แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Alec Love Me

หน้า: 1 ... 19 20 [21]
401
Online Interviews & Updates / 2008 รายการ “TALK Tonight
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 01:46:30 PM »
รายการ “TALK Tonight(สนทนายามค่ำคืน)”


Alec ได้กล่าวถึง ขณะที่เขาได้เป็นนักแสดงมาเป็นเวลาหลายปีนั้น เขาได้จัดมาตรฐานไว้สูงสำหรับผลงานที่ออกมา ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการแสดงและงานอื่นๆ แต่ช่วงเวลานั้น เขายังได้เรียนรู้ที่สนุกกับชีวิตและยังมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย ขณะนี้เขาจะให้ความสำคัญในกระบวนการแสดงมากกว่าผลลัพธ์ที่ออกในตอนท้าย เพราะสิ่งนี้มันได้ช่วยเขาพัฒนาความสามารถในการแสดงของเขาและหลีกเลี่ยงการเข้าฉากจำนวนมากเกินไป(การแสดงเป็นสิ่งที่ยาก)

เมื่อเพ่งเล็งไปในปี 2008 ที่เพิ่งเริ่มนั้น Alec Su ได้กล่าวถึงตัวเขาในปีนี้ว่า อาจจะเป็นสวรรค์สำหรับเขา เขาต้องการทั้งภาพยนตร์และงานด้านโทรทัศน์ไปในทางที่ดี ดังนั้นเขาจะยุ่งมากๆในปีนี้อีกด้วย

ตามที่เข้าใจ การจัดตารางของAlec Su ใน US(อเมริกา) ได้เต็มหมด ซึ่งเขาจะมีงานสำคัญตอนช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ

รายการ “TALK Tonight(สนทนายามค่ำคืน)” ของสถานีโทรทัศน์ KTSF เป็นรายการสัมภาษณ์คนดังใน US เช่น Oscar directs Ang Lee , Chen Kaige ,รวมถึง Li Lianjie, Zhou huajian ในรูปแบบภาษาจีนเป็นที่ยอมรับไปทั่ว



Alecได้สัมภาษณ์ในรายการ “Talk Tonight” (สนทนายามค่ำคืน) เป็นรายการของ San Francisco ซึ่งตั้งอยู่สถานีโทรทัศน์ภาษาจีน KTSF (ช่อง 26) ตอน 11.00 PM (PST) ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2551

มันเป็นรายการสัมภาษณ์สดทางโทรทัศน์ มีแฟนๆ 7 คนถูกเรียกจากหลายๆประเทศ , 3 คนจากทั้งหมดถูกถามคำถามในรายการ, 2 คนจากทั้งหมดได้พูดคุยกับ Alec หลังจากรายการ , 1 คนไม่ได้รับโอกาสที่จะพูดแต่สามารถอยู่ฟังได้ตลอดรายการ , 1 คนไม่สามารถติดต่อได้(การโทรติดต่อมีปัญหาขัดข้อง)

และมีแฟนๆหลายๆคนส่ง E-mail ถึงรายการ

Alec ได้เปิดเผยถึงแผนในปี 08 ของเขาว่ามี : ภาพยนตร์ 1 เรื่อง, ซีรีย์โทรทัศน์ 1 เรื่อง (เริ่มฉายหลังจาก CNY) และ ภาพยนตร์เรื่องใหญ่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม และเป็นไปได้ที่กำลังจะแต่งงาน(ไม่แน่ ถ้าเขาล้อเล่น)

เมื่อรายการจบ Alec ได้พูดคุยต่อกับแฟนๆที่กำลังรอ ตรงนี้ฉันได้ลืมไปมาก สิ่งเดียวที่พอจะจำได้คือว่า Alecได้กล่าวถึงระหว่าง 2 ปีที่แล้ว ที่จีนได้เปลี่ยนแผนการผลิตสินค้าของพวกเขา เสื้อผ้าสมัยโบราณไม่สามารถอนุญาต และเปลี่ยนสมัยของเรื่องสงครามให้ไปเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันผู้คน นั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้ YP หาการแสดงที่เหมาะสมที่จะเข้าร่วม



สวัสดี

ฉันได้ยินรายการผ่านโทรศัพท์ ฉันถูกเรียกแต่ในเวลาที่สั้นมาก ฉันไม่สามารถที่จะคุยกับเขาได้หลังจากนั้น. หลังจากที่รายการจบ ฉันยังไม่ได้วางสายโทรศัพท์ แน่นอนที่พวกเขายังคงให้Youpengได้ตอบคำถามมากกว่าการที่จะโทรอีกครั้งหนึ่ง เขาได้มีความอดทนสูงแต่ยังไม่ได้ตอบคำถามส่วนตัว ความผิดหวังเล็กๆ แต่ฉันรู้ว่ามันต้องเกิดขึ้น. ฉันได้ยินพิธีกรถาม Youpeng ว่า ถ้าเขาต้องการกาแฟเพิ่มและ ในขณะนั้นสายโทรศัพท์ได้ขาดการติดต่อเขาได้กล่าวว่าเขาจะออกจาก USทันทีหลังจากการแสดงใน Reno. เขาได้วางแผนงานไว้แล้ว.



ในตอนแรกเริ่มฉันคิดว่ารายการสดได้เสร็จแล้ว ความเสียใจเล็กๆ ก่อนที่ฉันจะวางหู ฉันได้ยิน Youpeng คุยกับผู้ชาย ในใจฉันไม่เข้าใจในตอนนั้น ไม่สมารถจำได้ว่าเขาพูดอะไร ไม่มีอะไรระบุไว้ เพียงบางสิ่งที่ปกติเช่นคำทักทายและเขาพูดว่าจะจะไปที่ Reno เสียงของผู้ชายดูตื่นเต้นขึ้นมาและYoupeng ได้กลาวว่าไม่ต้องกังวล รายการสดได้จบลงแล้ว พวกเรายังสามารถพูด เสียงของ Youpeng น่ารักและใจดี ที่ตอนนั้นฉันรู้สึกดีใจมากๆที่ยังสมารถคุยกับเขาได้อยู่ แต่ .... ดังนั้นเขาได้รับโทรศัพท์จากประชาชนแก่ๆคนหนึ่ง เธอพูดอย่างช้าๆ (ขอโทดที่ไม่สามารถพูดได้เพราะว่าหล่อนใช้เวลาเล็กน้อยและฉันไม่สามารถพูดกับ YP) หล่อนได้กล่าวถึงการแสดงของ Yp ว่าเป็น “Worrior of Yang Chan นักสู้ของหยางชาง” ไม่มีใครดีเท่าเขาได้ แต่ไม่สามารถเห็นเขาใดๆในทีวีหลังจากนั้น Youpeng ได้ตอบถึงปีที่ผ่านมา ว่าแผนการผลิตสินค้าในจีนได้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ความนิยมและเรื่องราวได้มีความพอใจที่แตกต่างกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงมากนัก และเขายังได้พูดกับผู้หญิงอีกว่า บางทีหล่อนสามารถดูอย่างอื่นและเขาเชื่อว่ายังมีนักแสดงคนอื่นที่ดีกว่า แต่ผู้หญิงคนนั้นได้กล่าวว่า ไม่นะ คุณนะดีที่สุดแล้ว หลังจากนั้นเธอก็วางหูไป ฉันได้ยินพิธีกรถามเขา ถ้าเขาต้องการกาแฟเพิ่มและจากนั้นสายของฉันก็หลุด เศร้ามากๆ...

402
Online Interviews & Updates / 2006 ความสวยงามและความพยายาม
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 01:35:18 PM »
Alec Su: ชายผู้ราวกับออกมาจากภาพวาด



Edit: บทความ Er-er โดย Wu-tung, แก้ไขชุดแฟชั่นโดย Shao-huei, ถ่ายภาพโดย Xiao-jiang, ตกแต่งความสวยงามโดย K Kay, ทำผมโดย Shuen Wen-lung (Dung-tian Modeling)

เมื่อมอง Alec อีกครั้ง เค้ายังคงเป็นคนที่ดูราวกับมาจากภาพวาดและให้ความสนิทสนมกับคุณด้วยความอบอุ่น, ความบริสุทธิ์, เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, ความเฉลียวฉลาด, ความรักใคร่และด้วยความเป็นมิตร ซึ่งใคร ๆ ก็สามารถใกล้ชิดเค้าได้ แต่หลังจากลองมองและคิดดูให้ดี คุณจะรู้ว่าเค้าเป็นคนที่ว้าเหว่และคิดมากเวลาที่อยู่คนเดียวเบื้องหลังภาพฉากที่คุณเห็นในทีวี นับรวมเวลาทั้งหมดที่เป็นอย่างนี้ยาวนานถึง 17 ปี

การมองดูพัฒนาการของศิลปินก็เหมือนกับการมองดูการเปลี่ยนแปลงของชีวิตคน จากพัฒนาการเหล่านั้น พวกเราจะเห็นได้ถึงลักษณะนิสัยในแต่ละช่วงอายุ ระหว่างที่ไปโรงหนัง Shanghai Theatre เพื่อไปสัมภาษณ์ Alec Su คนขับรถวัย 40 ปี บอกกับผมว่าเค้าเป็นแฟนคนหนึ่งของ Momoe Yamaguchi ในตอนนั้นการจะเป็นซูเปอร์สตาร์และไอดอล พวกเค้าจะต้องเป็นคนที่น่าหลงใหล ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญและไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่ ในความเป็นจริง มันเหมือนพวกเราเกิดในยุค 70’S ในขณะที่รัก Little Tigers แต่พวกเราก็ยังต่อต้านพวกที่เป็นหนุ่มสาวเร็วเกินไปด้วย Alec Su ใช้ความอ่อนโยนของเค้าทำให้เราเลิกสับสนระหว่างความรู้สึกต่อต้านในใจกับวิถีการดำเนินชีวิตจริง ๆ เค้าทำให้พวกเรามีความต้องการและเหมือนเป็นแรงกระตุ้นต่อความเป็นวัยรุ่นของเรา แต่ไม่ได้ทะลึ่งหรืออวดดีอะไร ดังนั้น แม้แต่เหล่าคุณแม่ผู้ซึ่งมักจะคอยแต่ขัดขวางการคลั่งไคล้ดารา ยังยอมรับในตัวเค้าเลย

ในคืนก่อนที่จะสัมภาษณ์ ผมเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อฟังเพลงของเค้า 2 เพลง คือ “Brush past Somebody” และ “You Are My Tear Drops” สองเพลงนี้ออกมาห่างกันถึง 10 ปี แต่ทั้งสองเพลงก็ยังคงไพเราะและเข้าใจง่ายเหมือนเดิม ซึ่งแม้มันจะไม่ใช่เพลงคลาสสิค และนานจนคุณคงไม่สามารถจำเนื้อเพลงได้ แต่มันก็เป็นเหมือนกับดอกเบญจมาศที่ส่งกลิ่นหอมเย็นและทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมที่เราจะสามารถจดจำได้ไปอีกนาน



เค้าไม่เคยเป็นคนที่โดดเด่นที่สุด

ในวง Little Tigers รอยยิ้มและท่าทางการเต้นของเค้ามักจะถูกต้องกว่าคนอื่น ๆ ที่เหลืออีกสองคน หลายปีที่ผ่านมา ความสง่าผ่าเผยและความน่ารักของ “องค์ชายห้า” ไม่อาจสู้กับ “เอ่อคัง” ชายผู้ที่นำเอารูปแบบของการแสดงละครเวทีมาใช้ในละครดราม่า แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้เค้า (น่าจะหมายถึง Alec Su) เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนได้ ดังนั้น เค้าจึงใช้ภาษากายในการแสดงเพื่อเปิดใจที่มีต่อ “Du-fei” ซึ่งจากบทบาทครั้งนี้ก็ทำให้ได้รู้ว่ามันเป็นบทที่ไม่เหมาะกับเค้าเลย

เมื่อถาม Alec ว่า เค้าเคยรู้สึกมั้ยว่าบทที่ได้รับไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเค้าก็ตอบมาพร้อมกับหัวเราะยักคิ้วว่า “ครับ ผมเคยรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ผมไม่บอกพวกคุณหรอก เพราะว่าผมอาย” เค้าก็ยังคงเป็น big boy ในความทรงจำของเราอยู่นั่นเอง

บางคนพูดว่า “การเลี้ยงดูเด็กชายคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมา มันยากเย็นกว่าการปลูกต้นไม้สักต้นแล้วเฝ้ารอวันที่มันกลายเป็นต้นไม้ใหญ่เสียอีก” ซึ่งนี่คงเป็นเหมือนยีนเด็กที่มีอยู่ในตัวของคนเรานั่นเอง

Alec ยอมรับว่าเค้าเองก็อยากเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นเค้าจึงมักจะทุกสิ่งให้ดีที่สุด อย่างเช่นเมื่อนานมาแล้ว มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเค้าที่จะร้องเพลง ถ่ายหนังและเรียนหนังสือไปพร้อม ๆ กัน แต่เค้าก็อยกาจะทำให้พ่อแม่สบาย ดังนั้นเค้าจึงพยายามทำหน้าที่เหล่านั้นให้ดีที่สุด ซึ่งหนุ่มราศีกันย์คนนี้ดูเหมือนจะเกิดมาเพื่อเป็นชายที่อบอุ่นและทำให้คนรอบข้างหลงรักเค้าเหลือเกิน

ตอนนี้เค้านั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงหน้าผม ด้วยสูทสีเข้ม เสื้อเชิ้ตลายทาง ผิวสีน้ำตาลอ่อน ผมยุ่ง ๆและมีหนวดนิดหน่อย ดูเหมือนว่าเค้าจะผอมกว่าที่เราเห็นทางทีวีด้วย

เค้าหัวเราะอีกครั้งและพูดว่าผมไม่ค่อยหรือดูสูงเท่ากับในทีวีหรอกนะครับ คุณจะต้องมองภาพของผมให้ถูกต้องอย่างในความเป็นจริงนะ

ในครั้ง เค้ามาที่ Shanghai เพื่อซ้อมละครและเล่นละครเวทีเรื่อง “Ju Hua Xiang”


เมื่อทบทวนความจำอีกครั้งเกี่ยวกับนวนิยายของ Jien He Ren เมื่อหลายปีมาแล้ว เช่น “desolate and beautiful (ความอ้างว้างและความสวยงาม)” นั้นยังคงอยู่ในใจของผม คนเกาหลีมีความสามารถมากที่จะทำให้คนดูร้องไห้ไปกับเรื่องราวที่พวกเค้าถ่ายทอด เช่นเดียวกับ Alec Su เค้ามักจะมีส่วนร่วมในการทำงานเกี่ยวกับประเทศเกาหลีเสมอ เค้าได้ร่วมงานกับ Chai Lien, An Qi Shuan และ Na-na Chang ซึ่งมันทำให้เค้ากลายเป็นดารายอดนิยมคนหนึ่งที่ชาวเกาหลีรู้จัก

คุณคงเคยได้ดูเรื่อง “Aegean Sea” ใช่มั้ย มันเป็นเรื่องที่มีการจับคู่ได้อย่างเหมาะสมระหว่าง Alec และ Chai Lien จนถึงตอนนี้ แม้ Chai Lien จะแต่งงานได้ 3 ปีแล้ว แต่เธอบอกว่า Alec ก็ยังส่งดอกไม้มาให้เธอที่ห้องเสมอ

การเป็นหนุ่มโสดนั้น ทำให้ไม่ว่าจะรักหรือถูกรักก็จะต้องมีเหตุผลเสมอ แต่ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกับดาราทุกคน เพราะสำหรับพวกดาราแล้วพวกเค้าก็เหมือนกับไม่ใช่คนธรรมดา เวลาที่จะมีความสัมพันธ์แบบใกล้ชิดกับใครก็จะกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวได้ทั้งนั้น

ดูเหมือนเค้าจะพยายามค้นหาจุดประสงค์และความพยายามของผมที่มาที่นี่ โดยไม่ได้ถาม เค้าพูดออกมาอย่างเปิดเผยว่า “ความหลงใหลมักจะเกิดขึ้นเพียงชั่ววูบ แต่หากเป็นความรักสิ่งนั้นจะต้องใช้ทั้งเวลาและความเข้าใจ หากความรักนั้นมีอุปสรรคในการสื่อสารทางด้านภาษา มันก็คงยากที่จะรักษามันเอาไว้ คำพูดหลายคำอาจทำให้เกิดความรักได้ขณะที่บางครั้งก็อาจไม่ต้องมีคำใด ๆ เลยมาอธิบายความรักนั้นเช่นกัน”

เวลาอาจทำให้ความระมัดระวังของวัยเยาว์หมดไป แต่ก็ไม่อาจทำให้ความเรียบง่าย เนื้อหา หรือความถูกต้องลดลงไป และไม่จำเป็นต้องพูดคำใด ๆ เลยสักคำ

เมื่ออยู่กันตามลำพัง ผู้ชายถือดินสอเขียนคิ้วเอาไว้และพูดกับผู้หญิงอย่างรักใคร่ว่า “จากวันนี้เป็นต้นไป ผมจะเขียนคิ้วให้คุณทุกวัน” ซึ่งผู้หญิงก็คือ Zhao Mien และผู้ชายก็คือ Zhang Wu Ji

หลังจากได้ชม “Yi Tian Tu Lung Ji” ผมไม่สามารถจินตนาการได้ว่า Alec ซึ่งเป็นคนที่บริสุทธิ์ราวกับสายน้ำจะสามารถเล่นบทที่บ้าตัณหาและมีความจงรักภักดีได้อย่างไร โดยในเรื่อง ความลังเลของ Zhang Wu Ji จะเกิดจากการประจบประแจงของ Alec นั่นเอง ด้วยความอ่อนโยน ใจดี ซื่อสัตย์และไม่เห็นแก่ตัวของเค้า ทำให้ภาพพจน์ของเค้าเป็นอย่างนั้น แต่ด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความรักใคร่ของเค้ามันก็สามารถทำให้ผู้ชมเข้าใจว่าตอนนี้ “Guai Guai Tiger” กลายเป็นคนที่มีถึง 7 อารมณ์เศร้าและ 6 ความรู้สึกรักไปแล้ว


Alec เป็นคนที่เหมาะสมมาก เค้ามีความเรียบง่าย เงียบขรึมและมักแลดูเด็กอยู่เสมอ ทำให้เค้ามักจะใส่ความซื่อสัตย์ของเค้าลงไปในบทที่เค้าได้รับในแต่ละครั้งเสมอ

ผมขอร้องให้ Alec ลองเอามือไขว้กันเพื่อทดสอบอะไรบางอย่าง ซึ่งเค้าเองก็รู้ว่าเป็นอะไรดังนั้นเค้าจึงหัวเราะ พร้อมกับให้ผมทายว่าเค้ากำลังทำอะไร “นิ้วหัวแม่มือของผมอยู่ด้านบน ซึ่งนั่นก็แปลว่าตอนนี้ผมกำลังโมโหใช่มั้ย”

ทุกคนก็มักจะมีนิสัยส่วนตัวกันทั้งนั้น Alec นั้นก็เช่นกัน เค้าเป็นคนที่มีนิสัยไปทางค่อนข้างลึกซึ้งและสามารถพูดได้ว่าเค้าเองก็เป็นคนที่โมโหร้ายด้วยเช่นกัน ทุกครั้งที่โกรธ เค้าจะรู้สึกว่ามีม้าสีดำวิ่งอยู่ในจิตใจ มีทั้งความอวดดี ไม่อยู่กับร่องกับรอยและมันทำให้เค้าไม่สามารถค้นหาตัวเองได้พบ แต่ตอนนี้ เค้ารู้วิธีที่จะควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองได้แล้วว่าจะต้องทำยังไงหรือเมื่อไหร่

จังหวะของชีวิตค่อนข้างเร็ว เหมือนกับสายน้ำที่ไหลเร็ว และไม่สามารถไหลย้อนกลับได้

Alec รักในเสียงดนตรีมากและเชื่อว่าเค้าก็จะยังคงเล่นมันไปตลอดชีวิต เค้าเคยลืมตัวอยู่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่เพราะด้วยปัจจัยภายนอก เช่น ความกดดันจากฐานะของครอบครัว เค้าที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้กลับทำการค้าขายอะไรบางอย่าง วันหนึ่งเค้าก็พบว่าเบื้องหลังความโอ้อวดถือดีนั้น เค้าได้สูญเสียความเชื่อมั่นในชีวิตมากขึ้นมากขึ้นและนั่นทำให้เค้าไม่มีความสุขเลย

Alec เชื่อในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าเคยเทศน์ไว้ว่า ชีวิตก็คือลมหายใจ “ชื่อเสียง”, “เงินทอง”, “ความหลงใหล” และ “ความรัก” ในโลกนี้ล้วนอยู่ได้ด้วยลมหายใจทั้งสิ้น อย่าไปสนใจแต่ว่าเราจะมีหรือไม่เลย ตอนนี้ Alec อยากจะมีชีวิตอย่างที่เค้าชอบ ที่อยากจะเป็น ชีวิตแบบนี้บางทีอาจเรียกง่าย ๆ ว่าเป็น “การเปลี่ยนแปลง” และ “เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว” นั่นเอง

Alec เป็นคนเจ้าอารมณ์และเปิดเผย หากเค้าต้องการ เค้าสามารถเป็นสายลมร้อน เป็นอิสระและทำอะไรไปตามกรรมได้ หลังจากพูดจบ เค้าก็อ้าแขนออกและพยายามคว้าอากาศ เหมือนกับสายลมที่พยายามจะพัดพาออกไปเส้นทางของมัน แต่ความเปิดเผยบางครั้งก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจนักในตัวเหล่าศิลปิน เมื่อเค้าแสดงบทบาทอะไร มันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเค้าจะต้องใส่จิตวิญญาณเข้าไปด้วยแน่นอน Alec ไม่ใช่นักบุญ ดังนั้นเค้าจึงต้องแน่ใจว่าเค้าจะสามารถเล่นด้วยอารมณ์จริง ๆ ได้ พวกเราก็คือผลิตผลที่มาจากพ่อและแม่ ผู้กำกับมักจะพูดว่า “Action” และจากนั้นเราก็จะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่เราแสดงได้ทันที เหมือนกับโดนผีสิงยังไงยังงั้น
เค้าอ้าแขนออกและพูดอย่างไม่มีทางเลือกว่า “ผมไม่ใช่หุ่นยนต์”


มีวัชพืชบางชนิดมันเติบโตขึ้นในใจของเค้า แน่นอนว่าเค้าเองก็ต้องรู้วิธีจัดการกับมันเพื่อไปให้ถึงเส้นทางที่ต้องการ

ความเป็นผู้ใหญ่ของ Alec ไม่ได้เป็นไปอย่างบ้าคลั่ง แต่เค้ากลับมีการหยุดพักบ้างในที่ที่เหมือนกับเป็นโอเอซิสของชีวิต เค้ารับฟังและเชื่อฟังจิตใจของเค้า แล้วค่อยเริ่มต้นอีกครั้ง

พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า เมล็ดและผลไม้ต่างก็ว่ายวนอยู่เป็นวัฏจักร เพราะความเข้าใจในชีวิตและอารมณ์โกรธต่าง ๆ นั่นเอง จึงไม่ทำให้เค้าหวาดกลัวต่อการเผชิญหน้ากับคำพูดใด ๆ

มีบุคคลบางจำพวกผู้ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะไม่พูดไม่จา เพราะว่าเขากำลังฟังอยู่ในช่วงเวลาที่เงียบ มันเป็นความโชคร้ายที่ฉันมีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงในการสัมภาษณ์ ศิลปินดารา นิสัยการเงียบเป็นคุณสมบัติปกติธรรมชาติของพวกเขา เราจะจำว่าศิลปินดาราที่ได้รับความนิยมจะได้เงินมหาศาล แต่เราลืมไปถึงบทบาทที่เล่น อย่างเช่น Zhang Zi Yi แต่ศิลปินที่โชติช่วงผู้ซึ่งก้าวผ่านมาได้ด้วยความเข้าใจแบบเงียบๆ เช่น Tony Jaa หรือ Alec Su ที่เราคิดว่าใช่

จากคำพูดของเขาเราไม่สามารถพบความเฟื่องฟูใดๆ เขาได้เขียนหนังสือ 2 เล่ม เป็นที่ระลึกในวัยหนุ่มของเขา การเขียนได้กล่าวถึงบุคคลผู้ซึ่งเป็นนักร้องและนักแสดง พวกเราไม่เข้าใจอารมณ์ของ Alec ในเวลานั้น

เมื่อฉันถามเขา เขาขมวดคิ้วและคิดอย่างจริงจังเป็นเวลานานและพูดว่า ฉันลืม มันเป็นความต้องการของผู้โฆษณา ฉันมีแรงผลักดันเพียงเล็กน้อยที่จะทำมัน

แต่เมื่อพูดถึงเกี่ยวกับการกระทำ ทำให้เกิดไฟในดวงตาเขาเล็กน้อย เขานั่งตรงที่นั่งของเขา เขามองไปที่เวทีที่เล่นเมื่อตอนอายุ 20 ปี เขาถูกชักชวนโดยผู้กำกับและคนเขียนบทละคร จากนั้นก็มีความอิสระและปล่าวเปลี่ยว ในขณะที่ยืนอยู่บนเวทีบุคลิกภาพของเขาและมนต์เสน่ห์ทำให้ Alec เคลื่อนไหว จากบุคคลนิรนาม Alec รู้สึกถึงความแตกต่างของอารมณ์และวัฒนธรรมก้าวผ่านความเชื่อและกิเลสตัณหาของเขา

 

ในเวลานั้น Alec ฝันว่าเขาจะยืนอยู่บนเวทีให้ได้ในสักวัน

หลังจากนั้นมาหลายปี ในเดือนกรกฎาคมปี 2006 ในโรงภาพยนตร์ Shanghai Mei Qi Alec อายุ 23 ปี จะเล่นเป็นเด็กผู้ชายที่เต็มไปด้วยความรัก Chen Yu จาก “Ju Hua Xiang” ดูอยู่ด้านหน้า

จบการอ่านนวนิยาย ตามความเข้าใจของอารมณ์ในการแสดง Alec ได้แสดงภาพออกมาให้เห็นว่าเป็น “Chen Yu” โดยผู้กำกับ Lei Guo-hua เช่นเดียวกับการสร้างกองทุนสำหรับเด็กผู้ซึ่งไม่สามารถไปโรงเรียน การเพียรพยายามที่ไม่ใช่เพื่อสิ่งดึงดูดใจแต่เพื่อการไล่ล่าแสวงหาสายเลือดของเขา

ผลงานนี้ทำให้เขาได้เป้าหมายใหม่ในความสำเร็จในอาชีพของเขา เขาพูดว่าการกระทำอย่างต่อเนื่องและจริงใจจะทำให้เติมเต็มช่องว่างของเขา ไม่มีใครยืนอยู่ข้างๆ ที่จะให้คุณทำมันอีกครั้ง ความสำเร็จหรือความล้มเหลวจะถูกตัดสินใจโดยผู้ชม สำหรับ Alec การเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดในและท้าทาย

ขณะที่คุยกันอยู่ ท้องฟ้ามีสีดำ แต่มีดวงดาวอยู่ในตาของเขา เช่นเดียวกับบนเวทีที่แสงไฟห่อหุ้มตัวเขาและเสียงเพลงอันแสนไพเราะดังอยู่ข้างหู

จากการเริ่มต้นในอดีต ดนตรีของเขาและการกระทำเป็นสิ่งที่เล็กน้อยและไม่เรียบง่าย ในตอนนี้เขาเชื่อว่าเขาจะทำความรักที่สวยงามที่มีค่ามากในโลกนี้ บวกกับเสียงสัมผัสอันกึกก้องที่จะเป็นแรงผลักดันอย่างที่สุด

เขาเงียบแต่เสียงของเขาดังขึ้นอย่างทันทีทันใดเพราะเรื่องของเขา คำพูดของเขาสั่นท่ามกลางร้านกาแฟที่ทำด้วยไม้ เสียงช่างมีชีวิตชีวา และร่าเริง

แต่เขาก็ยังเป็นผู้ชายที่อบอุ่นและรักครอบครัวอยู่ทุกเวลา

จบการสัมภาษณ์และออกจากโรงภาพยนตร์ Shanghai ระหว่างที่ฉันกำลังส่งข้อความ ฉันได้ยินใครบางคนพูดว่า เราจะพบกันอีกครั้ง ฉันไม่รู้ว่า Alec อยู่ที่ไหนและผู้ช่วยของเขาเดินลงมา และผ่านหน้าฉันไป ฉันผงกศีรษะให้เขาและหันหลังกลับตามลำดับ ดังเช่นที่ทำเป็นประจำเมื่อเจอในที่ไหนๆ

ผลของการกระทำมันไปดังเช่นสายลม

Alec ผู้ชอบช่วยเหลือ เรียบง่าย เงียบ และเหมือนเด็กอยู่เสมอ ความเชื่อความศรัทธาของเขาอยู่ในความสำเร็จ


403
ซูโหย่วเผิง : การเปลี่ยนแปลงของการเป็นผู้ใหญ่



Tilian: ความเซ็กซี่ (ซึ่งก็คือความรู้สึกเกี่ยวกับความลับ ความสะโอดสะองและความเป็นธรรมชาติ), ความอบอุ่น และความเยือกเย็น ทั้งหมดนี้ล้วนถูกสร้างขึ้นจากภายในร่างกาย ซึ่งฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเป็นผู้ชายที่ดีได้

ซูโหย่วเผิง เป็นชายซึ่งมีภาพลักษณ์ที่ดี ในขณะที่คนอื่นเช่นนั้น แต่ ซู กลับพยายามที่จะแสดงให้เห็นถึงความหัวรั้น และความเป็นผู้ใหญ่ของเค้า และหากมีใครสักคนมองเห็นหรือเห็นด้วยกับความคิดของเค้า เค้าก็จะรู้สึกมีความสุข ตอนนี้เค้าดูเป็นผู้ใหญ่พร้อมกับการมีหนวดเครา ซึ่งทำให้เพื่อน ๆ รู้สึกประหลาดใจมาก ท้ายที่สุดซูก็ทิ้งความเป็นวัยรุ่นไป ทำให้เค้าดูเป็นผู้ใหญ่มาก แม้ว่าภายนอกเค้าจะเพียงแค่ยิ้มรับคำชมนี้ แต่ภายในกลับรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก

Cosmo: เท่าที่เห็นคุณดูเป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่และเซ็กซี่มาก ทำให้ดูเหมือนว่าคุณพยายามโอ้อวดสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า? สำหรับคุณแล้วสิ่งเหล่านั้นคืออะไร? และเสื้อผ้ายี่ห้อไหนที่คุณชอบ?

ซู: ผมไม่ชอบอะไรที่เป็นสไตล์ย้อนยุคหรือแบบเดิม ๆ ซึ่งผมก็พยายามปรับเปลี่ยนภาพพจน์ไปตามกาลเทศะ โดยพยายามค้นหาสิ่งที่เหมาะสมแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งรสนิยมของตัวเอง และไม่ดูแปลกประหลาดจนเกินไป ตอนนี้ผมกำลังชื่นชอบสีเทา ยี่ห้อ Dolce และ Gabanna เป็นยี่ห้อที่มีรสนิยมถูกใจผม ซึ่งเต็มไปด้วยเสน่ห์ความเซ็กซี่ของหนุ่มอิตาเลียน และสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นมาเฟีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมกำลังชื่นชอบ

Cosmo: คุณเคยพูดถึงการทำให้ร่างกายสามารถแสดงออกถึงความเป็นชายที่มีอยู่ภายใน ซึ่งมันมีความสำคัญกว่าความเป็นผู้ใหญ่หรือไม่? แล้วระหว่างสองสิ่งนี้แบบไหนที่คุณชอบมากกว่ากัน?

ซู: การสร้างกล้ามเนื้อหรือการฟิตร่างกายมีความจำเป็นเพราะผมเป็นคนผอม แต่มันไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะแสดงความเป็นชายออกมา เพราะมันอาจทำให้เกิดมลพิษทางสายตาได้ โดยความสะโอดสะองกับรูปร่างควรจะมีความสมดุลพอเหมาะกัน ผมชอบคนที่สามารถทำสิ่งนี้ได้

Cosmo: นิสัยอะไรบ้างที่คุณอยากจะลองเปลี่ยนแปลง? แล้วคุณอยากให้มีการ comment อะไรบ้างเกี่ยวกับตัวคุณ?

ซู: ผมว่าผมก็ค่อนข้างนิสัยดีพอใช้ แต่ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาผมมักจะถูกมองว่าเป็น “พ่อปลาไหล” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมเกลียดมาก ผมไม่อยากให้ตัวเองต้องเป็นพ่อนักรักและใช้ชีวิตแบบนั้น ผมอยากจะเปลี่ยนข้อบกพร่องของตนเองหรือภาพความเป็นร็อกเกอร์ผู้ติดยา ฮ่ะ ฮ่ะ ผมล้อเล่น ความแตกต่างและกฎบ้า ๆ บางข้อมันก็น่าสนใจ

Cosmo: สำหรับวัยรุ่นในอนาคต คุณอาจจะต้องมีการปรับตัวค่อนข้างมาก คุณคิดว่ามันจะสามารถกลับคืนสู่ความสงบสุขเหมือนเดิมได้หรือไม่

ซู: ผมจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากเมื่อวัยรุ่นมีความชื่นชอบหลงใหลในเสียงดนตรี ตอนนี้ผมรู้สึกมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นหลังจากได้ผ่านอะไรมามากมาย มีหลาย ๆ อย่างที่ไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองคนเดียวได้ การเป็นทีมเวอร์คจึงมีความสำคัญ ในปัจจุบันผมมีในสิ่งที่ผมอยากได้และไม่จำเป็นต้องขอร้องอ้อนวอนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ เมื่อไม่มีสิ่งไม่ดีให้คุณลองทำแล้ว ความสงบอาจจะทำให้หลายคนคิดว่าคุณไม่มีความสำคัญ แต่ในความเป็นจริงคุณกลับรู้สึกสบายใจขึ้น กลับคืนสู่ความสงบ

Tilian: “ผมชอบชีวิตที่อิสระซึ่งมันก็จำเป็นต้องมีเงินจำนวนมากมาสนับสนุน นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมผมจึงทำงานหนัก ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นเจ้าของชีวิตตนเอง โดยทำในสิ่งที่รักและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ผมรู้สึกว่าผมมีความสามารถ ดังนั้นก่อนที่ความฝันจะถูกลืมไป ผมจึงต้องพยายามทำให้มันเป็นจริงให้ได้ แม้ว่ามันต้องใช้เวลานานก็ตาม

Cosmo: คุณบอกว่าคุณทำงานหนักเพื่อทำให้ตัวเองเป็นอิสระ แล้วอะไรบ้างที่คุณสำนึกผิด





ซู: มันก็ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอย่างที่เราตั้งใจเอาไว้ บางทีอาจเป็นเพราะผมอายุมากขึ้นหรืออาจจะไม่ใช่ ที่ผ่านมาผมทำงานหนักซึ่งก็เป็นเพราะแรงกดดันจากสิ่งรอบตัว อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับความฝัน มันก็จะมีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้องเสมอ ตอนนี้ความมั่นคงทางด้านการเงินสามารถทำให้ผมอยู่ได้อย่างสบาย ผมศึกษาธรรมะ ซึ่งก็ช่วยให้จิตใจผ่องใสและสงบเยือกเย็นมากขึ้น ได้หัวเราะให้กับสิ่งที่สมควรหัวเราะและปล่อยวางในหลาย ๆ เรื่อง

Cosmo: คุณดูมีความสุขกับการกลับมาสงบสุขอีกครั้งในช่วงการมอบรางวัลปีที่แล้ว อยากทราบว่าคุณมองเกี่ยวกับรางวัลนี้อย่างไร แล้วคุณมองว่ารางวัลเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้อาชีพของคุณถึงจุดสูงสุดหรือไม่

ซู: คงจำกันได้ว่าไม่มีรางวัลสำหรับศิลปินอย่างผม ตัวอย่างเช่น ละครทีวี, รางวัลนกอินทรีย์ทองคำไม่เคยมีชาวฮ่องกงหรือไต้หวันคนไหนได้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสิน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงไม่เคยได้รับรางวัลเลยหลังจากการเข้าวงการภาพยนตร์ดรามากว่า 10 ปี ผมได้รับการสนับสนุนเมื่อมีการระบุศิลปินชายที่สมควรได้รับรางวัลมากที่สุดเอาไว้ ตัวผมเองทำงานหนักในฐานะนักเรียนมากกว่าสิบปีโดยไม่ได้รับความสนใจ และในวันหนึ่งก็โชคดีที่ได้เป็นนักเรียนต้นแบบภายหลังจบการศึกษา

Cosmo: ผู้หญิงแบบไหนที่มีเสน่ห์สำหรับคุณ? เปรียบเป็นคำพูดได้ว่าอย่างไร? ผู้หญิงในอุดมคติของคุณเป็นอย่างไร?

ซู: ฉลาด, ตลก จูเลีย โรเบิร์ตส คือผู้หญิงในอุดมคติของผม เพราะเราสามารถค้นหาบางสิ่งที่พิเศษได้จากดวงตาของเธอ


404
5 กรกฏาคม ซูโหย่วเผิงได้บินไปปักกิ่งเพื่อถ่ายโฆษณา


New speed รายงานว่าซูโหย่วเผิงได้บินไปปักกิ่งเพื่อถ่ายโฆษณาร่วมกับศิลปินชื่อดังอีก 8 ท่าน โดยมีเฟงเสี่ยวกังเป็นโปรดิวเซอร์สำหรับงานนี้ การร่วมงานในครั้งนี้แม้ว่าจะเป็นการร่วมงานกันครั้งแรกของทุกคน แต่ในการถ่ายทำหลายๆครั้งใช้เวลาเพียง 1 หรือ 2 เทคเท่านั้น

ซูโหย่วเผิงเผยว่าเค้ารู้จักและชื่นชมการทำงานของเฟงเสี่ยวกังมานานแล้ว และก็หวังว่าสักวันหนึ่งจะมีโอกาสได้ร่วมงานกัน ซึ่งโฆษณาชิ้นนี้ถือเป็นผลงานที่มีความหมายมากสำหรับการทำงานครั้งแรกของเรา และผมก็หวังว่าเราคงได้ร่วมงานกันอีกในอนาคต โฆษณาชิ้นนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้คนต่างๆ ที่ไปจับจ่ายซื้อของในซูปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมักจะวางทิ้งสิ่งของที่พวกเขาไม่ต้องการหรือไม่ชอบตามจุดต่างๆ บริเวณที่คิดเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกอาหารแช่แข็งซึ่งเน่าเสียได้ง่ายและ ซูโหย่วเผิงที่กำลังคิดเงินก็ทำการเก็บของเหล่านั้นกลับเข้าที่เดิม โฆษณาของเฟงเสี่ยวกัง มักจะมีมุขตลก ดูสนุกสนาน และยังแฝงไว้ซึ่งข้อคิดที่น่าสนใจไว้ด้วย โดยโฆษณาชิ้นนี้ถ่ายทำโดยใช้ฟิล์มภาพยนตร์ โดยมีตากล้องคือ หวังลี่ โดยเฟงเสี่ยวกัง หวังว่าโฆษณาของเค้าจะทำให้หลายคนได้ข้อคิดดีๆ แม้เพียงจากสิ่งเล็กน้อย "โฆษณาชิ้นนี้ผมพยายามที่จะสื่อออกมาเพื่อให้ทุกคนพยายามทำสิ่งที่ดี โดยมีการใช้เพลงใหม่ที่ผมแต่งขึ้นประกอบโฆษณาชิ้นนี้ด้วย ซึ่งผู้กำกับได้เปลี่ยนชื่อของเพลงเป็น" "ช่วยเอามันออกไปที มันไม่เยอะเท่าไหร่หรอก" ซึ่งนี่ก็เป็นอีกความสามารถหนึ่งของเค้าในการสร้างเสียงหัวเราะแก่ผู้ชม



ปักกิ่งรีพอร์ต รายงานว่า ซูโหย่วเผิงมาถึงปักกิ่งตั้งแต่เมื่อวาน เพื่อร่วมงานโฆษณาชิ้นนี้กับศิลปินดังอีกถึง 8 คน โดยเฟงเสี่ยวกังได้จำลองซูเปอร์มาร์เก็ตขึ้นมาภายใต้ชื่อว่า "ช่วยเอามันออกไปที มันไม่เยอะเท่าไหร่หรอก" เนื้อหาของเรื่องในวันนั้นคือ ซูโหย่วเผิงพบว่ามีคนมากมายทิ้งของที่พวกเค้าไม่อยากได้ไว้บริเวณที่คิดเงิน โดยเฉพาะพวกอาหารแช่แข็งที่เน่าเสียได้ง่าย ดังนั้นเค้าจึงจัดการเก็บของเหล่านั้นกลับเข้าที่เดิมทั้งหมด

หลังจากการเซ็นสัญญากับ HY และเกี่ยวกับการออกอัลบั้มเพลง ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า ผลงานชิ้นแรกของเค้าชิ้นนี้ใช้เวลาเตรียมงานค่อนข้างนานกว่าจะได้เข้าห้องอัดเสียง ซึ่งเค้าก็หวังว่าคงจะได้ฟังกันเร็วๆนี้

New wave report รายงาน: วันที่ 4 ก.ค.เฟงเสี่ยวกังได้ถ่ายทำงานชิ้นนี้ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาถึง 3 วันแล้ว และกำลังทำตอนจบไปพร้อมๆกัน ความเหน็ดเหนื่อยนั้นได้ปรากฎบนใบหน้าของผู้กำกับอย่างชัดเจน แต่ว่าในการถ่ายทำฉากที่ 8 ซึ่งเป็นตอนจบ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้กำกับถึงกับยกนิ้วโป้งชื่นชมในการแสดงของซูโหย่วเผิง



ผู้กำกับเฟงเสี่ยวกังถือเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมภาพยนตร์จีน ซึ่งนอกจากความหลงใหลในการสร้างผลงานที่ส่วนใหญ่ก็ติดอันดับต้นๆใน Box office แล้ว ความสามารถและอุปนิสัยที่ดีของเค้าก็มีส่วนทำให้เค้ากลายเป็นผู้มีอิทธิพลต่อวงการภาพยนตร์จีนอย่างมาก ประสบการณ์ด้านภาพยนตร์ของเค้านั้นมากมาย ซึ่งนั่นทำให้เค้ามีแนวคิดหรือไอเดียใหม่ๆ อยู่เสมอด้วยเช่นกัน เค้าสามารถทำให้ทุกๆคนในฉากดูดีได้แม้ว่าถูกกล้องโฟกัสใบหน้าอยู่ก็ตาม ความบ้ากล้าได้กล้าเสียของเค้าได้ทำให้งานออกมาตรงจุด และดูดีโดยที่ไม่เสียเวลาและมีประสิทธิภาพด้วย

ในวันที่ 7 ของการถ่ายทำโฆษณา "Chan Beijing Xiang Shang Kan-Hao Shi Yi Tiao Jie" ได้มีผู้ร่วมแสดงคู่กับซูโหย่วเผิงอีกคือพี่น้องตระกูล HY(ฮั้วยี้) โดยเนื้อหาคือ ในซูเปอร์มาร์เก็ต ลูกค้าจำนวนมากทิ้งสิ่งของที่พวกเขาไม่ชอบไว้รอบๆที่คิดเงิน โดยเฉพาะอาหารแช่แข็ง วันหนึ่งขณะที่ซูโหย่วเผิงกำลังเข้าคิวจ่ายเงินอยู่นั้น เค้าก็สังเกตว่ามีของต่างๆ วางอยู่ทั่วไปในบริเวณที่คิดเงิน ด้วยความอดทนเค้าจึงนำสิ่งของเหล่านั้นกลับไปไว้ที่เดิม ทั้งที่ตัวเขาเองก็เกือบจะทำแบบเดียวกับคนอื่นเช่นกัน เฟงเสี่ยวกังต้องการจะบอกกับผู้ชมถึงความหมายของโฆษณาชิ้นนี้ เนื่องจากต้องมีการถ่ายทำในซูปเปอร์มาร์เก็ต ที่ Shi Mao Tioun Jie เฟงจึงมาเตรียมการถ่ายทำตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพราะค้าไม่อยากให้การถ่ายทำมีผลกระทบต่อการจับจ่ายสินค้า ซูโหย่วเผิงนั้นมาทันเวลาและไม่มีอาการหงุดหงิดอารมณ์เสียแต่อย่างใด และหลังจากแต่งหน้าเสร็จ เค้าก็รีบเร่งมาเตรียมเข้าฉาก เนื่องจากเฟงมีตารางการทำงานที่ยุ่งมาก เค้าจึงเร่งให้นักแสดงทุกคนเตรียมตัวสำหรับเข้าฉากให้พร้อม หลังจากได้พบกับซูโหย่วเผิง เฟงทักทายซูโหย่วเผิงด้วยการจับมืออย่างอบอุ่น และก็พูดคุยเกี่ยวกับวัฒนธรรมการดื่มชาของชาวไต้หวันเทียบกับชาในมือเค้า เค้ายังปลอบใจซูโหย่วเผิงเกี่ยวกับการทำงานด้วยการเอื้อเฟื้อชาให้อีกด้วย



เฟงเสี่ยวกังมีจุดเด่นในการถ่ายภาพมาก เค้าบอกว่าซูโหย่วเผิงดูดีมากเมื่อยู่ในกล้องและยังแสดงได้ดีอีกด้วย เฟงเป็นคนทำงานเข้มงวดมาก ดังนั้นงานที่ออกมาจึงค่อนข้างเนี้ยบและราบรื่นแถมเค้ายังสามารถมองหามุมกล้องสวยๆ ได้อีกด้วย ขณะที่ดูจอมอนิเตอร์นั้นเค้ามักจะบอกกับคนอื่นๆว่า ซูโหย่วเผิงดูดีจริงๆ เวลาได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม และเมื่อถ่ายทำเสร็จเค้ายังยกนิ้วให้กับความสามารถในการแสดงอันยอดเยี่ยมของซูโหย่วเผิงอีกด้วย

New wave report รายงาน :: วันที่ 4 ก.ค. การถ่ายทำโฆษณาชิ้นนี้ต่อเนื่องกันมาไม่หยุดมาถึง 3 วันแล้ว อาการเหนื่อยล้าฉายชัดออกมาในระหว่างการทำงาน ในวันสุดท้ายเฟงยกนิ้วให้ซูโหย่วเผิงสำหรับความสามารถ ความราบรื่นในการทำงาน ในฉากที่ 7 ของโฆษณา Chan Beijing Xiang Shang Kan-Hao Shi Yi Tiao Jie นำแสดงโดยซูโหย่วเผิง ทีมงานเตรียมงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าที่ตลาด Shi Yi Tiao Jie เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการค้าขาย ซูโหย่วเผิงนั้นมาทันเวลา เค้าจัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้วยังช่วยเหลือนักแสดงคนอื่นให้พร้อมสำหรับการเข้าฉากด้วย



จุดประสงค์หลักของโฆษณาชิ้นนี้ ซึ่งนำแสดงโดยซูโหย่วเผิง ก็เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนร่วมมือกันรักษาสิ่งแวดล้อม ซูโหย่วเผิงเผยถึงบางส่วนของโฆษณาว่า ผู้หญิงมักจะทิ้งสิ่งที่พวกเธอไม่ต้องการไว้ ณ ที่คิดเงิน ซึ่งซูโหย่วเผิงที่กำลังเข้าคิวรอจ่ายเงินอยู่นั้นสันนิษฐานว่า พวกเธอคงไม่ต้องการมัน ก็เลยทิ้งเอาไว้ตามที่ต่างๆ ทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดและทำตามๆกันไป จากตารางการทำงานที่ค่อนข้างแน่น ผู้กำกับจึงเร่งถ่ายฉากที่ซูเปอร์มาร์เก็ต และขณะที่กำลงโฟกัสหน้าของซูโหย่วเผิงอยู่นั้น เฟงก็ชมว่าโหย่วเผิงดูดีแถมยังแสดงดีอีกด้วย เฟงนั้นเข้มงวดในการทำงานอย่างมาก แต่งานก็ออกมาดี เพราะส่วนหนึ่งเค้ารู้สึกพอใจในการแสดงของโหย่วเผิงมาก และเพื่อให้งานออกมาดียิ่งขึ้น เฟงก็ยังมีการมองหามุมกล้องดีๆ เพื่อถ่ายทำบางฉากเพิ่มเติมอีกด้วย เค้าบอกคนอื่นว่า โหย่วเผิง เป็นธรรมชาติมากเมื่อเค้าได้สิ่งดีๆ เพื่อสังคม เมื่อเสร็จสิ้นการทำงาน เฟงก็ยืนขึ้นและยกนิ้วโป้งให้กับการแสดงอันยอดเยี่ยมของโหย่วเผิง

405
Alec Su : ชีวิตจริงที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ "สูง"

Q: อะไรคือความหมายของสุขภาพ, ความสุข และความสูงส่งในชีวิตของคุณ

A: ตอนนี้ไม่ค่อยแฮปปี้กับเรื่องสุขภาพนัก ส่วนเรื่อง "สูง" นั้นผมเคยชี้แจงไปแล้วทีนึงเกี่ยวกับการประสบความสำเร็จสูงสุดในอาชีพ อืม...ม สำหรับผม มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เมื่อปี-2ปีก่อนผมเคยคิดอย่างนั้น แต่เมื่อเร็วๆนี้ก็ได้เปลี่ยนความคิดตัวเองใหม่ จริงอยู่...งานอาจทำให้ผมประสบความสำเร็จในช่วงเวลาอันสั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะมีคุณภาพเสมอไป ผมพบว่าตัวเองหลงระเริงมากเกินไปจนหลงลืมบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญในชีวิต เมื่อตอนปีใหม่ ผมและแม่ได้มีโอกาสไปดูหนังด้วยกัน หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่บ้างานมากจนลืมครอบครัว วันหนึ่งเขาไปเจอรีโมทคอนโทรลอันหนึ่งเข้า มันช่วยให้เขาเห็นภาพเกี่ยวกับตัวเขา เมื่อเขาทำงานมากชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น สะดวกสบายมากขึ้นและมั่นคง แต่แล้วมันก็สะท้อนความทรงจำที่ผ่านมาที่เขาลืมมันไป จนเขาค้นพบว่า...แท้จริงแล้วเขาทำสิ่งสำคัญหล่นหายไปจากชีวิต แต่กว่าจะรู้ค่ามันก็สายเกินไปเสียแล้ว รีโมตคอนโทรลนั้นทำงานอย่างรวดเร็วแล้วนำพาเขาไปพบจุดจบ ผมและแม่ต่างก็ซึ้งมาก เราต่างก็ร้องไห้ และคิดว่าชีวิตเราไม่มีความจำเป็นเลยที่ต้องอยู่ "สูง"


Q: ในนิตยสารลงไว้ว่าภาพลักษณ์ของทูตต่อต้านอาการซึมเศร้านั้นกำลังตกอันดับ คุณรู้รึป่าวว่าอยู่อันดับใด?

A: ผมมีเพื่อนที่กำลังตกอันดับ ไม่ค่อยจะสดใสเลยในปีที่ผ่านมา และบางครั้งก็ตะโกนว่า "ฉันกำลังตกต่ำ" !!! แต่มีส่วนน้อยที่กลับมาทำงานแฟชั่นในเวลาต่อมา ตอนหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ใน 10 จะมี 3 ที่ถูกกดดัน อย่าง "ระวัง ! คะแนนคุณกำลังตก" หรือ "ควรพิจารณาตัวเองได้แล้วนะ" และเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น....แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่สามารถหนีโรคภัยไข้เจ็บ แต่พวกเขาก็สามารถควบคุมดูแลมันได้ด้วยความดูแลเอาใจใส่ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ภาพลักษณ์นี้ตกอันดับ คงไม่มีแรงดึงดูดในเท่าที่ควรดังนั้น... เราก็ควรจะรณรงค์ต่อไป มองโลกในแง่ดี รักตัวเองมากขึ้น ไม่คิดอะไรในแง่ลบ ไม่คิดมาก ถ้าจริงจังก็ต้องกล้าที่จะรักษาด้วยยาเพื่อบรรเทา ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าเกลียดอะไร

Q: ช่วยบอก 3 สิ่งที่ทำให้คุณแฮปปี้

A: ผมกำลังเปรียบเทียบระหว่างที่ทำให้น่าเบื่อหน่ายกับสิ่งที่ทำให้ผมแฮปปี้... อย่างแรกเลย น่าจะเป็นการที่ได้ทำงานจนประสบความสำเร็จ อย่างที่สอง เมื่อเร็วๆนี้ หลักสูตรวิศวะฯที่ผมเรียนผมได้เรียน Dream weaver,workbook กับอาจารย์ที่ใจดี และอย่างสุดท้าย....ที่นี่เป็นกันเองเหมือนครอบครัวและเพื่อนอยู่รอบๆตัวเองเลย

Q: ถ้าชีวิตคุณเป็นบทละคร...คุณอยากจะเขียนบทละครชีวิตของคุณเองหรือเปล่า ?

A: อ่า... (หัวเรา) ^0^ ผมไม่ใช่พวกประเภทที่ล้มเหลว ในวัยเด็กของผม ผมได้รับความดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ไม่เคยพบกับความผิดหวังจากสิ่งต่างๆเลย มีแต่จะก้าวกระโดดไปเพื่อสิ่งที่คาดหวัง ดังนั้นผมจึงเป็นนักเรียนที่สมบูรณ์แบบที่ทำตามบทบาทหน้าที่จนแทบไม่มีเวลาหายใจ ผมศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเครื่องจักรกลเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ใช่วิชาที่ผมชอบมากนัก แต่ก็มีอิทธิพลต่อตัวผม มันบ่งบอกถึงสถานการณ์ที่ผมไม่สามารถอดทนได้ จนวันหนึ่ง....โดยที่ไม่รู้ตัว ผมตัดสินใจที่จะไม่ทำมัน และทิ้งมันไปโดยเด็ดขาด ในเวลานั้น....แบบแผนของสังคมมันก่อให้เกิดความวุ่นวายใจ แต่พอทำเข้าจริงๆก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจดีนะ

Q: คุณรู้สึกอย่างไรที่เรื่องราวของคุณและคนอื่นๆช่างแตกต่างกันนัก ?

A: ผมขอเผาตัวเอง ฮา ฮา ฮา (หัวเราะ) ^0^ ตอนอายุ 15 ปี เวลาที่ผมไม่ชอบในสถานที่นั้นๆไหนๆก็ตามละคิดว่าทุกคนเป็นต้นไม้ นั่นคือวิธีที่ใช้ตอนอายุ 15 ปี ตอนนี้ก็ยังใช้อยู่ (หัวเราะ) ผมตรงไปตรงมาและเปิดเผย เติบโตอย่างอิสระ แต่ก็ไม่ใช่เด็กหัวอ่อน อันที่จริงแล้ว เด็กก็ไม่มีความสนุกได้ มันอยู่ที่นิสัยใจคอ ภาวะจิตใจในเวลานั้นๆ...ใช่ !!... แต่ผมคงจะไม่ยืดเยื้อมันออกไปอีก

Q:คุณคิดอย่างไรกับการเติบโตขึ้นของคุณ ?

A: ผมเติบโตมาด้วยความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ภูมิใจในสิ่งที่ตนเองเป็น คนที่ไม่ภูมิใจในตนเอง บางส่วนมีคติกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนเป็นนามธรรมที่เสแสร้างหลอกลวง แต่ตอนนี้พวกเขายอมรับอย่างค่อยเป็นค่อยไปในสิ่งที่พวกเขาเป็นอย่างเช่น หญิงคนหนึ่ง เป็นนักแสดงละครชีวิตชั้นเอกระดับสูง ไม่ใช่เหมือนคุณและผม ในความเป็นจริงก็มีทั้งคนที่รักเธอและคนที่เกลียดเธอ ขึ้นอยู่ที่ว่าจะยอมรับได้ไหม ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

Q: แล้วหาทางออกอย่างไร ?

A: ที่จริงแล้วมันจะมีปีที่พวกเขาและครอบครัวได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า อย่างงานวันเกิดที่ร่วมกันร้องเพลงอย่างสนุกสนานแต่เดี๋ยวนี้ปีใหม่ไม่เป็นที่สนใจของคนทั่วไปเท่าไหร่ ผมก็ไม่มีความสุขในงานปีใหม่ พ่อของผมมีลูกชาย 5 คน ผมมีป้า 3 คน เราอาศัยในบ้านหลังเก่าๆ ตอนนี้ผมก็โตพออยู่ในวัยที่ใช้เงินแล้ว ผมกำลังอยากจะซื้อของขวัญให้เด็กๆ ที่บ้าน (ลูกของพ่ชาย) ผมคิดว่าตั้งแต่เรียนปรัชญามานี่ก็ชักจะดูเหมือน Columbia ขึ้นทุกที

Q: ช่วยพูดถึงเรื่องความรักของคุณหน่วย

A: มันเป็นเรื่องยากนะที่จะตามอารมณ์ได้ทัน ผู้หญิงมักจะเรียกร้องให้เอาใจใส่ห่วงใยดูแล ผมไม่สามารถ...ผมชอบผู้หญิงที่เงียบๆ ต่างจากคนอื่น (ให้ฟังแค่เราว่างั้นเถอะ!) ดีมากเลย ! ผมคิดว่า...น่าจะเหมือนบริกรสาวในร้านอาหารน่ะ เพราะว่าจะค่อยเป็นค่อยไปในเวลาอันสั้น แต่ก็ยังมั่นคง แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แล้วก็อยู่ด้วยกันอย่างสม่ำเสมอ สนิทสนมใกล้ชิด ให้ความสนใจกันและกันอยู่ตลอด มันคงเป็นเรื่องที่ยากแน่นอน...อืม..มม..แล้วก็จะต้องรู้จักวิธีปรับอารมณ์และป้องกันไม่ให้ไปกระทบความรู้สึกของอีกฝ่ายมากเกินไป ความรักของผมไม่ใช่เพื่อความสนุก


Q: หัวใจของคุณคงมอบให้คนพิเศษที่จูงมือกันไปช็อปปิ้งแล้วมั้ง ??

A: ผมยังไม่ต้องการมีใครตอนนี้ (อ่ะจริงป่าวเฮียล้อเล่นอีกแล้ว) อาจจะเป็นนิสัยแปลกๆของผมก็ได้ นี่ไม่ใช่ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ของผม ผมรักที่ผมสามารถทำสิ่งที่อยากทำ ตอนนี้ผมก็กำลังวางแผน (นี่คือวิธีที่จะออกนอกเรื่องเหรอ ?) ขับรถกินลมชมสิ่งต่างๆ ในตอนกลางคืน ฮ่า ฮ่า (หัวเราะ) ^0^ (คุณชอบตอนกลางคือ...ฮ่า ฮ่า) ผมเป็นมนุษย์กลางคืนน๊ะ คุณก็รู้ว่าไทเปเล็กขับรถไป Yangming Shan ก็ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวผมจะขับรถไปที่ชายหาดที่จุดกึ่งกลางของยามค่ำคืนอยู่เสมอ พอเวลาแก่ตัวเอง ผมก็คงคร่ำครวญอย่างโศกเศร้าล่ะนะ ^0^ ....อา ฮา... Kazakhstan 555 !!!


406

1 เมษายน 2009

ซูโหย่วเผิง จำเป็นต้อนเรียนรู้ในการ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาส”

คนเราทุกคนล้วนปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีและมีความสุข แต่ว่า “สวรรค์ไม่เป็นใจเสมอ” น้อยคนมากที่สามารถมีชีวิตดั่งปรารถนา การงานที่ราบรื่น การเปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้าของสังคมสิ่งแวดล้อมนั้นทำให้ยากจะควบคุมได้ ฉะนั้นแต่ละคนก็ยากจะปรับนิสัยและจุดอ่อนของตัวเองให้ออกไปได้ สิ่งเหล่านี้นั้นมันล้วนได้เข้ามามีส่วนในชีวิตของพวกเราโดยปริยายแล้ว เราจำต้องเผชิญกับอุปสรรค์วิกฤตที่ไม่ทันตั้งตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย บางคนชีวิตถึงกับต้องจมอยู่กับสิ่งเหล่านี้โดยลุกไม่ขึ้น ไม่สามารถที่จะก้าวออกไปได้ บางคนสามารถอยู่ในช่วงเวลาอย่างนี้หาช่องทางที่จะปลดปล่อยและหลุดพ้นจะวิกฤต เดินออกจากวิกฤตได้


จากศิลปินโหย่วเผิงที่พวกเราคุ้นเคย จนถึงเถียนจิงซวงที่มีชื่อเสียงมากในจีนนั้น และนักธุรกิจที่ดังที่พึ่งเซ็นสัญญาหมาดๆอย่างเจ้าเหว่ย วิกฤตที่พวกเขาเหล่านั้นเผชิญกันนั้นก็คงไม่ต่างไปจากที่พูด แต่ว่า จะหาช่องทางออกในการเผชิญกับวิกฤตนั้น จากประสบการณ์และเรื่องราวของพวกเขาเหล่านั้นอาจให้ข้อคิดกับคุณได้

“หากว่าการงานอาชีพของคุณอยู่ในสภาพของจุดสูงสุดนั้น คุณก็ตั้งใจในการทำการทำงาน พยายามที่จะหาเงินให้ได้มากหน่อย หากว่าการงานอาชีพคุณตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ คุณสามารถที่จะวางงานต่างๆของคุณ ใช้เวลาที่จะอยู่กับเพื่อนๆและคนในครอบครัวให้เยอะหน่อย ให้เวลากับการดูแลสุขภาพของตัวเองให้เยอะหน่อย สิ่งที่จะทำงานก็ไม่ได้น้อยไปกว่าช่วงที่คุณยุ่งเลย จากการมองระยะไกล บางทีสิ่งเหล่านี้มันสำคัญกว่าหน้าที่การงานของคุณอีกด้วย


ซูโหย่วเผิงคิดว่า ชีวิตคนเรานั้นจำต้องผ่านวิกฤตและมรสุม ขณะที่วิกฤตเข้ามาในชีวิต ท่าที่ของคนเรานั้นบางทีก็สำคัญกว่าวิธีการรับมือวิกฤต

วัย 36 ปีอย่างโหย่วเผิงนั้นมองมีเขาแล้วก็ยังมีร่องรอย ไกวๆหู่ ให้เห็นอยู่ และภาพลักษณ์ของขวัญใจนั้นก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย ปัจจุบันเขาได้เป็นศิลปินระดับต้นๆของวงการที่ได้เซ็นสัญญากับคุณหัวอี้ เขามีที่พักพิงที่มั่นคง การงานของเขาก็เข้าสู่ช่วงที่มั่นคงและก้าวไกล อย่าไปดูว่าเขาอายุยังหนุ่ม แต่ว่าอายุประสบการณ์การงานของเขานั้นย่างเข้า 20 ปีแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้นั้นเขาได้ผ่านจุดสุดยอดและจุดตกต่ำสุดของชีวิตมาหมดแล้ว นับๆแล้วละครยาวที่เขาแสดงก็ไม่ต่ำกว่า  20 เรื่องเลยแหล่ะ



ความรุ่งโรจน์ของวัยหนุ่มนั้นนำจุดสูงสุดของชีวิตมา

ขณะที่โหย่วเผิงกำลังเรียนมัธยมต้นนั้น วันหนึ่งถูกแมวมองของทางค่ายเพลงหมายตา จนมาปั้นเป็นหนึ่งในสามของนักร้องไต้หวันในวงเสี่ยวหู่ตุ้ย สิ่งที่โหย่วเผิงคาดไม่ถึงคือ แค่เพียงชั่วค่ำคืนเดียวก็ทำให้เขาดังไปทั่วไต้หวัน ต่อจากนั้นก็ดังไปที่จีน รวมไปถึงในเอเชียที่มีชาวจีนอยู่ด้วย  “ไกวๆหู่”  ชื่ออันนี้นั้นได้กลายเป็นชื่อที่ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเลย

ใครจะไปรู้ว่าในค่ำคืนเดียววันนั้นก็นำความมั่งคั่งมาสู่เขาด้วย ทั้งซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อหุ้น เป็นคนมือเติบไปแล้ว ใจกล้า ในสายตาของคนช่วงวัยของเขานั้นดูเขาว่าเป็นคนรวยมาก “ในช่วงเวลานั้น” เป็นเวลาประมาณ 3 ปี วัย18 ปีอย่างโหย่วเผิงนั้นก็ต้องเผชิญกับการต้องสอบเข้ามหาลัย

ในสังคมไต้หวันสมัยนั้น ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นก็คือลูกสามารถสอบเข้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงดังๆได้ เพื่อจะมีการงานที่ดีในอนาคต จบแล้วสามารถมีงานที่มั่งคงทำ รวมทั้งตัวโหย่วเผิงเองด้วย แม้ว่าจะเป็นศิลปินขวัญใจแล้วหลายปี ลึกๆในใจของเขาแล้วเขาคิดว่าตัวเองก็เป็นแค่ศิลปินประดับวงการคนหนึ่งเอง สุดท้ายตัวเองจะต้องกลับเข้าสู่เส้นทางอาชีพที่พ่อแม่เป็นอยู่อย่างนั้น

อยู่ที่ไต้หวัน นักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งหากสอบเข้ามหาลัยไม่ได้นั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างโหย่วเผิงหากสอบไม่ติดแล้วเนี่ย ผลจะเป็นอย่างไรนั้นก็คงรู้กัน โหย่วเผิงได้หวนคิดอดีตแล้วกล่าวว่า

"ในเวลานั้นตัวเองนั้นไม่มั่นใจมากๆ ความรู้นั้นเสมือนเยื่อบางๆยิ่งกว่ากระดาษ เพราะตลอดสามปีการบ้านของเขาที่ไม่ได้ทำส่งนั้นมีมากมาย เพื่อที่จะสอบเข้ามหาลัย โหย่วเผิงได้เจรจากับทางค่ายเพลงหยุดต่อสัญญากับทางค่าย ในขณะเดียวกันมีบางสาเหตุทำให้ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” แยกย้ายกันไป ทำให้เขานั้นได้มีเวลาเต็มที่ในการเตรียมตัวที่จะสอบเข้ามหาลัย ทั้งวันและคืนในการอ่านทำให้เขาฝ่าฝันเข้าไปได้ ความพยายามนั้นไม่เคยละคนที่มีความมานะ โหย่วเผิงก็สอบเข้ามหาลัยดังแห่งหนึ่งของไต้หวันได้ และยังเป็นมหาลัยที่ดีและมีอนาคตอีกด้วย สุดท้ายก็โล่งใจอย่างโหย่วเผิงเมื่อเข้ามาเรียนในมหาลัยแล้วถึงจะรู้ว่า การท้าทายที่ใหญ่กว่าเดิมนั้นกำลังรอเขาอยู่"



พักการเรียนกลางคันเผชิญกับช่วงชีวิตที่ตกต่ำ

ในช่วงปีที่เตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยนั้น ในใจโหย่วเผิงคิดอยู่อย่างเดียวคือจะขายหน้าไม่ได้ การสอบได้นั้นถือว่าได้รับชัยชนะ และแล้วเมื่อเขาได้นั่งเรียนอยู่ในห้องเรียนถึงจะรู้ว่า จริงๆแล้วตัวเองไม่ชอบคณะที่ตัวเองกว่าจะสอบได้มาอย่างยากลำบากแสนเข็นเลย จนต้องปากกัดตีนถีบในการที่จะเรียนไปจนผ่านไปสองเทอม สุดท้ายโหย่วเผิงเองก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว และยังมีสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาทนเรียนต่อไปไม่ได้คือ ศิลปินที่มีชื่ออย่างเขานั้นหากว่าเมื่อมีผลการสอบออกมาแล้วเขาไม่ผ่านนั้น ก็จะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

จากความกดดันนานาประการ โหย่วเผิงได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่คนในตอนนั้นอาจเรียกว่า “การตัดสินใจที่บ้า” ลาออก หลังจากที่หนีออกมาจากรั่วมหาลัยแล้ว เขาได้ตัดสินใจเลือกที่จะไปเรียนต่อที่ลอนดอน นัยหนึ่งนั้นอยากจะเปลี่ยนคณะที่เรียนไปเรียนอย่างอื่น อีกด้านหนึ่งนั้นก็คือปลีกตัวออกจากสังคมที่รู้จักตัวเองไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักแล้วปรับตัวเองใหม่ และแล้ว การท้าทายของแท้ถึงจะเริ่มขึ้น

หลังจากครึ่งปี โหย่วเผิงก็ได้กลับจากลอนดอน “ตอนนั้นตัวเองก็เป็นคนทำงานเต็มตัวแล้ว ไม่มีใบปริญญา การที่จะไปเป็นนักแสดงตัวเองก็ไม่ได้เรียนมาโดยตรง ได้แต่เคยแสดงละครเวทีมาเรื่องหนึ่งเอง แต่ก็ไม่ดีเท่าไหร่”  โหย่วเผิงหวนคิดแล้วกล่าวว่า หลังจากที่สัญญาของ“เสี่ยวหู่ตุ้ย” ได้สิ้นสุดแล้ว รายได้จากการแสดงที่เคยได้สูงมากนั้นกลับหมดลง มันปรับตัวไม่ทันจริงๆ ตอนนั้นเขาเองไม่เพียงแต่จะดูแลค่าใช้จ่ายของครอบครัว ในแต่ละเดือนยังจะต้องจ่ายให้เป็นค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ไม่น้อยเลยที่เดียว บางครั้งดูเหมือนกับว่าชีวิตเราไปไม่รอดแล้วจริงๆ

ที่แย่กว่านั้นคือ โหย่วเผิงที่คิดว่าอยากจะมีเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งจากหุ้นที่ตัวเองซื้อไว้ แล้วตอนนั้นก็เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไม่นิ่ง เดิมที่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหุ้นอยู่แล้ว แล้วมอบอำนาจการทั้งหมดให้กับญาติคนหนึ่งมาบริหาร สุดท้ายหุ้นที่ลงทุนได้นั้นขาดทุนไป ชีวิตคนเรานั้นจะหาโชคดีสองหนนั้นยากมาก แต่พวกหนีเสือปะไอ้เข้นั้นมีบ่อยจังเลย สถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดของโหย่วเผิงในตอนนั้นคือ หลังจากที่ได้ขายรถไปแล้วหลายคัน เหลือเพียงคันเดียวที่ตัวเองจะใช้ในการเดินทางไปไหนมาไหนได้ เอามันไปจอดไว้ข้างถนนอย่างดี อยู่ดีๆก็ดันมีรถมาชนชีวิตคนเรามันชั่งเหมาะเจาะบังเอิญอะไรขนาดนี้ ชีวิตที่ตกต่ำที่สุดของซูโหย่วเผิงนั้นก็ประมาณสามปีกว่าๆ



โดย (องค์หญิงกำมะลอ)ทำให้เขาดังขึ้นเป็นรอบที่สอง


ปี 1997 เป็นปีเดียวที่เขาอายุ  24  เขาถูกคัดเลือกเข้าไปเป็นนักแสดงละครหนังเรื่ององค์หญิงกำมะลอ ในเวลานั้นโหย่วเผิงเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าละครหนังที่ตัวเองแสดงไปนั้นตอนหลังมันดังเป็นที่นิยมกันขนาดนั้น เขาคิดแต่เพียงว่าฉวยโอกาสเอาไว้เรียนรู้ในการแสดงเฉยๆ กลางวันก็ทั้งเรียนไปด้วยฝึกไปด้วย กลางคืนก็เปิดไฟอ่านอย่างจริงๆจังๆ ทำไปแบบถูกๆผิดๆบ้างจนทำให้เขาแสดงละครหนังเรื่องนี้จนจบ และแล้วก็เหมือนดั่งความฝันที่ดังไปทั่วอณาจักร

ต่อจากนั้น อีกครั้งวันเวลาที่ราบรื่นเฮงๆนั้นได้มาดั่งนัดกันไว้ “นักร้องขวัญใจ”ในตอนนั้นได้กลายเป็น “นักแสดงขวัญใจ” ไปแล้ว ละคร หนัง และอัลบั้มที่เรื่องแล้วเรื่องเล่าที่มีออกมาให้เห็น จนทำให้อาชีพการงานของโหย่วเผิงนั้นไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง

หลังจากนั้น เขาก็เหมือนกับศิลปินคนอื่นๆของไต้หวัน โหย่วเผิงได้เข้าสู่การตลาดที่จะมุ่งไปทางประเทศจีน ก็เหมือนดั่งปลาได้น้ำ ว่ายไปแบบไร้พรมแดน โหย่วเผิงได้เริ่มทำธุระกิจซื้อบ้านที่ไต้หวัน เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่งอีกครั้ง ทรัพย์สินที่ตัวเองได้สะสมของแต่ละปีนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อระยะเวลาผ่านไป โหย่วเผิงก็เข้าสู่ช่วงที่มั่นคงของชีวิต กับการที่จะไปแสดงละครเป็นนักแสดงขวัญใจนั้นก็ค่อยๆถึงจุดที่สุด เขารู้ว่า การท้าทายครั้งที่สามกับการงานและชีวิตของเขานั้นมาถึงแล้ว และตอนนี้เขาเองก็ไม่ดื้อดึงรู้จักปล่อยวางเยอะแล้ว เขาได้กล่าวกับพวกเราว่า วิธีการที่สำคัญในการเผชิญกับสิ่งต่างๆนั้นต้องเรียนรู้ในการที่จะให้มันเป็นไปตามธรรมชาติและมายังไงก็ไปอย่างนั้น


“ผมเองก็เชื่อว่าบางอย่างนั้นมันถูกลิขิตมาอย่างนั้นแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับการที่พึ่งในกำลังของตัวเองทำได้ทุกอย่าง ผมเองนั้นเห็นด้วยกับการให้เป็นไปตามธรรมชาติ  แต่ผมเองก็ไม่ได้หมายความว่าการออกแรงไปทำนั้นก็จะไม่มีประโยชน์เลยก็ไม่ใช่ แต่มีผลลัพธ์บางอย่างนั้นไม่สามารถได้มาโดยการออกแรงทำ ฉะนั้นผมเองก็ไม่เน้นเรื่องของผลลัพธ์ซักเท่าไหร่ สิ่งที่คุณทำได้คือแค่ทำอย่างสุดกำลัง แต่ว่าผลลัพท์นั้นก็ไม่ใช่ว่าเมื่อผมพยายามทำแล้วจะสามารถกำหนดผลลัพท์ได้” ที่เขามีท่าทีความคิดอย่างนี้ ทำให้เขาได้ผ่านมรสุมชิวิตที่หนักหน่วงของช่วงนั้นมาได้

การไปตามธรรมชาติที่โหย่วเผิงว่านั้นเป็นการมองในโลกแง่ดี อย่างไรก็ตามหากมันไม่ได้อย่างที่คิดไว้ก็ไม่ฝืน เขาเข้าใจถึงความฝืนและความสมดูลย์ เขาได้เข้าใจถึงเหตุและผมของเรื่องราวต่างๆ แน่นอนเขาก็จะไม่ไปเปลี่ยนแปลงอะไรที่ไม่ควรเปลี่ยน สุดท้ายก็คือเป็นไปตามธรรมชาติ

“ผมรู้สึกว่าไม่เป็นไร ชิวิตคนเราก็ขึ้นๆลงๆอยู่แล้ว ขณะที่ขึ้นนั้นก็มีวิธีการทำของมัน ขณะที่ขาลงก็มีวิธีการของขาลง จริงๆแล้วชีวิตคนเราไม่ใช่ว่ามีแต่งานๆๆ หากว่าการงานไม่ราบรื่น ธุรกิจไปไม่ได้แล้ว ก็รีบฉวยโอกาสในการมีความรัก คุณก็ยังสามารถทำสิ่งอื่นๆได้ หรือว่ามันอาจเป็นเวลาโอกาสที่ดีที่คุณจะอยู่กับครอบครัว และถ้าหากเป็นผมก็จะฉวยโอกาสไปท่องเที่ยว ผมสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่ว่าถ้าหากจังหวะเวลาของการทำงานมาถึง คุณก็ไปตั้งใจที่จะทำมัน และงานบางอย่างก็จำต้องเสียสละมันไป” สุดท้ายโหย่วเผิงสรุปไว้ว่า “ที่จริงเพียงง่ายๆคำเดียว หากจะให้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขแล้ว จำเป็นจะต้องเรียนรู้ในการเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างถูกวิธี

“ผมเองก็เชื่อว่าบางอย่างนั้นมันถูกลิขิตมาอย่างนั้นแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับการที่พึ่งในกำลังของตัวเองทำได้ทุกอย่าง ผมเองนั้นเห็นด้วยกับการให้เป็นไปตามธรรมชาติ และผมเองก็ไม่ฝืนกับผลลัพท์ เพียงแค่ตัวเองทำอย่างดีทีสุด และผลลัพท์นั้นมันไม่ได้กำหนดมาโดยกำลังที่เราทำไป

407
Thanks, http://www.ryt9.com/s/prg/639229/

“จางนารา” ควงพระเอก “ซูโหย่วเผิง” สร้างวีรกรรมขำขำในซีรีย์ไต้หวัน “องค์หญิงแสนซน”

กรุงเทพฯ--1 ก.ย. 2552 ;ไทยทีวีสีช่อง3

หายไปนานกับหนังจีนย้อนยุคสไตล์องค์หญิงชูโรงแบบองค์หญิงกำมะลออดีตขวัญใจท่านผู้ชม ครั้งนี้แฟนๆ ช่อง 3 จะได้ยล “องค์หญิงจิ้ง” ที่จะมาเป็นขวัญใจคนใหม่ด้วยคาแร็คเตอร์เซี้ยวซนได้ใจ ด้วยมาดหญิงแอ๊บแมนกับซีรีย์ไต้หวันสนุกๆ เรื่อง “องค์หญิงแสนซน” รับบทโดย “จางนารา”สาวสวยหน้าใสแดนเกาหลีที่ข้ามถิ่นมาเป็นนางเอกให้พระเอก “ซูโหย่งเผิง” ที่รู้สึกจะถูกโฉลกกับนางเอกจากเกาหลีมาหลายต่อหลายเรื่องแล้ว

“องค์หญิงจิ้ง” (จางนารา) เป็นองค์หญิงน้อยของอดีตฮองเฮาที่รอดตายจากการก่อกบฏ องค์หญิงจิ้งชอบแต่งตัวเป็นชายออกไปเที่ยวเตร่กับสาวใช้คนสนิทโดยไม่รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตัวเองโดยใช้ชื่อว่า “เสี่ยวหลงซา” เธอมีจิตใจดีงาม ชอบช่วยเหลือชาวบ้านผู้ยากไร้ จนกระทั่งได้พบกับ “จูหยุ่นฮ่องเต้” (ซูโหย่วเผิง) และ “ไป๋หยุนเฟย”(หลี่สิง) ทั้ง 3 ถูกชะตาและสาบานเป็นพี่น้องกันโดยไม่มีใครรู้ว่าเสี่ยวหลงซาเป็นหญิง ด้วยความดีของเสี่ยวหลงซาทำให้ตัวเองมีภัยและเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงตามมาอันทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างตระกูลให้องค์หญิงจิ้งต้องคอยสะสางแต่เหมือนยิ่งช่วยก็ยิ่งยุ่ง เมื่อถึงเวลาความลับที่ปกปิดไว้ทั้งเรื่องเพศที่แท้จริงและชาติกำเนิดขององค์หญิงจิ้งถูกเปิดเผย สิ่งที่ตามมาคือเรื่องวุ่นมากมายในวังหลวงให้พวกเขาต้องคอยรับมือ

องค์หญิงจิ้งจะเอาชีวิตรอดได้ไหมกับอดีตของเธอในวังหลวง และรักสามเส้าที่เกิดจะสรุปลงอย่างไร ตามไปลุ้นกับองค์หญิงจิ้งได้ในซีรีย์จีนไต้หวันแนวสนุกสนาน “องค์หญิงแสนซน” นำแสดงโดย ซูโหย่วเผิง — จางนารา — หลี่สิง — เปาเหลย — เฉินซิ่วลี่ และดาราสมทบอีกมากมาย ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา
18.00-18.30 น. เริ่ม 2 กันยายน ศกนี้ ทางช่อง 3


408
Thanks, http://skyexits.blogspot.com/2007/08/blog-post_14.html

Tuesday, 14 August 2007
ซูโหย่วเผิง ถ่ายโฆษณาในปักกิ่ง

ซูโหย่วเผิง ถ่ายโฆษณาในปักกิ่ง

นักแสดงไต้หวันซูโหย่วเผิง (Alec Su)ถ่ายทำโฆษณาในซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง ในปักกิ่ง เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2550 งานถ่ายทำโฆษณาเพื่อสังคมในปักกิ่งของซูโหย่วเผิง และผู้กำกับเฟิง เซียวกัง (Feng Xiaogang) ณ ประเทศจีน เสร็จสิ้นลงแล้ว สาระสำคัญของโฆษณาชุดนี้ เพื่อให้คนตระหนักถึงการปกป้องสิ่งแวดล้อม และระเบียบของสาธารณะ งานโฆษณาชิ้นล่าสุดนี้ ถ่ายทำเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมนี้เป็นชุดที่ 7 และชุดสุดท้ายของผู้กำกับเฟิงในงานโฆษณาเพื่อสังคม การถ่ายทำเริ่มจาก 6 โมงเย็นเพื่อไม่รบกวนเวลาการทำธุรกิจของร้านค้า


409
Thanks, http://www.yimsiam.com/club/board/topicRea...sstar&id=012569

ซูโหย่วเผิง (Alec Su) เข้าสู่วงการฮอลลิวูดแล้วเช่นกัน

รายงานจาก Sohu.com ว่า ซูโหย่วเผิง (Alec Su) นักแสดงและนักร้องชาวไต้หวัน จะแสดงในภาพยนตร์ฮอลลิวูดเป็นครั้งแรก ร่วมกับผู้กำกับชื่อดังชาวอเมริกา

ผู้ช่วยของซูโหย่วเผิง ยืนยันเกี่ยวกับข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กล่าวว่า ผู้กำกับและซูโหย่วเผิงกำลังพูดคุยเกี่ยวกับฉากและบท

ซูโหย่วเผิงจะหยุดการแสดงอื่นๆในช่วงครึ่งหลังของปี เพื่อเตรียมตัวในการถ่ายทำภาพยนตร์ การถ่ายทำจะเริ่มขึ้นปลายปีนี้

ผู้ช่วยของซูโหย่วเผิงกล่าวว่า ซูโหย่วเผิงได้รับโอกาสนี้ ไม่เพียงเพราะความสำเร็จในด้านการแสดงของเขา แต่เป็นเพราะทักษะด้านภาษาอังกฤษที่ดีเยี่ยมของเขาด้วย

CRIEnglish โดย canjamm

==========================================

คุณซู โหย่วเผิง-ดาราไต้หวัน

สวัสดีค่ะ ท่านผู้ฟัง รายการมอบเพลงจากใจวันนี้ ดิฉันขอแนะนำ คุณ"ซูโหย่วเผิง" ดาราไต้หวันให้ท่านผู้ฟังได้รู้จักนะคะ

ซูโหย่วเผิง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ทอมมี่ เกิดเมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 1973 ที่เมืองไทเปของไต้หวัน ซูโหย่วเผิงเข้าวงการบันเทิงตอนอายุ 15 ปี โดยเข้าร่วมเป็น 1 ใน 3 ของวงดนตรี"เสี่ยวหู่ตุ้ย" ที่โด่งดังอันประกอบด้วยอู๋ฉีหลง ซูโหย่วเผิงและเฉินจื่อเผิง นับเป็นวง Boy Band ชื่อดังที่สุดในยุคนั้น ซูโหย่วเผิงได้ออกอัลบั้มชุดแรก ชื่อwo zhi yao ni ai wo แปลว่า "ขอเพียงแต่เธอรักฉันเท่านั้น" เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1992 ทำให้เขาได้รับความนิยมจากแฟน ๆ อย่างมาก ตั้งแต่ปี 1992 จนถึงปี 2004 ซูโหย่วเผิงได้ออกอัลบั้มทั้งหมด 15 ชุด และได้รับรางวัลดนตรีมากมายทั้งในแผ่นดินใหญ่จีน ฮ่องกง ไต้หวันและต่างประเทศค่ะ

นอกจากวงการดนตรีแล้ว ซูโหย่วเผิงยังเข้าวงการการแสดงอีกด้วย เขาได้เล่นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง และได้รับความสำเร็จอย่างดีด้วย แม้ว่าซูโหย่วเผิงจะมีความสามารถทางการแสดงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทว่า ความรักในการร้องเพลงของเขาก็ไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่น้อย ขณะที่เขารับงานการแสดง ซูโหย่วเผิงก็มีเพลงEPชุดใหม่ออกมาในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้ และจะออกอัลบั้มชุดใหม่ในเดือนสิงหาคมนี้ด้วย หวังว่าอัลบั้มชุดนี้จะขายดีมากค่ะ

ต่อไป ดิฉันจะเปิดเพลงของ"ซูโหย่วเผิง" มาฝากค่ะ ชื่อเพลงว่า da bu liao แปลว่า ไม่เป็นไร เชิญฟังได้เลยค่ะ


410
Online Interviews & Updates / 2006 ซูโหย่วเผิง-นักร้องไต้หวัน
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 12:43:23 PM »
Thanks, http://thai.cri.cn/1/2006/03/10/21@63540.htm

ซูโหย่วเผิง-นักร้องไต้หวัน

--------------------------------------------------------------------------------

ในรายการ"มอบเพลงจากใจ"วันนี้ เราขอแนะนำ คุณ"ซูโหย่วเผิง" นักร้องไต้หวันให้ท่านผู้ฟังรู้จัก

ซูโหย่วเผิง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ทอมมี่ เกิดวันที่ 11 กันยายน ปี 1973 ที่ไต้หวัน ครอบครัวของเขามีพ่อ แม่และน้องชายหนึ่งคน ซูโหย่วเผิงเข้าวงการบันเทิงตอนอายุ 15 ปี เคยเป็นสมาชิกวง"เสี่ยวหู่ตุ้ย" วงดนตรีไต้หวันที่มีชื่อเสียงในเอเซีย เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1992 ซูโหย่วเผิงออกอัลบั้มชุดแรก ชื่อwo zhi yao ni ai wo แปลว่า "ขอเพียงแต่เธอรักฉันเท่านั้น" เพราะรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและเสียงไพเราะ ทำให้ซูโหย่วเผิงได้รับความนิยมจากแฟน ๆ อย่างมาก และขายดีมาก ตั้งแต่ปี 1992 จนถึง ปี 2004 ซูโหย่วเผิงออกอัลบั้มถึง 17 ชุด ได้รับรางวัลดนตรีมากมายทั้งในแผ่นดินใหญ่จีน ฮ่องกง ไต้หวันและต่างประเทศ

นอกจากซูโหย่วเผิงจะได้รับความสำเร็จอย่างมากในวงการดนตรีแล้ว เขายังเข้าวงการการแสดงอีกด้วย ซูโหย่วเผิงเล่นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์มากมาย และก็ได้รับความสำเร็จอย่างดีอีกเช่นกัน เมื่อปี1997 ซูโหย่วเผิงเข้าร่วมแสดงละครโทรทัศน์เรื่อง"องค์หญิงกำมะลอ" ฝีมือการแสดงยอดเยี่ยมทำให้เขาได้รับความนิยมอย่างมาก ปัจจุบัน ซูโหย่วเผิงเป็นทั้งนักร้องและนักแสดงที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่

ต่อไป จะขอเปิดเพลงของ"ซูโหย่วเผิง" ให้ท่านผู้ฟัง เพลงนี้ชื่อ Wo de hao xin qing แปลว่า อารมณ์ดีของผม เชิญรับฟังได้เลยค่ะ


411
Thanks, http://www.manager.co.th/China/ViewNews.as...D=9490000133512

ซูโหย่วเผิง จาก "องค์ชาย5" สู่ "เตียบ่อกี้" / หมิงซิงคลับ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ตุลาคม 2549 10:24 น.


กำลังมีผลงานฉายในเมืองไทยถึง 2 เรื่องทีเดียวสำหรับหนุ่มหน้าละอ่อน "ซูโหย่วเผิง" ทั้ง องค์หญิงกำมะลอ และ ดาบมังกรหยก หลายคนที่เป็นคอหนังจีนคงจะรู้จักหนุ่มคนนี้กันแล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก เรามีประวัติย่อๆ มาฝากกัน

ซูโหย่วเผิง เข้าวงการตั้งแต่อายุแค่เพียง 16 ปีเท่านั้น เป็นนักร้องรุ่นราวคราวเดียวกับหลินจื้ออิง ซูโหย่วเผิงร่วมกับ อู๋ฉีหลง และเฉินจื้อเผิง ร้องเพลงในนาม “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ต่อมาเพราะสมาชิกในวงจำเป็นต้องเกณฑ์ทหาร “เสี่ยวหู่ตุ้ย” จึงปิดตำนานลง

และในปี 1992 ซูโหย่วเผิงก็มีโอกาสออกอัลบั้มเพลงเดี่ยวเป็นครั้งแรก กับอัลบั้ม หว่อจื่อเย่าหนี่อ้ายหว่อ 《我只要你爱我》 และมีผลงานเพลงออกมาให้ได้ฟังไม่ขาด ซูโหย่วเผิง อู๋ฉีหลง จินเฉิงอู่ (ทาเคชิ คาเนชิโร่) และหลินจื้ออิงได้รับขนานนามเป็น 4 จตุรเทพแห่งไต้หวัน ปี 1995 ซูโหย่วเผิงเดินทางไปเรียนคอร์สสั้นที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษประมาณ 4 เดือน

ในปี 1996 ชีวิตการงานของซูโหย่วเผิงเรียกได้ว่าตกต่ำถึงขีดสุด ถึงขั้นไปแสดงหนังติดเรทเรื่อง "ฉิงเซ่อ" ตอนนั้นเขาแสดงคู่กับ เจิ้งเจียอี๋ว์ นางเอกสาวที่หลังจากนั้นโด่งดังเปรี้ยงปร้างกับบท “องค์หญิงหยกน้อย” ในละครชุดฮ่องเต้เจ้าสำราญกับองค์หญิงแสนซน

อย่างไรก็ตาม โชคยังเข้าข้างซูโหย่วเผิง ในปี 1997 เขามีโอกาสแสดงละครของฉงเหยา เรื่อง องค์หญิงกำมะลอ ประกบคู่กับ เจ้าเวย หลินซินหยู ฟั่นปิงปิง เรื่องนี้ส่งให้ “องค์ชาย 5” โด่งดังเปรี้ยงปร้างทั่วเอเชีย หลังจากนั้นก็มีงานละครวิ่งชนกันเป็นว่าเล่น และมีโอกาสร่วมงานกับเจ้าเวยอีกครั้งในเรื่อง เราสองหัวใจเดียวกัน ตอนนั้นมีข่าวว่าซูโหย่วเผิงแอบปลื้มนางเอกคู่ขวัญคนนี้เอามากๆ แต่สุดท้ายรักครั้งนี้ก็ไม่สมหวังเพราะว่าฝ่ายหญิงประกาศชัดว่ามีเจ้าของหัวใจแล้ว

ผลงานละครของซูโหย่วเผิงยังมีอย่างต่อเนื่อง ไม่นานมานี้ เขามีโอกาสได้ร่วมงานกับนางเอกสาวเกาหลี แชริม ในเรื่อง รักข้ามขอบฟ้า และขุนศึกตระกูลหยาง จนกระทั่งมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า ซูโหย่วเผิงเป็นสาเหตุให้ความรักของแชริมกับสามีหนุ่มอับปางลง แต่ฝ่ายชายก็ออกมาประกาศชัดว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

จากการร่วมงานกับแชริมนี่เอง ทำให้ซูโหย่วเผิงเข้าเจาะตลาดเกาหลีได้อย่างรวดเร็ว ถึงขนาดได้รับขนานนามให้เป็น “เบยองจุน” แห่งไต้หวันเลยทีเดียว กับผลงานล่าสุดที่เข้าฉายในบ้านเราเรื่อง ดาบมังกรหยก นี้ ซูโหย่วเผิงได้ร่วมงานกับสาวสวยทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น เกาหยวนหยวน เจี่ยจิ้งเหวิน แล้วสัปดาห์ต่อไป หมิงซิงคลับจะนำประวัติของนางเอกมาลงบ้าง

ชื่อจีน : ซูโหย่วเผิง 《苏有朋》 เพราะว่าเกิดช่วงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์เหมือนกับหม่ามี้ ถือว่ามีพระจันทร์ 2 ดวงอยู่ในบ้าน จึงได้ตั้งชื่อว่า 有朋 (“โหย่ว” แปลว่า “มี” เผิง แปลว่า “เพื่อน” ซึ่งตัว “เผิง” ประกอบด้วยอักษร月 ซึ่งแปลว่า พระจันทร์ 2 ตัวติดกัน

ชื่ออังกฤษ : อเล็ก (Alec Su) เมื่อก่อนใช้ ทอมมี่ (Tommy)
ชื่อเล่น : เสี่ยวไกวหู่ / เสี่ยวไกว小乖虎/小乖
เกิด : 11 กันยายน 1973
สถานที่ : เมืองไทเป ไต้หวัน
ราศี : กันย์
กรุ๊ปเลือด : บี
อายุ : 33 ปี
สูง : 172 ซ.ม.
หนัก : 59 ก.ก.
ครอบครัว : พ่อแม่ น้องชาย
การศึกษา : มหาวิทยาลัยไต้หวัน (台湾大学肄业)
ภาษา : จีนกลาง อังกฤษ หมิ่นหนัน และกวางตุ้ง
ดอกไม้โปรด : ดอกกุหลาบ
นิยมดื่ม : น้ำเต้าหู้
นักเขียนในดวงใจ : จางอ้ายหลิง
ชอบกีฬา : บาสเกตบอล
ยามว่าง : ดูหนัง ไปนั่งเล่นที่ผับ
สถานที่ที่อยากไป๊อยากไป : ลอนดอน นิวยอร์ก
อยากใช้ชีวิต : อย่างอิสระ ทำตามใจปรารถนา
เรื่องสุดช้ำ : อกหักรักคุด
เรื่องสุดปลื้ม : มานะบากบั่นจนได้รับการยอมรับจากทุกคน
บทบาทที่ชื่นชอบ : บทที่สามารถพลิกคาแรคเตอร์ของตัวเองได้
ซูเปอร์ไอดอลในดวงใจ : มาดอนน่า
อยากร่วมงานกับใครที่สุด : จางมั่นอี้ว์
นักร้องคนโปรด : แจ็คกี้ จางเสียว์โหย่ว

ผลงานละคร :

เตียวหมานกงจู่ / Sassy Princess/ 刁蛮公主 2006
Magic touch of Fate/ 魔术奇缘 2005
รักข้ามขอบฟ้า/ Love at Agean sea / 情定爱琴海 2004
ซินต้งเลี่ยเชอ/ Love Train/ 心动列车2003
ยอดวีรบุรุษขุนศึกตระกูลหยาง
ยอดวีรบุรุษขุนศึกตระกูลหยาง/ 杨门虎将2003
ดาบมังกรหยก/ 倚天屠龙记 2002
จางซันฟง / 少年 张 三 丰 2001
พายอ้านจิงฉี/ 拍 案 惊 奇
เดชเซียวฮื้อยี้ 2/ 绝 世 双 娇 (หลินจื้ออิงกับเต๊ะ ศตวรรษ แสดงนำ)
มนต์รักในสายฝน / 情 深 深 , 雨 朦 朦 2000
เดชเซียวฮื่อยี้ / 绝 代 双 娇 1999
องค์หญิงกำมะลอ 2 /还 珠 格 格II 1998
布 袋 和 尚
เราสองหัวใจเดียวกัน / 表 妹 吉 祥
องค์หญิงกำมะลอ 1 / 还 珠 格 格I 1997


412
Thanks, http://www.ryt9.com/s/psum/427741/

ซูโหย่วเผิง -- ข่าวซูโหย่วเผิง
ข่าวซูโหย่วเผิง จันทร์ที่ 8 ก.ย. 2008
ซูโหย่วเผิง นำทีม หนุ่มหยางพิชิตศัตรู
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง สรุปข่าวบันเทิง

ไทยทีวีสีช่อง 3 เตรียมภาพยนตร์จีนเรื่องล่าสุด "วีรบุรุษตระกูลหยาง" เวอร์ชั่นรวมดารา 3 เชื่อสายเอเชียไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี นำโดย "ซูโหย่วเผิง" นักร้องนักแสดงหนุ่มที่โด่งดังมากๆ จากภาพยนตร์จีนเรื่อง องค์หญิงกำมะลอ ร่วมด้วย "ไช่หลิน" นางเอกสาวชาวเกาหลีที่มีชื่อเสียงมากในจีน โดยซูโหย่วเผิง นำทีมหนุ่มหยางทั้ง

ไทยทีวีสีช่อง 3 เตรียมภาพยนตร์จีนเรื่องล่าสุด "วีรบุรุษตระกูลหยาง" เวอร์ชั่นรวมดารา 3 เชื่อสายเอเชียไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี นำโดย "ซูโหย่วเผิง" นักร้องนักแสดงหนุ่มที่โด่งดังมากๆ จากภาพยนตร์จีนเรื่อง องค์หญิงกำมะลอ ร่วมด้วย "ไช่หลิน" นางเอกสาวชาวเกาหลีที่มีชื่อเสียงมากในจีน โดยซูโหย่วเผิง นำทีมหนุ่มหยางทั้ง 7 ระดมพลผนึกกำลังเสียสละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องบ้านเมือง โดยมีดารารุ่นเก๋าการันตีฝีมือ "ตี้หลุง" และ "เจ้าหย่าจือ" มารับบทเป็นพ่อผู้มีอุดมการณ์ของหนุ่มทั้ง 7 และแม่ผู้เมตตาไม่จำกัด

413
Thanks, http://blog.eduzones.com/pilot/1815

27 ธันวาคม 2550

ซูโหย่วเผิง ปีหน้าลุยภาพยนตร์เต็มตัว

ซูโหย่วเผิง พระเอกหนุ่มจากไต้หวันที่หลังๆ ไปรับงานที่เมืองจีนเป็นหลัก แต่ในระยะหลังๆ จู่ๆ ข่าวคราวเงียบหายไป จะมีปรากฏบ้างก็ตามงานโชว์ตัวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อเร็วๆ นี้เขาก็ได้ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองเปิดกิจการรองเท้ายี่ห้อหนึ่งในเมืองจีนครบรอบ 10 ปี พร้อมทั้งได้เปิดเผยถึงแผนงานในปีหน้าจะเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ เพราะเขาเบื่อหน่ายกับเนื้อหาละครโทรทัศน์ที่มีแต่รักๆ ใคร่ๆ เต็มที ''ผมพักไปนานเกือบปี ทำให้รู้สึกได้มีเวลาคิดทบทวนอะไรมากมายทำให้เกิดความคิดว่าอยากทำงานอะไรใหม่ๆ กับงานแสดง'' เมื่อถามถึงงานเพลง ซูโหย่วเผิง เผยว่า ''อัลบั้มเพลงกำลังดำเดินงานอยู่ แต่จะออกวางแผงวันไหนตอนนี้ยังไม่สามารถกำหหนดได้'' ถึงแม้กำหนดวางแผงอัลบั้มยังไม่แน่นอน งานละครก็ไม่มีโครงการใหม่ ถึงกระนั้นซูโหย่วเผิง ก็ไม่รู้สึกกังวลว่าเขาอาจจะถูกลืมเลือนไปจากวงการบันเทิง ''ผมอยู่ในวงการนี้มาหลายปี แล้วตอนนี้ก็อายุเกิน 30 แล้วไม่คิดอยากแสดงละครวัยรุ่นอีก แต่ผมสนใจในงานภาพยนตร์มากกว่า'' เขายังบอกอีกว่าอยู่ในวงการบันเทิงมาหลายสิบปี มีประสบการณ์มากมาย ''เพราะอย่างนี้จึงทำให้ผมตั้งเป้าหมายในการแสดง นับวันยิ่งสูง บอกตามตรง ผมเริ่มเบื่อหน่ายกับการแสดงละครทีวีแล้ว ในปีหน้าผมอยากมีโอกาสได้เดินเส้นทางสายภาพยนตร์บ้าง ผมอยากลองแสดงบทที่มีช่วงวัยที่กว้างเพื่อจะได้แสดงอารมณ์ลึกๆ บ้าง ให้ผู้ชมเห็นว่าผมไม่ได้เป็นเพียง ''หนุ่มน้อย'' คนหนึ่ง แต่ผมยังสามารถเปลี่ยนเป็น ''คนแก่''ได้ด้วย'' สำหรับข่าวเพื่อนรักอย่างนักแสดงสาวหลินซินหยู ที่ยอมเปิดตัวว่าผู้กำกับฯ ถังจี้หลี่ เป็นแฟนตัวจริงแล้วนั้น เมื่อถามเขาว่าแล้วหาแฟนตัวจริงได้บ้างแล้วหรือยัง ซูโหย่วเผิงหัวเราะเสียงดังก่อนแล้วตอบว่า ''เรื่องนี้ขอเก็บเป็นความลับก่อน ตอนนี้ที่สำคัญคือขออวยพรให้หลินซินหยูมีความสุขตลอดไป'' สมแล้วที่เป็นเพื่อนรักกัน

414

เริ่มจากไม่รู้ว่าชื่นชอบโหย่วเผิงแต่เมื่อไหร่กัน จนถึงวันนี้ ก็เริ่มสังเกตุเห็นว่าตัวเองนั้นกลายเป็นแฟนคลับพันธ์แท้ของโหย่วเผิง เริ่มแรกจากการเป็นแฟนคลับที่ชื่นชอบเพลงของเขาและงานการแสดงของเขา เริ่มห่วงภาพพจณ์ของเขา เข้าไปในเน็ตเพื่อ Search ข้อมูลที่ไม่เคยเห็นต่างๆ ตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้กลายเป็นคนที่บ้าเว่อร์อย่างนี้ หรือว่าเพราะเสน่ห์ของโหย่วเผิงจริงๆที่ทำให้เราหลงไหลขนาดนี้

ก็เพิ่งดูเรื่อง เดชเซี่ยวฮื่อยี้ แล้วแค่แวบเดียวก็มีผลงาน(องค์หญิงแสนซน)อีก มันทำให้ฉันไม่ทึ่งไม่ได้เลยที่เดียว เขาเป็นนักแสดงจริงๆ เป็นนักแสดงที่ไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อนเลย

เมื่อสิ้นสุดความโด่งดังจากเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว ได้สลัดภาพแห่งไฮโซ เข้าสู่ช่วงชีวิตที่ตกต่ำที่ลังเลไร้ทิศ สภาพอย่างนั้นไม่ต่างจากตอนที่พวกเราพิ่งจบจากมหาลัย ก้มหัวเดินบนถนนก็ไม่มีใครเห็นหัว และในขณะนั้นเอง (องค์หญิงกำมะลอ)ได้ผ่านมา มันก็ได้ช่วยชีวิตของเขาไว้อีกครั้ง หากไม่ใช่เรื่องนี้แล้ว เราคงจะอดเห็นโหย่วเผิงปรากฏบนภาพยนตร์ จนถึงทุกวันนี้


ช่วงเวลาใน(องค์หญิงกำมะลอ) ชื่นชอบแต่อู่อาเกอ(องค์ชายห้า) เหตุผลหนึ่งเพราะความหล่อ อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะความหล่อเหมือนกัน เหตุเพราะหล่อเกินไปเลยลืมดูฝีมือการแสดงว่าเป็นไงบ้าง อาจพูดได้ว่าไม่มีที่จะให้ติเลย เขาเต็มไปด้วยราศีที่ดีเต็มไปด้วยความสง่า แล้วคุณคิดว่าเขาจะไม่เป็นที่หมายปองของเหล่าสาวๆได้อย่างไรล่ะ แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็เหมือนที่เขาได้พูดไว้ นี่เป็นเพียงเรื่องที่เสี่ยวเยี่ยนจื่อแสดงเป็นหลัก ในเรื่องนั้นจะมีฉากแค่ตัวประกอบไม่มากก็น้อย

ภาพยนตร์เรื่องที่สองของโหย่วเผิงที่ฉันได้ดูคือ (เราสองหัวใจเดียวกัน) โอ้สวรรค์ การปรากฏตัวของเขานั้นมันทำให้ฉันตะลึงเลยทีเดียว ตอนนั้นเขาหล่อจนสุดบรรยาย แถมยังบวกกับฉากหลังซึ่งเป็นคนของเหล่าฝางจื่อ ก็ยิ่งให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเขากับคนอื่นๆ ไม่รู้ว่า (องค์ชายห้า) กลับมาเกิดหรือเปล่า แน่นอนการพูดอย่างนี้อาจจะกระทบต่อนักแสดงคนอื่นๆด้วย ดูแล้วนั่นไม่ใช่ครั้งหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงแต่เป็นการซ้ำอีกครั้ง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันรักที่สุด

เรื่อง(เดชเซี่ยวฮื่อยี้ ) น่าจะพูดได้ว่าดอกไม้ไม่มีที่ติเหมาะจริงๆที่เขาแสดงเรื่องนี้ ภาพลักษณ์ดี เป็นที่ชื่นชอบ พูดดีมียิ้ม ฉันว่าการแสดงของโหย่วเผิงนั้นมันสุดยอดมากๆ แม้ว่าจะมีคนเคยไม่เคยเห็นด้วยกับฉันสำหรับเรื่องนี้เขาก็คงจะเห็นด้วย และใบหน้าคิ้วของเขานั้นเข้ม ถือว่าเป็นดอกไม้ที่ไม่มีที่ติเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นนักอ่านหรือคอหนังก็คงจะมีความรู้สึกเดียวกัน แต่ในแง่ของขนบธรรมเนียมนั้น ใช่ โหย่วเผิงยังไม่ถึงขั้นเป็นขั้นเทพ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังเป็น (ซูโหย่วเผิง) เพียงแค่เขาถูกรังแกสักนิดเดียวฉันก็ปวดใจแทนแล้ว

เรื่อง(มนต์รักในสายฝน) ถึงจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของโหย่วเผิง ตู้เฟยไม่เจ๋งเหมือนซูหวน อาจจะสู้เอ๋อห้าวไม่ได้ แย่กว่านั้นคือแม้แต่แฟนสาวก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นใคร แต่ในเรื่องนั้นเขาก็เป็นผู้ให้เสียงหัวเราะ เป็นเจ้าตัวซวย ขอเพียงเขาอยู่ที่ไหนก็เกิดเรื่องที่นั่น ความรู้สึกนี้นั้นก็เหมือนกันเสี่ยวเยี่ยนจื่อ ฉายาว่า คนก่อเรื่อง ในน้ำตาของฉงเหยานั้นก็ให้เราเห็นถึงความสมบูรณ์ของความรัก ในวันคืนที่ระแหงนั้นสามารถเห็นความหวังได้

เรื่อง(รักข้ามขอบฟ้า) เป็นครั้งแรกที่ได้เล่นกับดาราต่างประเทศ ฝีมือการแสดงของไฉ่หลินนั้นไม่มีคำบรรยาย และความโหดของโหย่วเผิงเองก็เป็นที่เด่นด้วย แต่สิ่งที่ฉันเพ่งก็คือโหย่วเผิง ทั้งยังเป็นคุณชายน้อยของคนรวย มีทั้งความรักที่พ่อแม่ให้และความรักที่เขามีให้กับแฟนสาว ได้สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของชนชั้นสูง ขณะที่เจอ กวนเสี่ยวถงนั้น เรื่องบุญคุณก็เป็นสิ่งที่ต้องต่อสู้กันมาก เขาไม่อยากจะอกตัณญูพ่อแม่แต่ก็ไม่อยากจะเสียคนรักไป นี่เป็นสิ่งที่จะต้องเลือกหนึ่งอย่าง ฉันเคยคิดเล่นๆว่า ทำไมต้องห่วงโน่นห่วงนี่หนีไปด้วยกันก็สิ้นเรื่อง แต่ในความเป็นจริงนั้นมีใครที่จะทอดทิ้งพ่อแม่ได้ล่ะ ถ้าทำอย่างนั้นก็ไม่ใช่คนแล้ว ดูเรื่องนี้ด้วยใจทุกข์แทนจนจบ จนเสียสุขภาพอารมณ์ไปหลายวัน อย่างไรก็ไม่ยอมที่จะหนีไปด้วยความอกตัญญู

เรื่อง(ยอดวีรบุรุษขุนศึกตระกูลหยาง) เหตุเพราะดูท่วงทีที่งดงามของ (โหย่วเผิง) ก็ยิ่งที่จะเข้าใจถึงภาพที่ทั้งเจ็ดพี่น้องยืนถ่ายรูปด้วยกัน (ซื่อหลาง) นั้นได้รับการถูกดูหมิ่นเหยียบหยามจนเต็มหน้า ถูกตราหน้าว่าเป็นคนขายชาติ ทรยศต่อบ้านเมือง สีหน้าแวดตาอันเจ็บปวด ขมขื่นนั้นสามารถเห็นได้ชัดตอนที่ (ซื่อหลาง) อยู่ที่เหลียว


เรื่อง(ดาบมังกรหยก) ในเว็ปของโหย่วเผิงนั้น มีแฟนคลับได้เขียนไว้ว่า “พี่อู่อาเกอ พี่เดินผิดฉากผิดเรื่องแล้ว”  แต่ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น ฝีมือการแสดงของโหย่วเผิงนั้นสามารถพิสูจน์ได้ เช่นช่วงวัยรุ่นแรกที่เดียงสาของ (เตียบ่อกี้ ) ตอนโตขึ้นที่กตัญญูต่อพ่อบุญธรรม มีใจที่ซื่อตรงต่อบรรดาสาวๆ ในเรื่องต้นฉบับนั้น (เตียบ่อกี้ ) ก็ไม่ได้เป็นคนที่มีจิตใจแห่งการเป็นเจ้าที่สูง สิ่งที่เขาปรารถนาคือครอบครัวที่อบอุ่น เหตุนี้เองการออกไปท่องยุธทภพของเขานั้นก็เพื่อปกป้องพี่น้อง คุณปู่ คุณอา พ่อบุญธรรม ร่วมทั้งอาจารย์ปู่ของตัวเอง (โหย่วเผิง) ทำให้เราเห็นถึงความดี ความหล่อ บางครั้งก็จะเป็น (เตียบ่อกี้ ) ที่ซื่อๆ ฉันว่าแล้วนี่ถึงจะเป็น (เตียบ่อกี้) ตัวจริง ไม่ใช่หรือ?

เรื่อง( (Pai An Jing Qi ไผอันจิงฉี) คังเถียเซิน นำความแตกต่างมากมายมาให้ฉัน อย่างแรกคือเค้าโครงเรื่องนั้นมันอัศจรรย์มาก อย่างที่สองคือฝีมือการแสดงของโหย่วเผิงนั้นผลดีมาก ฉลาดแต่ก็ไม่ขาดความอ่อนโยน เมตตาแต่ก็ไม่อ่อนแอ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรเขาก็สามารถจะมีสติปัญญาในการแก้ไข แม้ว่าในเรื่องนั้นจะเอื่อยๆ แต่เป็นซีรีย์ที่ไม่ควรพลาด

เรื่อง(เจียงจี้จิ้วจี้) เป็นนักเรียนนายร้อยของอังกฤษ เป็นคุณชายใหญ่ของคนรวย แปลกจริง ทำไมถึงเป็นบทอย่างนี้อีก แต่เมื่อติดตามดูแล้วก็จะเห็นว่าซีรีย์สไตล์แบบนี้ก็มีสิ่งที่น่าท้าทายเหมือนกัน เป็นการแสดงที่เหมือนจริง เทียบกับเมื่อก่อนนั้น เขาโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น

เรื่อง(องค์หญิงแสนซน) เป็นเรื่องที่ออกอากาศถี่มากในจีนแผ่นดินใหญ่ และช่อง 3 ก็ไม่พลาดที่จะนำเอามาฉายออกอากาศเช่นกัน ฉันชอบมากๆ เป็นฮ่องเต้ที่เปรี่ยมด้วยปัญญา เป็นพี่รองที่เปรี่ยมด้วยความเมตตา ในเรื่องจะเป็นแนวระหว่างการเมืองกับความรัก ตอนเริ่มแรกนั้นฮ่องเต้กับไป๋หยินเฟยต่างก็เอาของมาแลกกัน แต่เมื่อได้เจอเสี่ยวหลงเซีย พวกเขาถึงเข้าใจความหมายชีวิตที่แท้จริง เรื่องความรักนั้นใช่ว่าเป็นสิ่งที่แลกเปลี่ยนได้ ความสนุกของเรื่องนี้จะอยู่ที่การก่อเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่าของเสี่ยวหลงเซีย แต่ทางฮ่องเต้นั้นก็ได้มาแก้ปัญหาที่ก่อไว้อย่างนับไม่ถ้วน ทุกอย่างที่มาถึงมือของพระองค์ก็จะคลี่คลายไป

เรื่อง(เย้ออ้าย) ไม่ชอบเรื่องนี้มากเลย 55+ (ความคิดเห็นส่วนตัว) และไม่รู้ว่าผู้เขียนทำอะไรกัน ไม่ทราบว่าโหย่วเผิงบ้าหรือว่าทีมงานบ้ากัน มันไม่เหมือนกับเรื่องราวที่เกิดในสมัยนั้นเลย โหย่วเผิงเองก็ยังบอกว่าพอใจในเรื่องนี้มาก แต่ฉันดูแล้วมันไม่ใช่ เป็นครั้งแรกที่ฉันปฏิเสธซีรีย์เรื่องนี้ของโหย่วเผิง ดูเหมือนฉันก็โตแล้ว เริ่มจะไม่ให้ความคิดของตัวเองถูกใครจูงไปได้แล้ว (หรือว่าตาไม่ถึงบทบาทนี้อ๊ะ)

เรื่อง(เฟิงเซิง) เป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวเลย โหย่วเผิงสู้ๆ ฉันชอบการแสดงอย่างนี้ของคุณมาก แต่ก็ยิ่งปรารถนาชอบคุณใส่ชุดสูทที่สง่าเหมือนพระเอกขี่ม้าขาวอย่างนั้นมากกว่า พูดถึงตรงนี้ฉันเพิ่งนึกได้ ใช่ว่าโหย่วเผิงไม่อยากจะเปลี่ยนตัวเอง เป็นเพราะความคิดหัวโบราณของฉันเองที่ไม่สามารถเปลี่ยนไปได้


อวยพรให้โหย่วเผิงยิ่งบินยิ่งสูง ไม่หยุดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่แฟนคลับให้กับคุณ

หน้า: 1 ... 19 20 [21]