แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Alec Love Me

หน้า: 1 ... 200 201 [202] 203 204 ... 216
4021
Alec's Albums / Re: 2000 Are You Happy or Not?
« เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 01:07:39 PM »
<a href="http://www.tudou.com/v/2V5-zmJqtb8/" target="_blank" class="new_win">http://www.tudou.com/v/2V5-zmJqtb8/</a>

09. 把美眉 / Ba Mei Mei

今天鐵定是我的 Lucky Day
Pub 裡面放眼都是漂亮美眉
有的等人去搭肩 有的對我拋媚眼
看準目標見機哈拉一ㄊㄨㄚ請她喝一杯
美眉 男人都是有點壞的
你小心別被甜言蜜語騙了
學著欲擒故縱才是對的
可是千萬別說我教你的
Call 機上閃著0358 530 (你想我嗎 我想你)
可是身邊還帶了一個漂亮的美眉
算了還是別回電 讓她等等無所謂
男人不壞女人不愛真是至理的名言
美眉 男人是很愛面子的
偷吃的感覺不是你能懂的
像我這麼可愛不多了
選我保證你不會被騙的
美眉 請相信我是無辜的
所有招數都是為了討好你的
孫悟空也逃不出 你的如來佛掌心
我的所有壞的習慣都是因為你變好的

ป่าเม่ยเหมย

จินเทียนเที่ยติ้งซื่อหว่อเตอ lucky day
pud หลี่เหมี้ยนฝ่างเหยี่นโตซื่อเพี้ยวเลี่ยงเม่ยเหมย
โหย่งเตอตึ่งเหยินชี่วตาเจียน โหย่งเตอตุ้ยหว่อเพาเม้ยเหยี่น
คั่นจุ่นมู่เปียวเจี้ยจีฮาลาอีถัวฉิงทาเฮออี้เปย
เม่ยเหมยหนานเหยินโตโหย่วเตี่ยนไหว่เตอ
หนี่เสี่ยวซินเปยเป่เทียนเหยีนมี่หยีเพี้ยนเลอะ
เซียเจออี้ฉินกู้โจ้งฉายซื่อตุ้ยเตอ
เคอซื่อเชียรว่านเปยซัหว่อเจียวหนี่เตอ
CALL จีสร้างสั่นเจอ 0358 530 ( หนี่เสี่ยงหว่อมาหว่อเสี่ยงหนี่ )
เคอวื่อเซินเปียนหายใต้เลอะอี้เคอเพี้ยวเลี่ยงเตอเม่ยเหมย
ส้วนเลอะหายซื่อเปยฮุ้ยเตี่ยนย่างทาเติ่งๆอู๋ซั่วไว๊ย
หนานเหยินปู้ไหว้หนี่เหยินปู้อ้ายเจินซื่อจื่อหลี่เตอเมิงเหยีน
เมยเหมยหนานเหยินซื่อเหิ่นอ้ายเหมี้ยนจื่อเตอ
โทรชือเตอกั่นเจี่ยปู้ซื่อหนี่เหนิงโต่งเตอ
เซี้ยงหว่อเจอเมอเคออ้ายปู้ตัวเลอะ
เซี่ยวหว่อเป่าเจินหนี่ปุ้ฮุ้ยเปยเพี้ยนเตอ
เมยเหมยฉิ่งเซียงสิ้นหว่อซื่ออุ๋กูเตอ
สั่วโหย่วจ่าวสุ้โตซื่อโว๊ยเลอะเถาเห่าหนี่เตอ
ซุนอู่คงเย่เถาปุ้ชู หนี่เตอหยูหลายฝอจ่างซิน
หว่อเตอซั่วโหย่วไหว่เตอซีก่วนโตซื่ออินโว๊ยหนี่เปี้ยนเห่าเตอ


จับคิ้วงาม / Chasing girls

วันนี้เป็นวันโชคดี ของฉันแน่นอน100%
Pub ข้างในขยายสายตาล้วนเป็นคนสวย คิ้วงาม
มีบ้างรอคนไปพาดไหล่ มีบ้างประสพสายตาที่น่าพิสมัยต่อฉัน

เห็นชัดเป้าหมายเมื่อมี โอกาสแฮฮากันเลี้ยงหล่อนสักแก้ว
คิ้วงาม ผู้ชายล้วนเป็นคนเจ้าชู้หน่อย
เธอระวังนะ อย่าถูกวาจาที่หวานฉ่ำหลอกไป

ฝึกไว้จับมันให้อยู่หมัด แล้วแสร้งทำเป็นปล่อยไปถึงจะถูก
แต่ว่าอย่าพูดเด็ดขาดว่า ฉันเป็นคนสอนเธอ
โทรศัพท์มือถือเลข0358530 โชว์ว่า ( เธอคิดถึงฉันมั๊ย ฉันคิดถึงเธอ )

แต่ว่าข้างกาย ยังพาคิ้วงามคนสวยคนหนึ่งมา
ขอที่เถอะอย่าตอบกลับเลย ให้หล่อนคอยหน่อยไม่เป็นไร
ผู้ชายไม่เจ้าชู้ ผู้หญิงไม่รักเป็นคติพจน์อันเป็นสัจจะจริงๆ

คิ้วงาม ผู้ชายเป็นคนที่รักหน้าตามาก
ความรู้สึกในการขโมยกิน เธอไม่สามารถเข้าใจได้
น่ารักเหมือนอย่างฉัน มีไม่มาก

เลือกฉันประกันว่าเธอจะไม่ถูกหลอก
คิ้วงาม เชิญเชื่อฉัน จะไม่มีความผิด
วิทยายุทธทั้งหมด ล้วนเป็นเพื่อเอาใจคุณ

ซุนอู่คง ก็หนีไม่พ้นฝ่ามือ อรหันต์ของเธอ
ความเคยชินที่ไม่ดีทั้งหมด ของฉันล้วนเพราะเธอได้เปลี่ยนดีขึ้น

4022
Alec's Albums / Re: 2000 Are You Happy or Not?
« เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 01:04:08 PM »
<a href="http://www.tudou.com/v/cU9U_uh4O68/" target="_blank" class="new_win">http://www.tudou.com/v/cU9U_uh4O68/</a>

08. 真的愛過就好 / Zhen De Ai Guo Jiu Hao

那位DJ 還是放了我們的歌
卻是在你我 分手後的第三個夜晚
他遺憾 收到信已太晚
我明白 這誰也不能怪 不能怪
閉上雙眼 昨天就會隱隱出現
愛雖然走了 那些回憶不會自生自滅
我遺憾 曾那麼的相愛
你應該 別困著自己 不醒來
你知道 我知道 只要真的愛過就好
愛裡我們成長 我們依靠
就算結果 誰也不想要
你知道 我知道 只要真的愛過就好
今後那個胸膛 讓你擁抱
這一首歌 為祝福你而唱

เจินเตออ้ายกั้วจิ้วเห่า

น่าโว๊ย ดี เจ หายซื่อฝ่างเลอะหว่อเมินเตอเกอ
เชี้ยซื่อจ้ายหนี่หว่อ ฝืนโซ่วโห้วเตอตี้ซันเกอเย่หวั่น
ทาอี้หั้น โซวเต้าสิ้นอี่ไท้หวั่น
หว่อเมิงไปย เจอสุ้ยเย่ปู้เหนิงไก้วๆๆๆ
ปีส้างทรวงเยี่น จั้วเทียนจิ้วฮุ้ยอิ่นๆชูเสี้ยน
อ้ายสุยหยานโจวเลอะ น่าฮุยอี้ปู้ฮุ้ยจื่อเซิงจื่อเมี่ม
หว่ออี้หั้น เฉิงนาเมอเตอเซียงอ้าย
หนี่เอิงกาย เปียคุ้นเจอจื่อจี่ ปู้สิ่งหลาย
หนี่จือเต้า หว่อจือเต้า จื่อเย้าเจินเตออ้ายกั้วจิ้วเห่า
อ้ายลี่หว่อเมินเฉิงจ่าง หว่อเมินอีข้าว
จิ้วส้วนเจี่ยกลัว สุ้ยเย่ปู้เซียงเย้า
หนี่จือเต้า หว่อจือเต้า จื่อเย้าเจินเตออ้ายกลั้วจิ้วเห่า
จินโฮวน่าเกอโซงถัง ยางหนี่โหย่งเป้า
เจออี้โซ่วเกอ โว๊ยจูฟูหนี่เออชั่ง


เคยรักจริงแล้วก็ OK / As long as we had feelings

DJ ผู้นั้น ยังคงเปิดเพลงของพวกเรา
แต่เป็นการหลังจาก แยกทางในคืนที่สามระหว่างเธอกับฉัน
เขาเสียใจ ได้รับจดหมายก็สายไปเสียแล้ว

ฉันเข้าใจนี้ ใครก็ไม่สามารถกล่าวโทษ
ปิดสองตาไว้ เมื่อวานก็จะปรากฎอย่างลับๆ
รักถึงแม้ไปแล้ว อดีตเหล่านั้นเกิดขึ้นเองและดับสูญเองไม่ได้

ฉันเสียใจ เคยรักกันเช่นนั้น
เธอสมควร อย่ากักขังตัวเองไว้ ไม่ตื่น
เธอทราบ ฉันทราบ ขอเพียงเคยรักจริงก็ ok

ตั้งแต่วันนี้ให้เธอโอบกอดหน้าอกนั้น
บทเพลงนี้ ร้องเพื่ออวยพรเธอ


4023
Alec's Albums / Re: 2000 Are You Happy or Not?
« เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 12:59:52 PM »
<a href="http://www.tudou.com/v/LAcs3p_DCdE/" target="_blank" class="new_win">http://www.tudou.com/v/LAcs3p_DCdE/</a>

07. 我一直都在 / Wo Yi Zhi Dou Zai

用時間慢慢計算 相愛到什麼階段
我不懂收放懂了愛 你教我怎樣看
別害怕短暫的離開 有兩個人的相愛
也許不如預期精彩 希望你愛我的平凡
我一直都在 你可以期待
愛你我什麼都能置身事外
昨天會走遠 明天就快來
時間距離的轉換 我努力讓它簡單
我一直都在 因為你期待
這世界荒唐多變輿你無關
別人的遺憾 我們都明白
要是一點點變淡 就一點點讓它回來
心不用有空白 我照著那個形填滿
離不開 就定下來
不管我現在在不在

หว่ออี้จือโตจ้าย

โหย้งซือเจียนมั่นๆจี้ส้วน เซียงอ้ายเต้าเสอเมอแจต้วน
หว่อปู้โต่งโซวฝ่างโต่งเลอะอ้าย หนี่เจียวหว่อเจินเมอคั่น
เปียไห้ผ้าต้วนจั้นเตอหลีคาย โหย่งเหลี่ยงเกอเหยินเตอเซียงอ้าย
เย่ซี่ปู้หยูอี้ชีจิงไฉ่ ซีว่างหนี่อ้ายหว่อเตอผิงฝัน
หว่ออี้จือโตจ้าย หนี่เคออี่ชีใต้
อ้ายหนี่หว่อเสอเมอโตเหนิงจื้อเซินซื่อไหว้
จั้วเทียนฮุ้ยโจวเหยี่น หมิงเทียนจิ้วไข่วหลาย
ซือเจียนจี้หลีเตอจ่วนฮ้วน หว่อหนู่ลี่ย่างทาเจี่ยนตาน
หว่ออี้จื่อโตจ้าย อินโว๊ยหนี่ชีใต้
เจอซื่อเจี่ยฮวงถังตัวเปี่ยนอี้หนี่อู๋กวน
เปียเหยินเตออี้หั้น หว่อเมินโตเมิงไปย
เย้าซื่ออี้เตียนๆเปี่ยนตั้น จิ้วอี้เตียนๆย่างทาฮุยหลาย
วินปู้โหย่งโหยวคงไปย หว่อเจ้าเจอน่าเกอสิงเถียนมั่น
หลีปู้คาย จิ้วติ้งเซี่ยหลาย
ปู้ก่วนหว่อเสี้ยนจ้ายจ้ายปุ้จ้าย


ฉันยังคงอยู่ที่นี้ / I am always here

ให้เวลาฉันคำนวนช้าๆ รักกันถึงขั้นตอนไหนแล้ว
ฉันไม่ทราบเก็บวางรักที่ไหน เธอมาสอนฉันว่าดูอย่างไร
อย่ากลัวการจากกันในระยะสั้น ยังมีสองคนที่รักกัน

ฉันอยู่ตลอด เธอสามารถรอคอย
รักเธอ ฉันสามารถเอาตัวออกนอกวงอื่นๆ
เมื่อวานไปไกล พรุ่งนี้ก็จะรีบมา

การผลัดเปลี่ยนของระยะเวลา ฉันพยายามให้มันง่ายๆ
ฉันอยู่ตลอด เพราะเธอรออยู่
โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงมาก แต่ไม่เกี่ยวกับเธอ

ความเสียใจของผู้อื่น พวกเราล้วนเข้าใจ
หากเปลี่ยนรสชาติจืดไปหน่อย ก็ให้มันกลับมาทีละเล็กน้อย
ใจไม่ต้องมีความว่างเปล่า ฉันจะเติมเต็มตามลักษณะนั้น

จากกันไม่ได้ ก็มั่นหมายไว้
ไม่ว่าฉันตอนนี้อยู่หรือไม่อยู่

4024
Alec's Albums / Re: 2000 Are You Happy or Not?
« เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 12:51:55 PM »
<a href="http://www.youtube.com/v/xO0hgANrKwI&amp;feature=related" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/xO0hgANrKwI&amp;feature=related</a>

06. 深愛著妳 / Shen Ai Zhe Ni

在深夜裡一個人去看電影
畫面都是你 演著我的劇情
我淋著雨 混在散場人群裏
雨傘下 你寫的信
已經模糊不清
霓虹中 男男女女
在這麼大的城市裏
有的人悍衛愛情
也有人再也不想提
深愛著你 我永遠愛你
好想念從前單純的你 我沒忘記
深愛著你 永遠不放棄
我知道愛情不是電影 演到這裏
不會再有續集

เซินอ้ายเจ้อหนี่

ไจ้เซินเยี่ยหลี่อีเก้าเหยินชวี้คั่นเตี้ยนอิ่ง
ฮวาเมี่ยนโต๊วซื่อหนี่เหยียนเล้อหว่อเตอจู้ฉิ่ง
หว่อหลินเจ้ออวี่ หุนไจ้ซ่านฉางเหยินชุนหลี่
อวี่ซานเซี่ยหนี่เซี่ยะเตอซินอีจิ้งมอหูปู้ฉิ่ง
หนีฮงจ้งหนานหนานหนี่หนี่ไจ้เจ้อเมอต้าเตอเฉิงซือหลี่
โหย่วเตอเหยินหานเว่ยอ้ายฉิ่ง
เหย่โหย่วเหยินไจ้เหยี่ปู้เสี่ยงถี
เซินอ้ายเจ้อหนี่ หว่อหยงหย่วนอ้ายหนี่
เ***เสี่ยงเนี่ยนฉ่งเฉี่ยนต้านฉุนเตอหนี่
หว่อเหมยวังจี้ เซินอ้ายเจอหนี่หยงหยวนปู้ฟางซี่
หว่อจือเต้าอ้ายฉิ่งปู้ซื่อเตี้ยนอิ่ง
เหยียนเต้าเจ้อหลี่ปู้อู่ยไจ้โหย่วสู้จี๋


รักเธอมากมาย / Deeply in love with you

ในค่ำคืนนี้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งมองภาพยนตร์
ภาพในจอคือเธอที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวของฉัน
ตัวฉันเปือกปอนไปด้วย สายฝนปะปนอยู่ในกลุ่มคนที่เลิกจากการดูหนัง

ใต้ร่มกันฝนตัวหนังสือที่เธอ เคยเขียนไว้เลือนลางไปแล้ว
ท่ามกลางแสงไฟหนุ่มสาวในเมืองใหญ่แห่งนี้
บางคนกำลังปกป้องความรัก

แต่ก็มีบางคนที่อยากจะลืมเลือนมันไป
รักเธอมากจริงๆ ฉันจะรักเธอตลอดไป
เอาแต่คิดถึงอดีตที่มีเธออยู่

ฉันไม่เคยลืมเลย รักเธอมากจริงๆจะไม่ทิ้งตลอดไป
ฉันได้รู้แล้วว่า ความรักไม่ใช่ภาพยนตร์
และการแสดงก็มาถึงตรงนี้ แล้วย่อมไม่มีภาคต่อไปอีก


4025
Alec's Albums / Re: 2000 Are You Happy or Not?
« เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 12:47:20 PM »
<a href="http://www.tudou.com/v/H7ScCCk6Res/" target="_blank" class="new_win">http://www.tudou.com/v/H7ScCCk6Res/</a>

05.你是我的 NO.1 / Ni Shi Wo De No.1

感情也曾有幾段 卻只有你 讓我大轉彎
過去習慣全打翻 眼睛不再團團轉
我專心上班下班 美女也不多看
朋友們都刮目相看
我開車速度放慢 學刪減預算
讓我做你紅毯的那一半
我的真心 我的存款 通通交給你保管
兒女情長 英雄氣短 只要有你作伴
我的小貓 我的家長 都在等你的答案
只要有你 就有美滿 你是我的No.1

หนี่ซื่อหว่อเตอ NO .1

กั่นฉิงเย่เฉิงโหย่งจี่ต้วน เฉี้ยจื่อโหย่วหนี่ ย่างหว่อต้าจ่วนวาน
กั้วอี่วซีก่วนเชียนต่าฟาน เหี่ยนจิงปู้จ้ายถวนๆจ้วน
หว่อจวนซินซั่งปันเสี่ยปัน เหมยหนี่เย่ปู้ตัวคั่น
โผงโหย่วเมินโตกลัวมู่เซี่ยงคั่น
หว่อคายเชอสู้ตู้ฟั้งมั่ม เซียสันเจี่นอี้ส้วน
ย่างหว่อจั้วหงถ่านเตอหน้าอี้ปั้น
หว่อเตอเจินซิน หว่อเตอฉุนค่วน โทงๆเจียวเก่ยหนี่เป่ากวั่น
เออหนี่ฉิงชาง อิงโซงชี่ต่วน จื่อเย้าโหย่วหนี่จั้วปั้น
หว่อเตอเสี่ยวเมา หว่อเตอเจียจั่ง โตจ้ายเติงหนี่เตอตาอั้น
จื่อเย้าโหย่วหนี่ จิ้วโหย่วเหมยมั่น หนี่ซื่อหว่อเตอ ON.1


เธอเป็น no.1 ของฉัน / you are my

ความรักใคร่ก็เคยมีหลายตอน แต่เธอเท่านั้นให้ฉันซัดโค้งใหญ่
ความเคยชินในอดีตล้วนล้มเลิก ลูกตาไม่มีการกลิ้งไปมาอีก
ฉันมีความตั้งใจ ในการไปทำงานแล้วเลิกงาน หญิงงามก็ไม่มีการเหลียวดูมากกว่านั้น

เพื่อนทั้งหลายล้วนมองด้วยสายตาที่ทึ่ง
ฉันขับรถความเร็วช้าลง ฝึกการตัดตอนงบประมาณ
ให้ฉันเป็นพรมแดงครึ่งสวนนั้น

ความจริงใจของฉัน เงินเก็บของฉัน มอบให้เธอเก็บรักษา
หญิงชายรักกันดูดดื่มเหลือเกิน วีรบุรุษท้อแท้ใจ ขอให้มีเธอเป็นเพื่อน

ลูกแมวของฉัน ผู้ปกครองของฉัน ล้วนรอคำตอบของเธออยู่
ขอให้เพียงมีเธอ ก็จะสมบูรณ์ เธอเป็น no 1 ของฉัน






4026
Alec's Albums / Re: 2000 Are You Happy or Not?
« เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 12:43:05 PM »
<a href="http://www.tudou.com/v/H-WfCX3wVFU/" target="_blank" class="new_win">http://www.tudou.com/v/H-WfCX3wVFU/</a>

04.我們怎麼會愛成這樣 / Wo Men Zen Mo Hui Ai Cheng Zhe Yang

如果你看完這封信 請你不要悲傷
即使我己經走遠 在沒有你的某一個地方
痛苦多於快樂的我們 和想像不一樣
你要往那個方向 Just open your arms
僅管去飛吧 就當做我們誤會一場
不管是誰誤了誰 不管我多麼捨不得
愛無法逞強
想飛就飛吧 我們怎麼會愛成這樣
你從來不夠堅強 但願你選擇恨我
哭過就把我遺忘
兩顆錯放在一起的心 怎麼做都不夠
找到幸福的時候 Just let me know

หว่อเมินเจิ้นเมอฮุ้ยอ้ายเฉิงเจ่อย่าง

หยูกั่วหนี่คั่นหวานเจ่อเฟิงสิ้นฉิ่งหนี่ปู้เย้าเปยซัง
จีสื่อหว่ออี่จิงโจวเหยี่วน จ้ายเหมยโหย่งหนี่เอโม่อีเก้อตี้ฟาง
โถ้งขู่ตัวอี้คั้วเลอะเตอหว่อเมินเหอเสี่ยงเซี่ยงปุ้อี้ย่าง
หนี่เย้าหว่างหน้าเกอฟางเซี่ยง JUST OPEN YOUR ARMS
จิ๋นก่วนชี่วเฟยปา จิ้วตังจั้วหว่อเมินอู๊ฮุ้ยอี้ฉาง
ปู้ก่วนซื่อสุ้ยอู๊เลอะสุ้ย ปู้ก่วนหว่อตัวเมอสื่อปู้เตอ
อ้ายอู้ฟ่าเฉิงเฉียง
เสี่ยงเฟยจิ้วเฟยปา หว่อเมินเจิ้นเมอฮุ้ยอ้ายเฉิงเจ่อย่าง
หนี่โฉงไหลปู้โก้วเจียนเฉียง ตั้นเหยี้นหนี่เซี่ยนเจ้อเหิ่นหว่อ
คูกั้วจิ้วป่าหว่ออีว่าง
เหลี่ยงเคอฉั้วฟ่างจ้ายอี้ฉี่เตอซิน เจิ้นเมอจั้วโตปู้โก้ว
เจ่าเต้าซิ่งฝูเตอซื่อโฮว JUST LET ME KNOW


ทำไม่พวกเรารักจนเป็นอย่างนี้ได้ / Why is our love this way

หากเธอดูจดหมายนี้จบกรุณาอย่าเศร้าโศก
ถึงแม้ฉันจะไปไกลแล้ว อยู่ที่ๆแห่งหนึ่งไม่มีเธอ
เจ็บปวดมากกว่า สุขของพวกเราต่างกันกับที่จินตนาการไว้

เธอจะไปยังทางทิศไหน just openyourarms
พยายามบินไปเถิด ถือว่าเป็นการเข้าใจผิดช่วงหนึ่ง
ไม่ว่าใครเข้าใจผิดใคร ไม่ว่าฉันจะอาลัยอาวรณ์แค่ไหน

ความรักไม่อาจอวดดี
อยากจะบินก็บินไปเถิด ทำไมพวกเรารักจนเป็นอย่างนี้ได้
เธอแต่ไหนมาเข้มแข็งไม่พอ หวังว่าเธอเลือกที่จะเกลียดฉัน

ร้องไห้แล้วลืมฉันไปเสีย
ใจสองดวงที่เข้าใจผิด เรียงอยู่ด้วยกัน ทำอย่างไรก็ไม่พอ
ที่จะหาพบยามที่มีสุข

4027
Magazine Interviews-China / Re: ม.ค. 2010 V World Life
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 12:46:14 PM »

เมื่อได้ถามถึงอะไรที่เขาชอบที่สุด เขาคิดไปกว่าครึ่งวัน สุดท้ายเขาพูดอย่างตรงๆ ชอบกินแล้วขี้เกียจ
 
จริงๆแล้วสิ่งที่โหย่วเผิงชอบคือ การสะสมซีดี เขาที่มาจากการเป็นนักร้อง มาจนถึงวันนี้อาชีพดั้งเดิมเขายังไม่เคยลืมเลย เพียงแต่ “การที่จะทำอัลบั้มสักหนึ่งอัลบั้มนั้นมันต้องใช้เวลาพอสมควร มันใช้เวลามากจนเกินไป”

 
หลายปีมานี้ เขาบอกว่าเขาจะขอทุ่มเทให้กับงานภาพยนตร์ ความตั้งใจมุ่งมั่นของเขาคือ สามารถจะเลือกบทเล่นได้ รอคอยที่จะเล่นบทที่ท้าทาย ถ้าละครทีวี วันหนึ่งจะต้องถ่ายหลายๆ ฉาก มันเหมือนการซ้ำซาก แต่ภาพยนตร์มันต่างกัน  มันละเอียดอ่อนมากๆ พิถีพิถันด้วย ทำให้คุณเข้าสัมผัสถึงตัวละครนั้นได้เลย  มีความหลากหลายในการจะแสดงออกมา อย่างไรก็ตาม อนาคตหากว่าได้เจอบทไป๋เสี่ยวเหนียนอย่างนี้อีกนั้น มันจำต้องมีโชคด้วย โหย่วเผิงได้กล่าวไว้อย่างนี้
 
จากขวัญใจวัยรุ่นสู่นักร้องละครเพลง(งิ้ว) ย้อนหันดูเส้นทางนี้ มันก็ไม่หนักหนาเท่าไหร่ โหย่วเผิงที่เริ่มต้นด้วยการที่ไม่ค่อยกล้าทำอะไร เหมือนกับการร้องเพลงของเขานั้นธรรมชาติ แสดงได้ธรรมชาติ เล่นละครขวัญใจได้ธรรมชาติ แสดงเรื่องไขปริศนาก็ธรรมชาติมาก พริบตาเดียว10 กว่าปีก็ได้ผ่านไปแล้ว แน่นอนโหย่วเผิงจะมีภาพลักษณ์ขวัญใจใสๆตลอดกาลนั้น  เป็นไปไม่ได้  ตัวเขาเองก็ยังได้พูดว่า  การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของผู้ชายนั้นมีหลายขั้น  ความมีอารมณ์ขำ  ความรับผิดชอบ การให้อภัย  สิ่งเหล่านี้ที่เข้ามาในชีวิตล้วนได้ฝากรอยแผลเอาไว้

พอดีเวลานี้นั้น โหย่วเผิงได้ใส่เสื้อสีขาว ถุงมือสีดำและมีใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ชีวิต เวลายิ้มนั้น บางที่เห็นฟันทั้ง 32 ซี่เลย กำลังจะชมเขา เขาได้ยืนขึ้นแล้วถอดเข็มขัดลงมาวางไว้ แล้วบอกว่าเหนื่อยมากๆ
ดูแล้ว เชื่อเขาพูดตัวเขา  “เข้าไปในห้องฟิตเนส จะต้องมีครูฝึกสอนคอยประกบ ไม่งั้นจะแอบขี้เกียจ” และในชี้วิตของเขานั้นก็จะปล่อยไปตามธรรมชาติ แล้วแต่โชคชะตา พยายามที่จะเข้าใจผู้อื่น และต้องดูอารมณ์วันนั้นด้วย



เคยมีนิตยสารฉบับหนึ่ง ได้ลงเขียนยี่ห้อที่เขาชอบ เขายิ้มแล้วพูดว่า “มีหรือ” ผมเคยพูดไว้เมื่อไหร่กัน เสื้อผ้าก็เสมือนเงินทอง เป็นของนอกกาย ผมต้องการสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจมาประดับตัวเองมากว่า” คำนี้ตอนแรกๆ ฟังแล้วรู้สึกแสลง แต่เมื่อค่อยๆไปคิด  ก็เริ่มรู้สึกว่ามันคล้ายกับไป๋เสี่ยวเหนียนเลย
 
และได้พูดคุยถึงสมัยวัยหนุ่มอย่างไม่ตั้งใจ โหย่วเผิงได้กล่าวออกมาไม่กี่คำ แล้วก็รีบบอกว่า “เปลี่ยนเรื่องพูดดีกว่า” เขาไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดเรื่องอดีต แต่อยากจะให้ความรุ่งเรืองของช่วงนั้นเป็นแค่ความทรงจำ เป็นของตนเองเพียงคนเดียว
 
เขาที่ถูกจ้องมองจากสายตานับหมื่นแสน และผ่านเวทีมาแล้วมากมาย โหย่วเผิงบอกว่าตัวเองก็ยังเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน  และความหวังที่ใหญ่ที่สุดคือ ได้ไปท่องเที่ยวสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักเขา เชื่อว่ามันสุดยอดมากๆ” นี่แทบจะเป็นความใฝ่ฝันของศิลปินทุกคน

คำว่า “โหย่วเผิง” จริงๆแล้วเป็นการระลึกถึงวันคล้ายวันเกิดของเขาและคุณแม่ ทั้งสองคนเกิดในวันและเดือนเดียวกัน คือ 15 สิงหาคม (นับแบบจีน ตรงกับเทศกาลไหว้พระจันทร์) เป็นดวงจันทร์2 ดวงโผล่ขึ้นมา กลายเป็นเผิง (เผิงมาจากตัวหนังสือคำว่า ดวงจันทร์ 2 ตัวประกบกัน) และตัวเขาเองที่ยืนอยู่ข้างหน้านั้น  ทำให้ทุกคนอดคิดไม่ได้ว่า “โหย่วเผิงมาจากแดนไกล จนอะไรเป็นอะไรก็ไม่รู้” จะเข้าใจผิดตลอดไปอย่างสนุก
 
ในโลกนี้มีเผิง จะไม่มีวันโดดเดี่ยว


ming

4028
Magazine Interviews-China / Re: ม.ค. 2010 V World Life
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 12:43:10 PM »

โหย่วเผิงวิจารณ์ตัวละคร ไป๋เสี่ยวเหนียน ว่า “มันไม่ธรรมดาเลย”

เริ่มจากการเตรียมถ่าย เรื่อง เฟิงเซิง ก็เป็น เฟิงเซิง จริงๆ มันลี้ลับ  โหย่วเผิงกล่าวว่า “ เรื่องการเก็บความลับนั้น  ทางค่ายขอมาว่า  จะต้องลับสุดๆ  ตอนที่ผมได้รับตัวเนื้อบทละครข้างบนยังเขียนไว้ว่าเป็นฉบับของ เฉินก่อฟู่ พวกเขากลัวเรื่องจะรั่วไหล” เมื่อดูรายละเอียดจบแล้ว เขาพูดว่า  “เนื้อเรื่องนั้นเป็นที่สนใจมากๆ” ความรู้สึกที่ใหญ่ที่สุดคือ  แม้ตัวเนื้อบทยังต้องปกปิดให้มิดชิดที่สุด มันปกปิดมิดชิดมากๆ  จนทำให้ชอบมากๆ จนถึงเวลาถ่ายทำ เขากล่าวว่า  เพิ่งรู้ว่าตัวละครนี้ยังมีการแย่งกันด้วย แต่ “ได้รับโดยไม่รู้อะไรเลย มันเป็นโชคของผมอย่างยิ่ง”
 
พูดก็พูดอย่างนี้ แต่ความทุ่มเทของโหย่วเผิงต่อบทนี้นั้น  ไม่น้อยเลยทีเดียว “หลังจากที่รับบทแล้ว ยังไม่ทันดูนิยายของเรื่องนี้เลย ก็ต้องรีบไปหาอาจารย์ กลัวตัวเองทำไม่ได้” โหย่วเผิงบอกว่า “สำหรับผลงานของ ก่อฉุ่ย นั้นตัวเองไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ รู้เพียงว่ามันลี้ลับ มันเกินเข้าใจ” และครั้งแรกที่ได้สัมผัสหรือเข้าศึกษาก็ตอนที่เข้าไปดูนิทรรศการ “มู่ตันเสียง” เพราะว่าสำหรับเรื่องแนวอย่างนี้นั้น มันไม่รู้อะไรสักนิดเลย (เรื่องร้องละครเพลงหรืองิ้ว ) และตอนนั้นโหย่วเผิงเองก็ฟิตร่างกายด้วย จะต้องพยายามเป็นนักร้องละครเพลง มันเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา “คงไม่มีนักร้องละครเพลง(งิ้ว)คนไหนที่มีกล้าม?” และเขาเองก็ลดหุ่นโหย่วเผิงบอกว่า  เป็นครั้งแรกที่เขาดูเรื่อง “อิ๋วเหยียนจิงม่ง”  และเขาก็ได้ดูเรื่องนี้แล้วเลียนแบบการร้องเต้นละครเพลงของเรื่องนี้ “ครั้งแรกที่ร้องเต้นนั้นรู้สึกยากมากเหมือนกัน” จากนั้นเขาก็ได้ฟังกับอาจารย์ เขาได้เริ่มฝึกขั้นแรก เดินเป็นวงกลม

 
เริ่มจากการเตรียมตัว  ถึงเวลาไปถ่าย ประมาณ 4-5 เดือน โหย่วเผิงกล่าวว่า เขานั้นเรียนไปด้วย แล้วถ่ายทำไปด้วย  และนักแสดงในเรื่อง เฟิงเซิง แต่ละคนล้วนเป็นนักแสดงมืออาชีพ ไม่เป็นมืออาชีพก็เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง  หลายคนได้เข้าฉากกับเขา  แม้คนเหล่านั้นที่เป็นมืออาชีพยังมีความกดดันเลย แล้วนับประสาอะไรอย่างผมจะไม่กดดัน โหย่วเผิงเล่าว่า  การเข้ากองถ่ายของเขานั้น ต้องมีอารมณ์อย่างนั้นตลอด หลังเข้าฉากเสร็จเขาไม่ไปยุ่งกับใคร  และไม่ไปดูว่าถ่ายได้ดีไหม  เขาเดินไปหลบมุมหนึ่งแล้วเก็บอารมณ์อย่างนั้นไว้  รอจนกว่าเขามาบอกว่าเรื่องนี้ได้ถ่ายเสร็จแล้ว

เริ่มจากตอนแรกตื่นเต้นมากจนไม่รู้จะอ้าปากอย่างไร  ฝึกจนวันหนึ่งอาจารย์บอกว่าสามารถไปทำมาหากินได้เลย  ไป๋เสี่ยวเหนียนที่โหย่วเผิงแสดงนั้น อารมณ์ต้องอิงกับบทมากๆ และทุกย่างก้าวของเขาเริ่มจากเสี่ยวหู่ตุ้ย และการแสดงละครต่างๆ มาจนถึงภาพยนรต์ล้วนแต่เป็นความทุ่มเทของเขาจริงๆ หากว่าเรื่องรัก ยังทำภาคต่อไป ผมอยากจะแสดงอีก นี่เป็นเสียงของโหย่วเผิง สำหรับเขาแล้ว เขาแฮปปี้การงานภาพยนตร์เป็นอย่างมาก เขาบอกว่า ประสบการณ์เล่นละครของเขานั้นมาถึงขั้นอิ่มตัวแล้ว ตอนนี้อยากจะหันมาทางด้านนี้
 
ไป๋เสี่ยวเหนียนเป็นก้าวแรกที่ดีมาก ตอนนี้ได้เข้าใจอะไรหลายอย่างแล้ว ต่อไปอีก 2-3 ปี  ก็คงจะตั้งใจเล่นภาพยนตร์ โหย่วเผิงกล่าว ไป๋เสี่ยวเหนียนเป็นประสบการณ์บางๆของโหย่วเผิงที่มารับบทนี้ และการที่โหย่วเผิงมารับบทไป๋เสี่ยวเหนียนนั้น ไม่รู้เป็นความโชคดีของไป๋เสี่ยวเหนียนหรือเปล่า?


โดดเดี่ยวภายใต้ความคิดที่เพอร์เฟรค
 
แม้จะดูภายนอก  โหย่วเผิงสง่า  ภาพลักษณ์ดี แต่ข้างในมีความโดดเดี่ยวได้ซ่อนอยู่ และนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาแสดงบท ไป๋เสี่ยวเหนียน ได้ดี
 
คุณดูเขาซิ ต่อหน้ากล้องเขาพูดไม่หยุด แต่เบื้องหลังเขานั้นเงียบ เขาหวนคิดเวทีเพลงในอดีตของเขา โหย่วเผิงได้คุยถึงฉากที่ถูกตัดทิ้งไม่ได้ถ่ายในเรื่องเฟิงเซิง “ฉากนั้นเป็นฉากที่มีฝุ่นควันฟุ้งไปหมด ทันใดก็มีเสียง “อ้าย่า” ดังไปทั่ว ไม่ว่าบนเวทีหรือล่างเวที มีการส่งสายตาหวานของไป๋เสี่ยวเหนียน  สุดท้ายก็ได้เห็นถึงใบหน้าที่สงสารตัวเองและไม่เต็มใจของเขา” เมื่อเขาได้เอ่ยขึ้นมา ได้เห็นถึงเขา  ที่มีประสบการณ์ผ่านมาอย่างโชกโชน
 
ในเรื่องนั้น ไป๋เสียวเหนียนนั้นได้ดังแต่แรกแล้ว แต่ว่าด้วยตอนหลังเกิดความวุ่นวายขึ้น ไปสมัครเป็นทหาร ความไม่ยุติธรรมและความโดดเดี่ยวของตัวละครนี้นั้นมันเยอะมาก ผู้กำกับเกาก็ได้เคยแนะนำโหย่วเผิงว่า “คุณจำเป็นต้องลืมตัวเองให้หมด ถึงจะเป็นไป๋เสียวเหนียนได้” ในเรื่องนั้นเพลงที่ไป๋เสี่ยวเหนียนร้องเป็นเพลง “อิ๋วเหยียนจิงม่ง” ตอนนี้นั้นโหย่วเผิงได้ร้องเบาๆอย่างไม่ได้ตั้งใจ  มันรู้สึกว่าเพราะดี  ทั้งท่าทางกิริยามือไม้ของเขาก็ยอดเหมือนกัน เสร็จแล้วเขาเองก็ไม่รู้ผีเข้าหรือเปล่าหัวเราะออกมาดังๆ เลย  ทำให้เราคิดถึงเขาในอดีต




โหย่วเผิงบอกว่าตัวเองนั้นราศีกันย์  มีความคิดที่เพอร์เฟรก  ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นทุกข์หรือสุขก็ได้มาจากความคิดนี้  และได้มีประสบการณ์ผ่านร้อนหนาวมามากมายในวงการบันเทิง  ตอนนี้เริ่มรู้จักปล่อยไปตามธรรมชาติ และที่ยิ่งกว่านั้น  เมื่อก่อนนั้นแคร์แต่ผลลัพธ์ของงาน แต่ตอนนี้กลับให้ความสำคัญกับประสบการณ์ทำงานมากกว่า  ทุกอย่างล้วนเห็นธาตุแท้แล้ว เข้าใจแล้ว ของให้มันไปตามโชคชะตา

สิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือ การยอมรับจากทุกคน หวังว่าตัวเองจะเป็นนักแสดงที่ดี นักแสดงที่เขาชื่นชอบที่สุดในชีวิตคือพี่หัน หรือ จางหันอี๋ ใ นตัวละครทั้งหมดที่โหย่วเผิงได้เล่นไปนั้น บทที่เหมือนและคล้ายนิสัยและชิวิตจริงของโหย่วเผิงนั้นก็คงเป็น เตียบ่อกี้ ในเรื่องกระบี่ฟ้าดาบมังกร ในเรื่องนั้นเตียบ่อกี้มีผู้หญิงห้อมล้อมทุกสี่ด้านเลย  แต่ท้ายสุดนั้นกลับไม่มีผู้หญิงคนใดอยู่เคียงข้างกายเขา และเคยถูกถามว่าชอบผู้หญิงแบบไหน  โหย่วเผิงได้ตั้งหน้าตั้งตาคิดสักครู่ สุดท้ายบอกว่า เป็นคนที่ชอบคุย เขาบอกว่าจริงๆแล้ว ยิ่งโตยิ่งยาก เมื่อได้ผ่านความหุนหันของวัยหนุ่มไปแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือทั้ง 2 คน ต้องมีภูมิหลังที่เข้ากันได้

4029
Magazine Interviews-China / 2010 World Life
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 12:38:59 PM »
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จาก นิตยสาร World Life มกราคม 2010



นิตยสาร  World Life‏

สำหรับการชอบดาราคนหนึ่งแล้ว มักจะเริ่มจากการประทับใจ เป็นความประทับใน เสมือนรักแรกพบ อะไรอย่างนั้น สำหรับการที่ชื่นชอบเขานั้น ไม่เพียงแต่เป็นการชื่นชอบที่คนบนเวทีกับคนอยู่ข้างล่างเวที แต่เป็นความรู้สึกจินตนาการที่สวยงามและง่ายๆ

ซูโหย่วเผิง  ก็เป็นชื่อหนึ่งที่เป็นอย่างนี้ สำหรับเขาแล้ว  เป็นทั้งดารา และเป็นเพื่อน แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ก็ไม่เคยรู้สึกว่าเขาดังจนไม่มีใครไม่รู้สึก หรือไม่เคยคิดว่าอยากจะเจอเขาในร้านอาหารที่ใดที่หนึ่ง ร่วมดื่มเบียร์ด้วยกัน     โหย่วเผิงนั้นจะคล้ายกับแม่ที่เป็นเด็กนักเรียนที่ดีเด่นและฉลาด เป็นคนที่ไม่หดหู่ในชีวิต  สิ่งเหล่านี้แม้จะเตะต้องไม่ได้  แต่ก็จะรู้สึกได้ จากการเข้าสู่วงการจนถึงวันนี้  เมื่อเห็นเป็นคนที่ดี สะอาด ก็รู้สึกมีความสุข  และตั้งแต่การร้องเพลง   จนเข้าสู่การแสดงก็เห็นถึงภาพลักษณ์ที่ดีของเขา  ก็รู้สึกสุขใจด้วย  บางครังแม้จะเห็นเขาตกต่ำ เสียใจ แต่ก็สุขใจ ที่เขายังอยู่ในวงการ


ความโชคดีของ ไป๋เสียวเหนียน
 
นิ้วมือเหมือนผู้หญิงที่เห็นใน เฟิงเซิง นั้น ทำให้ทุกคนอดสงสัยไม่ได้ นี่เป็นโหย่วเผิงหรือ? รอจนดูทั้งเรื่องจบแล้ว ถึงจะได้รับคำตอบที่ชัดเจน จะกลัวทำไม  ที่ในเรื่องจะเป็นแบบนี้ ความกระนุ้งกระนิ้งของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้น  ก็เป็นที่ยอมรับของคนมากมาย พูดถึงตรงนี้แล้ว ในใจโหย่วเผิงมีคำพูด “มีหลายฉากถูกตัดทิ้งไป มีอีกฉากหนึ่งนั้นแทบจะไม่ได้ถ่ายเลย ตัวละครนี้นั้นมีความซับซ้อน มันหลากหลายมาก

4030


ฉีหลง

ทุกอย่างทำอย่างไม่มีวันละอายใจ

Cool สุดๆ  man สุดๆ  นี่เป็นภาพลักษณ์ที่ อู่ฉีหลง ให้กับทุกคนในสมัย เสี่ยวหู่ตุ้ย  เขา ที่ผ่านประสบการณ์ช่วงหนึ่งที่ได้อยู่กับสาวยูนนานแล้วได้หย่ากัน  ตอนนี้ จะพูดอธิบายถึงเขานั้น จะต้องเพิ่มคำว่า ประสบการณ์โชกโชน หลายปีก่อน จื้อเผิงได้จัดคอนเสิร์ตที่เซี่ยงไฮ้ ฉีหลงก็ได้มาแจมด้วย เขาที่มาอย่างเงียบๆได้นั่งอยู่กับผู้ชม ขณะที่สื่อได้โฟกัสกล้องไปที่เขา เขาก็ได้ให้สัมภาษณ์โดยปริยาย ได้พูดชมความดีของจื้อเผิง จำได้ว่าหลังจากที่สัมภาษณ์ในวันนั้นแล้ว นักข่าวยุคปี8ต่างก็ได้ลิงโลด มีคนพูดว่า “โอ้ ฉีหลงก็แก่แล้ว” มีคนพูดว่า “ฉีหลงนั้นไม่เปลี่ยนเลย ยังคงหล่อเหมือนเดิม” ข้อสงสัยที่ว่าเขาแก่แล้วหรือว่ายังไม่แก่ ทุกคนก็วิจารย์ต่างต่างนานา แน่นอน ความจริงอย่างหนึ่งคือ ไม่มีใครสามารถที่จะหนีพ้นความแก่ได้ ? อย่างไรก็ตาม “ในใจทุกคนล้วนมี เสี่ยวหุ่ตุ้ย หนึ่งคน” การถกเถียงกันในวันนั้น คงเป็นมุมมองต่างๆ


Q : ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ทุกคนก็ล้วนมองว่าในเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น คุณเป็นพี่ใหญ่ โดยส่วนตัวคุณนั้น มีความรู้สึกอย่างนี้หรือเปล่า ? แล้วคุณดูแล 2 คนนั้นเป็นไหม?

ฉีหลง : จริงๆแล้วก็โอเค  ตลอดเวลาก็เป็นอย่างนี้  ไม่ได้จงอกจงใจที่จะเป็นพี่ใหญ่  มันอาจเกี่ยวกับบุคลิก  ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น  ผมมักจะคอยดูแลห่วงใยคนรอบข้างเสมอ สำหรับพวกเขาสองคนเป็นถึงพี่น้องกัน  แน่นอนก็ต้องดูแล จริงๆแล้วมันก็เป็นการดูแลกันและกัน

Q : คุณที่เป็นพี่ใหญ่นั้น หลายปีมานี้ คุณเห็นว่าจุดไหนที่จื้อเผิงและโหย่วเผิงก้าวหน้าอย่างมากมาย?

ฉีหลง : ความก้าวหน้าของจื้อเผิงนั้น นอกจากร้องเพลงและแสดงแล้ว ยังมีละครเวทีกับการแสดงในหลายรูปแบบ และการเปลี่ยนแปลงของโหย่วเผิงนั้นคงไม่ต้องพูดเพราะทุกคนก็เห็นอยู่แล้ว  เขาไม่ได้เป็นไกวไกวหู่แล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่และหนักแน่นขึ้นเยอะ

Q : หลายปีมานี้ หลังจากที่ต่างบินนั้น  การขยายก้าวหน้าของคุณนั้นดีมาก จากการทำอัลบั้มของตัวเองจนการแสดงภาพยนตร์ แสดงละคร ขยายวงกว้างจากไต้หวันไปถึงฮ่องกงและไปถึงจีน อะไรเป็นแรงผลัดดันให้คุณก้าวไปอย่างนี้ ?การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งของคุณนั้น เป็นการวางแผนไว้อย่างดี หรือเป็นเรื่องของโชคชะตา?

ฉีหลง : ผมเองก็ยังรู้สึกว่าเป็นโชคมากว่า การเป็นศิลปินนั้น จำเป็นจะต้องไปลองผิดลองถูกบ้าง หากมีโอกาส จะทำอะไรที่มันแตกต่าง ไปในสถานที่ที่ไม่เคยไป  เพื่อจะไปรับรสชาติแห่งความรู้สึกของชีวิตที่แตกกต่างกันออกไป

Q : ตอนนี้ที่อยู่ที่จีน ที่ปักกิ่ง ความเป็นอยู่ทีนั่นเป็นไงบ้าง?

ฉีหลง : เพราะว่าบริษัทนั้นตั้งอยู่ที่ปักกิ่ง ฉะนั้นก็คงจะอยู่ที่นั่นยาวหน่อย แต่ว่าก็มีช่วงเวลาที่ไปถ่ายทำนอกประเทศก็พอสมควร ฉะนั้นเวลาของการอยู่ที่ปักกิ่งไม่ใช่ว่าจะมากมาย

Q : หลายปีมานี้ทำไมยังไม่ทำอัลบั้มใหม่ของตัวเองบ้าง?

ฉีหลง : งานด้านภาพยนตร์จะหนักไปหน่อย ทำให้กินเวลาไปเยอะ บวกกับผมเองก็ไม่อยากจะทำอัลบั้มใหม่อย่างขอไปที  อย่างไรก็จะต้องคิดวางแผนให้ดี  หากเจอเพลงที่ชอบ และผู้ผลิตที่เหมาะ ก็จะเป็นเวลาที่เหมาะควร

Q : งานด้านการแสดงภาพยนตร์นั้นมันลำบากมากๆ  โดยเฉพาะแนวโบราณ แต่ว่าคุณก็ชอบที่จะรับแต่งแนวโบราณ  แล้วคุณไปเผชิญกับงานอย่างนั้นอย่างไร?

ฉีหลง : ที่สำคัญต้องดูความเหมาะสมของตัวเอง  ตอนเด็กนั้นผมเองเป็นนักกีฬา  สมัยเด็กๆ ก็ต้องมีการฝึกซ้อมร่างกายเป็นอย่างดี  เลยชินกับการทำงานที่ลำบากแล้ว  ความลำบากอย่างนั้นมันไม่แพ้การแสดงแนวโบราณปัจจุบันเลย  เมื่อเล่นไปแล้ว  ก็เกิดความชอบกับงานขึ้น  ฉะนั้นในความยากลำบากนั้นก็มีความสุขด้วย  มันก็ไม่หนักหนาสาหัสแต่อย่างไร แม้ขบวนการจะลำบากหน่อย  แต่เมื่อเห็นผลงานแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ทุ่มเทออกไปนั้นมันคุ้มค่าจริงๆ

Q : จากประสบการณ์ด้านการแต่งงานนั้นได้นำข้อคิดอะไรมาสู่คุณ?(ในภาพยนตร์)

ฉีหลง : ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ

Q : ร้องเพลง “อ้าย”ไปแล้วหลายรอบ ราตรีตรุษจีนก็ร้องอีก อยากถามว่า ความรู้สึกในใจเป็นอย่างไร?

ฉีหลง : การแสดงครั้งนี้นั้น มันเหมือนงานบันเทิง ครั้งนี้ทุกคนได้มารวมตัวกัน ต่างก็ล้วนมาเจอเพื่อนเก่าๆ มันให้ความรู้สึกว่าได้ย้อนเวลากลับไปในสมัยอดีต เป็นช่วงเวลาที่เป็นนักเรียน ความรู้สึกอย่างนี้นั้นใช่จะบรรยายด้วยวาจา 2-3 คำก็จบ

Q : ขอถามตรงๆ เลยว่าคุณเคยคิดที่จะมารวมตัวกันพร้อมหน้ากันอย่างนี้ไหม?
ฉีหลง : ไม่เคยนึกคิดเลย

Q : เมื่อเสร็จจากงานราตรีตรุษจีนแล้ว ได้เชิญเพื่อน 2 คนไปรับประทานอาหารดึกที่ปักกิ่งหรือเปล่า?

ฉีหลง : อาหารมื้อดึกของพวกเขาล้วนกินในงาน


4031


จื้อเผิง

หล่อ ไม่ได้เป็นอาวุธของความเป็นผู้ใหญ่

พูดอย่างไม่อายว่า กระผม เสี่ยวกัน แม้จะไม่ใช่เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในโลกของจื้อเผิง แต่ก็ถือว่าเป็นนักข่าวที่สนิทที่สุดของเขา  ฮ่าๆ ตอนที่เขาไม่ค่อยยุ่งนั้น  พวกเราไปปีนเขาว่ายน้ำ ดื่มกาแฟ แน่นอน ก็เคยเห็นเขาใส่ผ้าถุงแล้วเดินผ่านถนนมา คิดไปแล้วก็รู้สึกว่า แม้จะไปสัมภาษณ์ดาราดังมาแล้วมากมาย สำหรับเขาแล้วก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง


Q : ข่าวลือที่วา“จื้อเผิงรักจางหนิง” ความจริงมันเป็นอย่างไร?

จื้อเผิง : ผมเป็นคนที่เขียนใน blog ว่าชื่นชอบจางหนิงไม่น้อย เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด แต่ละคนมีเทคนิกการเขียนที่มันต่างกัน การเขียนของผมอาจจะตรงไปหน่อย ทำให้ผู้ที่อ่านนั้นคิดมากไป จริงๆ แล้วเป็นการชื่นชมเธอเฉยๆ ตอนที่พวกเรารู้จักกันที่ปักกิ่งนั้นก็พูดคุยเข้ากันได้ ยังได้นัดกันเล่นกีฬาด้วย วันนี้กลายเป็นข่าวอย่างนี้ไป จะเล่นกีฬาด้วยกันก็ไม่ได้แล้ว

Q : ยังจำภาพแรกที่ได้เจอ โหย่วเผิงกับฉีหลง ได้ไหม ? การเปลี่ยนแปลงที่มากที่สุดในหลายปีนี้คืออะไร?

จื้อเผิง : ตอนนั้นได้มีการรับสมัครผู้ช่วยรายการ ตั้งเป็น เสี่ยวหุ่ตุ้ย ผมเองก็เป็นแฟนรายการนี้ ผมก็ได้สมัครไป  จาก 3,000 คนคัดเหลือสิบกว่าคน วันนั้คัดเหลือ 6 คน แล้วคัดเหลือ 3 คน ภาพแรกที่เจอฉีหลงนั้นก็ดูดีสง่ามาก ได้ขี่มอเตอร์ไซค์มา  เท่มาก โหย่วเผิงนั้นผมได้สังเกตในช่วงท้ายๆการแข่งขัน ชุดที่เพิ่งจะจบมัธยมต้นของเขานั้น  เห็นแล้วเป็นเด็กนักเรียนมากๆ
ฉีหลงนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร โหย่วเผิงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอด ตามหา style ที่เขาต้องการ

Q : การหย่าของฉีหลง กับเรื่อง เฟิงเซิง ของโหย่วเผิงนั้นคุณมองอย่างไร?

จื้อเผิง : เรื่องส่วนตัวของ ฉีหลง นั้นผมไม่ขอพูด โหย่วเผิงนั้นกลับมีอิทธิพล เรื่อง เฟิงเซิง ของเขานั้นเซอร์ไพรส์ผมมากๆ

Q : สมัยนั้น ทำไมคุณถึงได้ฉายา “เสี่ยวซ้อยหู่” เสือหล่อ แล้วชื่อนี้ได้นำความลำบากอะไรมาสู่คุณ?

จื้อเผิง : นั่นเป็นฉายาที่ค่ายกำหนดให้ สงสัยคงเห็นว่าผมเป็นคนที่มั่นใจตัวเอง แต่ว่าผมไม่รู้สึกเลยว่าผมหล่อ สำหรับสิ่งที่ทำให้ผมลำบากนั้น ตอนนั้นก็มี เพราะนั่นเป็นฉายาในสมัยเด็ก วันนี้มาแขวนใส่ในตัวผม หล่อ ไม่ใช่อาวุธผม

Q : ตอนนั้นการไปเกณฑ์ทหารของคุณ ต้องทำให้ เสียวหู่ตุ้ย แยกทางกัน คุณเสียใจหรือเสียดายกับเรื่องนี้ไหม?

จื้อเผิง : นั่นเป็นด่านที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออายุถึง ผมเองก็เป็นคนที่มีรูปร่างที่ดี ผมก็เคยไปผ่อนผันเพื่อนเรียนต่อ แต่ว่าสิ่งที่จะเกิดก็เกิด หากไม่ใช่ผม ก็คงจะเป็นเป็นใครคนใดคนหนึ่งต้องเจอเหมือนกัน การแยกทางกันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็ว

Q : การเข้าสู่วงการ เสี่ยวหุ่ตุ้ย ได้เปลียนชีวิตคุณ หากว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันนี้ คุณคิดว่าตอนนี้คุณจะทำอะไรอยู่?

จื้อเผิง : น่าจะเป็นอาจารย์สอนทำผม  บ้านผมนั้นมีอาชีพทำผม  ตอนเด็กๆ ผมก็ช่วยพ่อแม่ทำผมตัดผมในร้าน

Q : การแสดงในคืนตรุษจีนครั้งนี้นั้นคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง? เป็นการรวมตัวกันอีกครั้งหรือเปล่า?

จื้อเผิง : เป็นการรวมกันอีกครั้ง ตอบแทนแฟนคลับ พวกเรานั้นอยากนำทุกคนหวนความทรงจำเก่าๆ อนาคตไม่มีการวางแผนงานใดๆ เพราะเราต่างคนต่างสังกัดค่ายต่างกัน

Q : ตอนนั้นแฟนๆในจีนได้รู้จักกับ เสี่ยวหุ่ตุ้ย ผ่านทางคืนตรุษจีน คุณรู้เรื่องนี้ไหม?

จื้อเผิง : ก่อนจะไปเกณฑ์ทหาร  ผมได้มาแสดงช่วยเหลือภัยพิบัตีที่จีน เคยไปบันทึกรายการที่ยาวพอสมควรที่สถานียางซื่อ แต่นั่นคงไม่ใช่คืนตรุษจีน จำไม่ค่อยได้แล้ว ตอนหลังผมถึงทราบเรื่องว่าคืนตรุษจีนนั้นสำคัญมากๆ

Q :  3 คน ได้ร่วมกันร้อง “อ้าย” อีกครั้งนั้นรู้สึกอย่างไร? แล้วคืนนั้นตื่นเต้นไหม?
จื้อเผิง : ผมร้องไห้ แม้ว่าบางเพลงจะร้องไปกี่ร้อยรอบ แต่ว่า 3 คนจะรวมตัวกันนั้นมันไม่ง่าย ความรู้สึกอย่างนั้นมันดูเหมือนจะกลับไปที่เดิม  หวนคิดเรื่องราวมากมาย  ภาพเก่าๆ ติดอยู่ที่สมอง  ผมคิดว่าทั้ง 3 คนก็ล้วนมีความรู้สึกอย่างนั้น  เพียงแต่ตอนนั้นผมเป็นคนที่คุมอารมณ์ไม่อยู่ ผมรอมัน จึงมีอารมณ์ที่พิเศษ หากจะบอกว่าไม่ตื่นเต้นคงโกหก

Q : แล้วเป้าหมายในปัจจุบันคุณคือ?

จื้อเผิง : หลังจากนี้ผมจะกลับไปที่เซี่ยวไฮ้  ซ้อมการแสดงเต้นระดับสากล จะทำงานนี้ให้สำเร็จก่อน แล้วค่อยดูเป้าหมายต่อไป

4032



โหย่วเผิง:

หลายปีนี้ การที่คิดจะให้ เสี่ยวหู่ตุ้ย มารวมกันนั้น มีคนเคยคิดวางแผนกันมาไม่น้อย  แต่ต่างก็ต้องล้มเหลวกันไป  และก็ได้มีคำลือกันออกมาว่า การที่ เสี่ยวหู่ตุ้ย ไม่สามารถที่จะรวมตัวกันได้นั้น  เป็นเพราะ โหย่วเผิง ไม่ยอมที่จะรับปาก  การที่ครั้งนี้ที่ได้มารวมตัวกันนั้น  ทั้งฉีหลงและจื้อเผิงต่างก็ตอบรับด้วยความยินดี  แต่ทาง โหย่วเผิง ก็ยังคงมีปัญหาติดขัดกันเล็กน้อยตามเคย “พวกเราไม่อยากทำ ช่วงนี้พูดเรื่อง เสี่ยวหู่ตุ้ยเยอะ มากๆ” เป็นผู้จัดการส่วนตัวได้พูดกับนักข่าว แน่นอน ไม่ทำนั้นเป็นไปไม่ได้ ข้อตกลงนั้นไม่ได้สนใจในปัญหาของ เสี่ยวหู่ตุ้ย  โหย่วเผิงนั้นโง่มาก เล่ห์มาก นี่เป็นความรู้สึกแรกที่ได้มาสัมผัสเรื่องนี้ ขณะที่ได้ตอบคำถามต่างๆ นั้น บรรดาทั้ง3 คนนั้น  คำตอบของโหย่วเผิงนั้นเป็นคำตอบที่น่าสนใจที่สุด แล้วคุณว่า แท้จริงโหย่วเผิงโง่ หรือว่าฉลาด?


Q : บทในเรื่อง เฟิงเซิง ของคุณนั้น มันเซอร์ไพรส์มากๆ ได้ข่าวว่าบทนี้นั้นเดิมที จางหันอี๋ จะเป็นคนเล่น แล้วท้ายสุดมาตกอยู่กับคุณได้อย่างไร?

โหย่วเผิง : ฮ่าๆๆ หากว่า จางหันอี๋ เล่น  ผมเองก็อยากจะดูเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ตามที่ผมทราบนั้นเป็นเรื่องที่คุณโจวซิ่น ได้ไปพูดเล่นๆกับเขาเอง  เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง บทนี้นั้นเม้จะยากแต่ก็มีสีสันดี  ฉะนั้นก็เลยมีนักแสดงมากมายมาชิงแย่งกัน สุดท้ายก็ตกเป็นผม ผมก็ต้องขอขอบคุณ บ.หัวอี้ มากๆ  สำหรับเรื่องการแย่งชิงกันนั้น ผมเองไม่ได้แย่งชิงแต่อย่างไร  บทนั้นได้กำหนดให้ผม ผมถึงจะรู้ว่าผมได้เล่น

Q : คุณได้ทุ่มเทเตรียมตัวในการแสดงเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?

โหย่วเผิง : เพื่อผลงานของบทนี้ออกมาให้ดีที่สุดแล้ว ผมได้ทุ่มเทเวลาในการฝึกซ้อมแสดงละครเพลง(งิ้ว)ไม่น้อยเลยทีเดียว  เป็นวิชาที่ตลอดชีวิตผมไม่เคยเรียนเลย  มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายๆ หลังจากที่รับบทนี้แล้ว ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าจะแสดงได้ดีมากน้อยขนาดไหน  เพราะบทนี้นั้นมันเป็นบทละครที่เฉพาะทางมากๆ  บวกกับตัวเองก็ไม่มีพื้นฐานเรื่องนี้ด้วย  สุดท้ายคิดไม่ถึงจริงๆว่า ผมเองก็ได้เรียนรู้ไม่มากก็น้อยเหมือนกัน  ได้มีวิชานี้ให้ประดับตัวเองด้วย  อาจารย์ที่สอนผมนั้นยังชมว่าหากในวงการบันเทิงผมไม่รุ่งแล้ว  ก็สามารถที่จะเอาวิชานี้ไปหากินได้เลย ชีวิตมันช่างโชคดีจริงๆ  ปี 2009 เป็นปีแห่งปฏิหาริย์ผม

Q : การไว้หนวดคราว ทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น นี่เป็นภาพลักษณ์ที่คุณมีใน 2-3 ปีนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้อย่างไร?

โหย่วเผิง : จริงๆแล้วไม่มีอะไร ผมเองเป็นชายโสด หากไม่ไปทำงาน ก็ขี้เกียจโกนมัน บางครั้งดูๆแล้ว ก็รู้สึกไม่เลว ก็เลยปล่อยไว้อย่างนี้เลย และตัวเองก็รู้สึกว่าทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิและจิตใจผมนั้นมันเป็นผู้ใหญ่แล้ว สำหรับผมที่เข้าสู่วงการแต่อายุยังน้อยนั้น ระยะเวลาในช่วงวงการบันเทิงนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง  ก็คือ จะไม่หยุดที่จะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ในใจของทุกๆคน คุณต้องเปลี่ยนแปลงจากผู้ใหญ่กลายเป็นเด็กหนุ่ม  เพื่อจะให้ทุกคนรู้อีกว่าคุณเป็นเด็กหนุ่มอีกครั้ง  แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่  และการเปลี่ยนแปลงทุกช่วงของคุณนั้น จำต้องเปลี่ยนแปลงและให้เหล่านักข่าวและผู้ชมยอมรับด้วย  จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย มันต้องการโชคและโอกาสมาเสริมด้วย  มีคนมากมายที่ไม่มีช่วงโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงก็เยอะเหมือนกัน

Q : หลายปีนี้ที่ได้เซ็นสัญญากับค่ายในจีน และได้ก้าวหน้าในจีน ความรู้สึกนั้นมันแตกต่างไปจากตอนที่คุณอยู่ที่ไต้หวันไหม? อะไรเป็นสิ่งที่ก้าวหน้าได้ดีที่สุด?

โหย่วเผิง : จริงๆแล้วผมเป็นคนที่ตามโชคชะตามาตลอด  ผมไม่ใช่พวกแสวงหา ตอนนั้นที่อยู่ที่ไต้หวันนั้น  เหตุที่อายุยังน้อยอยู่ ฉะนั้นหลายๆเรื่องนั้น ทางค่ายเป็นผู้ที่ตัดสินใจ ก็คือนับแต่เสี่ยวหุ่ตุ้ย มาจนถึงก่อน เรื่อง  องค์หญิงกำมะลอ พูดอีกอย่างก็คือ การประสบความสำเร็จในตอนนั้นทางบริษัทและผู้จัดการส่วนตัวก็มีส่วนมากๆ  ตอนหลังเมื่อได้เล่นเรื่อง องค์หญิงกำมะลอแล้ว  ผมถึงจะได้หลุดพ้นจากการเป็นนักร้องที่ทางค่ายปกป้องมาตลอด  มาเรียนรู้สังคมภายนอกด้วยตัวเอง  เรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง ในช่วงนั้น ผมคิดว่าการร้องเพลงก็เป็นเพียงการทำงานอย่างหนึ่ง  จนถึงช่วงหยุดจากการเรียนมหาลัยจนถึงจีน  แล้วบอกกับตัวเองว่าต้องเอาการแสดงนั้นเป็นอาชีพแล้ว  เพราะคุณจะต้องดูแลครอบครัวแล้ว  คุณต้องเป็นผู้ใหญ่แล้ว ท่ามกลางนั้นก็มีการปวนแปรในจิตใจหลายอย่าง  สิ่งที่พัฒนาได้เร็วทีสุด คือการตัดสินใจของตัวเองนั้นยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้น สามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองได้ และผมเองก็ยิ่งอยู่ยิ่งรู้ถึงระเบียบของชีวิต  ฉะนั้นตอนนั้นผมยิ่งอยู่ก็ยิ่งเป็นตัวของตัวเอง  สิ่งที่ผมภูมิใจคือ แม้ว่ายิ่งอยู่ผมยิ่งเข้าใจสังคมมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปคือวินัยระเบียบในชีวิตของผม

Q : “เสี่ยวหู่ตุ้ย” เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลง  “องค์หญิงกำมะลอ” เป็นอีกช่วงหนึ่ง แล้วอีกช่วงการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่จะมาถึงคุณนั้นจะเป็นช่วงเวลาไหน หรือว่ามันถึงแล้ว เพียงแค่ทุกคนยังไม่รู้?

โหย่วเผิง : ผมคิดว่าน่าจะเป็นช่วงของ “เฟิงเซิง”  มันยืนยันให้ทุกคนเห็นว่า  คนหนึ่งที่มีภาพลักษณ์ที่ดีนั้น  ก็ได้มีจุดดีจุดเด่นในด้านภาพยนตร์เหมือนกัน หลังจาก เฟิงเซิง แล้ว จากผมที่รอคอยบทละครในบ้าน กลายเป็นคนที่สามารถที่จะเลือกบทเล่นเอง ผมกำลังรอคอยโอกาสและเวลาที่เหมาะสม ผมต้องการอย่างนั้น

Q : นานเท่าไหร่ที่คุณใช้เวลาปรับตัวในการที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีคนเดียวได้ ?  ครั้งนี้ 3 คนได้รวมตัวกันร้องเพลงในราตรีตรุษจีน  ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างไร?

โหย่วเผิง : นั่นเป็นช่วง เสี่ยวหู่ตุ้ย หลังจากที่ จื้อเผิง ไปเกณฑ์ทหาร ผมกับฉีหลงต่างคนก็ต่างบิน ระยะเวลานั้นกว่าสิบปี  จริงๆแล้วผมเองก็ยังไม่ทันรู้สึกเวลาก็ได้ผ่านไปแล้ว ตอนนั้นผมเพิ่ง18  เริ่มไปทำอัลบั้มใหม่ของตัวเอง  ต้องเผชิญกับสื่อโดนลำพัง ไมมีเพื่อนที่อยู่เคียงข้างคอยช่วยอธิบายไ  ม่มีเพื่อนอยู่ข้างๆ สอนว่าท่าเต้นเป็นอย่างโน้นอย่างนี้  มันไม่มีเวลาไปคิดถึง มักลายเป็นคุณต้องทำให้ได้   คืนตรุษจีนได้ร่วมร้องเพลงด้วยกัน  เริ่มจากาการซ้อม ผมรู้สึกแปลกหน้านิดๆ  แต่ก็รู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่  เป็นความรู้สึกที่สับสนวุ่นวาย ยากจะเอ่ย แต่ไม่นานก็กลับสู่สภาพปกติ

Q : ศิลปินในค่ายหัวอี้นั้น คุณชื่นชอบใครที่สุด? เพราะอะไร?

โหย่วเผิง:  ศิลปินในค่ายนั้นมีเยอะมาก ผมพียงบอกได้ว่าจากศิลปินที่ผมรู้จักนั้น คนที่ผมชอบคือ จางหันอี๋  จากประสบการชีวิตของเขา  ทำให้เขาเผชิญกับความนิ่งสงบแม้จะเป็นซูเปอร์สตาร์ก็ตาม ชีวิตของเขาที่เดินผ่านมาจนถึงวันนี้นั้น  มันเหมือนกับผมกำลังเดินอยู่  เหมือนกับว่าเราถูกชะตากัน

Q : คุณในวันนี้นั้นไปร่วมงานแฟชั่นบ่อยๆ  จริงๆ แล้วตัวคุณเองชอบในแฟชั่นด้วยเหรือเปล่า ?ลองบอกถึงแฟชั่นของคุณหน่อย?

โหย่วเผิง : แฟชั่นก็เหมือนเล่นเกมส์  หรือท่าที บางครั้งชีวิตก็ดูเหมือนเซ็งๆ คุณก็สามารถที่จะไปแฟชั่นหน่อย เพื่อเพิ่มสีสันให้กับชีวิต  ผมเองเป็นคนที่  เริ่มจากเสื้อผ้านั้นล้วนแต่เป็นคุณแม่ซื้อมาให้  ไม่รู้อะไรเป็นแฟชั่นแฟเชิ่น  มาถึงวันนี้ก็พอรู้แล้วว่าตัวเองควรจะมีแฟชั่น

Q : เรื่อง ตามหาพี่หลิวซัน นั้น เป็นเรื่องที่อิงไปทางจีนมากๆ  คุณคิดอย่างไรถึงไปรับเล่นเรื่องนี้ ? แล้วเคยไปคิดไหม? แล้วตอนหลังคิดตัดสินใจอย่างไร?

โหย่วเผิง : การจะเป็นแนวสไตร์จีนหรือไม่นั้นไม่ได้เป็นหลักที่ผมจะตัดสินใจ ในเรื่องนี้ เรื่องนี้นั้นมีประวัติศาสตร์ที่ผมไม่เข้าใจอีกเยอะ  ผมจำต้องค้นคว้า  อีกอย่างเรื่องนี้นั้นผมจำต้องร้องเพลงภาษาอิตาลี  เป็นเรื่องแรกที่ผมต้องพูดบทเป็นภาษาอังกฤษ  ต้องเรียนเพลงกวางซี  เสียงนั้นเปลี่ยนจนตัวเองแทบจำไม่ได้  รวมทั้งยังมีโอกาสไปท่องเที่ยวที่หมู่บ้านชนกลุ่มน้อยของกวางซีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย  โอกาสทองอย่างนี้ แน่นอนจะพลาดได้ไง

Q : คุณคิดว่าเรื่องอะไรที่สังคมเข้าใจคุณผิดเป็นอย่างมาก

โหย่วเผิง : ผมคิดว่าไม่มีอะไรที่ที่เข้าใจผิด เพราะภาพลักษณ์ในสายตาทุกคนกับปัจจุบันของผมนั้นมันเหมือนกัน

Q : หลังจากแสดงงานราตรีตรุษจีนผ่านไปแล้วไปทำอะไรต่อ?

โหย่วเผิง : วันเกิดพ่อตรงกับคืนสิ้นปี ฉะนั้นผมเลยรีบบินกลับด่วน ไปฉลองวันเกิดทดแทนวันจริงให้ท่าน แล้วก็ได้อยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้ากัน

4033

Entertainment


สัมภาษณ์พิเศษเสี่ยวหู่ตุ้ย  “อ้าย” เพราะ 19 ปีที่รอคอยทำให้ยิ่งสวยงาม;10-02-24 

“เชื่อเถิดว่า พรุ่งนี้พวกเราจะเจอกันอีก ก็เหมือนเมฆจากท้องฟ้าไป”

หนุ่ม 3 คน ได้ร้องเพลงนี้ทั้งน้ำตา เปี่ยมไปด้วยความหวัง เปี่ยมไปด้วยรัก  พวกเขาไม่ได้ลืมคำสัญญา เพราะราตรีตรุษจีนในปีนี้ พวกเขาทั้ง 3 คน  ได้มารวมตัวกันร้องเพลง แต่เวลานี้นั้นคือปี 2010 แล้ว ดังสายน้ำไหลผ่านไปกว่า 19 ปี

เสี่ยวหู่ตุ้ย ในราตรีตรุษจีน
รายงานข่าวของ 24 ก พ. ก่อนที่จะมีชื่อเสียง ก่อนที่จะมีชื่อ 3 คำที่ดังทั่วหล้า รายการทีวีรายการหนึ่งของไต้หวัน  ได้คัดเลือกผู้ชาย 3 คนมาเป็นผู้ช่วยรายการ จนได้กำเนิดคณะวงหนึ่งขึ้นมาคือ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”

ระยะเวลาปีกว่าๆ ที่ได้มีกิจกรรมด้วยกันแล้ว ในสมาชิก จื้อเผิง เองจะต้องไปเกณฑ์ทหาร  เสี่ยวหู่ตุ้ย ที่กำลังดังระเบิดอยู่นั้น สุดท้ายจำต้องแยกลาจากกันไป

“เชื่อเถิดว่าพรุ่งนี้พวกเราจะเจอกันอีก ก็เหมือนเมฆจากท้องฟ้าไป”
หนุ่ม 3 คน ได้ร้องเพลงนี้ทั้งน้ำตา  เปี่ยมไปด้วยความหวัง เปี่ยมไปด้วยรัก พวกเขาไม่ได้ลืมคำสัญญา เพราะราตรีตรุษจีนในปีนี้ พวกเขาทั้ง 3 คนได้มารวมตัวกันร้องเพลง แต่เวลานี้นั้นคือปี 2010 แล้ว ดังสายน้ำไหลผ่านไปกว่า 19 ปี”

ใน 19 ปีนั้น ต่างคนต่างก็เติบโตกัน ความเจ็บปวด การหย่าร้าง ความทุกข์โศก ล้วนได้ทำให้พวกเขาเติบโตในเส้นทางนี้


ในที่ เสี่ยวหวังจื่อ ได้พูดไว้ว่า .”รัก เพราะรอ ถึงจะทำให้ยิ่งสวยงาม เพลง “อ้าย” ปีนี้ที่ เสี่ยวหู่ตุ้ยร้องในราตรีตรุษจีน  เมื่อไปดูในเน็ตแล้วเห็นว่ากว่า 50 เปอร์เซ็น  เป็นรายการที่นับว่าทุกคนรอคอยสูงและเป็นอันดับหนึ่งเลย  มันสูงกว่ารายการอันดับ 2 ของหวังเฟย กว่า 30%

19 ปีแล้ว  “อ้าย” เพราะรอคอยจึงยิ่งสวยงาม


4034
Magazine Interviews-China / Re: ธ.ค. 2009 BQ
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 12:11:15 PM »

ชื่อ สกุล . ซูโหย่วเผิง

อาชีพ . นักแสดง

ประวัติส่วนตัว


คำว่าโหย่วเผิงนั้นเป็นชื่อมาจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ของชาวจีน คุณแม่ของเขาได้เกิดในวันนั้น และวันเกิดโหย่วเผิงก็ตรงกับวันนั้นด้วย ฉะนั้นก็เลยมี 月 เดือนสองตัวมารวมกันก็เลยกลายเป็นเผิง

ปี 1989 โหย่วเผิง จื้อเผิง ฉีหลงได้รวมตัวกันก่อตั้งเสี่ยวหู่ตุ้ย ปี 1991 เสี่ยวหู่ตุ้ยแยกทางกัน

ปี 1998 ได้เล่นละครโทรทัศน์ (องค์หญิงกำมะลอ) ได้เป็นศิลปินดังอีกครั้งหนึ่ง

ปี 2009 ฝีมือการแสดงโดดเด่นจากเรื่องเฟิงเซิงที่เล่นในบทของไป๋เสี่ยวเหนียน


15 ปี โหย่วเผิง จื้อเผิง ฉีหลงได้ร่ำลาชีวิตของมัธยมปลาย ได้มาตั้งเสี่ยวหู่ตุ้ยซึ่งดังระเบิดในใต้หวัน ไม่ว่าจะเป็นรูปโปสเตอร์ต่างๆของพวกเขาได้ถูกติดตามท้องถนนหรือตรอกซอยเป็นว่าเล่น ไกวๆหู่ที่เดียงสานั้นยังมีความเขินอายอยู่เลย

มีชื่อเสียงแต่เด็ก ทำให้เขากลายเป็นบุคคลตัวอย่างของเหล่านักเรียน ช่วงหนึ่งที่เขาพยายามทำตัวให้สมกับตำแหน่งที่ทุกคนให้กับเขา เพื่อจะสอบเข้ามหาลัยให้ได้ เขาตัดสินใจหยุดงานหนึ่งปี ตั้งใจเรียน สุดท้ายก็สอบเข้ามหาลัยไต้หวันคณะช่างกล ตอนนั้นเขาไม่เคยคิดถึงว่าชอบสายนี้หรือเปล่า สิ่งที่ตั้งใจที่สุดคือต้องสอบให้ได้คะแนนสูงๆ จะเลือกเรียนคณะที่ยอดนิยม เพราะคิดว่าทำอย่างนี้แล้วจะทำให้คนอื่นจะไม่ดูถูก

โหย่วเผิงบอกว่าเขาเสมือนสิ่งของทดลองชิ้นหนึ่ง “ตอนนั้นคำถามนี้เกิดขึ้นกับผม ผมได้ตั้งใจเรียนขนาดนี้ เพื่อจะเป็นนักเรียนต้นแบบในใจของทุกคนที่หวังไว้อย่างนั้นหรือ หรือว่าเรียนเพื่อตัวเอง ตอนนั้นคนอื่นดูผมแล้วเป็นคนที่เพรอร์เฟรก เรียนเก่ง ทำงานเก่ง สามารถพูดได้ว่าการงานที่ดีของผมนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการเรียนผมด้วย แต่การทำงานนั้นมักจะกระทบต่อการเรียนผม ผมไม่สามารถที่จะสร้างความสมดูลย์ในสองเรื่องนี้ได้”

โหย่วเผิงสัมผัสถึงการสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างในสมัยวัยรุ่นไป เขาไม่มีเวลาส่วนตัวเลย คนวัยเดียวกันนั้นมีเวลาไปเที่ยวเล่นกัน ไม่ต้องห่วงอะไรมากมาย แต่เขากลับไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นความเสียใจที่ไม่อาจลืมของเขา “สิ่งที่ผมเสียใจที่สุดคือครั้งหนึ่งผมเดินผ่านประตูโรงเรียนแห่งหนึ่ง มองเห็นนักเรียนมากมายเดินออกมา กลุ่มละสามห้าคน ใจผมนั้นมันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมากๆ มันสะเทือนใจผม อยากจะหลุดพ้นตัวเอง อยากไปทำงานในร้านอาหาร อยากไปหาชีวิตที่แท้จริงของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง”

อีกครั้งที่ทุกคนหันไปสนใจโหย่วเผิงคือปี 1998 เรื่ององค์หญิงกำมะลอได้ดังไปทั่วสารทิศ อู่อาเกอที่โหย่วเผิงแสดงนั้นมันฝังใจผู้ชม จากจุดนั้นทำให้เขาได้เข้าสู่วงการแสดงอย่างไม่ยากเย็น ชีวิตแห่งการแสดงที่พริกผันนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิด คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้หลังจากที่ฉายในไต้หวันแล้ว มันดังระเบิดขึ้นในทันใด และระเบิดลูกนี้ยังอิทธิพลถึงจีน ฮ่องกงและเอเซียตะวันตกเฉียงใต้ด้วย และเฟิงเซิงในปี 2009 ที่โหย่วเผิงเล่นในบทของไป๋เสียวเหนียน ทำให้ทุกคนเห็นถึงฝีมือการแสดงของเขาอีกครั้ง จากจุดนี้ทำให้เขาพลิกเปลี่ยนไปแสดงภาพยนตร์

ราตรีตรุษจีนของปีนี้ เสี่ยวหู่ตุ้ยได้ทำความฝันของหลายๆคนเป็นจริง โหย่วเผิงกล่าวว่า “ มันยังทำความฝันผมเป็นจริงอีกด้วย อยากรู้ว่ามีวงไหนบ้างที่แยกวงไปตั้งนานแล้วยังมีแฟนๆรอคอยการกลับมาของพวกเขาอีก ? มันเป็นอะไรที่น่าภูมิใจมากๆ เมื่อยืนอยู่ในจุดนี้คิดแล้ว มันเป็นอะไรที่ต้องขอบคุณจริงๆ ทุกคนล้วนคิดถึงเสี่ยวหู่ตุ้ย พวกเราก็รู้สึกคิดถึงทุกคนเหมือนกัน”

ช่วงนี้โหย่วเผิงได้เขียนในเว็ปบล็อคของตัวเองว่า “วันนี้ได้มาจัด iTunes ของตัวเองแล้วเจออัลบั้ม(อี่เฉียนอี่โฮ่ว)นี้ บางอย่างก็ไม่ค่อยรู้จักแล้ว บางอย่างก็ยังอยู่ในความทรงจำอยู่ อยากจะแบ่งปันความรู้สึกที่แตกต่างกันให้กับทุกคน” สำหรับโหย่วเผิงแล้ว ช่วงเวลาเสี่ยวหู่ตุ้ยเป็นช่วงที่มีคุณค่าและไม่มีอะไรมาแทนได้ “ทุกวันเราสามคนจะอยู่ด้วยกัน” แต่เวลานี้พวกเราต่างคนต่างไปแล้ว ความสนิทสนมที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลาของสมัยก่อนกับวันนี้ที่อยู่ด้วยกันนั้นความรู้สึกมันต่างกัน”


ming

4035
Magazine Interviews-China / Re: ธ.ค. 2009 BQ
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 12:04:26 PM »

ตรุษจีน 2010 โหย่วเผิงอาจจะรับคนในครอบครัวมาฉลองที่ปักกิ่ง นอกจากนี้ ยังได้ร่วมฉลองกับผู้ชมอีกมากมายด้วย จะเป็นสิ่งที่มีความหมายมากๆ” เขากล่าว

ปี 2009 ที่เสี่ยวหู่ตุ้ยครบรอบ 20 ปีนั้น โหย่วเผิงได้ก้าวสู่เส้นทางภาพยนตร์ของตัวเอง เขาได้สลัดภาพอดีตที่เป็นไกวๆหู่เหล่านั้นทิ้งไปแล้ว และได้สร้างปูถนนแห่งภาพยนตร์ที่กว้างใหญ่ให้ตัวเอง ได้ลิ้มลองบทที่หลากหลาย

หากว่าตอนนั้นไม่มีเสี่ยวหู่ตุ้ย โหย่วเผิงในวันนี้ก็คงจะเป็นแค่นักวิชาการเรียบๆคนหนึ่ง แต่หากไม่มีเสี่ยวหู่ตุ้ย พวกเขาจะเอาความหนุ่มสาวที่มีในตอนนั้นไปสนุกกับอะไรได้ล่ะ? และคงจะไม่รู้สึกยินดีที่ตรุษจีนปีนี้จะมีพวกเขามารวมตัวกัน หากจะช้ากว่านี้ เชื่อว่าคนรุ่นหลังก็คงจะไม่มีใครไปรู้จักกับพวกเขาอีกแน่เลย

มุมหนึ่งเป็นมุมแห่งการหวนคิดถึงวันหนุ่มสาวในสมัยก่อน อีกมุมหนึ่งนั้นเป็นมุมแห่งความทรงจำไป แท้จริงวันคืนนั้นไม่ค่อยท่าเราจริงๆ ตัวเราที่ยิ่งอายุเยอะก็ยิ่งกลัวความสูญเสีย มักจะทรงจำในสมัยวัยหนุ่มสาว บางครั้งก็คิดขึ้นมาสุขชั่วครู่ ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ ขอให้ความอบอุ่นของเสียวหู่ตุ้ยมาเติมเต็มในหัวใจของเราทุกคน และในปีใหม่นี้ โหย่วเผิงก็ได้พูดอย่างมั่นใจว่า “จะท้าทายตัวเองต่อไป จะก้าวหน้าต่อไป เพื่อเป็นคนที่ดีกว่าเก่า”



4036
Magazine Interviews-China / Re: ธ.ค. 2009 BQ
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 12:02:42 PM »


ปี 2009  ปีแห่งการเริ่มต้นของภาพยนตร์

“หลังจากเข้าร่วมเล่นเรื่องเฟิงเซิง ทำให้เปิดเส้นทางใหม่ให้กับผม เป็นเส้นทางใหม่ของภาพยนตร์” โหย่วเผิงกล่าว เฟิงเซิงในปี 2009 นั้น ไป๋เสี่ยวเหนียนที่โหย่วเผิงเล่นนั้นมีบุคลิกที่พิเศษมาก เขาที่ติดตามผู้บัญชาทหารนั้นอดีตเป็นถึงนักร้องละครเพลง นิสัยโอหัง ภายนอกนั้นดูใสๆ แต่เป็นคนคิดเล็กคิดน้อย

และในเรื่องที่เขาถูกรวมอยู่กับผู้ต้องสงสัยทั้ง 5 คน ดูเขาเป็นคนที่ไร้พิษภัยที่สุด และเป็นคนแรกที่ถูกทรมานจนตาย เขากล้าที่จะรับบทที่รุนแรงและเป็นบทกระเทยอย่างนี้ มันต้องใช้ความกล้าที่ไม่น้อยเลยทีเดียว โหย่วเผิงพูดว่า  “ตอนแรกเริ่มที่ถ่ายเรื่องนี้นั้นมันกดดันผมมากๆ เพราะผมไม่ได้จบด้านนี้มา ก่อนจะเล่นนั้นจะต้องทำใจให้ได้ หลังจากที่รับเล่นไป๋เสี่ยวเหนียนแล้ว ผมรู้ว่าผมต้องสวมชีวิตของเขา แต่จะทำได้มากน้อยขนาดไหนนั้น ตอนนั้นผมเองก็ยังไม่แน่ใจ รู้เพียงว่าทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว สุดท้ายผลงานออกมาได้ดีมาก ผมนั้นเป็นคนที่โชคดีมาก” ทราบข่าวว่า เพื่อจะเล่นบทนี้ให้สมจริงแล้ว โหย่วเผิงได้ไปเชิญอาจารย์จากปักกิ่งมาสอนโดยตรง

เขาได้พูดอย่างซึ้งใจว่า “หลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์เรื่องเฟิงเซิงนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าฝีมือการแสดงผมนั้นต้องให้สูงขึ้น ผมยังปรารถนาที่จะได้รับบทแนวอย่างนี้อีก มีทีมงานที่ดี ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่สุดยอดมากๆ สำหรับเรื่องเทคนิกการแสดงแล้ว ส่วนตัวคิดว่าตัวเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆจากเรื่องนี้หลายอย่าง นอกจากนี้ เรื่องนี้ได้นำความหวังใหม่เส้นทางใหม่ให้กับผม โดยเฉพาะด้านภาพยนตร์มันเปิดเส้นทางใหม่ให้กับผม” เขายังบอกกับนักข่าวว่า “ตอนนี้ในมือมีบทที่จะให้เล่นมากมาย แต่ผมกำลังพิจารณาอยู่ รอเวลาถึงแล้ว ผมก็จะมาแถลงบอกกับทุกคน”


เรื่อง (ตามหาพี่หลิวซัน)ที่โหย่วเผิงร่วมแสดงกับหวงเซิ่งอีนั้นก็กำลังจะตัดต่อเสร็จแล้ว เตรียมที่จะออกฉาย เรื่องนั้นได้พูดถึงนักศึกษานอกได้กลับมาที่บ้านเมืองตัวเอง ไปที่กวางซีเรียนรู้เพลงต่างๆกับชนกลุ่มน้อย ในระหว่างที่อยู่ในเมืองกวางซีที่สวยงามไปด้วยทิวทัศน์และคนทำให้เกิดเรื่องราวความรักขึ้นที่นั่น ในเรื่องก็ยังมีการร้องเพลงพื้นเมืองไม่น้อยเลย เพื่อจะให้ผลงานออกมาได้ดี โหย่วเผิงได้ไปเรียนการร้องเพลงพื้นเมืองโดยตรง “คิดไม่ถึงจริงๆว่า เสียงที่ร้องออกมานั้นแม้แต่ตัวเองก็ยังจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของตัวเอง”

นักแสดงที่เปลี่ยนอาชีพจากนักร้องนั้น เขาเคยบอกว่าอยากจะแสดงเต้นร้องอย่าง(หยู่ก่ออ้าย) เคยถูกถามว่าในเรื่องตามหาพี่หลิวซันนั้นมีคอนเซ็บเพลงนี้มาเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า โหย่วเผิงตอบอย่างจริงจังว่า “ก็มีสไตล์แนวการร้องเพลงเข้ามาบ้าง แต่ใช่ว่าทั้งเรื่องจะเป็นแนวร้องเพลงเลย ถ้าจะพูดจริงๆแล้ว เรื่องตามหาพี่หลิวซันนั้นยังไม่ใช่(หยู่ก่ออ้าย: หากจะรัก) ผมก็กำลังรอคอยภาพยนตร์ที่ผมเล่นและได้ร้องเพลงแต่ต้นจนจบอย่างนั้น”

เมื่อเอ่ยถึงระหว่างการถ่ายทำ ทีแรกคิดว่าเขาคงจะพูดถึงทิวทัศน์และชนเผ่าในกวางซี แต่เขากลับบอกว่าระหว่างการถ่ายทำนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก “เมื่อถึงสถานที่ถ่ายทำแล้ว กระเพาะผมเริ่มอักเสบ ได้ไปนอนพักให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลตั้ง 3 วัน ออกจากโรงพยาบาลแล้วภูมิต้านทานก็อ่อน ปากนั้นเต็มไปด้วยแผล ยังมีสิวขึ้นด้วย ตอนหลังเหตุที่ต้องแต่งหน้าปิดสิวที่ขึ้น ยังไงก็ปิดไม่มิด ฉะนั้นแทบจะทุกนาทีที่ถ่ายทำ ช่างจะคอยประกบแต่งหน้าให้ผมตลอดเวลาเลย”
 
ภาพยนตร์ 3 เรื่องที่โหย่วเผิงแสดงในปีนี้ เรื่องสุดท้ายเป็น(เส้าเหนียนซิงไห่) เขาได้แนะนำว่า “ในเรื่องผมได้แสดงเป็นเซียวโหย่วเหม่ย เป็นครูของซินไห่ ตัวละครครูดนตรีนี้นั้นจริงๆแล้วก็อิงในประวัติศาสตร์เหมือนกัน แต่ที่น่าเสียดายคือข้อมูลของตัวละครคนนี้นั้นหาจากประวัติศาสตร์แล้วมันน้อยมาก รู้เพียงว่าเขาเคยเป็นเลขาของ ดร.ซุนยะเซน ตอนหลังได้ลาออกจากตำแหน่งแล้วไปเรียนดนตรีที่ยุโรป ตอนวัยหนุ่มนั้นเขาเป็นผู้มีความรู้คนหนึ่ง รักประเทศชาติ ฉะนั้นผมเองเลยจิตนาการณ์ว่าเขาน่าจะเป็นศิลปินคนหนึ่ง ตามนิสัยของเขาแล้วเขาเองเข้าใจดีว่าตัวเองต้องการอะไร เขาจะไม่ลุ่มหลงไปกับอำนาจเงินทอง เขาเป็นคนที่รักชาติ เป็นคนที่ยืนหยัดในอุดมการณ์ และสำหรับตำแหน่งของครูดนตรีนั้น ตอนเด็กผมเองก็เคยเรียนเปียโนมา ฉะนั้นเรื่องอารมณ์การเล่นเปียร์โนของผมนั้นไม่มีปัญหา สำหรับเรื่องการเป็นครูนั้น ปกติผมเองก็ชอบเป็นครูสอนคนอื่นอยู่แล้ว”
 
โหย่วเผิงกล่าวว่า:  ที่มีวันนี้ได้นั้นเพราะความขยันและโชคของตัวเอง ต่อไปก็คงจะทุ่มเวลาให้กับงานภาพยนตร์มากกว่านี้ ปี 2009 สำหรับผมแล้วมันเป็นปีแห่งการก้าวสู่เส้นทางภาพยนตร์ ได้เล่นเรื่อง(เฟิงเซิง) (ตามหาพี่หลิวซัน) กับ (เส้าเหนียนซิงไห่) 3 เรื่องด้วยกัน และเป็นปีแห่งการท้าทายเหมือนกัน เพราะผมได้ท้าทายตัวเองในการเล่นบทละครเพลง ตอนหลังย้อนกลับไปคิดๆดูแล้วมันเสี่ยงมากๆเหมือนกัน ปี 2009 ยังเป็นปีแห่งการเรียนรู้ของผมอีกด้วย เพื่อภาพยนตร์แล้ว ผมเรียนละครเพลง เรียนเพลงพื้นเมืองกวางซี เรียนการร้องเพลงแบบอิตาลี่ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนได้รับการเรียนรู้ทั้งนั้น หากจะให้คะแนนตัวเองแล้ว ผมกล้าที่จะให้ตัวเอง 80คะแนนเลย”

4037
Magazine Interviews-China / Re: ธ.ค. 2009 BQ
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 11:58:54 AM »

20 ปีผ่านไป เสือน้อยได้กลายเป็นเสือแก่ โหย่วเผิงบอกว่า “พวกเขาไม่ได้เป็นขวัญใจวัยรุ่นอีกแล้ว” โหย่วเผิง จื้อเผิง ฉีหลง ต่างคนต่างก็มีหน้าที่การงานของตัวเอง สามคนก็อยู่กันสามบริษัท จื้อเผิงจะปักหลักที่ไต้หวัน ฉีหลงจะทำร้านอาหาร โหย่วเผิงได้กลายเป็นนักแสดงอาชีพโดยเรื่องเฟิงเซิง ได้สร้างโลกใหม่ในวงการาภาพยนตร์ให้กับตัวเอง สำหรับโหย่วเผิงแล้ว งานหนักที่จะมาในคือตรุษจีนนั้นคือการเลือกเพลง “การจะมาในงานราตรีตรุษจีนนั้น สิ่งที่หนักใจที่สุดดูเหมือนจะเป็นการเลือกเพลง เป็นรายละเอียดของการแสดงในคืนนั้น เป็นสิ่งที่ปวดหัวมากๆ”

จะสร้งความคลากสิกอีกครั้ง? จะเป็นการทำลายภาพลักษณ์ตัวเองหรือเปล่า?

งานการแสดงครั้งนี้ของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นจะมีเวลาให้เพียง 5 นาที การจะใช้ 5 นาทีมาแสดงความคลากสิคนั้น จะเป็นการสร้างความประทับใจ หรือจะเป็นการทำลายภาพลักษณ์? โหย่วเผิงกล่าว “ตอนนี้เราคิดเพียงว่าจะทำให้การแสดงของเราดีที่สุด อย่างอื่นไม่ขอคิด” เขายังเน้นว่า  “เรื่องรายละเอียดที่จะมีในการแสดงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพลงหรืออะไร ก็เป็นสิ่งที่สร้างความหนักใจและปวดหัวเหมือนกัน”

ปี 1989  เสี่ยวหู่ตุ้ยได้ขึ้นเวที กระหึ่มทั้งเวทีเลย ได้กลายเป็นวงที่ดังที่สุดในช่วงเวลานั้น ได้สร้างสถิติที่จัดคอนเสิร์ด 20 ครั้งแต่ละครั้งมีแฟนๆมากันอย่างล้นหลาม

ช่วงปลายปี 80  สถานีจงยางได้มีการจัดรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งขึ้น และในรายการนั้น เป็นการออกอากาศเอ็มวีเสี่ยวหู่ตุ้ยครั้งแรกในเมืองจีน

และน่าจะเป็นความทรงจำที่มีคุณค่าต่อวัยรุ่นในสมัยนั้น พวกเขาได้รู้จักเสี่ยวหู่ตุ้ย และได้คลั่งไคล่ในตัวของพวกเขา ตอนเข้าเรียนบางคนถูกคนลงโทษเพราะมัวเขียนเนื้อเพลง(อ้าย)ของเสี่ยวหู่ตุ้ย และพวกเขาได้มีการซ้อมตีลังกาหลังของอู่ฉีหลงในเพลง(ชิงผิงก่อเล่อเหยียน) หลายคนก็คิดใฝ่ฝันอยากจะได้แต่งกายในเพลง(เซียวเหยาอิ๋ว) บางคนก็ซ้อมท่าภาษามือ(อ้าย) จนมือแทบจะกระดิกไม่ได้ ตอนนั้น กระแสนิยมของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นไม่ว่าจะตรอกซอยก็ล้วนเปิดเพลงของพวกเขา คุณจะเดินไปในร้านหรือที่ไหนก็จะเห็นทรงผมยอดฮิตของพวกเขาที่วัยรุ่นต่างก็เลียนแบบกัน ความทรงจำเหล่านี้ล้วนอยู่ในสมองของเพื่อนๆตลอดมา

และยังมีเทปเพลงอีกมากมายที่ถูกเก็บไว้ในกล่อง ที่ไม่ได้เปิดฟังแต่ก็ไม่ทิ้งไปเพราะเสียดายมัน ไม่ว่าจะเป็น(หงชิงถิง) (หูเตียเฟยยา) (เซียวเหยาอิ๋ว) (ซิงซิงเตอแยฮุ่ย) (ไจ้เจี้ยน) (ฟ่างซินชี่เฟย)เป็นตัน


คำพูดของโหย่วเผิง : ความกังวลในราตรีตรุษจีนนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ยเสมือนความคลาสสิค สำหรับคนที่ร่วมสมัยกับเสี่ยวหู่ตุ้ยในตอนนั้น แต่ละคนต่างก็มีความคาดหวังของตัวเอง โดยเฉพาะภาพเสี่ยวหู่ตุ้ยในอดีต เราจะทำอย่างไรถึงจะไม่ให้เขาพวกเขาผิดหวัง และจะทำให้ทุกคนได้รับความอบอุ่น นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราต้องไปทำการบ้านและต้องคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ผมคิดว่าพวกเราทั้งสามจะพยายามอย่าเต็มที่ นี่เป็นสิ่งที่พวกเราได้ทำหน้าที่ต่อความคลาสสิกของเสี่ยวหู่ตุ้ย

4038
Magazine Interviews-China / Re: ธ.ค. 2009 BQ
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 11:57:05 AM »


31 ธันวาคม 2009  โหย่วเผิง เฟิงเซิงเรียกร้องเสี่ยวหู่ตุ้ย
2010 ราตรีตรุษจีน การรวมตัวอีกครั้งหลังจากกัน 20 ปี

“เชื่อพวกเราเถิดว่าพรุ่งนี้จะต้องพบกันใหม่แน่นอน เสมือนเมฆลอยจากท้องฟ้าไป เชื่อเถิดว่าพวกเราจะกลับมายืนต่อหน้าทุกคนอีกแน่ มาร้องเพลงไร้ทุกข์ไร้โศกของพวกเรา” เป็นเพลง (ไจ้เจียน)ของพวกเขาที่ร้องก่อนจะแยกย้ายกันไปในปี 1991  ไม่มีใครคิดถึงว่า การที่บอกว่าพรุ่งนี้จะเจอกันอีกของพวกเขานั้น เป็นเวลานานกว่าตั้ง 20 ปี

ปี1991  ถึง 2010  ในช่วงเวลา 20 ปีนี้ ไม่มีวงไหนคณะไหนที่แยกกันกว่า 20 ปีแล้วยังมีแฟนๆเฝ้ารอกันมากมายขนาดนี้ 20  ปีที่ผ่านมา แฟนๆคิดหาหลายทางที่จะให้พวกเขารวมตัวกัน ปี 2005 ก็มีข่าวที่เสี่ยวหู่ตุ้ยจะรวมกัน ปี 2008 ก็คาดหวังว่าพวกเขาจะมารวมกันในกีฬาโอลิมปิก แต่ตรุษจีนปี 2010  ต่างคนก็ได้เครียร์งานของตัวเองและจัดเวลามารวมตัวกันจนได้ ก็เหมือนที่โหย่วเผิงพูดไว้ ปีเสือดูวงเสือ เป็นของขวัญชิ้นสำคัญที่จะมอบให้กับแฟนๆ

 
ราตรีปีเสือ ดูเสือแก่

“คุณยังจำท่าภาษามือของเพลงอ้ายได้ไหม?”

“ น่าจะได้นะ”


หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าเสี่ยวหู่ตุ้ยจะมีรายการในคืนตรุษจีน โหย่วเผิงก็ได้รับโทรศัพท์จากนักข่าวจนสายแทบไหม้ เป็นนักข่าวที่ยังหวนคิดถึงวงเสี่ยวหู่ตุ้ยเหล่านั้น ดูเหมือนโหย่วเผิงจะธรรมชาติมากกับเรื่องเจอกับนักข่าว ขณะที่ได้แนะนำการเตรียมตัวการแสดงของราตรีตรุษจีนนั้น น้ำเสียงของเขานิ่งและจริงใจ “การจะมีรายการในคืนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ หวังว่าปีเสือนั้นทุกคนจะได้เห็นเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้วจะมีความสุข จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”

“ตอนนี้กำลังคิดรายละเอียดบางอย่าง เพราะเพลงยอดฮิตของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นมีหลายเพลงมาก ฉะนั้นต้องใช้เวลาในการเลือกเพลงค้อนข้างเยอะหน่อย  ตอนนี้เพลงที่จะเลือกนั้นน่าจะได้เป็น (อ้าย ) (หูเตียเฟยอา) (ชิงผิงก่อเล่เหยียน) หวังว่าสามเพลงนี้จะนำความรู้สึกอารมณ์ที่ไม่เหมือนกันมาให้กับทุกคน (อ้าย)จุดขายคือท่าภาษามือ (หูเตียเฟยยา)เป็นเพลงที่ช่วงเวลาเติบโต (ชิงผิงก่อเล่อเหยียน)นำบรรยากาศสนุกๆของเวทีกลับคืนมา เพราะการก่อตั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นจะเน้นในบรรยกาศของบนเวทีเป็นอย่างมาก สำหรับเรื่องบนเวทีนั้นก็ยังกำลังคิดอยู่ จะใส่ชุดอะไรก็ยังคิดอยู่ ยังไม่ได้ตัดสินใจเลย

โหย่วเผิงตอบรับจะมาในงาน เป็นการตอบรับการเชิญของผู้กำกับจิงแย่ที่จะจัดงานปีเสือ 2010 ผู้กำกับจิงแย่ได้ดูในเน็ตก็มีแฟนๆเสนอความคิดเหมือนกัน พวกเขารอคอยเสี่ยวหู่ตุ้ยรวมตัวกัน และได้เชิญเสี่ยวหู่ตุ้ยมาออกงาน พวกเขารู้ดีถึงอุปสรรค์ต่างๆ และทางผู้จัดรายการก็ได้โทรศัพท์มาคุยปรึกษากับผู้จัดการโหย่วเผิงเป็นการส่วนตัว หลังจากที่มีการพูดคุยกันหลายครั้ง สุดท้ายก็ตกลงกัน ด้วยเหตุนี้ โหย่วเผิงที่ต้อง จัดการตารางเวลาที่ต้องไปถ่ายภาพยนตร์กับทางบริษัทและจัดหาเวลามาซ้อมการแสดงกับเพื่อนๆ

 “พวกเขาสองคนกำลังยุ่งกับงานกองถ่าย” โหย่วเผิงบอกว่า “ผมยังไม่เจอพวกเขาสองคนเลย”

4039
Magazine Interviews-China / 2009 BQ
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 11:54:21 AM »
http://tieba.baidu.com/f?kz=706231308
http://bjqn.ynet.com/article.jsp?oid=63134307&pageno=1

บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากนิตรสาร BQ  ฉบับเดือน ธันวาคม 2009

2010 การกลับมาอีกครั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ย


4040

แม้จะตัดฉากตอนต้นของเฟิงเซิงทิ้งไป แต่ว่าทางโหย่วเผิงก็กล่าวว่าได้รับคำชมมากมายจะผู้ชม   “การที่ผมเล่นไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นมีอุปสรรค์มากมาย ใช่ว่าทุกคนเห็นด้วยกับผม เรื่องนี้เป็นของค่ายหัวอี้ บนหัวผมยังมีผู้ใหญ่ บวกกับผู้กำกับ มีความคิดเห็นมากมาย (เฟิงเซิง)เป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ การแสดงนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ มีหลายคนก็สนใจบทของไป๋เสี่ยวเหนียน เคยขอให้เขาลองเล่นดู ถ้าจะพูดในแง่บวก ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงหน้าไหนก็ตาม ไม่กลัวว่ามือใหม่หรือมือเก่า เมื่อแสดงบทอย่างนี้แล้ว ก็ไม่วายที่จะสะดุ้ง หากคุณพูดในอีกมุมหนึ่ง บทนี้นั้นเป็นบทที่จะต้องคัดสรรนักแสดงมาแสดงเหมือนกัน ใช่ว่าใครจะมาแสดงก็ดูดีได้ นี่น่าจะเป็นเรื่องของวาสนา พอดีมาตกบนตัวผม หลังจากที่ผมแสดงไปแล้ว ทุกคนกลับไม่รู้สึกสะอิดสะเอียน ตัวผมเองก็ตั้งใจเป็นอย่างมาก แต่ผมก็เชื่อว่าโชคนั้นสำคัญกว่า ทางผู้กำกับได้บอกว่าจะหานักแสดงที่จะมาแสดงนั้นต้องเป็นคนที่ไม่ใช่เป็นกระเทย และทางผู้กำกับก็บอกว่าสิ่งที่เขาต้องการเป็นการแสดงออกถึงบุคลิกที่กระเทย เขาจะตกอยู่ในสภาพอารมณ์ที่แปรปรวน ฉะนั้นเลยไม่อยากจะได้นักแสดงที่เป็นกระเทยมรับบทนี้”
 
ในระหว่างการถ่ายทำนั้น โหย่วเผิงอารมณ์อินไปด้วย ปกติแล้วเขาจะเป็นคนที่คุยกับคนโน้นคนนี้ในกองถ่าย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่เหม่อลอย กลายเป็นคนที่ตกอยู่ในอารมณ์ที่ว่างเปล่า จนทำให้โจวซิ่นและจางหันอี่ตกใจ  “ตอนแสดงนั้นอินจริงๆ ปกติแล้วตอนจะแสดงผมจะไม่พูด ผมจะดึงอารมณ์อย่างนั้นเข้าฉาก ตอนแสดงนั้นทุกคนก็จะคุยกับผู้กำกับ มาดูเทปที่ถ่าย ส่วนผมนั้นไม่เคยมาดูเลย ผมถ่ายเสร็จ ก็ไปหามุมหนึ่งเงียบๆ ผมกลัวอารมณ์ของผมจะหายไป ระหว่างนั้นอาจมีสองสามวันที่จะออกจากกองถ่าย แต่เมื่อกลับมาแล้วก็ต้องจูนอารมณ์อย่างนั้นอีก อารมณ์ความรู้สึกอย่างนั้นมันหายไปจริงๆ ขณะที่ถ่ายทำนั้น พวกเขานั่นที่กองถ่ายแล้วคุยกัน ทันใดนั้นก็มีความถือปากกาลอยไปจากข้างหลังของพวกเขา นั่นเป็นผมเอง โจวซิ่นกับหันอี่ก็เคยพูดเรื่องนี้ ว่าผมมีสีหน้าที่เหมือนกับตอนเข้าฉากตลอด จะให้ทำอย่างไรล่ะ ผมไม่กล้าปล่อยอารมณ์ให้สบายๆ

หลังจากเรื่องเฟิงเซิงแล้ว
 
ได้ยินว่าความยาวต้นฉบับเรื่องเฟิงเซิงหากไม่ตัดทิ้งประมาณสี่ชั่วโมง มันละเอียดกล่าวฉบับที่เข้าโรง และโหดกว่าด้วย คนที่เคยดูต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เสียดายบทโหย่วเผิงจัง หลายๆฉากของเขากลับถูกตัดทิ้ง

“ฮ่าๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่ามีความรู้สึกอย่างไร ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่พิเศษ ตอนหลังมีข่าวลือออกมา ก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร ว่า (รางวัลจิงหม่าไต้หวัน) นั้นนักแสดงสมทบจะมอบทั้งหมดสี่คน แต่ชื่อผมอยู่ที่ห้า เฉียดฉิวไปสองสามคะแนน ตอนนั้นผมได้ยินข่าวนี้ก็ร้องว่า  “หา”  ตอนนี้ถึงคิดได้ว่า หากฉากต่างๆเหล่านั้นไม่ตัดทิ้งไป คงจะได้คะแนนเพิ่มอีกหลายคะแนนแน่ๆเลย”

แม้ (รางวัลจิงหม่า) จะพลาดไป แต่ก็มีรางวัลของ (หัวเปี่ยว)  “ไม่กล้าคิด แล้วแต่โชคก็แล้วกัน คุณจะถามผมว่ารู้สึกอย่างไรที่ตัดฉากเหล่านั้นทิ้ง ตัวเองก็เป็นเหมือนอย่างตอนนี้ที่เป็น สำหรับผมแล้ว เรื่องเฟิงเซิงจะเป็นเรื่องแรกที่เปิดเประตูให้ผมเข้าสู่เส้นทางการแสดงภาพยนตร์ เป็นหน้าต่างบานหนึ่ง ให้โอกาสแก่ผม ได้เรียนรู้เทคนิคมากมาย มันเป็นอะไรที่สนุกมาก”
 
หลังจากเรื่องเฟิงเซิงแล้ว เขาก็พูดตลอดว่าอยากจะเล่นบทอย่างนี้อีก “ความรู้สึกที่ให้ระหว่างภาพยนตร์กับละครโทรทัศน์นั้นต่างกัน ละครโทรทัศน์นั้นยาวมากๆ มันกำลังทดสอบความตั้งใจและความอดทนของคุณ ไม่มีทางเหมือนภาพยนตร์ที่เอาฝีมือมาประชันกัน จริงๆแล้วทุกคนทุกบทก็ล้วนแต่สำคัญ มันต่างกับละครโทรทัศน์ ทางละครโทรทัศน์นั้นยากจะทำให้ผลงานเห็นได้อย่างเด่นชัด รสนิยมของผมนั้นถูกเฟิงเซิงทำให้สูงไปแล้ว หวังว่าอนาคตสามารถจะมีโอกาสได้รับบทอย่างนี้อีก”
 
แต่ว่า เขาเองก็เข้าใจดีว่าทุกอย่างฝืนไม่ได้ “เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่ผมจะเป็นคนเลือกผู้กำกับ ผู้กำกับฝีมือดีมีเยอะ ตัวเองอยากจะแสดงบทที่แตกต่างจากเดิม อาทิ คนโรคซึมเศร้า คนจิตไม่ปกติ เหล่านี้น่าจะสนุกดี หากมีโอกาสจะแสดงสิ่งที่ซ่อนอยู่ออกมาก็เป็นอะไรที่น่าสนุก”
 
กล้าในหน้าที่การงานอย่างนี้ กล้าทำกล้าคิดอย่างโหย่วเผิง ในชีวิตจริงกลับเป็นหนุ่มเฝ้าบ้าน “จริงๆแล้วผมไม่อยากอยู่ในบ้าน แต่ก็ต้องอยู่ในบ้าน ผมเป็นบุคคลสาธารณะ จะไปโน่นนี่ก็ไม่เหมาะสม”
 
ไว้ทรงผมที่เท่ขนาดนี้ กลับบอกว่า “ชีวิตส่วนตัวแล้วจะเป็นคนที่เรียบๆ ปกติผมจะสวมหมวก จะไม่ค่อยชอบทำทรงผม เพราะออกนอกบ้านแล้วมันยุ่งกับการจัดทรง”
 
ถามเขาว่าช่วงนี้กำลังยุ่งอะไรอยู่ คำตอบคือ “ช่วงนี้พักผ่อนเยอะหน่อย ดูแลสุขภาพ”

สันดานดักง่าย สันดรดักยาก โหย่วเผิงยังเป็นเด็กเชื่อฟังอยู่




หน้า: 1 ... 200 201 [202] 203 204 ... 216