที่ขึ้นบันไดนั้น โหย่วเผิงที่เดินขึ้นคนแรกนั้นก็โดนทีมงานแซว “พวกเขาบอกว่า ไป๋เสี่ยวเหนียนนี่เวลาเดินเหมือนกระเทยจริงๆ” ตอนนั้นโหย่วเผิงก็รีบที่จะตอบกลับไปเลย “เป็นอย่างนั้นเพราะเสื้อเอี้ยมที่สวมนั้นทำให้เห็นเอว อย่าคิดว่าผมเป็นคนอย่างนั้นสิ”
 
เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ทุกคนก็จะใช้ชื่อในเรื่องเรียกกัน และฉายาของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นจะเป็นคำที่ว่า “ไม่เชื่อว่าคุณจะแมนได้” คำนี้แทนการเรียกเขา ตอนหลังมีคนก็ล้อเขาเล่นว่าเขานั้นเป็นกระเทยไปแล้ว เขาก็รีบตอบกลับเลยว่า “ทุกคนก็ล้วนเป็นนักแสดง ก็รู้ดีว่าการจะแสดงให้ดีนั้นต้องอิงกับบท ฉะนั้นพวกเรามักจะใช้ไป๋เสี่ยวเหนียนมาล้อเล่นกัน”



ในจอถ่ายแค่นาที ตอนซ้อมนั้นเกือบสิบปี โหย่วเผิงกล่าว ช่วงเวลาที่เรียนร้องละครเพลงนั้น ขวัญผวามาก

ไป๋เสี่ยวเหนียนเป็นนักร้องละครเพลง สำหรับโหย่วเผิงที่ไม่เคยร้องละครเพลงเลยนั้น หลายอย่างก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ “ตอนนั้นอีกสามเดือนก็จะเปิดกล้อง ผมยังถ่ายทำเรื่อง(ตามหาพี่หลิวซัน) ก็รีบเชิญอาจารย์สอนร้องละครเพลงจากโรงเรียนปักกิ่งมา ก็จะซ้อมขณะที่ว่างจากการเข้าฉาก นอกจากนี้ โหย่วเผิงก็ยังเสริมเทคนิคโดยการดูภาพยนตร์เรื่องที่มีความเกี่ยวข้อง ก็ค่อยๆที่จะเข้าใจบุคลิกของคนร้องละครเพลงในสมัยนั้น” เวลาผ่านไป โหย่วเผิงรู้สึกถึงความงามของละครเพลง “สิ่งที่บรรพบุรุษสืบทอดมานั้นเป็นศิลปะที่ดีงามจริงๆ หากที่ไหนมีการแสดงพวกนี้ ผมก็จะไปชม ไม่แต่ การที่ผมไปเรียนมันก็เป็นคนละเรื่องกัน”

“การเรียนละครเพลงนั้น การร้องยากกว่าหรือว่าท่าทางสายตายากกว่า”


“อย่างน้อยก็มีพื้นฐานการร้องเพลงมา ฉะนั้นการร้องนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ง่ายกว่า” โหย่วเผิงกล่าวต่อว่า “สำหรับท่าทาง สายตา มันทำให้เราแทบจะตายเลย ช่วงที่เรียนนั้นสามารถมาคำว่า ขวัญผวา คำนี้มาเปรียบเทียบเลย ปกติแล้ว หากช่วงไหนที่ผมไม่ได้เข้าฉาก ผมก็จะไปเรียนกับอาจารย์ที่ปักกิ่งเลย ทุกวันไปถึงห้องเรียนก็เริ่มซ้อมพื้นฐาน ร่ำ ร้องนั้นทำให้เอวแข็งทื่อ ทุกครั้งที่ซ้อมเสร็จ เอวแทบจะงอไม่ได้เลย”
 
โหย่วเผิงกล่าวว่า การอิงไปกับสถานการณ์นั้นเป็นเคล็บลับที่สำคัญ “อาจารย์ทำท่าไปด้วย แล้วยังเล่าให้ผมจิตนาการณ์ไปด้วย “คุณดูซิ มันสวยงามมากๆ ธรรมชาติงามหิมะตก” หากวันไหนอารมณ์ผมไม่ดี ก็ไม่สามารถที่จะอิงกับบทได้ มันมีข้อบังคับอะไรมากมาย มือต้องอยู่ตรงนี้ จะอยู่ที่นั่นไม่ได้”

“เพราะว่าทุกวันไม่สามารถมีอารมณ์แบบอ่อนโยนอย่างนั้นได้ ฉะนั้นทุกครั้งที่เข้าห้อง หรือว่าทุกครั้งที่จะเข้าฉาก ผมก็ต้องใช้เวลาทำใจให้อิงในอารมณ์ ปกติเวลาถ่ายทำนั้น ก็เหมือนกับเป็นวิญญาณอย่างนั้นลอยไปลอยมา เหมือนกับไป๋เสี่ยวเหนียน มีท่าทางอย่างนี้จนติดนิสัย”

สำหรับเรื่องฝีมือการแสดงจากมือใหม่ที่ไม่เคยมีความมั่นใจ แต่ได้รับรางวัลนั้นเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจมาก แต่ที่เสียดายคือ โหย่วเผิงกลายเป็นเพรชที่ถูกลืมใน (รางวัลจิงหม่า/Golden Horse Awards)
 
หลังจากที่เรื่ององค์หญิงกำมะลอแล้ว โหย่วเผิงเล่นเป็นพระเอกในหลายๆเรื่อง จาก ฮัวบ่อข่วยในเรื่อง (เดชเซียวฮื่อยี้)  เตียบ่อกี้ในเรื่อง(ดาบมังกรหยก) จนถึง ลู่เอินฉี่ในเรื่อง(รักข้ามขอบฟ้า) โหย่วเผิงไม่เคยที่จะหลุดพ้นจากบทที่เป็นผู้ดีเลย  “ผมไม่มีความอดทนในการรอคอยที่จะอยู่ในที่เดิม ก่อนหน้านี้เพราะเหมือนเป็นคนดีมาก ทำให้ทุกคนเข้าใจผมผิด จนถึงวันนี้ไป๋เสี่ยวเหนียนประสบความสำเร็จแล้ว ถึงทำให้ทุกคนรู้จริงๆว่า แท้จริงโหย่วเผิงนั้นดื้อเหมือนกัน”



ปีที่แล้วโหย่วเผิงได้เล่นเรื่องหนึ่งคือ (เย้ออ้าย)  ในเรื่องนั้นเขารับบทเป็นผู้ป่วยทางจิตคนหนึ่ง “ผมอยากจะลองเล่นบทที่ตรงข้ามกันบ้าง”

ไม่ว่าจะเป็นคนป่วยทางจิต หรือจะเป็นนักร้องละครเพลงที่เปรี้ยวๆ สำหรับโหย่วเผิงนั้นการเลือกบทนั้นก็ใส่ใจเหมือนกัน “หากว่าไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ชมไม่ยอมรับ ผมก็ต้องตัดสินใจโบกมือลา”


“จะไม่หันกลับไปเล่นบทผู้ดีอีกหรือ?”

“ไม่แล้ว หากไม่อย่างนั้นผมคงไม่หยุดรอโอกาสหรอก” โหย่วเผิงตอบได้เร็วมาก และหนักแน่นด้วย
 
สองสามวันก่อน จิงหม่า (Golden Horse Awards) ได้ประกาศรายชื่อผู้จะรับรางวัล โหย่วเผิงที่อยู่อันดับห้ากลายเป็นผู้ถูกลืม เมื่อเอ่ยเรื่องนี้ เหมือนโหย่วเผิงจะตกหล่น “เดิมทีผมไม่กล้าคิดที่จะรับรางวัล แต่ว่าในรายชื่อที่จะประกาศนั้น จริงๆแล้วตอนนั้นผมไม่มีไรทำ ก็เข้าไปเล่นเน็ต ไปดูว่าเขาวิจารณ์บทไป๋เสี่ยวเหนียนอย่างไรบ้าง ตอนหลังผมมาคิด พรุ่งนี้ประกาศรายชื่อคงมีอะไรที่น่าตื่นเต้น ฉะนั้นตอนที่ประกาศรายชื่อนั้น ก็เหมือนกับว่าผมตกหล่น”

หลังจากเฟิงเซิงแล้ว เดิมทีเหมือนกับว่าโหย่วเผิงได้เบิกเส้นทางใหม่ แต่ตอนหลังกลับได้รับบทที่จะให้เล่นนั้นก็ยังเป็นบทผู้ดีอยู่ดี “มีผู้เขียนบทหลายคนบอกว่าผมเป็นคนที่ออกร่าเริง” สำหรับเรื่องต่อไปจะเล่นบทอะไรนั้น โหย่วเผิงกล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไร เฟิงเซิงได้ให้โอกาสกับผม นี่เป็นจุดเริ่มต้นด้านภาพยนตร์ของผม เรื่องต่อไปที่จะเล่นนั้นมีความสำคัญกับผมมาก เมื่อเล่นเรื่องเฟิงเซิงแล้วผมไม่อยากจะกลับไปรับบทผู้ดีอีกจริงๆ”


ฉายาที่ว่า เร่ร่อนที่ปักกิ่งนั้น โหย่วเผิงได้ซื้อบ้านที่นั่น หากว่างๆเขาก็จะไปเดินโต๋แต๋ที่ปักกิ่ง
 
หลังจากที่เซ็นสัญญากับค่ายหัวอี้ โหย่วเผิงได้ซื้อบ้านที่ปักกิ่ง ให้ฉายาตัวเองว่าเร่ร่อนที่ปักกิ่ง ไม่มีไรทำก็ไปเดินเที่ยวที่นั่น ส่วนมากแล้วเขาจะใช้เวลาในการเข้าฟิตเนส หากว่าเวลาว่างเยอะกว่านี้แล้ว โหย่วเผิงก็จะกลับไต้หวัน หาญาติพบมิตร หรือไปชิมอาหารที่อร่อย หรือว่าไปเฝ้าหน้าจอดูกีฬาเทนนิส “ผมคิดว่าโรเจอร์นั้นเป็นนักกีฬาที่เจ๋งมากๆ เขาเล่นได้อย่างสม่ำเสมอที่เดียว”

โหย่วเผิงได้คลุกคลีกับวงการบันเทิงมานับ 21 ปีแล้ว “ผมบ่นตลอดว่าจะไม่เป็นคนบ้างาน แต่ว่าเผลอทีไร ความคิดที่เพรอเฟรกก็เข้ามาทันที ขอเพียงมีงานก็จะทำเต็มที่ อย่างอื่นนั้นจะไม่สน”

ก่อนหน้านี้ (หลินจื้ออิง) ที่อายุไล่เลี่ยกับโหย่วเผิงได้โชว์รูปถ่ายของลูกชายตนเอง อายุ 36 อย่างโหย่วเผิงไม่คิดจะแต่งงานมีลูกเลยหรือ “ผมคิดว่าวาสนาการแต่งงานผมนั้นยังมาไม่ถึง ยังไม่เจอคนที่เหมาะสม การจะพูดเรื่องแต่งงานมีลูกก็ยิ่งแล้วใหญ่แล้ว หากว่าวันนั้นมาถึงจริงๆ ผมคงต้องลางานแสดงหลายปี ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”



4068

5 พฤศจิกายน 2009  (จางอี๋เถีย) ชายชาตรีแต่มีจิตอ่อนโยน (โหย่วเผิง) เป็นกระเทยแต่แข็งกระด้าง

(โหย่วเผิง) โด่งดังแต่อายุ 15  แต่ (จางหันอี๋) นั้นต้องรอจนถึง 20 ปีถึงค่อยดัง ไม่ว่าจะดังช้าหรือเร็ว ทำอย่างไรถึงสามารถปรับตัวอยู่ในแวดวงสีเสียงที่ล่อใจได้ นั่นถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญของเหล่าศิลปิน

ขณะที่ได้อ่านข่าวภาพยนตร์เฟิงเซิงที่สร้างรายได้กว่าเก้าพันล้านนั้น ดาราไต้หวันคงจะไม่ค่อยรู้จัก  (จางหันอี๋) ที่ได้รับรางวัล (หยิ่งตี้:SUPERSTAR) ในปีที่แล้วนั้น บทบาทนั้นเป็นชายชาตรีที่ถูกทรมานแบบชายธรรมดาสามคนก็ยังทนไม่ไหว (ไกวๆหู่) ที่เราคุ้นเคยนั้น เล่นในบทที่อยู่ในบ้าน

แต่ว่าชีวิตจริงเราไม่เหมือนละคร  จะแสดงก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ (จางหันอี๋) ที่ดูแล้วเหมือนกับเข้มแข็งชาตรี แต่ในชีวิตจริงนั้นเป็นคนที่ตลกขำขัน ไม่เพียงแต่กลัวคนอื่นร้องไห้ยังหูเบาอีกด้วย (โหย่วเผิง) ในจอภาพยยนตร์นั้น เมื่อเจอกล้องแล้วจะแข็งกระทื่อ ร้อยต่อร้อยจะมีความคิดของตัวเอง ไม่ยอมทำตามสิ่งที่ช่างภาพบอก คนหนึ่งเป็นชายชาตรีคนหนึ่งเป็นชายอ่อนสุภาพ โหย่วเผิงดูเหมือนอ่อนโยนแต่ข้างในแข็ง

อดีตเคยได้รับฉายาไกวๆหู่ แต่โหย่วเผิงบอกว่าตัวเองเป็นเด็กดื้อมาตลดอดเวลา เวลานี้ทางเสี่ยวหู่ตุ้ยจะรวมตัวอีกครั้ง กลัวแต่แป็นเพียงข่าวลอยเท่านั้น 

เห็นบุคลิกที่เป็นเหมือนกระเทย สามารถบอกได้ว่าในวงการภาพยนตร์นั้นเป็นสิ่งที่ยากสำหรับ (โหย่วเผิง)  เมื่อเจอนอกจอไปถามว่าเขามีจิตใจที่เป็นอย่างนี้หรือเปล่า (โหย่วเผิง) เลี่ยงตอบอย่างชัดเจน แม้กระทั่งมีจิตใจเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าแค่ประโยคนี้ก็ไม่ยอมพูดแล้ว จะบอกว่า (โหย่วเผิง) นั้นป่วยทางจิตไม่ได้ บอกได้เพียงว่าเขานั้นทำได้อย่างเนียน ไม่ว่าจะเป็นการอิงกับในบทหรือว่าได้อารมณ์ มีเพียงผู้ชมเท่านั้นถึงสามารถตอบได้


โหย่วเผิง ::  บทที่ผมเล่นนั้นไม่มีตัวอย่างของใครที่จะให้เป็นไกด์ลายแสดง แน่นอนเรื่อง (ป้าหวังเปี๋ยจี้) หรือ (เหมยหลันฟาง)เรื่องเหล่านี้ก็เคยดู แต่เรื่องเหมยหลันฟางภาคไต้หวันนั้นใช้คนละคนแสดง แน่นอนคงไม่เหมือนกับที่ (ก๋อหยงเหยียน) แสดง แต่บทที่ผมเล่นนั้นจะสง่าและมีคุณธรรมสูง คนรักและหยิ่ง ไม่ว่าจะในเวทีหรือนอกเวที จะมีบุคลิกที่เป็นหญิงหน่อย 

ไม่ได้ตั้งใจเลียนแบบใคร แต่ว่าผมรู้สึกว่ารอบข้างก็จะมีแบบว่า (หัวอกเดียวกัน) จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าคุณไม่รู้ความหมายนั้น ผมอยากจะเน้นว่าผมไม่ใช่คนอย่างนั้น หากว่าด้วยบทที่แสดงมันเหมือนกับว่าผมเป็นคนหัวอกเดียวกันแล้ว แสดงว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จแล้ว นี่ก็นับตามความคาดหมายไว้เหมือนกัน ดีกว่าจะบอกว่าแสดงได้ไม่เหมือนเลย

นักแสดงต้องแสดงอารมณ์สมจริงให้ได้ อะไรที่ต้องเก็บไว้ อะไรที่ต้องปล่อยไป ก็คือพึ่งตัวเองเตรียมบทวางแผนบทไว้ให้ดีๆ ผมเคยถาม (โจวซิ่น)  “จากประสบการณ์ของเธอแล้ว ใช่หรือไม่ฉากที่เมาเหล้าต้องดื่มให้เมาก่อน?” เธอตอบว่า “ใช่แล้ว เพราะสายตานั้นสามารถดูออกว่าเมาหรือไม่เมา”
 

จาง ::  จะต้องวางแผนให้รัดกุมไม่มีจุดให้จับถึงจะดี อู่จื้อก๋อที่ผมแสดงนั้น หากว่าเข้ามาก็ถูกผู้ชมดูออกว่าผมเป็นสายลับ ก็ถือว่าผมแสดงได้ล้มเหลวมากๆ เพราะผู้ชมยังดูออก แล้วศัตรูเป็นปัญญาอ่อนหรือถึงดูไม่ออก ฉะนั้นต้องแข็งใน เปิดเผยแต่ไม่ให้รู้

หลังจากเรื่อง (จี้เจียห้าว)แล้ว ปีครึ่งที่ผมยังมีความรู้สึกกับเรื่องนี้อยู่ การประพฤตินั้นก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ สายตาก็ยังค้างอยู่กับเรื่องที่แสดง แม้กระทั่งฝันก็ยังรู้สึกอย่างนั้น จริงๆแล้วผมถูกบททำให้เป็นอย่างนี้ ตอนนี้มีหลายคนเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ผมคนเดียว ผมเองก็เริ่มชินแล้ว


ในเรื่องเฟิงเซิงนั้น (โหย่วเผิง) แสดงได้สมจริงเหมือนคนหัวอกเดียวกันเลย แต่ที่น่าเสียดายการร้องละครเพลงนั้นถูกตัดทิ้งหมด


ชายที่เข้มแข็งก็กลัวแมลงสาป

ก่อนนี้เห็นผู้กำกับหม่า ตอนมาร่วมงาน “ราตรีหัวอี้” ได้นำดารามาด้วยสิบแปดคน และดาราไต้หวันพูดสำเนียงเสียงหวานมาก ทำให้ดาราจีนก็คอยเลียนแบบไปด้วย จางหันอี๋ ที่เป็นเพื่อนผู้กำกับหม่านั้นได้ยินแล้วปากค้างเลย เมื่อถึงเวลาถ่ายรูปนิตยาสารรายสัปดาห์ ได้หยิบเครื่องแต่งหน้ามาแต่งเอง ผมยังต้องเชิญเขาด้วย “พี่จาง ช่างทำผมผมก็เชิญมากแล้ว เงินก็ชะระแล้ว คุณใช่เขาหน่อยเถิด” จางหันอี๋กล่าวว่าชีวิตเขานั้นสุดประหยัด

จาง ::  คนอย่างผมสมองนั้นใช้ยาก ทำไม่จะต้องมีคนมากมายมาช่วยผมคิดด้วย ขอเพียงมีผุ้ช่วยดูแลผมเพียงคนเดียวก็พอแล้ว ชีวิตผมนั้นจะแย่หน่อย เช่นการจัดกระเป๋า เรื่องนี้สำหรับผมเองนั้นใช้ไม่ได้เลย ผมจะยัดมันเข้าไปเป็นกอง สุดท้ายจะหาอะไรก็ไม่เจอ จริงๆแล้วผมไม่อยากเป็นอย่างนั้น


โหย่วเผิง ::  เสน่ห์กับการซื้อตั๋วนั้นมันเปรียบกันไม่ได้ จำเป็นหรือไม่ที่จะใช้คนมากมายมา จริงๆแล้วการใช้เงินนั้นควรเป็นประโยชน์

จาง ::  ผู้กำกับหม่าว่า ตอนนี้ดาราสมัยใหม่ของจีนนั้นเลียบเสียงหวานแบบดาราไต้หวัน เรื่องนี้มันดูเหมือนขำขันนะ

โหย่วเผิง :: ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ปกติ (นักข่าว) ทำไมเห็นดารารุ่นใหม่นั้นไม่เห็นแมนๆเลย?  ผมรู้สึกว่ามีสไตล์แบบ F4 อย่างนั้นมากกว่า

ชีวิตจริงผมกับในจอนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง เรื่องเหล้าคอผมอ่อนมาก ดื่มเยอะหน่อยก็จะหน้าแดงหน้าดำเลย ทรมาน ผมเป็นชายรักบ้าน ไม่มีอะไรผมก็จะกลับบ้านไปเล่นที่บ้านมี ของโบราณให้ดู
 
แมลงสาปกับหนูนั้นผมไม่ค่อยชอบ เห็นพวกมันเดินออกมาผมก็รีบวิ่งเลย ผมกลัวคนร้องไห้ ร้องไห้แล้วผมก็ไม่รู้จะไง ผมกลัวคำหวานๆ คนอื่นขอร้องให้ผมทำอะไรแล้ว แค่พูดคำซึ้งๆผมก็ใจอ่อนแล้ว ผมกลัวสิ่งเหล่านี้ ตอนหนุ่มๆนั้นเรื่องไม่ให้ยืมเงินนั้นไม่เคยมีเลย
 
เมียนั้นผมไม่กลัว กลัวทำไม? ทองแท้ไม่กลัวไฟ เราสองคนเป็นนักศึกษาด้วยกัน โตมาด้วยกัน หากไม่เข้าใจกันก็คงไม่ไปด้วยกัน

ปีที่แล้วได้รับรางวัล (จิงหม่าหยิ่งตี้) ที่ไต้หวัน จางหันอี๋กล่าวว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ในบทที่แสดงเป็นคอมมิวนิสนั้นแต่กลับได้รับรางวัลในกัวหมิงตั่น (สองพรรคนี้ไม่ถูกกัน)

จาง ::  เรื่องการแสดงนั้นใครก็อย่าไปบ่นว่าแก่แล้วดังยาก ไม่มีใครสามารถเป็นผู้ชี้ทางได้ หากไม่ได้ก็คือฝีมือยังต้องฝึกฝน หากมีโอกาสผ่านมาก็ให้รีบๆฉวยไว้


ผมอายุ 20 กว่าแล้วค่อยมาฝึกตัวเองเป็นคุณผู้ดี ไม่เคยหยุด ฝึกฝนตลอด ตอนหลังมันไม่น่าดู มันแข็งมาก ถ่ายออกมาแล้วดูทึ่มๆ ดูอย่างไรก็เหมือนขยับไม่เป็น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนมืออาชีพ ผมก็เริ่มวิ่งเป็นเวลาเจ็ดเดือน สุดท้ายหายหมด หากผมตั้งใจจะทำไรแล้ว จะทำให้ถึงที่สุด เหมือนกับการวิ่ง วิ่งจนมืด

 ตอนถ่ายเรื่อง(จี้เจียห้าว) เฉินก๋อฟู่เป็นผู้คุมดูแล ครั้งหนึ่งตอนประชุมเขาพูดว่า “นี่เป็นเรื่องจริงๆ เป็นไปได้ไหมที่จะไม่ใช้ดารา” สุดท้ายสามารถเลือกผู้ที่จะเป็นพระเอกสิบสองคน ผมก็ลองมาทดสอบว่าผ่านรับการคัดเลือกไหม ผมพูดกับผู้กำกับว่า คุณลองให้ผมเล่นดูสักตอนได้ไหม เขาหัวเราะแล้วไม่พูด สุดท้ายทางนักข่างถาม “ตอนนั้นทำไมคุณไม่ให้เขาแสดง” ผู้กำกับบอกว่า “ผมกลัวว่าเขาลองแสดงเสร็จแล้วก็ไม่ให้เขาแสดง เขาจะเสียใจ”
 

จากนั้นผ่านไปสองสามเดือนมีการมาบอกข่าวกับผม แน่นอนผมตกใจมาก ไม่ใช่สามารถแสดงเป็นพระเอก แต่บทของกู่จื่อตี้นั้นเป็นที่สนใจผมมาก ตอนนั้นได้ใช้ชีวิตของกับเขาครึ่งปี กินอยู่ด้วยกัน สามารถเป็นตัวของเขาได้ บทกู๋จื่อตี้นี้ในเรื่อง(จี้เจียห้าว)นั้นเป็นจุดพลิกผันชีวิตของจางหันอี๋ จากค่ายแสดงเล็กๆ สามารถอยู่ในแนวหน้าของวงการนักแสดง

ภาพลักษณ์ในจอภาพยนตร์ของ (จางหันอี๋) กับ(โหย่วเผิง)  เป็นการเปรียบระหว่างชายชาตรีกับกระเทย แต่ชีวิตส่วนตัวของเขาทั้งสองนั้นกลับตรงกันข้าม (จางหันอี๋) เป็นชายที่สุขภาพและรักบ้าน (โหย่วเผิง) เป็นคนที่มีหลักการและทำตามสิ่งที่ตนเองคิดวางไว้เท่านั้น

(เฟิงเซิง) พูดเรื่องความลึกลับและเรื่องนิสัยคน (โหย่วเผิง) ก็เคยเจอเมื่อชีวิตเจอกับผลประโยชน์กับอำนาจแล้วจะเปลี่ยนไป “ตอนที่ไปถ่ายทำที่จีน เคยเจอคนอื่นมาแย่งบทอย่างซึ่งๆหน้า ไม่ว่าจะเป็นการยัดเงินให้หรืออะไรหลายอย่าง”  (จางหันอี๋) ที่อยู่ในวงการ 20 ปีถึงได้ดังประทับใจประโยคหนึ่ง “เรื่องราวต่างๆจะร่วงไปตามเวลา ต้องดูและตามให้ทัน”  จางหันอี๋ พูดว่า “ตั้งแต่โบราณกาลมา มีหลายเรื่องที่เด่นแต่ก็ต้องศูนย์สิ้นไป แล้วทำไมจะต้องไปถือสามันด้วย”  ทุกอย่างควรดูให้ไกลหน่อย”
 
อย่าบอกว่าชายหนุ่มสองคนนี้มีอารมณ์พูด นักข่าวหลายคนก็เจอดาราหลายคนเมื่อเจอคำถามแทงใจแล้วทำเป็นไม่ยอมตอบ กลับโมโหใส่ด้วย เสียดายดาราเหล่านี้นั้นไม่ใส่ใจในหน้าที่การงานเท่าที่ควร ไม่อย่างนั้นรางวัลต่างๆคงไม่น้อยกว่า 4 หรือ 5 รางวัลที่จะได้รับ


ไฉ่หลินเป็นเรื่องล้อเล่น

ตั้งแต่เข้าสู่วงการบันเทิงโหย่วเผิงมีข่าวฉาวแค่สองเรื่อง นอกจากเรื่องหลินซินหยูแล้ว อีกคนคือหญิงที่ร่วมถ่ายภาพยนตร์ด้วยกันคือดาราสาวเกาหลี สามปีก่อนไฉ่หลินประกาศหย่า มีข่าวว่าโหย่วเผิงเป็นมือที่สาม พูดไปแล้วเป็นเพราะปัญหาก็มาจากภายนอก จริงๆแล้วนิสัยที่ดื้อๆ แม้จะแต่งงานก็ยังคิดถึงเรื่องของหลิวเต๋อหัวเลย โหย่วเผิงที่หวงหน้าหวงหลังนั้น กลับได้ฉายาว่าไกวๆหู่มันไม่เหมาะกับเขาเลย

โหย่วเผิง ::  ปีครึ่งแล้วที่ผมไม่มีแฟน ตอนนั้นมีข่าวว่าผมเป็นมือที่สามของไฉ่หลิน เกิดจากการที่ผมพูดเล่น ผมคิดว่าผมกับเธอนั้นสนิทกัน นักข่าวถามผมว่าเขาจะหย่าแล้ว ผมก็ล้อเล่นว่าเป็นผมเอง สุดท้ายถูกไฉ่หลินปฏิเสธ เธอบอกว่าสังคมเกาหลีนั้นจะอนุรักษ์นิยม การพูดเล่นอย่างนี้ไม่ควรเลย..

คุณแม่พูดกับผมว่า ความรักนั้นรักง่ายๆได้ แต่การจะแต่งงานนั้นต้องระวัง เพราะเป็นเรื่องตลอดชีวิต เพียงแค่ยังไม่เจอคนที่โอเคเอง เรื่องนี้ช้าเร็วก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย เหมือนกับ (หัวจื่อ) ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ผมยังไม่เคยคิดให้รอบคอบว่าเรื่องอย่างนี้ควรจะทำอย่างไร


นักข่าว ::  มีข่าวว่าตอนนั้นเสี่ยวหู่ตุ้ยวงแตกกับตอนนี้จะมีการมารวมกันใหม่นั้น  ปัญหาหลักนั้นอยู่ที่คุณ?

โหย่วเผิง ::  การที่แยกทางนั้นเพราะ (จื้อเผิง) ต้องไปเกณฑ์ทหาร พวกเราสามคนเคยคุยกัน ผมจะไม่ไปทำเรื่องอย่างนี้ง่ายๆ หากว่าเป็นการที่ทุกคนมาแสวงหาประโยชน์นั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมควร ..ผมรู้สึกว่าสำหรับเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นผมผูกพันมากๆ เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญ

ผมได้ร่วมทำประโยชน์กับทุกคน เรื่องอย่างนั้นมันง่ายกว่าเยอะ การที่ต่างคนออกอัลบั้มนั้น ผมก็คิดว่ามีความเป็นไปได้


4069
2009-10-31 : http://gzdaily.dayoo.com/html/2009-10/31/content_749254.htm



ซูโหย่วเผิง : จะไม่เล่นบท  “กระเทย” อีก

ภาพยนตร์เฟิงเซิงที่กำลังเข้าโรงนั้น ไป๋เสี่ยวเหนียนที่โหย่วเผิงเล่นนั้นก็เป็นบทหนึ่งที่ทำให้ผู้ชมฝังใจ ความสำเร็จของบทนี้นั้นทำให้รู้เห็นว่าโหย่วเผิงมีสปิริตทางการแสดงภาพยนตร์ด้วย และทำให้คนอื่นคิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านผลงานการแสดงของเขา ดารานักร้องขวัญใจนักแสดงขวัญใจในอดีต พี่สุดหล่อในภาพยนตร์ ได้เปลี่ยนแปลงบทบาทในเรื่องนี้ โหย่วเผิงไม่แฮปปี้ที่จะไปพูดถึงภาพลักษณ์ในอดีต พูดเรื่องเสี่ยวหู่ตุ้ย พูดองค์ชายห้า  เขาปรารถนาที่จะเดินไปข้างหน้า เพื่อบอกกับทุกคนว่า “ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”  อนาคตนั้นจะรอดูว่าบทที่โหย่วเผิงจะรับนั้นเป็นบทแบบไหนกัน จะเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนเหมือนเดิมไหม? หรือว่าจะเปลี่ยนไปเล่นบทอย่างอื่น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โหย่วเผิงพอใจกับผลงานตอนนี้ของเขามาก สามารถที่จะเข้าสู่ภาพยนตร์สากลได้ ได้มีชีวิตใหม่
 
นักข่าว เฉิงเหยียนอัน

(หยิ่งตี้) นั้นผมยังห่างไกลมันเยอะ (หยิ่งตี้ : ไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไร เป็นศัพท์เฉพาะ อาจเป็นซูปเปอร์สตาร์ภาพยนตร์:SUPERSTAR )

โหย่วเผิงตั้งแต่อายุ 15 จนถึงปัจจุบันนั้นได้รับรางวัลมากมายจนนับไม่ถ้วน ตอนเป็นนักร้องนั้น เขาได้สร้างยุคทองที่ไม่มีใครสามารถจะเลียบแบบได้ แม้ว่าตอนหลังจะเข้าสู่การแสดง โหย่วเผิงก็ได้สร้างชื่อเสียงมากมายให้กับวงการ เขาได้รับรางวัลดารานักแสดงยอดเยี่ยม ตอนเป็นนักแสดง เขาก็เพิ่งได้รับรางวัลภาพยนตร์ไป มีเว็ปหนึ่งที่ไม่ทราบชื่อบอกว่าเป็นรางวัลนักแสดง แม้ว่ารางวัลนี้จะไม่เทียบเท่ารางวัลอย่าง (จิงจี)  แต่โหย่วเผิงเองก็รู้สึกภูมิใจมาก สำหรับเขาแล้ว เขาได้ปล่อยชื่อเสียงในอดีตมากมาย แล้วมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ในวงการการแสดง

นักข่าว :  ครั้งแรกที่ได้รับรางวัลการแสดง มีความรู้สึกอย่างไร เมื่อเทียบกับรางวัลที่ได้รับจากการเป็นนักร้องกับรางวัลที่ได้รับจากการเป็นนักแสดงโทรทัศน์นั้นมันต่างกันไหม อันไหนมีค่ากว่ากัน?


โหย่วเผิง :  รู้สึกรประทับใจมาก สำหรับทุกคนที่เข้าใจถึงบทของไป๋เสี่ยวเหนียนและยอมรับได้ มันเกินความคาดหมายจริงๆ ทำให้ผมมีกำลังใจมาก ผมคิดว่าอนาคตผมเองก็จะกล้าที่จะตัดสินใจไปรับบทที่ผมรู้สึกว่าท้าทายดี เรื่องความสำคัญกว่านั้น หนึ่งปีเต็มๆนี้ ผมได้ทุ่มเทเวลากำลังให้กับการแสดงของเรื่องเฟิงเซิง แน่นอนรางวัลที่ได้รับจากเรื่องนี้นั้นมันทำให้ผมมีกำลังใจมากๆ และก็สำคัญมีค่ามากๆ

นักข่าว : รางวัลเรื่องเฟิงเซิงที่ได้รับนั้น เป็นเพราะบทไป๋เสี่ยวเหนียนหรือเปล่า?

โหย่วเผิง :  ผมว่าน่าจะเป็นเพราะบทไป๋เสี่ยวเหนียนนะ บทนี้สำหรับชีวิตผมแล้ว มันเป็นอะไรที่ทะลุทะลวง ไปจุดสูงสุดอีกจุดหนึ่ง เพราะนับแต่ตอนเริ่มรับบท ก็ไม่เคยคิดว่าสุดท้ายจะมาถึงจุดนี้ได้ รู้เพียงว่าทำให้ดีที่สุด วันนี้เมื่อย้อนมองแล้ว นอกจากจะเห็นถึงประสบการณ์การแสดงของผมในครั้งนี้ที่มีมากขึ้นแล้ว ผมคิดว่ายังมีคนอีกมากมายทั้งคนอาชีพอื่นและผู้ชมทั้งหลาย พวกเขาจะรู้สึกถึงในจิตใจของพวกเขานั้น ยังมีโหย่วเผิงที่มีอีกมุมหนึ่งของเขาอยู่

นักข่าว :  เคยคิดที่จะมุ่งวิ่งสู่ หยิ่งตี้ (SUPERSTAR) ไหม?

โหย่วเผิง :  เส้นทางอันนี้นั้นสำหรับผมแล้วมันยังไกลเกินไปอยู่ แต่ว่าเอาหยิ่งตี้ (SUPERSTAR)มาเป็นเป้าหมายในการที่จะกระตุ้นผมนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่เลวเหมือนกัน


“ขอเพียงไม่ใช่เป็นบทที่เป็นเด็กๆ ทุกบทก็สามารถที่จะรับได้”

โหย่วเผิงเป็นคนหนึ่งในวงเสี่ยวหู่ตุ้ยในอดีตที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ในด้านการร้องเพลงนั้นเป็นช่วงที่เรียกว่ายุคทองของเขา สมาชิกเสี่ยวหู่ตุ้ยทั้งสามคนก็ล้วนเข้าสู่วงการแสดง ตอนนั้น แค่ภาพยนตร์องค์หญิงกำมะลอเรื่องเดียวสามารถทำให้โหย่วเผิงได้รับการยอมรับจากผู้ชมอย่างล้นหลาม ในเวลาเดียวกัน (จ้าวเว่ย) และ (ฝางปิงปิง) นั้นก็ได้มีชื่อเสียงในด้านการแสดงมาก่อนแล้ว เรื่องเฟิงเซิง ของโหย่วเผิงนั้นมาช้าไปหน่อยหรือเปล่า แต่เขาเองก็พูดว่า จริงๆแล้วเขาเบื่อกับการเล่นบทผู้ดีมานานแล้ว และตอนนี้เขาเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว บวกกับตัวเขาเองตอนนี้ก็ต้องท้าทายตัวเองต่อไป ไม่เพียงแค่ภายนอก แต่ยังหมายถึงภายในด้วย

นักข่าว :  ช่วงนี้เห็นคุณในงานสาธารณะหลายที่นั้น ก็เห็นถึงใบหน้าที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว มันสื่อถึงอนาคตอยากรับแต่บทที่เป็นผู้ใหญ่อย่างเดียวหรือเปล่า?

โหย่วเผิง :  การแต่งกายเป็นผู้ใหญ่นั้น เป็นเพราะผมเป็นคนที่ชอบอย่างนี้ บวกกับตัวเองก็ถึงเวลาที่เป็นผู้ใหญ่อยู่แล้ว และบทที่จะรับในภายหลังนั้น ขอเพียงไม่ใช่เล่นเป็นบทเด็กๆ ผมเองก็น่าจะโอเค

นักข่าว :  เริ่มเปลี่ยนความคิดที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองเมื่อไหร่กัน?

โหย่วเผิง :  ต้องดูว่าความหมายของคุณนั้นหมายถึงด้านไหนกัน หากหมายถึงภาพลักษณ์ของขวัญใจนักแสดงแล้วก็ ผมเองก็สามารถตอบคุณได้ ตั้งแต่ก่อนที่ผมเล่นเรื่อง (องค์หญิงแสนซน) ก็เริ่มเบื่อกับบทผู้ดีอย่างนี้แล้ว จริงๆแล้วบทใน เรื่ององค์หญิงแสนซน นั้นผมเองก็ไม่ค่อยอยากจะรับเหมือนกัน

นักข่าว : หลังจากที่ได้ไปสังกัดค่ายหัวอี้(HY) แล้วทางบริษัทคุณได้วางตำแหน่งอะไรแก่คุณ?

โหย่วเผิง :  แท้จริงแล้วทางบริษัทเองก็ให้ความเคารพกับความคิดการตัดสินใจของนักแสดง กับเรื่องของตำแหน่งนั้น ไม่ได้บังคับอะไรเลย มันอยู่ที่ตัวเองเรียกร้องออกมา มันจะต่างกันออกไปตามอายุ ตามประสบการณ์ทำงาน ไม่งั้นคงไม่มีใครยอมฟังใคร

นักข่าว : สำหรับเงื่อนไขของคุณแล้ว ได้รับการทาบทามเล่นภาพยนตร์จากค่ายหัวอี้เยอะไหม?

โหย่วเผิง :  มีเยอะมาก แต่ใช่ว่าทุกบทที่ทาบทามมานั้นคุณจะสนใจด้วย หรือว่าจะให้คุณรู้สึกอยากร่วมอยากทุ่มเท ฮ่าๆ (หัวเราะ)  หากมีบทและเรื่องอย่างนี้นั้น มันต้องพึ่งโชคพึ่งชะตาด้วย แต่ว่าผมเองก็อยากจะรับเพียงบทอย่างนี้เท่านั้น จะโลภมากนิดหน่อย

นักข่าว :  คุณเคยบอกว่าต่อไปจะไม่รับบทผู้ดีแล้ว นั่นหมายความว่าต่อไปก็คงจะรับบทเฉพาะแบบไป๋เสี่ยวเหนียนอย่างนั้นหรือเปล่า?

โหย่วเผิง :  ต้องดูว่าคุณมองไป๋เสี่ยวเหนียนอย่างไร หากว่าไป๋เสี่ยวเหนียนในใจของพวกคุณนั้น เป็นเพียงกระเทยคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นผมสามารถบอกกับคุณได้เลยว่า ผมจะไม่ขอแสดงบทที่เป็นแบบกระเทยอีกต่อไปแล้ว หากว่าจะถามว่าไป๋เสี่ยวเหนียนในใจผมเป็นอย่างไร ผมจะบอกว่ามันเป็นตัวละครหนึ่งที่หาได้ยาก เป็นตัวละครหนึ่งที่ไม่ใช่พระเอก หากว่าวันนั้นผมมี  เฉียงหนี & middot มีพลังที่ดี สามารถประสบความสำเร็จในด้านบทที่หายาก สำหรับผมแล้ว มันเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่มากๆ




“หากจะดังเหมือน ( จางจื่ออี๋ )  สำหรับผมแล้วมันก็เป็นเพียงภาระหนักอย่างหนึ่ง”

เริ่มจากปี 2005  ภาพยนตร์อาณาจักร์แดนคนปลา (Empires of the Deep) ของฮอลลีวูดนั้นข่าวได้แพร่มาถึงเอเซีย เคยมีข่าวว่าโหย่วเผิงเข้าเล่นในเรืองนี้ด้วย เป็นนักรบในเรื่องนี้ แต่เวลาที่โหย่วเผิงให้สัมภาษณ์นั้นกลับปฏิเสธข่าวนี้

นักข่าว :  ได้ข่าวว่าเฟิงเซิงจะมีภาคต่อไป ตอนนี้เริ่มมีการวางตัวละครยัง เพลงละครที่ไม่ได้ถ่ายในภาพแรกภาคต่อไปจะได้ถ่ายไหม?

โหย่วเผิง  :  สำหรับภาพต่อไปของเฟิงเซิงนั้น ตอนนี้ยังไม่มีการตัดสินใจที่เป็นทางการ หากว่าจะถ่ายทำกันจริงๆแล้ว ผมนั้นทั้งดีใจและเสียใจผสมกัน อาจเพราะก่อนหน้านี้ได้ลงทุนไปเรียนอะไรบางอย่าง คือการไปเรียนเพื่อจะเล่นในบทของไป๋เสี่ยวเหนียนที่มันต้องสมจริงขึ้น สำหรับนักแสดงแล้ว จะบอกว่ามันไม่เห็นได้ง่ายนัก สิ่งที่กังวลใจคือ จะต้องไปเรียนละครเพลงที่ปักกิ่งอีก ทุกวันต้องทำตามอาจารย์ ต้องบอกกับตัวเองเสมอว่า “ต้องสวยต้องงาม” ต้องกลับไปบทที่เป็นกระเทยอย่างนั้นอีก โอ้ มันมีความรู้สึกที่อยากจะบ้าตาย

นักข่าว : ในเรื่องมีตัวละครใดที่คุณอย่างจะเล่นเป็นพิเศษ

โหย่วเผิง :  ตอนนี้ยัง หากมีก็ยังต้องคิดจิตนาการอีกที บางครั้งอาจอยากเล่นในบทของ เหลียงเฉาเว่ย  ในบทนั้นมันมีอะไรที่น่าสนใจ หากผมได้เล่นคงจะสนุกน่าดูเลย

นักข่าว : การจะรับบทนั้นมีมาตรฐานไรไหม จะถือในเรื่องของการเบี่ยงเบนทางเพศไหม?

โหย่วเผิง : ไม่ถือเลยสักนิด ขอเพียงเนื้อเรื่องดีบทดี ผู้กำกับดี แค่นี้ก็เล่นได้แล้ว

นักข่าว : จากร้องเพลงมาถึงแสดงละครโทรทัศน์ แล้วมาถึงแสดงภาพยนตร์ สิ่งที่ได้รับมากที่สุดคืออะไร

โหย่วเผิง :  พูดไปแล้วอาจจะดูเหมือนของเก่าหน่อย แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ได้รับมากที่สุด ก็คือทุกอย่างก็ต้องทำอย่างสุดๆ นอกจากนั้นก็ให้เป็นไปตามชะตากรรม

นักข่าว :  เรื่อง อาณาจักรแดนคนปลา (Empires of the Deep) นั้นเลิกเล่นแล้วหรือ ยังอยากจะไปเป็นนักรบของฮอลลีวูดอยู่เปล่า?

โหย่วเผิง : เรื่องนี้นั้นการสร้างเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก การสร้างของก่อนหน้านี้ยังไม่จบ และการจะเปิดกล้องของครั้งต่อไปนี้ก็ยังไม่แน่นอน ฉะนั้นอนาคตจะไปร่วมงานด้วยหรือไม่ก็ยังไม่แน่ใจเลย แต่ว่าสำหรับการเป็นนักรบของฮอลลีวูดนั้น ผมสามารถบอกกับคุณอย่างมั่นใจว่า ผมเพียงอยากจะเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่งทำในสิ่งที่ตัวเองสบายใจ ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย จะดังให้เหมือน " จางจื่ออี๋ " สำหรับผมแล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นภาระ ไม่ขอไปคิดให้หนักใจ

นักข่าว : ตั้งแต่ที่เข้าสู่วงการ คุณมีข่าวฉาวน้อยมาก เคยคิดเรื่องของความรักหรือเปล่า?

โหย่วเผิง :  แน่นอน ผมไม่ใช่ (พระถังซัมจั๋ง ) นะ ฮ่าๆ (หังเราะ) แต่ว่าเรื่องความรักส่วนตัวของผมนั้นอาจจะเงียบๆ แต่เมื่อเป็นบุคคลสาธารณะนั้นมันก็ถือว่าโอเคแล้วนะ หากแต่จะมาก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวมากเกินไปผมเองก็ถือนะ นอกจากนี้ ความรักกับการงาน แน่นอนจะต้องได้อย่างเสียอย่าง หากว่าทุ่มเทแรงกำลังให้กับการงาน ด้านความรักก็ต้องมีเวลาให้น้อยหน่อย แต่หากวันไหนคุณสังเกตว่าเวลาในการงานของผมมันน้อยไปหรือไม่ค่อยเห็นแล้ว ก็รู้ได้ว่าผมกำลังจะทุ่มเทให้กับความรัก ฮ่าๆ(หัวเราะ)




4070
Magazine Interviews-China / Re: 2009 Fashion Weekly
« เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 01:03:41 AM »
การทำงานในช่วงเวลาอันสั้นนั้นไม่เพียงทำให้ผู้กำกับบอกว่าไม่ตั้งใจแล้ว สำหรับโหย่วเผิงแล้ว ในใจก็คงเต็มไปด้วยความเสียใจ เพราะเหตุที่อยากจะแสดงการร้องละครเพลงให้ดีที่สุด เขาลงทุนด้วยการเรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย ช่วงเปิดกล้องนั้น การเรียนร้องละครเพลงยังไม่จบเลย ฉะนั้นขอเพียงช่วงไหนที่ไม่มีบทฉากของเขา เขาก็จะบินไปที่ปักกิ่งเรียนร้องละครเพลง สำหรับเขาที่อยู่ในวงการแสดงมานานยังต้องไปเรียนอะไรที่เริ่มนับหนึ่งใหม่ อาจารย์ที่สอนเขาก็ลำบากไม่น้อยเหมือนกัน ติสอนเขาอย่างไม่หยุด “มือ นี่มันเป็นมือผู้ชายไปแล้ว ต้องอ่อนหน่อย บทคุณเป็นกระเทยของเรื่องนะ” ฉะนั้นปิดกล้องนั้น ทำให้เขาต้องผวากับคำว่าละครเพลงไปนานเลยล่ะ”  “ทุกวันต้องฝึกฝนร้อง ผมคิดว่ามันเพียงพอแล้ว ยังต้องให้ผมไปใช้ชีวิตอย่างนั้น จะให้ตายทั้งเป็นเลยหรือไง?” แต่ในตอนนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขารู้ว่าตัวเองควรจะแสดงอย่างไร หากไม่สมจริงคงจะไม่ผ่านด่านง่ายๆ หากผ่านด่านไม่ได้ก็ต้องเสียเวลาของคนอื่นไปด้วย สุดท้ายผมหาทางที่จะผ่านวิกฤษนี้ มีเพียงลืมสายตาของผู้อื่น ทั้งยังลืมตัวเอง ผมคิดว่านี่เป็นบทเรียนหนึ่งที่ดีมาก เพราะเมื่อก่อนนั้นการแสดงไม่ได้ยากอย่างนี้เลย”
 

สามารถที่จะเล่นบทของไป๋เสี่ยวเหนียนได้ดีนั้น สำหรับโหย่วเผิงแล้วการรอคอยและการปรับตัวในสองสามปีนี้ถือว่าคุ้มค่า ไป๋เสี่ยวเหนียนสำหรับเขาแล้ว ไม่เพียงแค่การเริ่มต้น แต่เป็นการเริ่มต้นที่ตื่นเต้น “ตอนนั้นผมให้ความคิดกับผู้กำกับกับนักเขียนเรื่องหน่อย มันใกล้กับสิ่งที่ผมต้องการแล้ว ผมอยากจะให้พวกเขารู้ว่าโหย่วเผิงก็มีอย่างอื่นเหมือนกัน เขาเป็นคนหนึ่งที่รับการท้าทาย ผมเข้าใจแล้วว่าบทบาทก่อนหน้านี้นั้นมันจำเป็นจะต้องมี เป็นนักแสดงแล้วหากคุณได้มีบทบาทที่เป็นอย่างนี้แล้ว ทางผู้สร้างก็จะเห็นว่าผู้ชมชอบอย่างนี้ ทุกคนก็จะรักษาเก็บไว้ สำหรับผู้สร้างผู้ทำหนังแล้วเป็นสิ่งหนึ่งที่ปลอดภัย แต่สำหรับนักแสดงแล้ว ถ้าเราไปเดินทางที่ซ้ำๆซากๆแล้วก็จะทำให้อนาคตหรือเป้าหมายเราตันไป ไม่พัฒนา มันน่ากลัว แต่ไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นไม่เหมือนกัน เป็นบทที่ยากแก่การตัดสินใจว่าเป็นเพศไหนกัน สิบปีได้มีบทอย่างนี้เล่นก็ถือว่าไม่เลว ขอเพียงให้ภาพพจน์ไว้กับทุกคน ให้ทุกคนรู้ว่าผมเป็นคนที่รับการท้าทาย พร้อมที่จะไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆนี่ก็พอใจแล้ว”

สำหรับความล้มเหลวความสำเร็จภายนอกนั้น ผมจะไม่ไปใส่ใจกับมันมากมายนัก ผมจะใช้ท่าทีที่ปกติไปมองมัน

ถามโหย่วเผิงว่าฝีมือการแสดงของเขานั้นอยู่ในขั้นไหนแล้ว เขาตอบอย่างถ่อมตัวว่าตัวเองก็ยังอยู่ในขั้นเรียนรู้ตลอดเวลา เพราะไม่ได้เรียนด้านนี้มาโดยตรง เริ่มจากเรื่องแรกที่เขาแสดง ก้าวแรกแห่งการเรียนรู้ของเขาก็เปิดออก และเขา ก็ได้เดินมาทีละก้าวทีละก้าวอย่างนี้แหล่ะ

จริงๆแล้วสำหรับการตอบอย่างนี้ของเขานั้น พวกเราล้วนไม่พอใจ มันรู้สึกถอมตัวไปแล้ว ตัวเขาที่เป็นนักแสดงที่ดังไปทั่วโลกอย่างเขานั้น ก็เหมือนกับที่เคยพูดไว้ว่ามีคนจำภาพของเขาและหยุดเขาไว้เฉพาะในเรื่ององค์หญิงกำมะลอ บางคนจำภาพของเขาเก่าล้าสมัยกว่านี้ เขาอธิบายว่า หรือว่าเขาได้ผ่าฝันผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย หรือว่าความเชื่อพระพุทธศาสนาของเขานั้นซึ้งเกินไป ทำให้เขายังมีจิตใจที่มั่นคงอยู่เสมอ



ผมเคยถามเขา “คุณนั้นดังมาแต่เด็ก พูดง่ายๆคือคุณนั้นไม่เคยมีชีวิตที่ธรรมดาเลย ฉะนั้นการที่คุณกล่าวว่าจิตใจที่ปกติธรรมดากับจิตใจที่ปกติธรรมดาของพวกเรานั้นเหมือนกันไหม?เมื่อถามคำถามนี้กับเขา ก็เหมือนกับชาวฝรั่งที่มีลูกตาสีน้ำเงินมองเส้นด้ายกับคนเอเซียเราที่มีลูกตาสีดำมองเส้นด้ายมันต่างกันไหม

“น่าจะไม่เหมือนกัน จิตใจที่ปกติของผมนั้น ผมคิดว่าเป็นการที่ผมเข้าสู่วงการศิลปินมานาน หลังจากได้ผ่านร้องผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายแล้ว ตอนนี้มองจากทัศนะผมแล้วชื่อเสียงเกียรติยศเป็นสิ่งนอกกาย จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายกับสภาพจิตใจข้างในของคุณเลย และไม่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้มาวัดมาตรฐานชีวิตของคนเราด้วย ฉะนั้นสำหรับความสำเร็จและความล้มเหลวของภายนอกนั้น ผมเองก็ไม่ค่อยใส่ใจมันนัก ผมจะใช้ท่าที่ที่ปกติมองมัน” โหย่วเผิงกล่าว่า อาจจะเป็นเพราะเขาประสบความสำเร็จในชีวิตเร็วเกินไปจึงทำให้ชีวิตของเขานั้นไม่มีหลัก แต่เขาในวันนี้นั้นก็รู้แล้วว่าหนักแน่นมั่นคงคืออะไร เขาไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งของภายนอกอีกต่อไป เรื่องการรับเล่นหนังก็เช่นกัน สำหรับเรื่องหน้าที่การงานแล้ว จะเล่นหนังนั้นจะไม่คิดเรื่องที่ว่าเล่นแล้วจะดังไหม เขาให้น้ำหนักไปทางสนุกน่าสนใจไหมมากกว่า

ตามที่รู้กัน ในแวดวงบังเทิงนั้นไม่ขาดสาวกพระพุทธเจ้าเลย ฉะนั้นสำหรับพวกเราที่เป็นคนสามัญแล้ว ไม่รู้ว่าเรื่องความเชื่อศาสนาสำหรับพวกเขาแล้วคิดกันอย่างไร โหย่วเผิงบอกว่าตอนที่อยู่มัธยมปลายก่อนจะสอบเข้ามหาลัยนั้นเขาก็ดังแล้ว เขาในตอนนั้นที่ตกอยู่ในสายตาของคนนับหมื่นที่ใช้เวลาเรียนแค่หนึ่งปีกับหลักสูตรที่จะต้องเรียนกันสามปี เขาในตอนนั้นก็เริ่มเชื่อในพระพุทธ “ ความเชื่อนั้นช่วยผมมากมาย เพราะตอนนั้นยังเยาว์วัยมาก ความกดดันในตอนนั้นที่มีนั้นมันมากเกินที่อายุในตอนนั้นจะแบกรับไหวได้

ตอนนั้นศาสนาทำให้ผมมีสมาธิ ได้ช่วยให้จิตใจผมปกติมากขึ้น เริ่มจากตอนนั้นก็ได้มีความเกี่ยวข้องกับพุทศาสนาแล้ว ตอนหลังผมอายุ 20  ผมเองก็มีโอกาสเป็นศิษย์ของพระพุธทเจ้าแล้ว แต่การเป็นศิษย์คือการเป็นสาวกคนหนึ่ง ตอนหลังก็เริ่มเรียนหลักพระธรรมต่างๆ รู้สึกคำสอนนั้นมีหลักมาก เพราะว่าตอนนี้อย่างไรก็ไม่ได้เข้าสู่การทำงานอย่างเต็มตัว ฉะนั้นการบ้านที่จะทำในตอนนี้คือการศึกษาคำสอนหลักธรรมแล้วนำมาประยุกค์ใช้ในชีวิต เพื่อจะให้คำสอนนั้นสอดคล้องใช้ได้กับชีวิตจริงๆได้
 
คนล้วนบอกว่าการเป็นผู้เชื่อในพระพุธทนั้นล้วนเป็นคนที่มีจิตเมตตา โหย่วเผิงก็ไม่นอกเหนือ ในเวลาที่ยุ่งนั้น เขาก็ยังเจียดเวลามาทำในสิ่งที่เป็นบุญกุศล โหย่วเผิงให้ความสำคัญกับการศึกษาของเด็กอย่างมาก “ผมคิดว่าสำหรับคนจีนแล้ว วันนี้วัตถุนิยมมันก้าวหน้ามากแล้ว และสิ่งหนึ่งที่จะสร้างให้เข้มแข็งคือการศึกษา มันจะช่วยเราให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเยอะ ไม่เพียงแค่สิ่งที่ทุกคนพูด ในที่ที่ยากจนนั้นการศึกษาก็สามารถทำให้มั่งคั่งได้ สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ มันเป็นทั้งระบบของประเทศเลย”



4071
Magazine Interviews-China / Re: 2009 Fashion Weekly
« เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 12:58:58 AM »
ไป๋เสี่ยวเหนียน เขาอยากจะให้คนอื่นตัดสินว่าเป็นเพศไหนกันแน่ สิบปีที่ผ่านมาได้มีบทอย่างนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ขอเพียงจาลึกภาพไว้ให้กับทุกๆคน ให้รู้ว่าจริงๆแล้วผมเองเป็นคนที่กล้าท้าทายเหมือนกัน พร้อมที่จะไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นี่ก็พอใจแล้ว


เรื่องราวที่ลี้ลับอย่างภาพยนตร์เฟิงเซิงนั้น สำหรับผมแล้ว เริ่มตั้งแต่ที่ผมได้รับเนื้อบทผมก็เริ่มรู้สึกความลี้ลับแล้ว

หากว่าคุณสนใจข่าวด้านภาพยนตร์แล้ว สำหรับเรื่องเฟิงเซิงแล้วแน่นอนคุณต้องยกนิ้วโป่งให้เลย ไม่ว่าการโปรโมทหรือโฆษณาต่างๆจะร้อนแรงมาก หากอยากรู้ตอนจบมันว่าเป็นอย่างไรนั้น คุณจำเป็นจะต้องไปหาคำตอบในโรงภาพยนตร์ถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร ฉะนั้น ความลี้ลับ จึงเป็นฉายาหนึ่งของภาพยนตร์เฟิงเซิง แน่นอน ความลึกลับนี้นั้นไม่เพียงแต่จะเกิดในบรรดาคอหนังเท่านั้น แม้กระทั่งนักแสดงหลักเองก็ยังมีความรู้สึกอย่างนี้ด้ว

ตอนที่โหย่วเผิงได้รับเนื้อบทนั้นเขาอ่านให้จบหนึ่งรอบโดยไม่ยอมวางเลย สิ่งแรกที่คิดคือเรื่องนี้มันดีจริงๆ และความคิดที่สองก็เกิดขึ้นโดยปริยายว่ามันลึกลับจริงๆ “เพราะเริ่มแรกผมได้รับการชวนเชิญจากผู้กำกับ ว่าตอนนี้มีอยู่บทหนึ่ง ถามผมว่าสนใจไหม่?ตามที่ทุกคนก็ทราบกัน ว่ามันเป็นเรื่องที่เก็บความลับ ฉะนั้นเริ่มแรกเลยพวกเราก็ต้องเก็บความลับต่างๆไว้ และแล้วการเก็บความลับก็เก็บได้ดีมาก เพื่อเนื้อเรื่องจะแพร่งพรายออกไป เลยไม่ยอมให้คนอื่นส่งบทมาให้ผม แต่จะใช้คนในส่งบทมาหาผมในบริษัท นอกจากจะมีการปิดอย่างหนาแน่น แม้กระทั่งในเนื้อบทของแต่ละคนนั้นยังเขียนชื่อไว้เลยว่าเป็นของใคร เนื่องจากตอนนั้นยังไม่ยืนยันว่าผมเองจะแสดงบทไป๋เสี่ยวเหนียน ผมจำได้แม่นมากเลยว่าเนื้อบทที่เอามาให้ผมนั้นเป็นของผู้กำกับเฉิน มันก็คือหากว่าเนื้อบทของฉบับนั้นรั่วไหลออกไปนั้น ก็จะรู้ว่าเป็นฉบับของใคร สำหรับผมแล้ว ความลึกลับของเรื่องเฟิงเซิงนั้น ผมสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนแรกที่ได้รับบทแล้ว”
 
แน่นอน เหตุผลที่โหย่วเผิงร่วมแสดงด้วยนั้นนอกจากจะเป็นความลึกลับของเรื่องแล้ว บทของไป๋เสี่ยวเหนียนที่มีการเขียนตัวละครที่สับซ้อนอย่างนี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่โหย่วเผิงตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้ พูดได้ว่าตัวละครไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นมันมีอารมณ์ที่ไม่ปกติเลย เดิมที่นั้นตัวละครนี้ไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยเลย แต่เพื่ออยากจะให้เรื่องนี้มันลวง ลึก ลับให้มากที่สุด และดึงความสนใจว่าผู้ร้ายจริงๆคือใครนั้น ตัวเสี่ยวไป๋เหนียนก็เลยตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปด้วย เขาได้กลายเป็นตัวละครที่ถูกเปลี่ยนจากเนื้อเรื่องเดิมไป ทำให้มีรายละเอีดยมากมายที่จะต้องพิถีพิถัน เริ่มจากชุดแต่งกายในฉากถึงรูปร่างทรงหุ่น ทุกอย่างต้องเนียบหมด แม้แต่ครูที่สอนละครเพลงของเขาก็ต้องตะลึงและบอกว่า ลักษณ์บุคลิกของเขานั้นเหมือนกับกระเทยที่เขาเคยรู้จักในอดีตเปี๊ยบๆเลย ไม่ว่าจะนั่งยืนพูดคุยก็เหมือนจนแยกไม่ออก
 
“มาตรฐานของคุณนั้นจะเหมือนกับกระเทยในเรื่องที่ (จางก๋อหัว) แสดงอย่างนั้นหรือเปล่า แล้วคุณมีความกดดันไหม?” การเอาโหย่วเผิงไปเปรียบกับพวกเขาอาจเป็นเรื่องที่ไม่ควร แต่หากพูดถึงเรื่องของการแสดงเป็นกระเทยแล้วล่ะก็ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดถึง (จางก๋อหัว)
 
“ผมรู้สึกว่ามันคงไม่เกี่ยวกับดีกว่าหรือไม่ แม้ว่าบทของทั้งสองอาจจะเป็นบทกระเทย แต่เรื่องมันต่างกัน บุคลิกก็ต่างกัน ไป๋เสี่ยวเหนียนเป็นคนเปรี้ยว พูดจาก็ไม่เพราะ ฉะนั้นผมรู้สึกว่าความกดดันก็ยังมีอยู่ แต่นั่นไม่ใช่มาจากการไปเปรียบเทียบกับใคร หรือว่าแสดงให้เก่งกว่าใคร แน่นอนผลงานของ (จางก๋อหยง) นั้นเคยดูมาแล้ว ทุกคนที่ดูไม่มากก็น้อยที่จะมีความทรงจำกับเขา มันก็อาจจะช่วยได้บ้าง แต่ว่าตัวผู้แสดงนั้นมันคนละคน ฉะนั้นสำหรับผมแล้ว ความกดดันที่แท้จริงจะเป็นเรื่องของไป๋เสี่ยวเหนียนมีภูมิหลังเป็นนักร้องละครเพลง เพราะในเรื่องนั้นผู้ต้องสงสัยแต่ละคนจะต้องบอกภูมิหลังของแต่ละคน ของแต่ละคนฟังแล้วดี ฟังแล้วเยี่ยมมาก แต่ของผมซิ ในเรื่องยังมีการแสดง(อิ๋วเหยียนเหลียงม่ง) แม้ว่าในเรื่องนั้นจะร้องแค่ไม่กี่คำ แต่เมื่อไปเรียนจริงๆมันเกือบเอาชีวิตเลย และนี่ใช่ว่าเป็นอะไร มันคือการร้องละครเพลงแบบเอื้อน คนอื่นเรียนร้องละครเพลงนั้นเรียนสมัยเด็กๆ แม่ผมนั้นกลับมาเรียนตอนทำงาน ทางผู้กำกับก็เรียกร้องให้ผมต้องร้องเอง ผมกังวลใจมากๆว่าตัวเองจะร้องได้หรือเปล่า กลัวถ่ายแล้วไม่เหมือน ไม่สมจริง”

มือ นี่เป็นมือผู้ชายหรือ เล่าอีกหน่อยซิ ว่าที่คุณเล่นนั้นเป็นอะไรกัน
 
โหย่วเผิงกล่าวอย่างเปิดเผยว่า ตัวเองนั้นไม่ได้รับเล่นภาพยนตร์เรื่องใหม่เป็นเวลาสองสามปีแล้ว สำหรับบางอย่างนั้นมันก็เหมือนกับเราไปเล่นซ้ำๆซากๆ แต่ละบทนั้นก็เป็นแต่บทที่ดี เป็นบทผู้ดีที่ไม่มีจุดด่างพร้อย ฉะนั้นเมื่อเขาได้มีโอกาสมาเจอกับบทของไป๋เสี่ยวเหนียนแล้ว เป็นบทที่ต่างกันสิ้นเชิง ในจิตใจของเขานั้นก็จะมีความรู้สึกถึงมันต้องมันแน่ๆเลย
 
ก่อนจะเปิดกล้องนั้นเขาได้รับคำแนะนำจากผู้กำกับ คือทั้งเรื่องนั้นอยากจะให้นักแสดงทุกคนแสดงให้ได้มาตรฐานที่ผู้กำกับตั้งหวังไว้ การเรียกร้องอย่างนี้นั้นทำให้โหย่วเผิงที่แม้จะเป็นนักแสดงมานานแล้วก็ยังถือเป็นเรื่องใหม่ “ผู้กำกับบอกว่า ต้องเป็นคนในตัวละครห้าสิบเปอร์เซ็น เพราะทั้งเรื่องนั้นมันเป็นการถูกเก็บกด เงียบๆ ฉะนั้นจะสื่ออารมณ์ออกมาโดยผ่านทางการแสดง ท่านหวังที่อยากจะให้ขนของทุกคนนั้นดูแล้วลุก โอ้ พี่ผู้กำกับ ท่านเขียนเหมือนง่ายมาก แต่จะแสดงอย่างไรล่ะ จะให้เป็นตัวละครในเรื่องแต่แม้กระทั่งอารมณ์ก็ยังรู้สึกอยากเลย”
 
สำหรับมาตรฐานที่สูงของผู้กำกับ บวกกับการไม่คุ้นกับตอนที่เริ่มถ่ายทำใหม่ๆ ทำให้อารมณ์ของโหย่วเผิงนั้นไม่นิ่ง เพราะบทไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นจะต้องเนียบตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้กระทั่งเสียงที่พูด จังหวะของการพูด สำเนียง การควบคุม ล้วนแต่มีการตั้งมาตรฐานไว้ วันแรกนั้นเขาเองก็แสดงได้ไม่ดีเท่าไหร่ บวกกับทางผู้กำกับเรียกร้องเขาสูง ทำให้โหย่วเผิงต้องรับความกดดันมากมาย “วันแรกนั้นแม้กระทั่งการอ่าน NG มันไม่ง่ายเลยจนตัวเองรู้สึกว่าวันนี่ถ่ายทำไปตั้งเยอะแต่ก็คงใช้ไม่ได้ ผู้กำกับบอกกับผมว่า คุณลองกลับไปแล้วทำการบ้านเยอะหน่อย แล้วใช้ชีวิตของในตัวละครเลย แต่ขณะที่ท่านพูดประโยคนี้นั้น ผมเองก็เจ็บใจเหมือนกัน เพราะว่าตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันน่าจะโอเคแล้วนะ เพราะเรื่องอย่างนี้ไม่เคยมีในอดีตที่ผมเคยเล่นเลย ฉะนั้นทำให้ผมสูญเสียความมั่นใจไปหมด มันกระทบกระเทียนใจมาก”


4072
Magazine Interviews-China / Re: 2009 Fashion Weekly
« เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 12:55:29 AM »
หากว่ามีมาดอย่างประธานธิบดีเหมาแล้ว นับว่าเป็นพี่ใหญ่เลย

ทางจางหันอี๋, หวังจงจิน, โจวซิน ที่ได้ออกมาปรากฏตัวในงานฉลองสองปีของค่ายหัวอี้ที่เพิ่งเสร็จไป เรื่อง “พี่ใหญ่” นั้นก็เป็นประเด็นร้อนเหมือนกัน ทางหัวอี้ยอมที่จะออกประเด็นร้อน “พี่ใหญ่” แน่นอนคนเยอะความก็เยอะ บอกว่าตัวเองไม่อยากจะเป็นผู้ชายที่ดื้อที่สุดของค่าย เช่นนี้ก็จะได้รับการสนับสนุนจากทางบริษัทก่อน เมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่ (หวงเสี่ยวหมิง) ที่เด่นเป็นพิเศษ สองสามปีมานี้ทาง (จางหันอี๋) ก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน แต่เมื่อมามองเส้นทางของแต่ละคนแล้ว ล้วนแล้วแต่ไม่มีการแข่งขันกันเลย แต่การไม่มาร่วมงานของ (หวงเสี่ยวหมิง) กับการปรากฏตัวของ(จางหันอี๋) นั้นเป็นสิ่งที่น่าคิดเหมือนกัน

(จางหันอี้) นั้นไม่ชอบและยังรู้สึกเบื่อกับฉายา “พี่ใหญ่” (ดาราเนื้อหมอที่สุด) นี้  “อะไรคือพี่ใหญ่ แล้วใครคือพี่รองล่ะ น้องแท้ๆยังต้องคลอดตามมาตามเวลา ค่ายหัวอี้มีดารามากมาย ทุกคนต่างมีผลงานของตัวเอง คงไม่จำเป็นจะต้องไปออกงานพร้อมกันก็ได้มั้ง” ก่อนหน้านี้นั้น (จางหันอี๋) ยังกล่าวว่าในใจเขาพี่ใหญ่คือ (หวังจงจิน)  พี่รองคือ (หวังจงสือ)  แต่ว่าเมื่อได้ชมภาพยนตร์(เจี้ยนกว่อต้าแย่)แล้ว เอาพี่ใหญ่ของประเทศจีนมาเปรียบแล้ว เมื่อเทียบกับท่านแล้ว พวกเราเป็นใคร อย่าไปเปรียบว่าใครเป็นพี่ใหญ่เลย”

 
                                                                               
                                                                       

จริงๆแล้วฉายาพี่ใหญ่นั้นก็เป็นเพียงตั้งขึ้นเฉยๆ ใครจะเป็นพี่ใหญ่นั้นล้วนเป็นการโปรโมทของทางบริษัทเอง สำหรับจางหันอี๋แล้ว ไม่ว่าจะเป็นพี่ไรก็ตาม อย่างน้อยเขามีรางวัลต่างๆที่เขาได้รับมาเป็นหลักประกันให้เขาว่าเขาเองก็ไม่น้อยเหมือนกัน นี่เป็นความภูมิใจที่ดาราหลายคนไม่มี “อย่าไปเทียบเรื่องใครเป็นพี่ใหญ่ ต้องเทียบด้วยผลงานรางวัลต่างๆ” นี่เป็นเสียงที่จางหันอี๋สะท้อนออกถึงการเป็นพี่ใหญ่ หลังจากเรื่อง(จีเจียเห้า)แล้ว เขาเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่จากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างเรื่อง (อีวหลงซี่ฟ่ง) (เฟิงเซิง) และดารารับเชิญอย่างเรื่อง(เจี้ยนก๋อต้าแย่) รวมทั้งยังมีอีกเรื่องที่กำลังจะเข้าโรงที่ตอนนี้เขาเองก็ยังเก็บเป็นความลับอยู่ อายุของจางหันอี๋ นั้นไม่น้อยแล้ว แต่เขาเองก็ยังเดินไปทีละก้าวทีละก้าว แต่ไม่ใช่เพื่อเงินแล้วทุ่มเป็นบ้าเลยอย่างนั้น และเขามีกฏระเบียบหลายๆอย่างที่เขาต้องไม่ฝ่ามัน แม้ว่าจะอยู่ในวงการบันเทิง เขาถือว่าหากไร้วินัยก็ไร้ชีวิต
 
ที่เพิ่งเซ็นสัญญากับไปคือซ่งเจียงของ(ซินสุ่ยฝู) “เรื่องนี้นั้นทีมงานของพวกเขาได้มาหาผมตั้งนานแล้ว รอผมตอบรับตลอดเวลา ผมเองก็ได้นำมาคิดแล้วคิดอีกสุดท้ายก็ได้ตัดสินใจไป บทซ่งเจียงนั้นเล่นไม่ง่ายเลย แต่ว่าแต่เด็กผมเองก็ได้อ่านเรื่องนี้มาแล้ว สำหรับตัวละครนั้นผมเองก็รู้ดี แต่ผมก็ไม่มั่นใจว่าจะแสดงได้ดีไหม สำหรับบทที่คุ้นหูนั้น ทุกคนต่างก็มีจิตนาการณ์ของตัวเอง ฉะนั้นจะแสดงอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าไม่พอใจบ้าง” ซ่งเจียงในฉบับ หลี่เสียเจี้ยน นั้นมันต่างกับของซ่งเจียงเสียอี้ และครั้งนี้นั้น ทีมงานได้เลือกจางหันอี๋ หวังว่าเขาสามารถจะสร้างความเป็นซ่งเจียงเสียอี้ขึ้นมา “ซ่งเจียนแน่นอนเป็นวีรบุรุษ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องเขาแล้ว เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อพี่น้องของเขา ฉะนั้นผมจะพยายามที่จะเป็นซ่งเจียงที่เก่งกาจ แต่ว่าความกดดันก็ไม่น้อยเลย”

จางหันอี๋ที่รับบทที่เป็นพระเอกบทที่เป็นผู้ดีมาตลอดนั้นเวลานี้เขาน่าจะหันไปหาบทที่ท้าทายและทะลุทะลวงภาพลักษณ์เก่าของตัวเองแล้ว เช่นตอนนี้ไม่เล่นบทซ่งเจียง แต่ว่าไปรับเล่นบทที่มีภาพลักษณ์ที่ดีหน่อย เพื่อแสดงออกถึงฝีมือการแสดงของตัวเองบ้าง “มันไม่จำเป็นครับ อย่าคิดจะเปลี่ยนปฏิวัติภาพลักษณ์ตัวเองเด็กขาด ไม่มีอะไรให้ทำลายภาพลักษณ์ตัวเอง เพียงแค่แสดงในบทของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว ทุกวันคิดเพียงว่าผมต้องท้าทายบทใหม่ แสดงไปแล้วครั้งหนึ่งก็คงไม่รับบทอย่างนั้นอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มักจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะกระจิตกระใจนั้นไม่ได้จ่ออยู่กับบทที่ตัวเองแสดงเลย แต่ไปจดจ่อกับการที่จะเปลี่ยนแปลง เรื่องอย่างนี้นั้นมีแต่ก็หาได้ยาก หรือว่าบังเอิญวันหนึ่งคุณเจอเรื่องที่ดี และมันก็ไม่เหมือนเรื่องที่เคยเล่นมา คุณก็เล่นได้ดี นี่ถึงเป็นการเปลี่ยนแปลงปฏิวัติ” สำหรับจางหันอี๋ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ละเรื่องที่ติดต่อกันมานั้นก็จะเห็นภาพลักษณ์คอมมิวนิส ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวหลงเถ้าในเรื่องเจี้ยนก๋อต้าแย่ “สำหรับภาพยนตร์ประเภทนี้นั้น แค่ได้เข้าร่วมแสดงก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว ฉะนั้นไม่เคยเรียกร้องไว้ อย่างไรก็ตามผมเองก็ไปดูมาแล้ว สนุกจริงๆ”




สามารถเขียนว่าผมนั้นงูๆปลาๆได้หลายอย่าง ซอปักกิ่ง ซอเครื่องดนตรี 4 สาย ผมล้วนเล่นได้เพลงสองเพลง

เมื่อถ่ายฉากแรกเสร็จแล้ว จางหันอี๋ได้กลับไปในห้องแต่งตัวหยิบซอขึ้นมา ในห้องแต่งตัวนั้นมีเสียงซอดังขึ้น “โถ อย่าถามผมเรื่องอิ๋งตี้เลย มาเขียนเรื่องฝีมือการเล่นดนตรีผมจะดีกว่าเยอะ ผมเล่นเครื่องดนตรีเป็นหลายอย่าง” จางหันอี๋ที่เรียนเล่นเครื่องดนตรีแต่เด็กนั้นมีความฉลาดในเพลงพื้นเมือง ไม่ว่าจะเอาดนตรีอะไรมาให้ เขาก็สามารถดีดเป็นเพลงได้ “ลูกสาวผมตอนนี้กำลังเรียนเปียโน สมัยนี้เด็กเรียนเพลงพื้นเมืองนั้นน้อยมาก เรียนเปียโน เรียนวาดรูป นี่เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทำแล้วจะดูเป็นกุลสตรีขึ้น”
 
ความเป็นอยู่ของจางหันอี๋นั้นจะว่าเรียบง่ายหรือพิถีพิถันก็ว่าได้ เขาบอกว่าตัวเองนั้นเรียบง่าย ไม่เรื่องมากกับการกินการใส่ ขอเพียงแค่กินอิ่มใส่อุ่นก็พอแล้ว มีชีวิตที่เรียบๆง่ายๆก็สุขใจแล้ว แต่ดูอีกด้านเขาก็เป็นคนที่พิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ เสื้อต้องเข้ากัน อยากจะให้เขาหยิบซอขึ้นมาเพื่อถ่ายรูป แต่เขากลับบอกว่า “เสื้อกับซอไม่เข้ากัน” เมื่อเห็นเชิ้ทสีแดงก็บอกว่านี่คงจะเข้ากันได้ เขาเองก็ไม่รู้เรื่องยี่ห่อ ไม่ว่าจะยี่ห่ออะไรหากไม่สวยก็ไม่เอาแล้ว ฉะนั้นจะบอกว่าจางหันอี๋ใส่สื้อเป็นเหตุเป็นผลหรือมีหลักการนั้นยากจะพูด

นอกจากจะแสดงแล้ว งานอดิเรกที่เขาชอบทำคือการสะสมของโบราณ เครื่องแต่งบ้าน จัดวางของโบราณ ช่วงนี้เขาสนใจกับการเก็บก้อนหิน เห็นหินที่เก่าแก่และมีประวัติศาสตร์ “จริงๆแล้ว การจะชอบของโบราณกับการชอบประวัติศาสตร์มันเกี่ยวข้องกัน เพราะทุกชิ้นล้วนมีประวัติของมัน” และในวาเลนไทล์นั้นจางหันอี๋ได้ซื้อเครื่องประดับผมให้กับภรรยากล่องหนึ่ง “เธอชอบมากๆ มันสวยจริงๆ ทุกวันจะมองจ้องที่กล่อง เมื่อใส่มันแล้วจะดูสวยมาก” จางหันอี๋ที่ชื่นชอบของสะสมโบราณนั้นมีเหตุผลว่ามันจะช่วยเราเก็บแรงไว้ เพราะดูชมที่บ้านก็ได้ “หากไม่มีอะไรทำก็ชงชาดื่ม มองดูของสะสม มันดีขนาดไหน”
 
พูดรวมๆแล้ว จางหันอี๋เป็นชายที่อนุรักษ์นิยมมากๆ ชอบเพลงพื้นเมือง ไม่ค่อยสนใจเครื่องดนตรีของยุโรปสักเท่าไหร่ ชอบศิลปะโบราณ ละครเพลง “เป็นไม่เป็นก็อยากจะลองทำดู” ชื่นชอบในวัฒนธรรมจีน อ่านประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา อ่านแล้วอ่านอีก ชอบของเก่า ภาษาสมัยนี้เรียกว่าของโบราณ ยิ่งเก่ายิ่งมีค่า แต่เขาไม่ได้ทำเป็นธุรกิจ ทำเพื่อตัวเองชื่นชมเท่านั้น ชอบดื่มชา ไม่เรียกร้องว่าต้องเป็นชาที่ราคาแพง คือชาที่ดีเลิศ เป็นชาสมัยราชวงศ์หมิง เขาเป็นผู้ชายปักกิ่งที่เรียบง่ายมีวัฒนธรรมคนหนึ่ง สองปีก่อนที่สัมภาษณ์เขา เขาหยอกล้อว่า มีความตลกในสไตน์ปักกิ่งมากมาย หลายเรื่องพูดขึ้นมาแล้วรู้สึกสนุกมากๆ สองปีผ่านไป สไตน์ตลกปักกิ่งยังอยู่ แต่ไม่มีความหยอกล้อให้เห็นแล้ว อาจเป็นเพราะเจอสื่อเยอะไป ทำให้หมดมุกไปแล้ว


4073
Magazine Interviews-China / Re: 2009 Fashion Weekly
« เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 12:52:08 AM »
Thanks, http://tieba.baidu.com/f?kz=657544982

Fashion Weekly 2009

18 ตุลาคม 2009 :  เมื่อจางหันอี๋เจอซูโหย่วเผิง



หากว่าไม่มีบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งมากมายนั้น (จางหันอี๋) นับว่าเป็นพระเอกของ ”ปักกิ่ง”  ขณะที่อารมณ์ดีก็จะพูดเรื่องประวัติศาสตร์หน่อย ให้คุณขำขัน  แน่ล่ะนี่ต้องเป็นเวลาที่อารมณ์ดี แล้วตอนที่อารมณ์ไม่ดีนั้น ตัวหนังสือตัวเดียวก็ไม่ดู อย่างว่าสำหรับเขาที่มีบรรดาศักดิ์มากมายอย่างนั้นจนเป็นเจ้าแห่งปักกิ่งไป แม้จะผ่านไปแล้วสองปี แต่ก็ยังถูกนำมาพูดอยู่เสมอ ช่วยไม่ได้ ภาพลักษณ์ที่ชอบสวมเสื้อคลุมยาวแบบจีนนั้น แม้ว่าบั้นปลายของเขาจะประสบผลสำเร็จมาแล้วมากมาย แม้ภายนอกจะเปลี่ยนไปมากมาย แต่เขาก็ยังเป็นเขาเหมือนเดิม

อย่าคิดที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองอย่างเด็ดขาด ไม่มีอะไรให้เปลี่ยน ทุกวันก็คิดแต่อยากจะปฏิวัติตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้ เพราะกระจิตกระใจนั้นไม่ได้มุ่งจ่ออยู่ที่จะแสดงให้ดี แต่มุ่งจ่ออยู่กับการจะเปลี่ยนตัวเอง นี่น่าจะไม่ใช่เรื่องที่คิดขึ้นมา

(จางหันอี๋) เป็นบุคคลตัวอย่างของคนปักกิ่ง จะมีนิสัยที่ยั่วเย้าหน่อยๆ แต่ก็รักสนุกเหมือนกัน ไม่ทันสังเกตุ เขาก็สวมชุดคลุมยาวเลียนแบบละครปักกิ่งเดินไปเดินมา เดี๋ยวอารมณ์ก็ดีแล้วจับ (เอ้อหู่) เดินไปมา เขาโด่งดังขึ้นจากภาพยนตร์เรื่อง(จี่เจียเห้า) ผ่านไปสองปีถูกเชิญไปสัมภาษณ์รายการอย่างหมดไส้หมดพุง อย่างไรก็ตามอย่างน้อยก็สามารถแจ้งเกิดทางด้านการแสดงได้ วงการภาพยนตร์ก็มีความเบื่อหน่ายของมันอยู่ เล่าเรื่องไป ขำไป พูดอาจไม่ยาว ตอบไปแบบสั่นๆ ขณะที่แต่งคิ้วก็ได้สอบถามสัมภาษณ์เขาก็พูดเพียงสั้นๆว่าใช่ และเงียบไปอีกสองนาทีตอบอีกที่ก็ใช่เหมือนเดิม แม้จะโยนคำถามไปให้เขาก็ไร้ประโยชน์ หากว่าเอาคำถามประเด็นเด็ดจากวงการบันเทิงมาถามเขาแล้ว เขาก็จะไม่ตอบเลย หรือว่าจะพูดอย่างอื่นไป ทำให้คุณรู้สึกว่าถามคำถามไปเยอะแยะก็ไม่มีความหมาย คนปักกิ่งก็ยากจะปราบอย่างนี้แหล่ะ คนวัยกลางคนก็ยากจะปราบอย่างนี้แหล่ะ

 
ผมคงจะไม่มีวันเหนือกว่ากู๋จื่อตี้

พิธีมอบรางวัลของ (หัวเปี่ยว) พึ่งเสร็จสิ้นไป (จางหันอี๋) นั้นได้รับรางวัล (กู๋จื่อตี้) เป็นครั้งที่ห้าแล้ว เทียบกับอดีตที่เคยรับรางวัลอย่างอื่นแล้วรู้สึกตื่นเต้นกว่า เขาคงชินกับการรับรางวัลอย่างนี้ไปแล้ว “ทุกครั้งที่ได้รับรางวัลก็รู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย แต่ว่าได้แล้วก็รู้สึกดีมาก แสดงว่าทุกคนก็มีความเห็นเดียวกันที่ผมจะได้รับรางวัลกู๋จื่อตี้นี้” เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายสำหรับบทบาทหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากบรรดากรรมการ ก็ถือว่า (จางหันอี๋) นั้นได้เปิดมุมมองใหม่  “การรับรางวัลครั้งนี้นั้นมันเหนือความคาดหมายจริงๆ ไม่มีใครกล้าคิดว่าเรื่องนี้ของผมนั้นจะได้รับรางวัลนี้ กรรมการมากมายต้องไปดูเรื่องนี้ที่มันยาวมากๆ สุดท้ายมาตัดสินว่าใครดีที่สุด มันเป็นเรื่องที่บังเอิญมากๆเลย” ที่โชคดีคือ ความบังเอิญอย่างนี้นั้นได้เกิดขึ้นกับ (จางหันอี๋) ห้าครั้งแล้ว และรางวัล(ไป๋ฮัว) นั้นไม่รู้ว่าจะบังเอิญอีกไหม “เราเองก็ไม่กล้าพูด การได้รับรางวัลนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ดี ไม่มีใครบ่นว่าได้รับมากเกินไป อย่างไรก็ตามการจะได้รับนั้นก็ย่อมมีขั้นตอน ได้อันนี้ก็คงจะต้องเสียอันนั้นไป ฉะนั้นเลยไม่ขอหวังมัน ไม่ว่าอย่างไร รางวัลที่เราได้รับนั้นมันเหนือความคาดหมายจริงๆ”เป็นการบังเอิญมากๆในสองสามปีนี้ ทำให้ความนิยมของเขานั้นพุ่งขึ้นมากมาย จากเดิมที่เป็นนักแสดงที่เงียบๆไม่มีใครรู้จักในค่ายหัวอี้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นดาราดังไปแล้ว


เฟิงเซิงที่จะฉายในเร็วๆนี้นั้นไม่เพียงเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ของค่ายหัวอี้ ทั้งยังเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวจีนในปี 2009 ในเรื่องนั้นบทของ (จางหันอี๋) นั้นสำคัญมากๆในขณะเดียวกันการแสดงของเขาก็ยอดเยี่ยมมากๆด้วย ตัวอย่างรูปแบบนั้นได้ใช้เวลาอินตี้ไม่น้อยเลย เดือนกันยายนนั้นก็คงจะไม่มีงานอะไรที่จะทำนอกจากการโปรโมทเรื่องเฟิงเซิง “การไปโปรโมทภาพยนตร์นั้นเป็นอะไรที่เบื่อมากๆ แต่ก็ทำไงได้ เพราะสมัยนี้นั้น แม้ว่าของจะดีมากแต่ถ้าไม่โปรโมทก็ไม่สู้ของที่ไม่ดี ไม่โปรโมทก็ไม่มีใครรู้ แม้ภาพยนตร์จะเจ๋งขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์” ถามว่าเมื่อเรื่องนี้เสร็จแล้วจะทำงานด้านนี้เป็นหลักเลยไหม คำตอบของเขาคือไม่แน่ “ชั่วชีวิตผมอาจไม่เหนือกว่ากู๋จื่อตี้ นี่ปกติมาก นักแสดงคนหนึ่งทั้งชีวิตคงอาจไม่ได้เจอกับบทที่เหมาะกับคุณเลย โดยเฉพาะเป็นเรื่องที่ดีๆ ผมเจอมันแล้ว ก็คงไม่หวังครั้งที่สองอีก”

ชื่อของ (จางหันอี๋) นั้นคงแยกไม่ออกจาก(จีเจียเห้า)แล้ว แต่ว่าเขานั้นจะไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้อีก แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงได้ แต่เรื่องเดียวพูดคุยไปแล้วสองปียังไม่ยอมจบนั้นคงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ แต่เรื่องเฟิงเซิงก็ใช่ว่าจะคุยได้ เพราะเรื่องนี้ยังไม่เข้าโรงเลย ไม่สามารถพูดเยอะ ในเรื่องนั้นก็ยากจะเอามาพูดคุย เพราะถ้าคุยบทของตัวเองไปเยอะแล้วก็เหมือนกับว่าตัวเองเป็นพระเอก ตามเส้นทางเดิมของ(จางหันอี๋) แล้ว จะไม่วิจารณ์คนอื่นอย่างเด็ดขาด “ผมสนใจอย่างเดียวคือตัวเองแสดงได้ดีหรือยัง สื่อสิ่งที่ควรสื่อแล้วหรือยัง นอกเหนือสิ่งเหล่านี้แล้วเราเองก็ไม่ได้คิดอะไรอีก (โจวซิ้น) แสดงได้ดีไหม (หลี่ปิงปิง) แสดงได้ดีไหม เรื่องอย่างนี้ไปถามผู้กำกับดีกว่ามาถามผม” สำหรับบท (เหล่ากุ่ย) ที่ทุกคนสงสัยว่าเป็นใครแสดงนั้น( จางหันอี๋) หัวเราะแล้วบอกว่าเป็นความลับ แต่สุดท้ายก็เก็บไม่อยู่ที่ได้หลุดออกมาว่าตัวเองกับหลี่ปิงปิงนั้นตอนจบไม่ตาย (เหล่ากุ่ย) ต้องเป็น (โจวซิ่น) แน่นอนเลย

เห็นได้ชัดว่า (จางหันอี๋) นั้นชอบเรื่องเฟิงเซิงมาก แม้จะเป็นวรรณกรรมในสมัยต่อสู้กับญี่ปุ่น แต่เมื่อเทียบกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆที่เคยแสดงมานั้นมันแตกต่างกันมากเลย ซึ่งมันหนักใจมากๆ เป็นสมัยที่ปิดกั้นมากๆ ล้วนแต่ต้องใช้จิตใจไปสัมผัสความรู้สึกอารมณ์อย่างนั้น ไม่ง่ายเลย แต่ว่าผมก็ชอบบทแบบนี้ สนุกดี คนอย่างผมนั้นไปแสดงบทที่เว่อร์ๆไม่ค่อยได้ พวกทั้งร้องทั้งตะโกน พวกชกตีตบต่อยมันไม่เหมาะกับผม ผมเองก็เล่นไม่เป็นด้วย ผมจะเป็นคนที่คิดในความเป็นจริง มักจะคิดว่าอย่างนั้นใช่การแสดงหรือ น่าจะเป็นละครเวทีมากกว่า


4074
Magazine Interviews-China / 2009 Fashion Weekly
« เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 12:46:59 AM »
ซูโหย่วเผิง VS จางหันอี้, Fashion Weekly 2009
https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/716053871766442


4075
Thanks,  http://ent.sina.com.cn/m/c/2009-10-16/00152731696.shtml



2009-10-16 โหย่วเผิง .ผู้กำกับสองท่านเริ่มไม่มั่นใจผม ไป๋เสี่ยวเหนียนยังอ่อนหวานไม่พอ


สำนักข่าวซินลั่น ภาพยนตร์จีนเฟิงเซิงซึ่งทำรายได้ทล่มทลายเกือบสองร้อยล้ายหยวนได้เป็นภาพยนตร์ปิดพิธีงานภาพยนตร์ครั้งที่สิบสี่ในวันที่ 15  ตุลาคม คืนวันที่๑๖จะออกฉายให้กับบรรดาแฟนๆในเกาหลีกว่าหกพันคนในสนามใหญ่ บ่ายวันที่สิบห้า ผู้กำกับเฉิง กับเหล่านักแสดงอาทิ หลี่ปิงปิง หวงเสี่ยวหมิง โหย่วเผิงได้มาร่วมงานแถลงครั้งนั้น และนักข่าวสำนักข่าวซินลั่นได้สัมภาษณ์ตัวต่อตัวกับโหย่วเผิง

กับบทรู้สึกว่ายังอ่อนหวานไม่พอ


นข. ในเกาหลีนั้นดูเหมือนว่าคุณมีแฟนคลับมากมาย บ้างก็ติดตามมาจากเรื่ององค์หญิงกำมะลอ?

ผ. ใช่ครับ น่าจะสิบปีแล้ว พวกเขาล้วนเป็นคนที่ดี ทั้งยังมีความรรักที่ยาวนาน เรื่ององค์หญิงกำมะลอนั้นจำได้ว่าพวกเราไม่ได้มาโปรโหมดที่เกาหลี ตอนนั้นที่ได้มีการจัดงานฉลองครอบรอบสิบปีของชาวแฟนคลับถึงได้พบปะกับพวกเขา ครั้งนั้นก็ได้เจอพวกเขาอีก ดีใจมากๆ

นข. ครั้งนี้มากับภาพยนตร์เฟิงเซิง คุณบอกว่าชื่นชอบตัวละครไป๋เสี่ยวเหนียนมาก แต่ก็มีคนรู้สึกเสียดายที่คุณได้ทำลายภาพลักษณ์ของไกวๆหู่?

ผ. ผมยังต้องทำลายอีก นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

นข. ตอนถ่ายทำนั้นได้เจอความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดไหม?

ผ. ผมรู้สึกว่าไม่ใช่ครั้งเดียวที่ที่เจอกับบันได ในภาพยนตร์ที่เคร่งอย่างนี้ กับนักแสดงทุกคนที่เปรี่ยมไปด้วยฝีมือในการแสดงนั้น ผมนั้นเดินผ่านภายใต้ความกดดัน ทำไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่ถูกอัพตัวเองทั้งตัว ภายใต้ความเคร่ง ของผู้กำกับ นักแสดงทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย

นข. ขณะที่ฉายนั้นทุกคนล้วนรู้สึกเสียวกับเรื่อง คุณรู้สึกอย่างไร?

ผ. มีนิดๆ ก็ยิ่งอยู่ยิ่งดีไปกับภาพยนตร์ในจีน จริงๆแล้วตัวเองก็มีความคิดว่าน่าจะมีการแบ่งเกรดของภาพยนรต์

นข. ได้ยินว่าตอนถ่ายทำนั้น มีหลายสาเหตุทำให้ทุกคนเครียดไปหมด คุณเป็นอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า?

ผ. น่าจะว่าตัวเองก็พอคุ้นกันสิ่งเหล่านี้ก็เลยไม่เป็นอย่างนั้น เดิมที่แค่บทก็หนักแล้ว จริงๆแล้วผมรู้สึกว่าทุกคนล้วนมีบรรยากาสของความเป็นทีม ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ

นข. ไป๋เสี่ยวเหนียนเป็นผู้ต้องสงสัยหนึ่งในห้าที่ต้องเสียชีวิตก่อน คุณรู้สึกไหมว่ายังไม่ทันได้สนุกเลย?

ผ. ไม่นะ ศพผมยังอยู่ตลอด ศพผมอยู่กับทุกคน เริ่มแรกในเรื่องนั้นยังมีสองฉากที่ยาว เป็นฉากที่สำคัญของไป๋เสี่ยวเหนียน เขาคนนี้ขี้ลังเลเหมือนกัน มีเสียงร้องเพลง ยังมีอะไรที่แปลกๆเยอะแยะ ตอนที่ไปที่ซานจวนนั้นยังหยิบเข็มฉีดยาไปด้วย เขาไม่เพียงเป็นคนที่ไม่หญิงไม่ชาย ยังเป็นคนลึกลับอีกด้วย แต่ตอนหลังฉากที่ร้องละครเพลงก็ตัดทิ้งไปแล้ว เสียดายนิดๆ

นข. พวกเราคิดว่าแค่เพียงหลักฐานปลายปากกาก็ต้องถูกประหารมันง่ายไปหน่อย?


ผ. อื่ม หากคนคนคนนี้ไม่รีบจัดการ เรื่องราวของเฟิงเซิงก็จะเปลี่ยนไป

นข. เพื่อนๆรู้สึกอย่างไรกับการที่คุณแสดงบทไป๋เสี่ยวเหนียน?

ผ. พวกเขาจำผมไม่ได้ จริงๆแล้วคุณจูหงเจียที่แสดงเป็นแฟนของปิงปิงที่เคยเล่นองค์หญิงกำมะลอภาค๒ที่เป็นพี่ชายของเสี่ยวเยี่ยนจื่อนั้น ตอนที่เขามาเข้าฉากถ่ายทำนั้นฉากของผมก็เกือบจะเสร็จแล้ว เขามาก่อนเวลาเพื่อมาเยี่ยมที่กองถ่าย ตอนที่พวกเราเปลี่ยนฉากนั้นเขามาทักทายผม เขาดูผมตั้งนานแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ใช่โหย่วเผิงเปล่า? ผมมองคุณตั้งนานแต่ก็ไม่กล้าทักกลัวทักผิดคน ผมเลยถามผู้กำกับว่านั่นคือโหย่วเผิงเปล่า?”  ผมฟังแล้วรู้สึกว่ามันมีความสำเร็จจริงๆ สิ่งที่ผมต้องการก็คือย่างนี้แหล่ะ นักแสดงคนหนึ่งสามารถทำให้คนที่สนิทจำแทบไม่ได้ นี่เป็นเรื่องที่สุดยอดมาก

นข. ตอนแรกพวกเราก็ตกใจมากเหมือนกันว่าทำไมผู้กำกับถึงเลือกคุณมาเล่นบทของไป๋เสี่ยวเหนียน แล้วส่วนตัวคุณคิดว่าพวกคุณมีอะไรที่เหมือนกันบ้าง?

ผ. ผมชมอาจรู้สึกว่ามีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับผมแล้ว ผมเป็นนักแสดงคนหนึ่ง ขณะที่ผมเลือกสรรตัวบทและตัวละคร ผมจะไม่ใช้ทัศนะอย่างนี้ไปมอง ผมมองเพียงว่ามันน่าตื่นเต้นไหม มีอะไรใหม่ๆที่จะได้เรียนรู้ไหม สามารถทำให้ทุกคนตะลึงไหม สิ่งเหล่านี้สำคัญกว่าว่ามีอะไรที่เหมือนกัน สำหรับคำถามที่ว่าทำไมผู้กำกับถึงเลือกผม ตอนแรกที่ผมได้ยินข่าวมาจากผู้กำกับทั้งสองว่าไม่ค่อยมีความมั่นใจต่อผม คุณสามารถไปถามเขาทั้งสองคนเองได้

นข. แล้วตอนนี้ล่ะ ทางผู้กำกับรู้สึกพอใจมากกับบทของคุณใช่หรือเปล่า?

ผ. ไม่เพียงแค่ผู้กำกับ แม้แต่ตัวเองก็ยังตกใจเลย เริ่มแรกที่พวกเราได้เริ่มงานนั้น ผมไม่เคยคิดเลยว่าไป๋เสี่ยวเหนียนจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ เดินมาไกลขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าผมชมจะตอบสนองดี ผมเชื่อว่าผู้ชมก็คิดอย่างนั้น

นข. จากเรื่องเฟิงเซิงจะทำให้คุณมีดีกรีที่จะรับบทสูงขึ้นหรือเปล่า?

ผ. ผมหวังว่าผมมีบทที่คลากสิคอย่างนี้ให้เลือก บทอย่างนี้นั้นสำหรับนักแสดงทุกคนก็ใช่ว่าจะมีโอกาส บางครแสดงมาทั้งชาติก็ไม่เคยเจอความสนุกแบบนี้ บทที่มีความท้าทายอย่างนี้ ผมยังหวังว่าจะมีโอกาสอย่างนี้อีก



4076
Thanks, http://tieba.baidu.com/f?kz=655982904



2009-10-16 : สัมภาษณ์โหย่วเผิง เป็นนักแสดงก็ไม่ควรจะมีภาพลักษณ์ เผยความลับ

สำนักข่าวเกาหลีรายงาน บทไป๋เสี่ยวเหนียนที่โดดเด่นมากในเรื่องเฟิงเซิง การเปลี่ยนแปลงของโหย่วเผิงนั้นได้นำความตื่นตาตื่นใจแก่บรรดาแฟนๆ วันที่ 15 ต.ค.  หลังจากที่มีงานการแถลงแล้ว โหย่วเผิงก็ยังหาเวลาว่างที่จะพบปะกับแฟนๆ และพูดคุยกับนักข่าวเกาหลี พูดถึงไป๋เสี่ยวเหนียน และเรื่องการตัดฉากของไป๋เสี่ยวเหนียนออกไปหลายฉาก

นักข่าว(นข) โหย่วเผิง (ผ)

นข :  เมื่อกี้พึ่งมีงานแถลงพบปะกับแฟนๆ มีความรู้สึกอย่างไรต่อแฟนๆเกาหลี?

ผ :  ต้องขอขอบคุณพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่านี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่ได้พบปะพวกเขา ก่อนหน้านี้เรื่ององค์หญิงแสนซน นั้นพวกเขาก็ได้มีจัดงานแฟนคลับครั้งหนึ่งแล้ว จากนั้นก็มีผลงานมากมายที่ได้ออกฉายที่เกาหลี แต่ว่าตลอดเวลาก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกับพวกเขา น่าจะหลายปีก่อน ที่พวกเขาได้จัดงานครอบรอบสืบปีแห่งแฟนคลับโหย่วเผิงและได้เจอพวกเขา

นข :  รอคอยตั้งสิบปี

ผ :  ตอนนั้นผมได้มาที่นี่พร้อมกับมาโปรโมทละครเรื่องหนึ่ง พวกเขายังได้อ่านจดหมายหนึ่งฉบับให้ผม บอกว่ารอคอยมาตั้งสิบปีถึงจะได้พบกับตัวละครในภาพยนตร์ ทำให้ผมตื้นตันใจมาก ยิ่งกว่านั้นพวกเขามีความตั้งใจมาก ทุกครั้งที่ได้พบปะกัน พวกเขาก็ได้เตรียมของที่ระลึกมากมายมาฝากผมไม่ว่าจะเป็นกำไรข้อมือ ของขวัญต่างๆ ทำให้รู้สึกตื้นตันมาก

นข :  นั่นเพราะผลงานการแสดงเรื่องนั้นเป็นที่ประทับใจแฟนๆชาวเกาหลีเป็นอย่างมาก?

ผ : เริ่มจากเรื่ององค์หญิงแสนซน เพราะผมได้ร่วมงานกับดาราเกาหลีก็ไม่น้อย กับไฉ่หลินก็ได้ร่วมถ่ายตั้งสองเรื่อง กับจางนาราก็หนึ่งเรื่อง ตอนหลังก็ได้ถ่ายทำร่วมกับอันฉีสิ่งเรื่องหนึ่ง

นข : แล้วตอนนี้มีโครงการที่จะร่วมงานกับศิลปินเกาหลีบ้างหรือเปล่า?

ผ :  ระยะนี้ยังไม่มี ช่วงนี้ก็กำลังตั้งใจฝึกซ้อมละครเพลง คุณก็คงทราบ

นข :  แฟนคลับไม่น้อยเลยที่กล่าวว่า เรื่องเฟิงเซิงนั้นจะขำได้ก็ต่อเมื่อมีฉากของคุณ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?

ผ :  จริงๆแล้วเรื่องนี้นั้นเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง แท้จริงแล้วไม่เคยคิดเลยว่าไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นจะทำให้ผู้ชายหัวเราะ ตอนดูเนื้อบทนั้นก็ล้วนดูด้วยท่าทีที่คลึ๋งขลัง และตอนนี้กลับมีผลออกมาอย่างนี้เป็นที่คาดไม่ถึงสำหรับผมและผู้กำกับด้วย เพราะว่าบทในอดีตที่ผมรับแสดงนั้น ล้วนเป็นบทที่สุภาพเรียบร้อย ฉะนั้นครั้งนี้ไม่ง่ายเลยที่ได้มีโอกาสแสดงบทในลักษณะอย่างนี้ ตอนที่ผมเข้าฉากนั้นยิ่งทำท่าทำทางก็ยิ่งทำให้คนอื่นหมั่นไส้ คิดไม่ถึงว่าเวลาฉายแล้วจะเป็นที่ขำของผู้ชม

นข :  แล้วบทที่ไม่หญิงไม่ชายอย่างนี้นั้น ตอนที่ตัดสินใจรับบทรู้สึกกังวนไหม?

ผ :  ที่กังวนคือกลัวจะทำไม่ได้ น่าจะเป็นช่วงปลายปีที่แล้วที่ได้รับตัวบท ความรู้สึกแรกเลยคือเนื้อบทนั้นสนุกมาก จริงๆแล้วตอนนั้นภาพยนตร์เรื่อง(เหม่ยหลันฟาง)ก็จบไปได้ไม่นาน แล้วผมก็ต้องรับบทแสดงเป็นนักร้องละครเพลงคนหนึ่ง บวกกับธรรมเนียมของชาวจีนแล้วตั้งมาตรฐานในการร้องละครเพลงไว้สูงมาก ผมกังวนก็คือเวลาเหลือน้อยมากแล้วผมจะทำได้เปล่า

เพราะยีนอยู่ในตำแหน่งของนักแสดงคนหนึ่ง แท้จริงแล้วตัวเองก็ไม่มีภาพลักษณ์แต่แรกแล้ว การจะเป็นนักแสดงไม่ควรจะมีภาพลักษณ์ที่สุขภาพตลอด ปีที่แล้วผมก็รับเล่นเป็นคนบ้าคนหนึ่ง สำหรับผมแล้วไม่มีภาพลักษณ์อีกต่อไป มีเพียงแสดงได้ดีหรือไม่ดีแต่ไม่มีว่าภาพลักษณ์ดีหรือไม่ดี

นข :  บทที่ไม่หญิงไม่ชายอย่างนั้น ไปเรียนมาจากไหนหรือ?

ผ :  จริงๆแล้วตอนเรียนร้องละครเพลงช่วงนั้นแหล่ะที่ได้มา ได้เรียนร้องละครเพลงมาหลายเดือน ขณะที่เลียนเป็นกระเทยนั้น คุณก็จะบังคับตัวเองบีบตัวเองให้อยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น ปล่อยตัวไม่ได้ แล้วจะค่อยๆเข้าใจว่าเขาพูดอะไร และสายตาท่าทางจะต้องเป็นอย่างไร

นข : เมื่อกี้ก็ได้เอ่ยถึงไป๋เสี่ยวเหนียนเป็นเลขาที่ผู้บัญชาการรัก แต่ฉากที่เราดูนั้นเห็นแต่ช่วงที่เขาถูกผู้บัญชาการลงโทษเท่านั้น หรือว่าฉากถูกตัดทิ้ง?

ผ :  ตัวผมเองก็รู้สึกว่าสั้นเหมือนกัน แม้ในเรื่องนั้นผมพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าผมมีผู้หนุนหลัง แต่ผมไม่เคยเห็นผู้บัญชาการเลย วันแรกที่ผมเห็นท่านก็ตอนที่ถูกตีที่สระ วันนั้นที่ถ่ายนั้นถ่ายจนจวนจะสว่างเลย ทั้งเหนื่อย ทั้งหนาว ครั้งแรกที่เจอท่านผมเองก็คิดว่าอยากจะทักทายท่านหน่อย แต่ว่าแส้ของท่านนั้นก็ได้ตีลงมาแล้ว ท่านมาก็มาตีจริงๆ ทำให้ผมตกใจหมด แส้ตีถูกหูของผม ทำให้หูผมเอื้อไปเลย แต่ทางผู้กำกับก็ไม่ได้หยุด ผมเองก็ไม่กล้าเอ่ยปาก ก็เลยถูกตีอยู่ที่นั่นแหล่ะ ตีเสร็จท่านก็ไป...

นข :  แต่ในเรื่องนั้นมองไม่ออกว่าเขาเป็นคนที่ผู้บัญชารัก ?

ผ :  ผมคิดว่ามันอาจเป็นความรู้สึกที่ซ่อน อาจจะไม่โจ่งแจ้ง เดิมทีในเรื่องนั้นมีอยู่ฉากหนึ่ง เป็นฉากที่หวนถึงสิบปีที่แล้วของไป๋เสี่ยวเหนียน เป็นช่วงวัยที่แรกหนุ่มของเขา มีตอนหนึ่งที่เป็น(ยิ๋วเหนียจิงม่ง) ทั้งฉากนั้นเกือบหกนาที เป็นเวลาที่ประชุม เป็นช่วงวัยรุ่น คือบทที่อาจารย์อิงต๋าแสดง ตอนนั้นพุงเขายังไม่ใหญ่ขนาดนี้ ตอนหลังในเรืองนั้นท่านได้ใส่พุงปลอมแสดง เพื่อให้เห็นถึงอายุของท่าน ท่านพาผู้บัญชาการมาชมละครเพลง ในฉากนี้ทั้งบนเวทีและข้างล้างนั้นเต็มไปด้วยพลุไฟ ได้เห็นถึงภูมิหลังของไป๋เสี่ยวเหนียน หากว่าฉากนี้ไม่ตัดทิ้ง ผมจะคิดว่าแท้จริงท่านเป็นผีหรือเปล่า ทำไมลึกลับมาก

และตอนนี้ก็ยังมีฉากหนึ่งที่ถูกตัด ก็คือฉากวันแรกที่พวกเราไปที่ซานจวน ที่นั่นพวกเขากำลังร้องเพลงสมัยราชวงค์ถัง วันแรกที่ไปถึงที่นั่นก็ได้วิเคราะห์สถานการณ์ดู ดูว่าใครที่สามารถช่วยเขาได้มากที่สุด ก็คิดถึงไป๋เสี่ยวเหนียน แล้วเขาก็ได้วิ่งไปห้องของไป๋เสี่ยวเหนียน จริงๆแล้วฉากนี้ก็มีเรื่องราวเยอะ ท้ายสุดถูกตัดทิ้งก็เหลือแต่ฉากที่รุนแรงๆ

นข :  แล้วได้ฝึกซ้อมร้องละครเพลงมาหลายเดือน แต่กลับเข้าฉากไม่กี่ฉาก

ผ :  เหตุการณ์หวนคิดอดีตของไป๋เสี่ยวเหนียนได้ตัดทิ้ง ก็เหลือเพียงเขาที่ดึงผมหงอก น่าจะนาทีครึ่ง

นข :  เรียนร้องละครเพลงยากไหม

ผ :  ยากมากๆ ยากกว่าที่คิดไว้อีก

นข :  แต่ว่าเมื่อกี้ได้ยินว่าร้องได้ดีมาก

ผ :  ผมได้ทุ่นเทเป็นอย่างมาก บวกลบคุณหารแล้วก็เกือบสี่เดือน

นข :  ตอนนี้หลายคนล้วนเลียบแบบท่าทางคุณในหนัง ไม่เชื่อว่าคุณจะแมน แล้วตัวเองรู้สึกไหมว่านั่นเป็นความสำเร็จของการแสดงเท่านั้น?

ผ :  ผมคิดว่าน่าจะเป็นความสำเร็จของผู้เขียน เพราะบทเดิมนั้นไม่มีสีสันมากขนาดนี้ แต่ทางอาจารย์เฉิงนั้นได้เติมรสชาติให้กับบทของไป๋เสี่ยวเหนียน รวมถึงคำพูดที่จะพูดด้วย เมื่อดูตัวบทแล้วก็ยังรู้สึกขนลุก ผมเชื่อว่าท่านเองคงทำการบ้านมาเยอะ รวมทั้งอาจารย์ที่สอนร้องละครเพลงของผมยังชมว่าเป็นบทที่สมจริง ทำเหมือนกับกระเทยที่ท่านได้รู้จัก ไปไหนก็พกผ้าเช็ดหน้า ก่อนจะนั่งก็ต้องเช็ดสองที หากว่าบทของไป๋เสี่ยวเหนียนเป็นที่ประทับใจแล้ว ผมคิดว่าเป็นความสำเร็จของอาจารย์เฉิงมากกว่า

นข :  ถ่ายทำเฟิงเซิงจบแล้ว สิ่งที่ได้รับที่มีคุณค่าที่สุดคืออะไร?

ผ: ตลอดเวลาที่ถ่ายทำนั้น ได้เติบโตเรียนรู้ในท่ามกลางความกดดัน พูดตรงๆว่าบทไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นยากแก่การแสดง ทั้งน้ำเสียงลีลาการพูด หลายอย่างนั้นมันไม่ได้เป็นเหมือนสมัยนี้อย่างเราแล้ว ฉะนั้นตอนนั้นก็พยายามไปหาอาจารย์ทำความเข้าใจกับมัน ว่าคำพูดเหล่านั้นควรพูดอย่างไร เสียงต้องเน้นจุดไหน ตอนหลังก็ต้องปากกัดตีถีบที่จะฟัดกับมัน แล้วมาถึงวันนี้ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างนี้นั้น มันคิดไม่ถึงจริงๆ และตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับผมแล้ว เป็นการพัฒนาเทคนิกการแสดงผมมากกว่า เพราะไม่เคยได้รับบทอย่างนี้มาก่อนเลย ก็ยังหวังว่าอนาคตจะมีบทที่ท้าทายอย่างนี้ในงานภาพยตร์

นข:  แสดงบทขวัญใจกับแสดงบทที่ต้องใช้ฝีมือเทคนิกนั้น อย่างไหนมันสนุกกว่ากัน?

ผ:  แน่นอนก็อย่างนี้ ภาพยนตร์ในอนาคตก็น่าจะเดินเส้นทางนี้ เพราะตัวละครของภาพยนตร์นั้นพลิกผลันมากมาย ในละครทีวีนั้นยากมากที่จะหาบทอย่างไป๋เสี่ยวเหนียน ที่ออกมาแล้วสามารถจะเป็นที่ประทับใจแก่ผู้ชม

นข:  ต่อจากนี้มีผลงานอะไรที่จะต้องถ่ายทำต่อ?

ผ:  ต่อจากนี้ก็คงพักผ่อนก่อน เพราะเรื่องเฟิงเซิงได้ถ่ายทำตลอดเวลา เมื่อถ่ายฉากสุดท้ายที่ไต้หวันก็ถือโอกาสพักผ่อน ก็จะใช้เวลาคิดว่าอนาคตจะทำอย่างไรต่อไป


4077
News http://news.xinmin.cn/rollnews/2009/10/12/2709854.html
Thanks, http://tieba.baidu.com/f?kz=654348611



2009-10-12 สัมภาษณ์โหย่วเผิง แพ้ ใช่ว่าเสียศักดิ์ศรี  ขลาด ถึงจะเสียศักดิ์ศรี


ยังจำได้ว่าปลายปีที่แล้วมีการโฆษณาเรื่องเฟิงเซิง ผู้ที่จะมารับบทเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นไม่เปิดเผยว่าเป็นใครมาตลอด จนกระทั่งก่อนเวลาจะเปิดกล้องไม่กีนาทีถึงจะรู้ว่าเป็นโหย่วเผิงเองที่รับบทนี้ และด้วยตัวเขาที่รับบทนี้นำมาซึ่งความสนใจจากบรรดาคอหนังต่างประเทศ  โหย่วเผิงยิ้มแล้วกล่าวอย่างคลึ๋มว่า “ อย่าล้ออีกเลย บุคลิกความเป็นแมนของผมนั้นคงไม่ต้องสงสัยกัน ผมเข้าสู่วงการก็เกือบยี่สิบปีแล้ว..”

ยังจำได้ว่าปลายปีที่แล้วมีการโฆษณาเรื่องเฟิงเซิง ผู้ที่จะมารับบทเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นไม่เปิดเผยว่าเป็นใครมาตลอด จนกระทั่งก่อนเวลาจะเปิดกล้องไม่กีนาทีถึงจะรู้ว่าเป็นโหย่วเผิงเองที่รับบทนี้ และด้วยตัวเขาที่รับบทนี้นำมาซึ่งความสนใจจากบรรดาคอหนังต่างประเทศ จากวันนั้นถึงวันนี้ดูเหมือนพริบตาเดียวภาพยนตร์เรื่องเฟิงเซิงก็ออกฉายไปแล้วสองอาทิตย์ และไป๋เสี่ยวเหนียนที่โหย่วเผิงเล่นนั้นได้รับความสนใจจากคอหนังเป็นพิเศษ แม้กระทั่งผู้กำกับระดับโลกยังเอ่ยชมว่า “บทไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นเป็นบทที่เกิดความคาดหมายของเรา ทุกครั้งที่ผู้ชมได้เห็นฉากของตัวละครนี้ก็จะมีเสียงปรบมือดังขึ้น”

การไปโปรโหมดครั้งสุดท้ายของทีมงานที่กวางโจว นักข่าวได้มีโอกาสสัมภาษณ์พูดคุยกับโหย่วเผิง ได้ถามว่าทำไมตอนนั้นถึงได้ตัดสินใจเลือกที่จะเล่นบทอย่างนี้ โหย่วเผิงตอบโดยใช้คำพูดจากภาพยนตร์เรื่อง(เหม่ยหลันฟาง) ว่า “แพ้ ใช่ว่าเสียศักดิ์ศรี ขลาดถึงจะเสียศักดิ์ศรี


(ลาก่อนอู่อาเกอ)

“ขอให้ชื่อเสียงเกียรติยศต่างๆทิ้งไหลไปกับสายน้ำ”

เมื่อเผชิญหน้ากับโหย่วเผิงที่ไว้หนวดคราวเล็กๆน้อยๆ และเรื่องราวที่จะพูดนั้นไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากไหนดี เมื่อตอนเป็นวันรุ่นแรก โหย่วเผิงก็เป็นขวัญใจของผมคนหนึ่ง หลังจากเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว เขาก็ได้เป็นราชาขวัญใจหนึ่งในสี่ของไต้หวัน ชอบฟังเพลงของเขาตลอดมา ดูภาพยนตร์องค์หญิงกำมะลอที่เขาแสดง และเขาได้คิดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ที่จะมาปรับถ่ายอีก ก็เคยเลียบแบบที่จะเป็นอู่อาเกอ และเรื่องการที่จะมาปรับถ่ายอีกรอบในสถานีหูหนันนั้นมีความรู้สึกอย่างไร

“ภาพยนตร์ที่ดังนั้นจะนำมาปรับถ่ายทำอีกรอบนั้นมันคงทำได้ไม่ง่าย เพราะหลายๆอย่างนั้นมีซึมเขาไปในชีวิตของคนแล้ว ..อย่างไรก็ตามจำเป็นจะต้องระมัดระวังในการที่จะทำ” (ได้ข่าวว่าจะให้ยี่ผิงหมิงมารับบทเป็นอูอาเกอ คุณคงเคยได้ฟังเรื่องการถกเถียงกันกับเรื่องเก่าที่เขาเคยแสดง รู้สึกเสียใจบ้างไหม?)  “ผู้ที่จะเสียใจน่าจะเป็นน้าจิงเหยามั้ง” แม้จะพูดอย่างนี้ แต่โหย่วเผิงก็สนับสนุนการทำหนังองค์หญิงกำมะลอภาคใหม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่สำคัญคือจะต้องทำให้ดีกว่าเดิม “ผมก็อยากจะเห็นความสำเร็จนี้เหมือนกัน เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็ยังสามารถให้เหล่าหนุ่มสาวสมัยนี้ได้ชมอีกครั้ง”

หากว่าวัยรุ่นในสมัยนี้อู่อาเกอในใจพวกเขาเป็นอี๋ผิงหมิง แล้วโหย่วเผิงที่อยู่ในใจของทุกคนล่ะ หรือว่าจะให้คนอื่นคิดถึงไป๋เสี่ยวเหนียน? โหย่วเผิงตอบ “ภาพลักษณ์ของผมที่อยู่ในใจของพวกคุณนั้นเป็นอู่อาเกอตลอดมา แท้จริงผมเติบโตตั้งนานแล้ว ผมเป็นผุ้ใหญ่แล้ว ก็ขอให้ชื่อเสียงต่างๆนั้นให้มันไหลไปกับน้ำก็แล้วกัน”


(มาต้อนรับไป๋เสี่ยวเหนียน)

“บทบาทนี้ผมไม่เอา แต่คนส่วนใหญ่พวกเขาเอา”

น่าจะพูดว่าไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นมาได้เหมาะกับจังหวะพอดี แม้จะรอนานพอสมควร แต่ท้ายสุดก็มาแล้ว “หลังจากอู่อาเกอแล้ว” โหย่วเผิงไม่ได้ฉวยนาทีทองในการสร้างความคืบหน้า รับเป็นบทของขวัญใจวัยรุ่น เพื่อก้าวสู่ขวัญใจวัยรุ่นระกับชาติ แต่เขากลับเลือกที่จะรอคอย เขาหยุดไม่รับถ่ายหนังไปนานพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือละครทีวี

“มีบทมากมายเข้ามาให้พิจารณา แต่เมื่ออ่านดูแล้วรู้สึกไม่ค่อยชอบ ผมต้องการความท้าทาย” เมื่อบทไป๋เสี่ยวเหนียนมายื่นให้เขา เริ่มแรกที่โหย่วเผิงและผู้กำกับก็รู้สึกลังเล และกังวลใจ แต่ว่าโหย่วเผงลังเลใจไม่กี่วันก็ได้ตัดสินใจตอบรับ เพราะว่า บทนี้ผมอาจไม่เอา แต่หลายคนอยากเอา” น้ำเสียงอารมณ์ของเขานั้นก็ไม่ต่างจากน้ำเสียงอารมณ์ของไป๋เสี่ยวเหนียนในเรื่อง

มีประโยคหนึ่งในเรื่อง (เหม่ยหลันฟาง)ว่า “แพ้ ใช่เสียศักดิ์ศรี ขลาด ถึงเสียศักดิ์ศรี” สุดท้ายเมื่อออกฉายแล้วมันเกินความคาดหมายของทุกคน ทุกประโยคที่ผมได้พูดในเรื่องเฟิงเซิง ผู้ชมก็สนุกไปด้วย ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนหลังมาคิดดู หรือว่ามันเป็นเพราะมันแตกต่างจากนิสัยบทในอดีตของผมเกินไป”

เนื่องจากตอนท้ายภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ตัดฉากออกไปเยอะ ฉากที่โหย่วเผิงร้องละครเพลงก็แทบจะไม่มีในเรื่อง และแล้วก็ให้โหย่วเผิงมาแสดงสดตรงนี้ให้กับพวกเราดู ดูแล้วก็รู้ว่าแท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นการร้องรำที่เราเคยดูมาอย่างนั้นเลย แต่เป็นการร้องรำที่พิเศษมาก โหย่วเผิงแสดงไปด้วยพูดไปด้วย “ดูซิ ทำมืออย่างนี้ก็จะเหมือนกับดอกกล้วยไม้ดอกหนึ่ง ฉะนั้นเลยเรียกว่ามือดอกกล้วยไม้” เพื่องานนี้เขาได้ซ้อมทั้งมือ ทั้งตัว ทั้งเสียงมานานพอสมควร แม้แต่อาจารย์สอนยังชมว่า “โหย่วเผิง ฝีมือระดับนี้ของคุณนั้นสามารถนำไปทำมาหากินได้เลย”

ตัวเขาเองก็ได้ใจมาก “ผู้ชายนั้นมีหลายแบบ แต่ที่จะมีความสำเร็จนั้นไม่มาก นอกจากในเหม่ยหลันฟางกับจางก่อหยงแล้ว ผมกล้าพูดว่าไป๋เสี่ยวเหนียนเป็นคนที่สาม ใช่ว่าทุกคนจะกล้าทำอย่างนี้ บางคนทำอย่างนี้แล้วจะไม่สบายใจเลยก็มี”

ผมจะขอยกตัวอย่างคำถามจากผู้ชมบางคนที่ได้ถามโหย่วเผิงอย่างนี้ “คุณแสดงได้ดีมากๆ คุณไม่กลัวคนอื่นจะว่าคุณเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันหรือ?” โหย่วเผิงยิ้มแล้วตอบ “อย่าล้อเล่นอีกเลย บุคลิกของผมนั้นใครๆก็รู้ๆกันอยู่ ผมเองก็เข้าสู่วงการมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว...”


(รอคอยหูหลันเฉิง)

“เมื่อมีคนเขียนบทขึ้นมา ผมก็แสดงไป น่าจะไม่ผิดนะ”

แม้กระทั่งบทไป๋เสี่ยวเหนียนบทที่น้อยอย่างนี้เขาเองรอจนได้เล่นจนได้ เขากล่าวว่าแม้ตอนนี้จะออกจากวงการแสดงก็ถือว่าไม่เสียดายแล้ว แล้วต่อจากนี้ไป เป้าหมายของโหย่วเผิงจะว่างเปล่า หรือจะอยากกว่าเดิม คำตอบต้องติดตามต่อไป “ ก่อนจะสี่สิบนั้น ผมอยากจะมีชีวิตที่สองของตัวเอง การพูดว่าจะลาจากวงการก็ไม่เสียดายนั้น เป็นการพูดที่ไม่ยึดติดกับวงการแสดง เพราะน่าจะไม่มีบทที่สนุกไปกว่าบทไป๋เสียวเหนียนอีกแล้วมั้ง หากไม่มีก็ไม่เป็นไร ผมรอได้ ระยะนี้มีหลังจากที่ผู้ชมดูเฟิงเซิงแล้ว บอกว่าผมสามารถไปเล่นเรื่องหูหลันเฉิงได้ และพูดว่าผมมีบุคลิกเหมือนคนในสมัยนั้น หากว่ามีความจะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ผมก็ยินดีแสดง ก็ไม่เลวนะ” ดูจากตรงนี้ให้เห็นว่าอนาคตโหย่วเผิงคงกลับไปเล่นหนังแนวโบราณ ด้วยเหตุนี้ เขากล่าวว่าจำต้องฝึกสายตา สามารถที่จะไม่ให้เห็นถึงว่ากำกังคิดอะไรอยู่ ขอทุกคนเชื่อมั่นในฝีมือการแสดงของเขา
 
(รอคอยคู่ชีวิต)

“ผู้หญิงที่ผมชอบนั้น ถ้าไม่จูลี่ชิง ก็จะเป็นหลิวเจียหลิน”

ช่วงเวลาที่ต้องรอคอยนั้น โหย่วเผิงก็ไม่ได้เหงาหลอย “ผมจะของอยู่ใกล้ชิดกับคนในครอบครัว หากมีเวลาก็จะไปเยี่ยมเพื่อนสมัยเรียน พวกเขาล้วนบ่นว่าผมมาปักหลักอยู่จีนจนไม่ได้ข่าวคราวเลย หากว่าผมจะโทรไปคุยกับทุกคนนั้น คงจะรับแบกค่าโทรไม่ไหว” มักจะชอบใช้ชีวิตที่เงียบๆมาตลอด  สำหรับเรื่องราวความรักของเขาก็เช่นกัน “ผู้หญิงที่ผมชอบนั้นจะอย่างจูลี่ชิงที่มีความเสียสละ หรือเหมือนกับหลิวเจียหลินที่เข้าใจคนอื่น”

เคยกล่าวว่าช่วยวัยเด็กของเขานั้นได้หายไปเกือบครึ่ง และตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ไม่ง่ายที่ได้รับบทที่สนุก ก็กำลังอยู่ในช่วงวัยที่สองของเขา ตอนนี้นั้นยังไม่มีการวางแผนที่จะกลับสู่ครอบครัว หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยอมทำลายภาพลักษณ์ของเขาไป ไปรับบทที่ไม่เหมาะกับใบหน้าที่เป็นเด็กอย่างเขาเลย ผมคิดว่าสำหรับโหย่วเผิงแล้ว เข้าสู่วงการเร็วเกินไป แล้วถึงจุดสูงสุดในชีวิตเร็วไปด้วย ทำให้ไม่ค่อยสนุกกับหลายเรื่อง ในเมื่อเขากล้าที่จะไปเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเขา ทำไมเราถึงไม่ใช้มองมองใหม่ไปมองเขาล่ะ

ก่อนนี้ ผู้จักการเราได้ไปดูภาพยนตร์เฟิงเซิงที่ปักกิ่ง แล้วกลับมาเล่าให้เราฟังว่า  ค่ายหัวอี้ได้จัดหวงเสี่ยวหมิงกับโหย่วเผิงคู่กัน บรรดาพี่ป้าหน้าอาที่ได้เห็นโหย่วเผิงก็รีบปรบมือเรียกร้องว่า “ไป๋เสี่ยวเหนียน ไป๋เสี่ยวเหนียน” เห็นเพียงโหย่วเผิงที่รีบทำท่าทางร้องรำละครเพลง ท่าทางนั้นไม่ต่างจากกระเทย แล้วน้ำเสียงที่อ่อนหวาน ทำให้คนในงานนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะหลายคนได้พูดว่า โหย่วเผิงคงถูกไป๋เสี่ยวเหนียนสิงร่างแล้ว

หากคนคนหนึ่งอิงกับบทมากไปนั้น ก็จะเมื่อเวลาพูดถึงบทของตัวเองนั้นก็จะกินเวลาไปเยอะมาก โหย่วเผิงก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาไม่หยุดที่จะคุยถึงเรื่องเขากับไป๋เสี่ยวเหนียน และคำพูดหลายคำ หลายๆประโยคนั้นโหย่วเผิงก็พูดกับสื่อซ้ำๆวกไปวนมา แต่ทุกครั้งที่พูดนั้น ก็ได้เห็นถึงสีหน้าที่ดีใจของเขา และอีกด้านหนึ่งนั้น เขาเองก็ย้ำว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว หรืออาจเป็นเพราะเขาเข้าสู่วงการนานแล้ว หน้าตาน้ำเสียงของเขานั้นได้แสดงออกมาให้เห็นถึงภาพของไป๋เสี่ยวเหนียนในเรื่อง

อย่างไรก็ตามฉันเองจำได้เพียงโหย่วเผิงที่เป็นขวัญใจ มีรอยยิ้มที่เบิกบาน ภาพลักษณ์ที่เดียงสา กับผู้ชายตรงหน้าที่ไว้หนวดคราวเล็กน้อยนั้นฉันไม่ค่อยคุ้นเลย เหมือนเป็นคนละคน อย่างไรก็ตามโหย่วเผิงเขาพูดได้ถูกต้องว่าพวกเราล้วนโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว



4078
Magazine Interviews-China / Re: 2009 iLady ฉบับเดือน ตุลาคม 2009
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 10:27:44 PM »

ผมหวังที่จะตอบแทนสังคมให้มากหน่อย

สิงหาคมของปีนี้ พายุ เฮอลิแคนได้พัดเข้ามาที่ไต้หวันนับเป็นครั้งร้ายแรงสุดในรอบห้าสิบปี ภัยพิบัตินั้นนำความเสียหายมาสู่ผู้คนทั้งสองฝั่ง คืน 20  สิงหาคม มูลนิธิช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้เปิดงานที่ปักกิ่ง โหย่วเผิงได้ไปด้วยตัวเอง นอกจากจะบริจาคเงินแล้ว เขายังได้ร้องเพลงในงานด้วย(ไต้เจออ้าย:ด้วยรัก) สื่อความห่วงใยต่อญาติพี่น้องที่อยู่ทางบ้าน หลังจากร้องเพลงเสร็จ เขาไม่ได้รีบกลับไปเลย ทั้งยังช่วยทำหน้าที่รับสายโทรศัพท์ด้วย รับทุกสายที่มาร่วมบริจาคให้กับงานครั้งนั้น ส่งความรักนี้ต่อไปให้กับผู้ประสบภัยทุกคน
 
สำหรับโหย่วเผิงแล้ว การมาร่วมงานอย่างนี้นั้นใช่ว่าเป็นครั้งแรก จริงๆก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว เขาได้พูดคุยกับผู้จัดการส่วนตัวของเขา ได้ก่อตั้งมูลนิธิโหย่วเผิงขึ้นมา ผ่านการตั้งมูลนิธินี้ รวบร่วมแฟนคลับตัวเองมากมายมาร่วมกันทำ เช่นการสร้างสแตมป์ความรัก สร้างโรงเรียนซีว่าง เมื่อถามถึงแผนงานระยะนี้ เขายิ้มแล้วตอบว่า “ตัวเองแค่เพียงอยากจะตอบแทนสังคมให้มากกว่านี้”  เพราะช่วงนั้นที่ผมเริ่มเข้าสู่วงการนั้น ผมรู้สึกว่าผมได้รับอะไรมากมายจากสังคม ฉะนั้นเลยคิดว่าควรจะทำอะไรบางอย่าง โดยลำพังกำลังผมนั้นคงยาก แต่หากว่าสามารถจะเชิญชวนคนมากมายมาช่วยกัน ก็จะช่วยผู้ประสบภัยได้เยอะมากขึ้น นี่น่าจะเป็นจุดผลักดันในตอนเริ่มต้น”  พูดถึงก่อนหน้านั้นมีสื่อตีข่าวว่าเขาทำเพื่อเอาหน้า ทำเพื่อจะโปรโมทตัวเอง แต่เขาก็ยิ้มแล้วตอบว่า “ ผมไม่กลัวว่าคนอื่นจะพูดอะไร จริงๆแล้วสิ่งที่สำคัญคือสุดท้ายนั้นคุณได้ทำอะไร คุณได้ช่วยเหลือผู้ที่ต้องการการช่วยเหลือจริงๆไหม สำหรับผมนั้นคิดว่าพอใจแล้ว จุดประสงค์อื่นนั้น ผมไม่เคยคิดเลย”

เรื่องความรัก ขอให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ
 
สำหรับผู้ชมแล้ว เรื่องความรักส่วนตัวของเหล่าศิลปินนั้นจะเป็นที่สนใจของชาวบ้านเป็นอย่างมาก เหตุนี้เองผมเลยอยากจะยกผู้หญิงที่เขาเคยร่วมงานต่างๆมาพูดวิจารณ์หน่อย เขาพูดเพียงว่าทุกคนล้วนเป็นผู้ร่วมงานเฉยๆ[/SIZE]  “ปกติแล้วผู้หญิงที่ได้ร่วมงานนั้น ถ่ายทำเสร็จแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป น้อยมากที่จะติดต่อกันอีก เช่น(เรื่อง อีเทียนสู่หลงจี้/ดาบมังกรหยก) ได้ร่วมงานกับนางเอกเจียจิ้งเหวิน (Jia Jing Wen) ตอนนั้นเขายังโสดอยู่เลย แต่ตอนนี้เขาเป็นคุณนายของคนอื่นไปแล้ว (หัวเราะ) ฉะนั้นพูดกันตรงๆเลย ผมก็ไม่ค่อยชัดเจนว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง ฉะนั้นเลยไม่กล้าไปวิจารณ์นัก"
 
ข้อมูลในเว็ปของโหย่วเผิงนั้น สิ่งที่ปวดใจที่สุดคือเวลาที่อกหัก เมื่อผมได้ยกเรื่องนี้มาถาม เขาคิดครู่หนึ่ง สีหน้าไม่สู้ดีแล้วขอโทษผมว่าตอนสมัยเรียนมัธยมตอนปลายนั้นเรียนในโรงเรียนชายล้วน โดยเฉพาะช่วงมัธยมปลายเสี่ยวหู่ตุ้ยก็ดังระเบิดขึ้น เหตุนี้ผู้ชายในห้องจะไปจีบผู้หญิงที่อื่นแล้ว ก็ล้วนไม่อยากให้ผมไปด้วย“พวกเขาคงกลัวผมแย่งพวกเขา ตัวเองก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน ฉะนั้น ปกติแล้วจะไม่ไปกับพวกเขา” อย่างไรก็ตามแค่อย่างนี้คุณก็คิดว่าโหย่วเผิงไม่ทางไปจีบผู้หญิงแล้วหรือ คุณคิดผิดแล้ว สำหรับเขาแล้ว เขามีวิธีการที่เป็นความลับที่ไม่ยอมเปิดเผย “ความลับนี้ผมบอกไม่ได้เด็ดขาด ฮ่าๆๆ” ดูเขาที่แอบยิ้มแอบหัวเราะ เวลานี้ ภาพแห่งขวัญใจในอดีตนั้นก็แสดงออกมาให้เห็นเล็กน้อย
 
ความรักของตัวเองนั้นจะให้เป็นไปตามธรรมชาติ การสร้างครอบครัวสำหรับเขานั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ หลายปีนี้ ได้ไปถ่ายทำที่จีนนานพอสมควร ไม่ง่ายที่จะมีโอกาสกลับมาที่ไต้หวัน เมื่อได้กลับมาแล้ว ก็ได้ถอดคลาบกลายเป็นคนทั่วไปอิสระคนหนึ่ง “นั่นเป็นที่ที่ปลอดภัยและไม่ต้องแสร้ง ไม่มีอะไรมาทำให้คุณต้องลำบากใจ พูดตรงๆ ผมเป็นคนทำความสะอาดไม่ค่อยเป็น ฉะนั้นในห้องนอนผมนั้นไม่ว่าจะเป็นการจัดวางหรือการตกแต่งก็จะเรียบง่าย” โหย่วเผิงใช่จะเป็นคนที่รักตัวเอง แต่ว่าทุกครั้งเมื่อมีผลงานที่แสดงมาไม่เลวนั้น เขาก็จะเอามาให้ครอบครัวได้ชมกัน ในเรื่อง(เย่ออ้าย)นั้น เขารับบทเป็นผู้ป่วยทางจิต ชมจนคุณอาของตัวเองน้ำตาไหลเลย “สิ่งนี้จะทำให้ผมมีความสุขมากกว่าการชมผม เพราะพวกเขาดูแลผมแต่ยังเด็ก ถือเป็นคนใกล้ชิดมาก เมื่อเขาได้เห็นถึงอีกมุมหนึ่งในบทของผมนั้น และทั้งยังประทับใจกับบทที่ร้ายๆของผมนั้น สำหรับผมแล้วความรู้สึกสำเร็จอย่างนี้นั้นก็ไม่ต่างอะไรการความรู้สึกที่รับรางวัลเลย”



ส่วนตัวของโหย่วเผิงนั้นก็ไม่แตกต่างไปจากวัยรุ่นทั่วๆไป ได้ถือกล้องถ่ายโน่นถ่ายนี่ เมื่อเล่น ipod แล้วเหมือน กับเซียนเลย  ปี 2009 สำหรับเขาแล้วเป็นปีแห่งการศึกษา ทั้งเพลงพื้นเมือง ละครเพลง ภาษาอังกฤษไม่เคยขาดเลย บทบาทแต่ละบทที่รับมานั้นล้วนไม่เหมือนกัน การท้าทายเหล่านี้สำหรับเขาแล้ว เหมือนกับเป็นการเล่นเกมส์ เขาสนุกกับสิ่งเหล่านี้ เขาจะไม่เหมือนเมื่อก่อนที่คิดหน้าคิดหลังจนเครียด ไม่ว่าจะเป็นพวกเสียงปรบมือ ช่อดอกไม้ ชื่อเสียงต่างๆเหล่านี้เขาผ่านมาแล้ว และไม่ให้ความสำคัญกับมันด้วย เขาในวันนี้นั้น ขอเพียงทีละก้าว กับช่วงปีวัยที่ต่างกันนั้น จะนำสีสันที่ต่างกันมาให้กับตัวเอง

4079
Magazine Interviews-China / Re: 2009 iLady ฉบับเดือน ตุลาคม 2009
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 10:22:47 PM »

บทเอกกับบทรอง

ดูเว็ปของโหย่วเผิงแล้ว ชื่อเว็ปนั้นได้เขียนสามคำว่า เป็นบทรอง ขณะที่ฉันไม่เข้าใจก็รีบโยนคำถามนี้ให้กับเขา เขาได้ตอบกับผมอย่างใจเย็นๆไม่รีบร้อนว่า “บทเอกนั้นเล่นมานานแล้ว แน่นอนก็จะมีการเบื่อ ก็เลยตั้งชื่อว่าบทรอง ตลอดเวลาผมนั้นอาจเล่นอะไรที่มันโหดๆ โดยเฉพาะที่เข้าสู่วงการแสดงมานานขนาดนี้แล้ว ผมหวังว่าตัวเองจะมีบุคลิกที่ทุกคนยอมรับได้ แต่ไม่ใช่เหมือนกับภาพลักษณ์ในอดีตที่ถูกห่อหุ้มไว้อย่างดีอย่างนั้น สิ่งเหล่านั้นผมเบื่อหน่ายแล้ว”

จริงๆ ในเว็ปของเขานั้น คุณจะไม่เห็นรูปหรืออะไรที่เหมือนกับศิลปินคนอื่นอย่างนั้นเลย ส่วนมากจะเป็นรูปขาวดำมากกว่า สิ่งที่ให้เห็นได้คือการจิตนาการ โดยเฉพาะให้บรรยากาศที่แฟนคลับจากไป โหย่วเผิงหัวเราะแล้วบอกว่าตัวเองนั้นชอบความโหด เขาไม่ชอบอะไรที่มีระบบระเบียบ สงสัยอาจจะเป็นเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกคนเห็นภาพลักษณ์ของเขาเพียงว่าเป็นไกวๆหู่เท่านั้น แต่ว่าอีกมุมหนึ่งเขาก็มีความทุกข์ของเขา การท้าทายและการปฏิวัตินั้นเป็นสิ่งที่คนราศีกันย์ชอบทำกัน รวมทั้งโหย่วเผิงด้วย

เมื่อย้อยเวลาไปสู่อดีต ตอนที่โหย่วเผิงยังเป็นนักเรียนอยู่นั้น ภาพสวมหมวกช่างยนต์ แต่ผลการเรียนนั้นกลับแย่มาก ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาแล้วมีเซลของช่างฝีมือ  ตอนนั้นทั้งนักเรียนและครูก็คิดว่าเขาน่าจะเป็นอาจารย์หรือหมอในวันข้างหน้า ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเดินสู่เส้นทางบันเทิง หรืออาจจะเป็นเพราะเขาพยายามจะฝืนตัวเอง  “ขณะที่เรียนอยู่นั้นผมพยายามที่จะค้นหาสิ่งต่างๆ ผมในวันนี้นั้นความรู้สึกมากกว่าความเป็นจริง กับตอนสมัยเด็กๆนั้นต่างกันสิ้นเชิง”


ความเครียดเป็นสิ่งที่ตัวเองทำขึ้นเอง

ดาราทุกคนนั้นไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ย่อมมีความเครียด บางครั้งเป็นความเครียดจากการเรียกร้องของค่าย บางครั้งเป็นความเครียดจากสื่อ บางครั้งนั้นก็มากจากแฟนคลับของตัวเอง สำหรับมุมมองของโหย่วเผิงนั้น ความเครียดที่ใหญ่ที่สุดนั้นมาจากตัวเอง ในเมื่อตั้งใจอยากจะทำให้ดีที่สุด ฉะนั้นการแสดงทุกครั้งนั้น เขาจะแคร์มากว่าตัวเองทำได้ดีที่สุดหรือยัง ไม่ว่าจะเป็นการจัดอันดับ หรือตั๋วขายดีไหม ...เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ “ผมจะให้ความสำคัญกับการแสดงของตัวเอง เช่น เรื่องนี้ผมแสดงยังไม่ดีพอหรือตัวเองทำไม่สุดๆ ผมจะบีบตัวเองต้องทำให้ได้ หากว่า ในเรื่องนี้นั้น ผมแสดงออกมาไม่ค่อยดี แม้จะมีคนมากมายบอกว่าดีแล้ว แต่ผมเองก็ยังมานั่งเสียใจเหมือนกัน”

เมื่อมีความเครียด แน่นอนจะต้องหาวิธีที่จะระบาย สำหรับคนมากมายแล้วจะบอกว่า การไปออกกำลังกายก็เป็นวิธีหนึ่งเหมือนกัน โหย่วเผิงก็คิดอย่างนั้นด้วย สำหรับเขาแล้ว การออกกำลังกายนั้นไม่เพียงจะคลายเครียด ยังเป็นการเตรียมตัวสำหรับงานใหม่อีกด้วย เช่นงานต่อไปที่เขาจะต้องไปถ่ายภาพยนร์เรื่อง อณาจักรปลาคน ของฮอลลีวูด ในเรื่องเขารับบทเป็นนักรบ จำเป็นต้องฟิตหุ่นตัวเอง นอกจากนี้แล้ว การหาเพื่อนคุยก็เป็นอีกทางหนึ่งด้วย เพื่อนสนิทของเขานั้นส่วนใหญ่ไม่ใช่คนในวงการ แต่เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เล่นโตด้วยกัน เขาเป็นคนชอบคบเพื่อนเก่า ท่ามกลางเพื่อนเก่านั้น สามารถทำให้เขาลืมไปเลยว่าเขาเป็นดารา “การเป็นศิลปินดาราของผมนั้นไม่ทำให้เพื่อนเก่าของผมเครียดในเรื่องนี้เลย แต่กลับกัน เหตุที่อยู่ข้างนอกนานๆ บางทีก็เอานิสัยที่ไม่ค่อยดีติดไม้ติดมือมาด้วย พวกเขายังว่าผมว่าเป็นพวกหัวโต ผมรู้สึกว่าการที่อยู่กับพวกเขานั้นมันสบายมาก” และทางเพื่อนเก่าของเขาก็แคร์ท่าทางกิริยาบทของเขาเหมือนกัน ตอนที่ (อีเทียนสู่หลงจี้/ดาบมังกรหยก )ออกฉายนั้น มีเพื่อนหลายคนได้ให้กำลังใจเขาโทรไปหาเขา ยินดีกับผลงานของเขามากๆ ในเวลานั้น ทำให้ผมอบอุ่นใจมาก

4080
Magazine Interviews-China / Re: 2009 iLady ฉบับเดือน ตุลาคม 2009
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 10:09:49 PM »

ผมล้วนเคยมีสิ่งเหล่านั้น

บนเวที มีหนุ่มหล่อสามคนทั้งเต้นทั้งร้อง ทำให้คนที่อยู่ข้างล่างกรี้ดอย่างไม่หยุด เป็นนักร้องขวัญใจแต่เด็ก ที่ใดมีชายหนุ่มสามคน (เสี่ยวหุ้ยตุ้ย) ก็ล้วนมีแฟนคลับของพวกเขา และในบรรดาสามคนนั้นชายหนุ่มที่เด็กที่สุดมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มเต็มด้วยเสน่ห์ที่ทำให้หัวใจสาวๆแทบจะเต้นออกมา หลายปีผ่านไป เป็นช่วงเวลาแห่งเวทีละคร เสน่ห์ของ "พี่ฉงเหยา" ไม่เคยหยุด ทุกคนก็ล้วนจำภาพของเสี่ยวเยี่ยนจื่อ ในเวลาเดียวกันก็จำ "อู่อาเกอ" เข้าไปในสมองด้วย วันเวลาล่วงไป ค่ายใหญ่ในเมืองจีนอย่างค่ายหัวอี้นั้น ได้ให้เขาไปยืนอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งเป็นที่ใหม่สำหรับเขา เมื่อต้องเผชิญกับเกียรตินี้ โหย่วเผิงยิ้มแล้วได้แค่พูดเพียงว่า “แค่อดีตเคยมีก็พอแล้ว”
 
วันที่สัมภาษณ์โหย่วเผิงนั้น ก็วันฉลองของค่ายหัวอี้ด้วย และสำหรับพวกเราแล้ว ภาพลักษณ์เขาก็จะหยุดอยู่ตรง จางอู่จี้(เตี้ยบ่อกี้) , อู่อาเกอ(องค์ชายห้า)  หรือแม้กระทั่งตอนแรกเริ่มคือเสี่ยวหู่ตุ้ย แต่ว่าพวกเราได้ลืมคำถามหนึ่งไป ศิลปินก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน ก็ได้เติบโตขึ้นเหมือนกับพวกเรา ขนาดอายุของเรานั้นยังโตขึ้นทุกๆวัน การที่ขวัญใจของเราที่ร่วมเติบโตกับเรานั้นจะโตขึ้นก็ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก โดยเฉพาะสำหรับโหย่วเผิงแล้ว สิ่งที่เกลียดที่สุดคือความเดิมๆ” การท้าทายนั้นเป็นสิ่งที่เขาจะทำ


ผมจะเปลี่ยนแปลงไปตลอด

เริ่มจากการเป็นนักร้องขวัญใจมาสู่นักแสดงละครโทรทัศน์ หลังจากที่ได้เซ็นสัญญากับทางค่ายหัวอี้แล้ว เขาได้ทุ่มเทเวลาให้กับงานภาพยนตร์มากขึ้น โหย่วเผิงนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อก่อนนั้น เขาอาจจะชื่นชอบที่คนอื่นขนานนามว่าขวัญใจ ชื่นชอบในเสียงกรี้ดกราดของแฟนคลับต่างๆ แต่ ณ วันนี้ เขาอยากจะให้เรามองเขาว่าเป็นนักแสดงคนหนึ่ง การจะเป็นผู้ใหญ่หรือการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสิ่งที่เขาแสวงหาตลอดมา

พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของก่อนหน้านี้ โหย่วเผิงพูดตรงๆว่าการปรับท่าที่ของจิตใจนั้นสำคัญมากๆ “จะนับว่าผมได้หันไปสู่การแสดงเป็นทางการนั้นน่าจะเป็นเรื่ององค์หญิงกำมะลอ ในตอนนั้น สำหรับเรื่องการแสดงละครแล้วถือว่าเป็นสิ่งใหม่มากๆ ไม่รู้อะไรเลย แม้ว่าก่อนหน้านั้นเคยเล่นละครขวัญใจของไต้หวันมาแล้วก็ตาม แต่มันไม่ใช่ละครที่มีมาตรฐานที่สูงอย่างนี้

ฉะนั้นเมื่อคุณจะหันไปเป็นนักแสดงอย่างจริงๆจังๆแล้ว จะต้องยอมรับความจริงว่าคุณนั้นเป็นน้องใหม่คนหนึ่ง ต้องเอาความสำเร็จในอดีตเหล่านั้นทำให้เป็นศูนย์หมด เมื่อดูจากเรื่ององค์หญิงกำมะลอในภาคหนึ่งและภาคสองของเขาแล้วก็จะเห็นว่าฝีมือการแสดงของเขานั้นพัฒนาขึ้นมาก

แล้วที่เกี่ยวกันว่าทำไมไม่ทำภาคที่สามล่ะ ทางโหย่วเผิงยิ้มแล้วตอบว่า “มาถึงวันนี้ยังมีแฟนคลับที่อยู่ในหัวคุณยายอยู่”  เพราะในสมองพวกเขาจำภาพลักษณ์ของโหย่วเผิงเป็นไกวๆหู่เท่านั้น สำหรับโหย่วเผิงแล้ว อย่างน้อยก็ต้องผอึดผอมบ้าง เพราะเขาต้องมีการท้าทายที่ต้องเปลี่ยนบุคลิกของตัวเอง

จากจุดนี้อยากจะสื่อให้ทุกคนเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเขา เช่นได้ร้องเพลงพื้นเมืองในเรื่อง(ตามหาพี่หลิว) เล่นบทนักร้องละครเวทีในเรื่อง(เฟิงเซิง) ยิ่งกว่านั้นยังรับบทเป็นนักรบปลาคนในภาพยนตร์ของฮอลลีวูด แม้ว่าเริ่มตั้งแต่เข้าสู่วงการก็มีภาพลักษณ์ที่ดีมาตลอด เหตุผลนี้ไม่ทำให้เขารีบปฏิเสธบทที่ดูเหมือนร้ายๆ  “การเป็นนักแสดงนั้น ใช่ว่าฉันแสดงอะไร ตัวเองก็เป็นอย่างนั้น ผมเชื่อว่าแฟนคลับที่ได้ร่วมเติบโตมากับผมนั้น พวกเขาเข้าใจว่านี่เป็นการแสดงไม่ใช่ชีวิตจริง ฉะนั้นผมเลยไม่ได้ปฏิเสธบทร้ายๆอย่างนี้”

หน้า: 1 ... 202 203 [204] 205 206 ... 216