แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Alec Love Me

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 21
41
ข่าว https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/1390287921009697

สถานีซูโหย่วเผิง หวังจู่หลัน และคนอื่นๆ  2017 ซึบารุมาราธอน

วันที่ 15 เมษายน มาราธอนเปิดแห่งประเทศจีน 2017 ผ่านมาแล้ว 1 เดือนกว่า 5 เมืองใหญ่สิ้นสุดที่ปักกิ่ง อำเภอกู่เป่ยสุ่ย ในงาน ซูโหย่วเผิง หวังจู่หลัน โม่เสี่ยวฉี ซย่าหนาน และดาราศิลปินอีกมากมายได้แบ่งเป็น 3 ทีม แต่ละทีมมีผู้ร่วมทีมเกือบ 500 คน และสู้กันตั้งแต่ต้นจนจบ ในที่สุด กู่เอ๋อเหริ่นจยา เกาเหมิง หวังจื้อเฉิง จางฮุยจี้ จากกลุ่มชายหญิงหนุ่มสาว และกลุ่มชายหญิงอายุกลาง เป็นผู้ชนะในแต่ละหมวดหมู่ไปตามลำดับ ด้วยเวลา 10 นาที 07 วินาที 12 นาที 55 วินาที 10 นาที 58 วินาที 13 นาที 12 วินาที ขณะเดียวกัน  ทีมที่นำโดย ซูโหย่วเผิง เซิ่งอีหลุน และดาราอื่นๆ ก็กำชัยชนะไปด้วยคะแนนสะสม     

      งานมาราธอนเปิดแห่งประเทศจีน 2017 จัดขึ้นโดยสมาคมกีฬาแห่งชาติ สนับสนุนโดย จีลี่ ออโตโมบิลกรุป เริ่มแข่งตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคมเป็นต้นมา ผ่านเซี่ยงไฮ้ จี้หนาน เฉิงตู กวางโจว ต้าเหลียน ปักกิ่ง 6 เมืองใหญ่ 1 เดือนแห่งการแข่งขันอันร้อนแรง ได้ดึงดูด หานเกิง หวังลั่วตาน ซูโหย่วเผิง หวังจู่หลัน เจียงจิ้นฝู เซิ่งอี้หลุน ฮุ่ยรั่วฉี ไป๋เค่อ ตู้เทียนเฮ่า ซย่าน่าน และศิลปินดาราอีกว่า 30 คน มาร่วมแข่งด้วย ประกอบกับมีจำนวนผู้สมัครร่วมงานจำนวนมาก ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆจำนวนมาก     

       ซูโหย่วเผิง หวังจู่หลัน โม่เสี่ยวฉี ซย่าน่าน และดาราศิลปินคนอื่นๆได้มาร่วมในสถานที่จัดการแข่งครั้งตัดสิน วิ่งไปพร้อมกับนักวิ่งอีก 500 ท่าน เป็นระยะทางกว่า 5 กิโลเมตรบนกำแพงเมืองจีน ขณะเดียวกัน หลังจากทีม “ชนะตัวเอง” “พุ่งไปข้างหน้า” “ก้าวข้าม” ของศิลปินดาราได้รับการสนับสนุนและการต่อสู้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตเรียบร้อยแล้ว จำนวนขั้นบันไดและหนังสือที่ได้ จะถูกนำมาตัดสินในตอน สุดท้าย ซึ่งทีม “ก้าวข้าม” ที่นำโดยศิลปินดาราซูโหย่วเผิง เซิ่งอีหลุน และคนอื่นๆก็ได้รับชัยชนะไป


  “นี่เป็นการแข่งขันที่น่าตื่นเต้นมาก ไม่เพียงแต่ใช้การปีนเขาที่เป็นการออกกำลังกายไปในตัว ขณะเดียวกันก็ยังได้ทบทวน ชำระล้างจิตใจของตัวเองอีกด้วย” ซูโหย่วเผิง ผู้เป็นหัวหน้าทีม “ก้าวข้าม” กล่าวไว้ “สำหรับการเป็นมนุษย์ นี่เป็นโอกาสที่ดีมากในการสร้างความเข้มแข็ง และพัฒนาศักยภาพตัวเอง สำหรับการเป็นบุคคลสาธารณะ ส่งผ่านจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ให้แก่ผู้คนผ่านกำลังของตัวเอง ทำให้ทุกคนมีทัศนคติที่ดีต่อการดำรงชีวิต เป็นหน้าที่ที่พวกเราต้องทำ ส่งต่อพลังบวกให้สังคม ให้เดินไปข้างหน้าพร้อมกัน”



[2017.04.15] ซูโหย่วเผิงร่วมกิจกรรมวิ่งมาราธอน”
http://www.weibo.com/1691328753/EF659jMXr?type=repost
http://www.weibo.com/5176868974/EEkO70z0T?type=repost#_rnd1492078364893

#向上马拉松# 他是歌手,吸引万千迷妹的乖乖虎;他是演员,塑造无数经典的实力偶像;他是导演,首次执导便提名台湾金马奖。他是@蘇有朋,优雅持重,谦和有礼的全能男神。4月15日,北京站,他将与你一起向上!

#วิ่งมาราธอน #เขาเป็นนักร้อง เป็นไกวไกวหู่ที่ดึงดูดสาวน้อยจำนวนมาก เขาเป็นนักแสดง เป็นไอดอลมากฝีมือที่สร้างผลงานคลาสสิคนับไม่ถ้วน เขาเป็นผู้กำกับ กำกับภาพยนต์ผลงานชิ้นแรกได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลม้าทองคำของไต้หวัน เขาคือซูโหย่วเผิง สุขุมและสง่างาม เทพบุตรผู้มีความสามารถรอบด้าน 15 เมษายนนี้ ที่สถานีรถไฟปักกิ่ง เขาจะวิ่งไปพร้อมกับคุณ! ​​​​





42
8b5976c4443f4916898a1b00667550e120170403143256.jpg" border="0
601f06a2e6ec46d295e7b25df3c4371b20170403143256.jpg" border="0
ea569729db26432d88fa42a3818696fe20170403143256.jpg" border="0

[2017.04.03] 《嫌疑人x》热映网友解读苏有朋的理智与情感

การเปิดตัวอย่างคึกคักของภาพยนตร์เรื่อง 《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX (The Devotion of Suspect X) 》 ทำให้ชาวเน็ตเข้าใจถึง “ความสมเหตุสมผล” และ “ความรู้สึก” ของซูโหย่วเผิง

ปี 2015 ซูโหย่วเผิงรับหน้าที่ผู้กำกับในภาพยนตร์เรื่อง 《หูข้างซ้าย (Left Ear) 》และสองปีต่อมา ผลงานชิ้นที่สองของเขา อย่างเรื่อง 《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX (The Devotion of Suspect X) 》 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 เดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ โดยเปิดตัวเพียงวันแรกก็สามารถกวาดรายได้ไป 48 ล้านหยวนคิดเป็น 40% ของรายได้ทั้งหมด ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้มากที่สุดในวันนั้น และยังสามารถทุบสถิติของภาพยนตร์แนวอาชญากรรมได้อีกด้วย จากการพูดกันปากต่อปากของกระแสภาพยนตร์ที่แรงจนถึงดูดผู้ชมได้มากมายทำให้สามารถทำรายได้ ได้มากถึง 1.6 ร้อยล้านหยวนภายในระยะเวลาแค่ 3 วัน โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนวนิยายญี่ปุ่นในชื่อเดียวกันของฮิงาชิโนะ เคโงะ  ซึ่งนับได้ว่าเป็นผลงานชิ้นแรกของอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะ ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นจีน แต่อย่างไรก็ดีการกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาต้องแบกรับความกดดันอย่างมหาศาล ทั้งความกดดันจากชื่อเสียงหรือฐานผู้ชมจากความสำเร็จของผลงานเรื่อง 《หูข้างซ้าย(Left Ear)》 เรื่องก่อน ทั้งความกดดันจากความสำเร็จของเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเกาหลีเอง และการเป็นที่จับตามมองของเหล่าแฟนๆนวนิยายเรื่องนี้ ทั้งหมดนี้ยิ่งเพิ่มความกดดันให้ซูโหย่วเผิงมากขึ้นไปอีกเท่าตัว แต่มาวันนี้ผลงานชิ้นที่สองนี้ของซูโหย่วเผิงเป็นที่พึงพอใจมากๆสำหรับผู้ชมและแฟนๆ

 “แผนการสมบูรณ์แบบเพื่อสารภาพรักสุดเศร้า” ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยตรรกะ ความลึกลับ และความรัก โดยในเวอร์ชั่นจีนนี้ ซูโหย่วเผิงนำเสนอเรื่องราวออกมาในมุมมองที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเกาหลี  โดยในทั้งสองเวอร์ชั่นก่อนจะมุ่งเน้นการยกย่องถึงความยิ่งใหญ่ของ "การเสียสละ" แต่ซูโหย่วเผิงต้องการนำเสนอออกมาในรูปแบบที่สมดุลกันระหว่าง "ความสมเหตุสมผล" และ "ความรู้สึก" ซึ่งในตอนนี้เหล่าแฟนๆภาพยนตร์ต่างก็ใส่ใจในรายละเอียดมากขึ้น ซูโหย่วเผิงจึงตั้งใจมากขึ้นเพื่อให้เกิดความสมดุลกันระหว่างความถูกต้องและความรักที่ละเอียดอ่อน

หมายเหตุ:บทความฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของสปอยล์

สะท้อนถึงมุมมอง ”ความสมเหตุสมผล”  “ความรัก” และ “อาชญากรรม” ของซูโหย่วเผิงในหลายๆมิติ

แน่นอนว่า “ความสมเหตุสมผล” ของซูโหย่วเผิงไม่เพียงแต่สะท้อนอยู่ในเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เท่านั้นและเขายังนำเสนอมุมมองในหลายๆมิติออกมา  ทั้งจากความสมจริงของบทภาพยนตร์ที่สื่อถึงมุมมองของตำรวจ มุมมองของฆาตกรและความขัดแย้งต่างๆ ทำให้ผู้ชมค่อยๆให้การยอมรับต่อภาพยนตร์เรื่องนี้  อีกทั้งยังได้หวังข่ายมารับบทเป็นถังชวน ซึ่งตัวละครตัวนี้จะนำเสนอมุมมองของผู้กำกับที่มีต่อ “ความรัก เหตุผล และกฎหมาย” ออกมา

โดยบอกเล่าเรื่องที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นเกาหลีและญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง  จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้จะเริ่มจากการอธิบายถึงการฆาตกรรมที่น่ากลัวในมุมมองของฝ่ายตำรวจผ่านบทบาทของหวังข่าย  อีกทั้งในการถ่ายทำจะพยายามสื่อถึงอาชญากรรมที่รุนแรง บรรยากาศที่ตึงเครียดในภาพยนตร์ รวมถึงกระบวนการวิเคราะห์ของฝ่ายตำรวจในการสันนิฐานถึงบุคลิกของฆาตกรและขั้นตอนการสืบสวน

ในขณะที่บทของฆาตรกรของจางลู่อีจะสื่อถึงแรงจูงใจและจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้เกิดการฆาตกรรมขึ้น ดึงให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงมุมมองในฐานะฆาตกรและสัมผัสถึงตัวตนและความรู้สึกของฆาตกรดังนั้นการเผชิญหน้ากันของหวังข่ายและจางลู่อีสำหรับผู้ชมแล้วมันทำให้เกิดการขัดแย้งกันของความคิดและเพื่อที่จะหลีกหนีจากความขัดแย้งนี้ สุดท้ายจึงใช้ความเป็นจริงมาลบล้างความเศร้า

เมื่อลองเปรียบเทียบการแสดงออกทางอารมณ์ของตัวละคร "สือหง" กับของภาคญี่ปุ่นและเกาหลีแล้ว ในเวอร์ชั่นของซูโหย่วเผิงมีความสมเหตุสมผลมากกว่า  การสื่อถึงมุมมองในด้านต่างๆก็มีความชัดเจนมากกว่า  ความสมเหตุสมผลและความชัดเจนนี่เองที่จะทำให้  ภาพยนต์ “การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัย”  ได้รับความชื่นชมและจะทำให้ผู้ชมย้อนกลับไปมองสัมคมและตัวเองอย่างมีสติมากขึ้น  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ซูโหย่วเผิงไม่ได้ทำเพื่อภาพยนตร์เพียงอย่างเดียวแต่เขายังต้องช่วยส่งเสริมสังคมผ่านผลงานของตัวเองด้วยเช่นกัน

อาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะ  เขียนข้อความไว้ในจดหมายส่วนตัวว่า "การที่ผมได้เห็นพวกคุณที่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดนำผลงานไปดัดแปลงแก้ไขอย่างสร้างสรรค์โดยไม่ยึดติดกับต้นฉบับมันทำให้ผมรู้สึกยินดีและสนใจเป็นอย่างมาก" วลีนี้ได้กลายเป็นเชิงอรรถที่ดีที่สุดของภาพยนตร์《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX”(The Devotion of Suspect X)》ที่กำกับโดยซูโหย่วเผิง

เพราะความรู้สึกหลายๆอย่างทำให้ซูโหย่วเผิงเกิดมีความคิดที่จะดัดแปลงเนื้อหาบางส่วน และนั้นก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จ

"แสงและเงาเกิดขึ้นมาด้วยกัน  ความเป็นมนุษย์ก็ไม่อาจคงอยู่ได้ด้วยความดีหรือเลวเพียงอย่างเดียว" บทสือหง ของจางลู่อี แสดงถึงคำพูดนี้ได้เป็นอย่างดี ซูโหย่วเผิงพยายามผสมผสานระหว่างความรู้สึกที่อ่อนโยนและละเอียดละอ่อนไว้ในตัวละครตัวนี้ ความความโหดร้ายของเรื่องราวในภาพยนตร์แสดงถึงรายละเอียดของอารมณ์ความรู้สึกที่ลึกซึ้งมากขึ้น  "ความลวร้าย" และ "ศรัทธาในความดี" จะผสมผสานอย่างเป็นธรรมชาติอยู่ในตัวละคร "สือหง" นักคณิตศาสตร์ผู้สิ้นหวังต่อความโลก เช่นเดียวกับดวงไฟในความมืดมิดที่สะท้อนแสงสว่างไปยังใจคน

“คนบางคนเพียงต้องการมีชีวิตต่อไป จึงสามารถให้ความอบอุ่นกับคนอื่นได้” เนื่องจากในนวนิยายการแสดงออกค่อนข้างครุมเครือ ซูโหย่วเผิงจึงอยากที่จะแสดงเหตุผลที่สือหงยอมปกปิดอาชญากรรมเพื่อช่วยเฉินจิ้งในแบบที่ชัดเจนขึ้น นั้นคือเพื่อตอบแทนบุญคุณและเพราะความรัก ซึ่งนอกจากจะรักษาการปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์ระหว่างสือหงและเฉินจิ้งตามแบบในนวินยายไว้แล้ว

ซูโหย่วเผิงยังเพิ่มเติมในส่วนของเรื่องราวอื่นๆเข้าไปอีกด้วย  อย่างเช่นตอนที่ชือหงที่รับบทโดยจางลู่อีและเฉินจิ้งที่รับบทโดยหลินซินหยูเจอกันที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นที่สงสัย พวกเขาเผชิญหน้ากันโดยมีชั้นวางของที่กั้นกลางไว้และสนทนากันด้วยเสียงเบาๆ หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแล้ว  เฉินจิ้งให้กระดาษโน๊ตแผ่นหนึ่งกับสือหงเพื่อแสดงความกตัญญูที่เธอมีต่อเขา แล้วหันไปแกล้งทำเลือกซื้อเสื้อผ้าต่อ  แม้กระทั่งสือหงกับลูกสาวของเฉินจิ้งเองก็มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน อย่างในตอนที่พวกเขาพบกันตอนที่ิิทิ้งขยะ สือหงก็เข้าไปปลอบเด็กสาวที่กำลังตื่นตระหนก สำหรับในเวอร์ชั่นของซูโหย่วเผิง ภาพยนตร์เรื่องนี้ ด้านหนึ่งสื่อถึงความเครียดทางจิตใจจากการอำพรางอาชญากรรม อีกด้านคือความรู้สึกที่ถูกซ่อนไว้  เป็นรายละเอียดที่ดูเหมือนจะเรียบง่ายแต่ที่จริงแล้วเต็มไปด้วยความยุ่งยาก เป็นการปล่อยให้คลื่นอารมณ์และเรื่องราวในภาพยนตร์เป็นตัวผลักดันทุกสิ่ง เหมือนกับ "พื้นดินทำให้เกิดฟ้าผ่า"

ความขัดแย้งระหว่างสือหงและเฉินจิ้งในเนื้อเรื่อง ซูโหย่วเผิงได้มีการปรับแก้บทให้สอดคล้องกับความรู้สึกมากขึ้น ในนวนิยายเฉินจิ้งได้รู้ถึงแผนของชิฮงอยู่ก่อนแล้ว และยังได้รับจดหมายฉบับสุดท้ายที่สือหงเหลือทิ้งไว้  แต่ในภาพยนตร์เฉินจิ้งเข้าใจผิดเกี่ยวกับการแผนการอำพรางของสือหง และต่อมาสือหงได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเฉินจิ้งในอนาคตกลายเป็น "โรคจิต"คนหนึ่ง จนกระทั่งถังชวนบอกความจริงกับเธอ  เฉินจิ้งถึงได้เข้าใจถึงแผนการทั้งหมดของสือหง  ตอนที่เผชิญหน้ากับเฉินจิ้ง ในสายตาของสือหง สะท้อนความเห็นอกเห็นใจ ในตอนนั้นเองที่ความรู้สึกของตัวละครในภาพยนตร์ได้กลายเป็นสิ่งบริสุทธิ์

นอกจากนี้ การย้อนรำลึกถึงในช่วงวัยรุ่นของถังชวนและสือหงก็แทรกอยู่ในเนื้อเรื่องด้วย ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ดี คนหนึ่งเป็นอัจฉริยะทางด้านฟิสิกส์ อีกคนเป็นอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ ทั้งสองต่างก็มองว่าอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งและเพื่อน แต่เพราะการฆาตกรรม ทำให้ต้องมาเจอกัน  ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน เผชิญหน้าในจุดยืนที่ตรงข้ามกัน ยิ่งใกล้ความจริงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทรมานเพราะการต่อต้านต่อความรักและความถูกต้อง ในฉากที่ทั้งสองคนไปปีนเขาด้วยกันสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งจากภายในของทั้งสองฝ่าย และในตอนที่ใบไม้ตกลงสู่ผิวน้ำที่ไหลวนมันแฝงไว้ด้วยความหมายมากมาย ด้านหนึ่งเป็นปมของสือหง อีกด้านเป็นความขัดแย้งและการต่อสู้ของถังชวน ในภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดแบบนี้มากมาย

ในขั้นตอนการตรวจสอบ ซูโหย่วเผิงเพิ่มฉากที่ชวนประทับใจมากขึ้นอีกหนึ่งฉาก นั้นคือตอนที่หวังข่ายที่รับบทเป็นถังชวนมาที่เขื่อนเดินไปตามเส้นทางที่สือหงใช้เป็นประจำเพื่อยืนยันการหายตัวไปของคนเร่รอน ทำให้เห็นถึง"ความไร้รูปปุถุชน (ไม่ยึดติดรูปกิเลสตัณหา)"  และความปรารถนาดี:  "ในโลกนี้ไม่มีเฟืองที่ไม่ใช้มีแต่เฟืองที่สามารถตัดสินใจถึงการใช้งานของตัวเอง" ในฉากสุดท้าย ถังชวนใช้แรงผลักประตูศาลให้เปิดออก ข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่างที่กำลังสาดส่องไปทั่ว ภายใต้ข้อพิพาทระหว่าง “ความรัก เหตุผล และกฎหมาย” เขามุ่งตรงไปยังแสงสว่าง ทิ้งให้ผู้ชมได้คิดและมองย้อนตัวเอง  นี่เป็นหลักการซูโหย่วเผิงยึดถือปฏิบัติเรื่อยมา มันเป็นความสำเร็จของผลงาน
การแแก้ไขผลงาของอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะก็เหมือนกับ "การเขียนวิทยานิพนธ์"   บนพื้นฐานของสาระสำคัญที่เป็นต้นฉบับ  ผสมผสานความคิดของผู้กำกับเข้ากับเรื่องราวที่คุ้นหูเข้าและจิตวิญญาณใหม่ๆ  จากขั้นตอนการเขียนนวนิยายจนถึงการสร้างภาพยนตร์  ผู้กำกับซูโหย่วเผิงถ่ายทอดความสมเหตุสมผลและความร็สึกออกมาได้อย่างสมดุล ส่งผลให้ภาพยนตร์เรื่อง 《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX (The Devotion of Suspect X) 》ทำให้ผู้ชมชาวจีนได้สัมผัสกับประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่หาได้ยาก   มันไม่เพียงได้รับการยอมรับจากแฟนหนังสือเท่านั้นแต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ชมทั่วไปเช่นกัน จาก 《หูข้างซ้าย”(Left Ear)》 จนถึง 《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX (The Devotion of Suspect X) 》 จากภาพยนตร์แนวความรักวัยรุ่น จนถึงแนวเหตุผล อาชญากรรม และความรัก ซูโหย่วเผิงสามารถก้าวข้ามรูปแบบภาพยนตร์เดิมๆอย่างไม่มีข้อจำกัด เขาบอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นของความรักได้ดี นี่จึงเป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไป อีกทั้ง “ความเป็นไปได้” ของผลงานของเขาก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนรอรอย

43
[2017.04.15] รายการฉีปาซัว เริ่มออกอากาศ 15 เม.ย. 60 ทุกวัน ศุกร์-เสาร์

#รายการฉีปาซัว #เทพบุตรสัปดาห์นี้ @ซูโหย่วเผิง ออกแนว “ย้อนยุค” เล็กน้อย เขาเคยรับบทเป็นองค์ชายห้า ในละครเรื่ององค์หญิงกำมะลอที่พวกเราเคยดูในฤดูร้อนเมื่อหลายปีที่แล้ว และเป็นตู้เฟย ในเรื่องมนต์รักในสายฝน ทั้งยังเป็นหนึ่งในสมาชิกบอยแบนด์ที่ฮอตที่สุดในประเทศจีน “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ดังเทียบเท่ากับวง tfboys ในสมัยนี้เลย ไม่กี่ปีมานี้ เขาที่ไม่อยากอาศัยเพียง “หน้าตาและการแสดงหากินไปวันๆ” ก็ได้เป็นผู้กำกับของภาพยนตร์เรื่องเสียนอี๋เหรินฯ รายการฉีปาซัวสำหรับเขาที่มีตรรกะชัดเจนและรักการอภิปรายแล้ว เป็นรายการหมูๆเลย ได้ยินมาว่าแค่เริ่มก็ฮอทมาก ศุกร์-เสาร์นี้ รายการฉีปาซัว ทางช่อง iQiyi





https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/photos/a.341848812520285.75914.260376864000814/1369008043137685/?type=3&theater

44
VDO 【FULL】苏有朋:处女座特质大导演 导致节目录制中断《熟悉的味道2》EP.11 20170416 [浙江卫视官方HD]
https://www.youtube.com/watch?v=DZq7Ty77Ogg



ซูโหย่วเผิงถึงกับสั่งหยุดถ่ายทำเพื่อหารายละเอียดในที่สตูดิโอ

      เพราะรายละเอียดเล็กๆอันหนึ่งไม่ได้จัดเตรียมไว้ ทำให้ซูโหย่วเผิงผู้คลั่งไคล้ความเพอร์เฟคถึงกับระเบิดอารมณ์ ถึงขั้นเกือบต้องหยุดการถ่ายทำ

บันเทิงซินหล่างรายงาน ซูโหย่วเผิงในจินตการคือคนที่อ่อนโยนอบอุ่น ทว่าไม่กี่วันก่อน ในสตูดิโอถ่ายทำรายการ “รสชาติที่คุ้นเคย (熟悉的味道)” ทางช่องทีวีดาวเทียมเจ้อเจียง เขากลับระเบิดอารมณ์ออกมาขัดจากท่าทีปกติ เนื่องจากรายละเอียดเล็กๆอันหนึ่งไม่ได้จัดเตรียมไว้ ทำให้ซูโหย่วเผิงผู้คลั่งไคล้ความเพอร์เฟคถึงกับระเบิดอารมณ์ ถึงขั้นเกือบต้องหยุดการถ่ายทำ

ที่แท้ ซูโหย่วเผิงรับบทเป็นผู้รู้คุณในรายการ “รสชาติที่คุ้นเคย” สัปดาห์ที่ 11 โดยสร้างสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังบอกเพื่อนร่วมงานล่วงหน้าให้จัดสถานที่ให้เป็นเหมือนกองถ่ายภาพยนตร์ เพื่อให้ความรู้สึกที่เสมือนจริงที่สุด แต่เมื่อเขาพบว่าเพื่อนร่วมงานไม่สามารถทำได้ทัน ซูโหย่วเผิงที่กำลังพูดคุยถึงเรื่องน่าสนใจในภาพยนตร์เรื่อง เสียนอี๋เหรินฯ ก็รีบลุกไปถามเพื่อนร่วมงานว่า “ก่อนหน้านี้บอกว่าเสมือนจริงไม่ใช่หรือ?”

แม้ว่าพิธีกรรายการอย่าง หลีหย่ง ซุนเจียนจะช่วยเสนอแผนเพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้านี้อย่างไร แต่ซูโหย่วเผิงก็ยังคงมีท่าทีที่ผิดหวัง ถอนหายใจหลายครั้ง “ผมคิดมาตลอดว่าสามารถทำเสมือนจริงได้” บวกกับการบ่ายเบี่ยงของเพื่อนร่วมงานว่า “เวลากระชั้นเกินไป” ทั้งยังเสนอวิธี “วัวหายล้อมคอก”  ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ซูโหย่วเผิงผู้รักความเพอร์เฟคถึงกับนั่งไม่ติด “นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะล่าช้านะ” พูดจบ เห็นเพียงสีหน้าที่อึมครึมของเขา และหยิบโทรศัทพ์ออกไปข้างนอก

คิดไม่ถึงว่า “ไกวไกวหู่” ในปีนั้น ปัจจุบันจะขี้โมโหขนาดนี้?(555+)  ที่จริงแล้ว ซูโหย่วเผิงก็ยังคงเป็นเขาที่อ่อนน้อมถ่อมตนคนนั้น แต่ในด้านการทำงานแล้ว เขาไม่ให้ผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย เมื่อมาเป็นผู้กำกับ เขาที่รักความเป็นเลิศก็เกือบทำให้ตัวเองเป็นบ้าไปแล้ว เช่นนั้นแล้ว ในกองถ่ายทำรายการเทปนี้ จิตวิญญาณที่ใส่ใจทุกรายละเอียดของซูโหย่วเผิงนี้ ย่อมต้องถูกสิ่งที่ขัดต่อความเพอร์เฟคทำให้โมโหได้ ยังจะมีอะไรที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้นอีกนะ? อาทิตย์นี้ 22.00 นั่งอยู่หน้าทีวีรอดูรายการ “รสชาติที่คุ้นเคย2” ได้เลย














45

[2017.04.02] 专访|苏有朋:希望自己是一个会讲故事的导演
https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/1429365523768603

http://weibo.com/ttarticle/p/show?id=2309351002454092044569148230&u=5449571572&m=4092227620001694&cu=5449571572

บทสัมภาษณ์|ซูโหย่วเผิง:ผมหวังว่าเขาจะเป็นผู้กำกับที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่างๆได้เป็นอย่างดี

ในช่วงที่ “การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX (The Devotion Of Suspect X)”กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ งานแถลงข่าวเพื่อประชาสัมพันธ์เกือบทุกงานกลายเป็นสถานที่ให้นักแสดงหลักของเรื่องฟ้องเกี่ยวกับตัวผู้กำกับซูโหย่วเผิง จากการที่ผู้กำกับราศีกันต์คนนี้ค่อนข้างเข้มงวดต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งจางหลู่อี หวังข่าย และหลินซินหยูต่างแสดงออกมาในระดับที่ต่างกัน จางลู่อีบอกว่าจำนวน NG ของเขาในการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้นับเป็นสถิติใหม่ในชีวิตนักแสดงของเขา หลินซินหยูบอกว่าตั้งแต่แสดงบทบาทต่างๆ มาเธอไม่เคยทุ่มเทมากขนาดนี้  ในจอภาพยนตร์ใบหน้าของเธอแต่งออกมาแล้วดูไม่มีความสดใสเลยแม้แต่น้อย

โรดโชว์ภาพยนตร์เรื่อง “การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX (The Devotion Of Suspect X)” ที่เซินเจิ้น   ภาพนี้นำมาจาก@ เพจWeiboของ ” 电影嫌疑人X的献身”

เมื่อก่อน "เสือเชื่องๆ" ก็เคยเป็นเด็กเรียนมาก่อน ในปี1988 ซูโหย่วเผิงเรียนจบชั้นมัธยมต้น เขาสามารถสอบเข้าโรงเรียน Taipei Municipal Chien-Kuo Senior High School(โรงเรียนชายเจี้ยนจง)  ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับ 1 ของไต้หวันได้  โดยในครั้งนี้เขาสอบได้คะแนนเป็นอันดับ1 นอกจากนี้ในช่วงที่ "วงเสี่ยวหู่ตุ้ย" กำลังเป็นที่นิยม เขาต้องทำงานหลายๆอย่างทั้งการขึ้นคอนเสิร์ท, ถ่ายโฆษณา, ออกรายการทีวี, ให้สัมภาษณ์ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อยมากๆ  แต่ซูโหย่วเผิงก็ยังสามารถสอบเข้าภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน

แม้ว่าต่อมาซูโหย่วเผิงจะทนต่อแรงกดดันจากอาชีพนักแสดงไม่ไหวและรู้สึกไม่ชอบสาขาวิชาที่ตัวเองเรียนอยู่ทำให้เขาต้องดร็อปเรียนไปในที่สุด แต่ตรรกะของนักวิทยาศาสตร์ก็ยังเป็นความกล้าที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ในวันนี้ ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง “หูข้างซ้าย(The Left Ear)” จนถึง “การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX (The Devotion Of Suspect X)” เขาหวังว่าตัวเองจะเป็นผู้กำกับที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในความลึกลับของเนื้อเรื่องอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะได้สอดแทรกการฟาดฟันอารมณ์ของตัวละะคร และการทดสอบจิตใจของมนุษย์ไว้ภายในด้วยเช่นกัน สำหรับ "การเล่าเรื่อง" ต้องมีเงื่อนไขมากมายและเต็มไปด้วยบทสนทนาอย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้กำกับซูโหย่วเผิง

สำหรับซูโหย่วเผิงแล้ว ในตอนที่ทำภาพยนตร์เรื่อง “หูข้างซ้าย (The Left Ear)” เขายังเขินอายที่จะบอกว่าทำไมถึงผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับ ในตอนที่ถ่ายทำก็มีความกังวลใจปะปนอยู่ แต่สำหรับภาพยนตร์เรื่องที่สองนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองมีความกล้ามากขึ้น  ความกล้านี้ส่วนหนึ่งมาจากการเตรียมงานล่วงหน้ามาก่อนแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นที่มีข่าวออกมาว่าเขาต้องการนำนวนิยายขายดีของอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะ มาสร้างเป็นภาพยนตร์ ในโซเชียลก็เกิดกระแสต่อต้านขึ้นมา จนถึงตอนนี้ต้องจ่ายอะไรไปมากมายเพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะ “ถูกด่าว่าโง่” เขาระมัดระวังเป็นพิเศษในทุกขั้นตอนการทำถ่ายทำ

บทสนทนา

ภาพยนตร์ในเวอร์ชั่นจีนจะต้องไม่เหมือนกับเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเกาหลี

สำนักข่าวเผิงพ่าย:“การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX (The Devotion Of Suspect X)” เป็นนวนิยายที่ขายดีมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เมื่อก่อนมีการนำนวนิยายเรื่องนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์หลายครั้ง ผลงานเหล่านั้นเป็นอ้างอิงหรืออุปสรรคแก่ตัวคุณอย่างไรบ้าง?

ซูโหย่วเผิง:เกี่ยวกับต้นฉบับของภายนตร์เรื่องนี้ ผมอยากบอกว่า ถ้าหากไม่มีเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเวอร์ชั่นเกาหลี แล้วผมต้องหาวิธีการบอกเล่าเรื่องราวของนวนิยายเรื่องนี้  ถ้าอย่างนั้นมันก็ง่ายเลย ผมก็แค่ทำตามต้นฉบับเดิมของมัน แต่ว่าการถ่ายทอดที่ใกล้เคียงต้นฉบับที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกเวอร์ชั่นญี่ปุ่นนำไปใช้แล้ว ดังนั้นผมก็ต้องหามุมมองแบบใหม่มาถ่ายทอด  ตอนที่ได้รับอนุญาตจากอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะ  ท่านพูดว่าเวอร์ชั่นที่ดัดแปลงทีหลังห้ามเหมือนกับเวอร์ชั่นก่อนหน้า  นี่จึงเป็นเหมือนกับการบังคับให้เราต้องมองหามุมมองและวิธีการใหม่ๆมาบอกเล่าเรื่องราว

แน่นอนว่า สำหรับเรื่องราวความรักที่บีบคั้นอารมณ์แบบนี้ ผมต้องมีมุมมองและแนวคิดของตัวเองอยู่แล้ว ในตอนที่เริ่มต้นผมได้สอดแทรกทัศนคติของตัวเองลงไปในบทด้วย ถ้าผมวางแผนจะใช้มุมมองแบบไหนในการถ่ายทอดเรื่องราว ทีมงานก็จะยึดมุมมองเหล่านั้นเป็นเค้าโครงในการถ่ายทำ มันเป็นเหมือนโครงกระดูก เมื่อต่อโครงกระดูกเสร็จสิ้นเราก็จะเริ่มโปะเนื้อเข้าไปทีละฉากๆ และยังมีรายละเอียดอีกหลายอย่างที่เราต้องกลับมาตามเก็บทีหลัง  เพราะเราหวังว่าตามหลักการที่พวกเรายึดถือจะสามารถทำมันออกมาได้ดีที่สุดโดยไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ แน่นอนว่าเรารู้ดีว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แต่เราก็ยังหวังว่าจะมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด ในตอนที่เขียนบทภาพยนตร์ มีหลายคนมาช่วยเราติชมบทที่เราเขียนขึ้น ดูว่าจุดไหนยังไม่สมเหตุสมผล ตรงไหนยังไม่ดี หลายๆครั้งที่เรามาร่วมกันอ่านบท แล้วพวกเราก็แสดงความคิดเห็นต่างๆที่มีต่อบทภาพยนตร์ หลังจากนั้นก็ช่วยกันพิจารณาไปทีละฉาก

การร่วมงานกันของซูโหย่วเผิงและจางลู่อี

สำนักข่าวเผิงพ่าย:เราต้องถ่ายทำเรื่องราวสุดลึกลับ  แต่เพราะเป็นภาพยนตร์รีเมค ผู้ชมส่วนใหญ่ก็เลยรู้เค้าโครงเรื่องหลักๆดีอยู่แล้ว สำหรับผู้กำกับแล้ว  นี่เป็นเรื่องที่ชวนปวดหัวมากๆจริงมั๊ยค่ะ?

ซูโหย่วเผิง:ใช่ครับ การที่ผู้ชมรู้ตอนจบอยู่แล้ว มันก็เป็นเหมือนการทำข้อสอบ ฉากที่คุณรู้ตอนจบอยู่แล้ว เราต้องถ่ายทำออกมาให้สนุกเหมือนเดิม

ครั้งนี้ต้องใช้เวลาคิดค่อนข้างนาน สำหรับผมแล้ว จากที่เป็นแฟนหนังสือสู่การเป็นผู้กำกับ มันมีขั้นตอนของการสร้าง  ในตอนที่อ่านหนังสือ ผมแค่อยากเพลิดเพลินไปกับกลอุบายของนักเขียน และในตอนสุดท้ายมันก็ทำให้ผมรู้สึกประทับใจมากๆ แต่ว่าเมื่อผมกลายเป็นผู้กำกับ ผมต้องเข้าใจถึงกลอุบายทั้งหมด เรื่องราวเป็นอย่างไร ใช้วิธีการอย่างไรทำให้คุณสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ผมต้องวิเคราะห์วิธีการของคุณ  หลังจากที่เข้าใจวิธีการของคุณ ผมก็มองหามุมมองแบบใหม่มาใช้บอกเล่าเรื่องราว และในขณะเดียวกันมุมมองที่ว่านั่นก็ต้องมีความแตกต่างจากเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเกาหลี  สำหรับเวอร์ชั่นอื่นๆมีแนวโน้มหรือประเด็นที่จะมุ่งไปค่อนข้างชัดเจน ผู้กำกับมักจะมีมุมมองเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งต่อเนื้อเรื่องของภาพยนตร์  แต่สำหรับตัวผมแล้ว ผมจะพยายามนำเสนอมุมมองของตัวเองให้มีความซับซ้อน คลุมเครือ และทิ้งปมบางอย่างเพื่อให้ผู้ชมได้กลับไปขบคิด

สำนักข่าวเผิงพ่าย:ในการสอดแทรกความเป็นท้องถิ่นเข้าไป คุณต้องเจอกับบททดสอบอะไรมั๊ย?

ซูโหย่วเผิง:การสอดแทรกกลิ่นไอความเป็นท้องถิ่นเป็นประเด็นที่ถูกวิจารณ์อย่างไม่หยุดหย่อน ในภาพยนตร์ของเราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา  สาเหตุสำคัญคือกระแสจากในอินเตอร์เน็ตตั้งแต่แรกก็ด่าผมว่าโง่ ผมหวังว่าผมจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า จะสามารถทำภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาให้ดีได้ เพราทั้งสองคนต่างเป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้าของประเทศ ดังนั้นสำหรับสูตรคำนวณที่ปรากฏในภาพยนตร์ เราได้เชิญศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย Harbin institute of technology ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคนหนึ่ง มาเพื่อตั้งโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์จริงๆ ซึ่งรวมถึงโจทย์ที่ปรากฏอยู่ในกระดานดำในห้องทดลองวิชาฟิสิกส์ด้วยเช่นกัน ทุกฉากทุกตอนในภาพยนตร์เราไม่กล้าที่จะทำผิดพลาด นอกจากนี้เรายังได้เชิญตำรวจฝ่ายสืบสวนมาให้คำแนะการปฏิบัติตัวของตัวละครในฉากฆาตกรรม และเรายังใส่ใจถึงรายละเอียดท่าทางของนักแสดง รวมถึงวิธีการปฏิบัติที่สมจริงสมจัง

สูตรคำนวณเป็นความท้าทายที่สำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้

ยกตัวอย่างเช่นขั้วตั๋วภาพยนตร์ที่เป็นหลักฐานยืนยันที่อยู่  พวกเราถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในเดือนเมษายน ปี 2016 สำหรับประเทศจีนแล้วการนำขั้วตั๋วภาพยนตร์ดูจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด ดังนั้นเราเลยจัดทำแผ่นพับขึ้นมา ด้านหลังของแผ่นพับเป็นโฆษณาของภาพยนตร์เรื่องคือเรื่อง  “เมืองสัตว์ประหลาด”   ซึ่งกำลังฉายอยู่ในขณะนั้น

จักรยานในนวนิยายเป็นคันใหม่ ที่เจ้าของใช้ยืนยันที่อยู่ กลายเป็นหลักฐานยืนยันที่อยู่  แต่ว่าในประเทศจีน การซื้อจักรยานดีๆมา คงไม่มีใครจอดไว้ข้างทาง หรือถ้าเป็นจักรยานที่เสียแล้วจอดไว้ตามข้างถนน ถ้าเป็นแบบนั้นก็ขโมยจักรยานไปยืนยันที่อยู่ซะก็ได้  และแน่นอนว่าตำรวจต้องไม่ยอมรับมันแน่นอน นี่เป็นปัญหาที่เราจะต้องแก้ ต้องทำให้ผู้ชมรู้สึกจริงใจและเชื่อถือ  การชมภาพยนตร์ “ความเชื่อ” เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ

ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาแก้ไขปัญหา

สำนักข่าวเผิงพ่าย:ได้ยินว่าเพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้นิสัยบ้าเรียนวิชาวิทยาศาตร์ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตอนที่สมัยก่อนที่คุณยังเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ คุณมีท่าทีอย่างไรบ้าง

ซูโหย่วเผิง :แต่ไหนแต่ไรมาผลงานของอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะ ไม่ได้ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์กันได้ง่ายๆ ในขั้นตอนการสร้างภาพยนตร์ต้องใช้ตรรกะที่สมเหตุสมผล  ต้องการมุมมองที่แตกต่าง ในนวนิยายเมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้ คนก็เป็นแบบนี้ เรื่องต่างๆก็เป็นแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นคุณก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดทีละฉากๆสิ ให้ผู้ชมได้ฟังเข้าใจ ในเนื้อเรื่องแบ่งเป็นสองมุมมองที่ตรงข้ามกัน มีปมสองอย่าง อาจจะต้องใช้ตรรกะของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วย จึงจะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าตรรกะไม่ชัดเจนมากพอ มันก็จะเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ดังนั้นเราต้องคำนึงถึงทั้งสองอย่าง

ผมก็ถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคนหนึ่ง ความมีเหตุผลไม่เพียงพอในการแก้ปัญหานี้    เมื่อก่อนผมเป็นคนไม่ชอบท่องหนังสือ ก็เลยเลือกภาควิชาวิทยาศาสตร์

สำนักข่าวเผิงพ่าย:เมื่อเปรียบเทียบกับภาพยนเรื่อง “หูข้างซ้ายThe Left Ear”  ในครั้งนี้ทักษะการเป็นผู้กำกับของคุณมีการพัฒนาขึ้นบ้างมั๊ยค่ะ?

ซูโหย่วเผิง: แน่นนอนว่าต้องพัฒนาขึ้นอยู่แล้ว  ถ้าไม่พัฒนาขึ้นเราก็เอาชนะปัญหาไปได้ มันก็เหมือนการผ่าด้านต่างๆในเกมส์นั่นแหละ “หูข้างซ้าย The Left Ear” เป็นด่านที่หนึ่ง เมื่อผ่าด่านพื้นฐานมาได้แล้ว ครั้งนี่ก็ถึงด่านที่สอง ผมพบว่าในทุกๆด่านยากกว่าด่านที่หนึ่งมาก การเป็นผู้กำกับเป็นกิจกรรมทางเทคนิค ผมหวังว่าตัวเองจะเป็นผู้กำกับที่ทำงานดี  ภายในเทคโนโลยีแต่ละชนิด ผมหวังว่าตัวเองจะเล่าเรื่องราวออกมาได้ดี หลังจากรับหน้าที่เป็นผ็กำกับผมเปลี่ยนมุมมองการคิดของตัวเอง  ในตอนที่ผมคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชม ผมชอบดูอะไร แน่นอนว่าเรื่องราวสำคัญที่สุด ผมคิดว่าเรื่องราวและการแสดงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก  ภาพ ภาษาหรือสิ่งอื่นๆเราสามารถกลับมาแก้ไขที่หลังได้   นี่คือสุนทรียศาสตร์ของผม  ผมชอบละครที่มีพล็อตหน้าสนใจ

หวังข่าย

สำนักข่าวเผิงพ่าย:ช่วยประเมินนักแสดงแต่ละท่านหน่อยค่ะ  ครั้งนี้ทุกคนรู้สึกว่าคุณเลือกนักแสดงที่จะมารับบทต่างๆได้ค่อนข้างเหมาะสม

ซูโหย่วเผิง:ในการดัดแปลงบทภาพยนตร์ครั้งนี้  เราใส่ใจถึงรายละเอียดเกี่ยวกับประเทศจีน และหวังว่ามันจะเป็นเรื่องราวแนวอาชญากรรมที่เหมือนกับการประลองกันของอัจฉริยะสองคน ถ้าหากว่า “ความแปลก” คือจุดเด่นของสือหง ผมรู้สึกว่าคนที่จะมารับบทเป็นถังชวนต้องหล่อ   ซึ่งตัวหวังข่ายค่อนข้างหล่อ ดูเป็นผู้ชายสุขภาพดี ส่วนตัวสือหงต้องไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป มุมมองและตรรกะของเขาต้องไปเหมือนกับคนทั่วไป สำหรับนักแสดงที่ชอบแสดงอะไรที่มันต้องขบคิดแล้ว มันเป็นเรื่องที่สนุกมาก  จางลู่อีเป็นคนฉลาดมากๆ  เขาเกิดในราศีเมถุน  ใช่ครับ เขาเก่งมากๆ เขาชอบแสดงอะไรที่มันต้องมีการขบคิด ในตอนที่แสดงเขาไม่เพียงแค่ตั้งใจเท่านั้น แต่เขามีความสนใจต่อเนื้อเรื่องด้วย

สำนักข่าวเผิงพ่าย:สำหรับคุณหลินซินหยูล่ะ พวกคุณร่วมงานกันตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ จนถึงตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองและคุณหลินซินหยูมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างค่ะ?

ซูโหย่วเผิง: ผมว่าเราทุกคนยิ่งมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งรู้สึกสงบ ยิ่งมีอิสระและยิ่งซื่อสัตย์ต่อตัวเอง อ่อ, ผมนึกออกเรื่องหนึ่ง ต่อไปไม่ว่ายังไงก็ตามแต่ ผมจะไม่มีวันเป็นนักแสดงของเธอเด็ดขาด เธอเป็นโปรดิวเซอร์(ผู้จัด) ต่อไปในอนาคตผมจะไม่รับทำหนังของเธอเด็ดขาด ผมจะไม่มีวันยอมตกอยู่ในเงื้อมมือของเธอ จะไม่ยอมให้โอกาสเธอกลับมาเอาคืนผม

หลินซินหรู 

ฉายาในอดีตที่ผ่านมาเป็นก้อนภาระและเป็นเกียรติศักดิ์

สำนักข่าวเผิงพ่าย:คุณมีฉายามากมาย ทั้ง “เสือเชื่องๆ/เสี่ยวไกวหู่ / เสี่ยวไกว”, "องค์ชาย5” ซึ่งทั้งหมดนี่อาจจะเป็นที่จดจำในใจของสาธารณชนมากกว่าผลงานชิ้นเอกของดาราทั่วไปด้วยซ้ำ ในตอนนี้คุณคิดว่าฉายาเหล่านี้มีความหมายกับคุณอย่างไร?

ซูโหย่วเผิง:ทั้งหมดถือเป็นเกียรติกับตัวผมมาก แต่เกียรติศักดิ์เหล่านี้นำพามาซึ่งภาระความรับผิดชอบ และมันยังสร้างแรงกดดันให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก พูดโดยสรุปก็คือ เพราะเกียรติศักดิ์เหล่านี้ครอบงำความคิด, ภาพลักษณ์ที่เป็น “เสือเชื่องๆ/เสี่ยวไกวหู่ / เสี่ยวไกว”, ภาพลักษณ์ของ “องค์ชาย5”, เป็นตัวชักนำ ทำให้คุณเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองไม่ได้ จนถึงวันนี้ผมได้ก้าวผ่านสิ่งเหล่านั้นมาแล้ว ในตอนนี้ถ้าจะเรียกผมว่า ”เสือเชื่องๆ” ไม่มีคนคิดว่า ผมที่อายุขนาดนี้แล้วจะเป็น “เสือเชื่องๆ” แบบไหนกัน เขาไม่เป็นอุปสรรคสำหรับผมอีกต่อไป

สำนักข่าวเผิงพ่าย:ถึงตอนนี้คุณมั่นใจแล้วใจใช่มั๊ยว่าจะเดินในเส้นทางของผู้กำกับต่อไป?

ซูโหย่วเผิง: ผมก็ควรยอมรับในอาชีพผู้กำกับได้แล้ว เพราะผมไม่ชอบที่จะทำอะไรซ้ำๆ ผมไม่ชอบทำเรื่องที่เชี่ยวชาญแล้ว  นั่นเพราะผมกลัวว่าจะเบื่อ ดังนั้นก็ต้องมองหาสิ่งที่ไม่เคยทำ สิ่งที่เต็มไปด้วยความท้าทายใหม่ๆ การเป็นนักแสดงต้องทำอะไรซ้ำๆ บทรักก็แสดงมาเยอะแล้ว มันกลายเป็นความเชี่ยวชาญไปหมดแล้ว ผมก็เลยอยากจะทดลองอะไรใหม่ๆ บางครั้งมันอาจจะประสบความสำเร็จ บางครั้งอาจจะล้มเหลว ในตอนนี้อาชีพผู้กำกับยังมีความท้าทายใหม่ๆอยู่ ผมคงไม่เบื่อมันง่ายๆ อืม ค่อนข้างไม่น่าเบื่อ

1b9f687e62e52306e18938ffce100900.jpg" border="0
9b849886e2ecd32546d853bc7c7ae7b3.jpg" border="0
24cd3a5b2a7b12016e5df8f64d338a3a.jpg" border="0
95d39c4a71a15266ed66d7743542c308.jpg" border="0
1195e4cd33bb573a1c821014ab165fa3.jpg" border="0
41433dd1ad928477587bbc38de1ef7f8.jpg" border="0

46
[2017.03.31] 专访苏有朋:我与张鲁一是在“相亲”中互相选择
http://3g.163.com/touch/article.html?docid=CGRM2GKM000380D0&qd=pc_adaptation&refer=&s=163&w=1&f=wb#sns_weibo

บทสัมภาษณ์พิเศษ:ผมกับจางหลู่อีเหมือนกำลังอยู่ในนัดบอดและเราต่างเลือกซึ่งกันและกัน

ในวันที่ 31 มีนาคมว่า ภาพยนต์ “การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัย X” (The Devotion of Suspect X) เป็นภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายซึ่งใช้ชื่อเดียวกันของนักเขียนชาวญี่ปุ่น ชื่อ   ฮิงาชิโนะ เคโงะ โดยซูโหย่วเผิงรับหน้าที่เป็นผู้กำกับมีหวังข่าย,จางหลู่อีและหลินซินหยูร่วมแสดงนำ  เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองต่อจากเรื่อง The Left Ear  ที่ซูโหย่วเผิงรับหน้าที่กำกับ   แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นครั้งแรกที่เขากำกับภาพยนตร์สืบสวนสอบสวน   ซึ่งเขาไม่ได้มีการกำหนดตั้งแต่ต้นว่าผลงานชิ้นที่สองนี้จะเจาะลงทำแนวไหนเป็นพิเศษ เขาและทีมงานแค่พูดถึงผลงานเรื่องนี้ ความซับซ้อนมันดึดดูดเขา นอกจากนี้มันยังเต็มไปด้วยความท้าทาย   สุดท้ายเขาจึงเลือกมัน

ซูโหย่วเผิงก็เป็นแฟนหนังสือของนวนิยายเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเข้าใจถึงความกังวลของแฟนๆ ว่าการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์จะไม่สามารถสื่อถึงแก่นแท้ของนวนิยายเรื่องนี้ได้ สำหรับความต้องการของแฟนหนังสืออาจทำให้ซูโหย่วเผิงรู้สึกถึงความกดดัน แต่ความกดดันก็สามารถเปลี่ยนพลังได้ เขาทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อทำมัน  สุดท้ายผลจะออกมายังไงอย่างน้อยเขาก็ทำดีที่สุดแล้ว  เขาก็ยอมรับผลที่ตามมา ในตอนนี้สามารถทำได้ถึงขนาดนี้เขาไม่เสียใจทีหลังแน่นอน  เมื่อก่อนผลงานชิ้นนี้เคยถูกถ่ายทำเป็นภาพยนตร์เวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเวอร์ชั่นเกาหลี  ตอนที่กำลังซูโหย่วเผิงถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้เขาพยายามหามุมมองการกำกับที่แตกต่างไปจากเดิม  นำเสนอคุณค่าของมัน และแสดงมุมมองการกำกับแบบจีน

ซูโหย่วเผิงในตอนที่วางบทตัวละคร เขาก็ใช้ความพยายามมากเช่นกัน  ซูโหย่วเผิงแสดงหน้าที่ในฐานะผู้กำกับ  เขาต้องไปอธิบายถึงแผนการสร้างหนังเรื่องนี้  ต้องใช้ความจริงใจความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และวิธีการต่างๆเพื่อดึงดูดนักแสดงที่มีฝีมือเป็นเลิศ  เนื่องจากในเวลานั้น "หวังข่าย" กำลังติดถ่ายละครอีกเรื่อง ทำให้เขาพลาดไปครั้งหนึ่ง  แต่เพราะทีมงานมีการติอต่อที่ดีและ "หวังข่าย" เองก็ชอบบทนี้  สำหรับบทบาทของ "ชือหง" นั้น เขาเป็นตัวละครที่หมดไฟ เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ผิดหวังผิดและมืดมน มีความแปลก  แต่ในขณะเดียวกันก็ดูฉลาด   ลักษณะนิสัยที่มีความขัดแย้งพวกนี้ต้องแสดงออกมาภายในคนๆเดียว  ในระหว่างการสัมภาษณ์ ซูโหย่วเผิงเล่าว่าตอนที่เชิญคุณ "จางหลู่อี" มารับบท "ชือหง"   ก็คือเรานัดกับอาจารย์จางหลู่อีที่บริษัทหนึ่งครั้ง  แต่นี่ไม่ใช่ทีมงานเลือกนักแสดง  จริงๆแล้วนักแสดงมืออาชีพก็เลือกทีมงานด้วยเช่นกัน   ดังนั้นการพบหน้ากันครั้งนั้นเหมือนเราต่างฝ่ายต่างเลือกซึ่งกันและกัน    มันเหมือนกับการนัดบอร์ดที่นั่งสบตากันเพื่อเลือกคู่ ตอนที่ซูโหย่วเผิงได้พบกับคุณจากหลู่อี ก็รู้สึกได้ว่าเขาเหมาะสมกับบทบาทนี้มากๆ  ซึ่งต่อมาก็ได้ร่วมงานกัน  ผมมีความสุขมากๆ  สำหรับบทของเฉินจิ้ง ซูโหย่วเผิงรู้สึกว่าซินหยูเหมาะสมกับบาทนี้มาก  เธอไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกว่าอยากจะรีบไปชมการแสดงเธอทันที เธอเหมือนมีความเป็นผู้หญิงอย่างชัดเจนแต่ภายในใจของเธอมีความแข็งแกร่ง

ในชีวิตของซูโหย่วเผิงที่ทำตามใจตัวเองมาตลอด ตอนที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้เขาเปลี่ยนตัวเอง พยายามใส่ใจทุกรายละเอียดทุกอย่าง ในแง่หนึ่งคือความคาดหวังที่ค่อนข้างจิงจังของชาวโซเชียล   อีกด้านหนึ่งคือหวังว่าสามารถถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ได้ เพื่อตอบสนอง  ความต้องการของผู้ชมทั้งที่เคยอ่านนวนิยายและไม่เคยอ่านนวนิยาย   หวังว่าพวกเขาจะได้รับความสุขจากการชม หวังว่ามันจะมีคุณค่ามากพอ ในเรื่องของรายละเอียด ในตอนให้สัมภาษณ์ซูโหย่วเผิงพูดถึงสองรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจและเขาคาดหวังว่าจะได้รับความสนใจของผู้ชมจากหนังเรื่องนี้

540085_1126862270757949_7828168925108970653_n.jpg" border="0
17499288_1126862174091292_7212554578294658653_n.jpg" border="0
17522760_1126862440757932_7828165149966414193_n.jpg" border="0

47

http://ent.sina.com.cn/m/c/2017-03-31/doc-ifycwymx3006900.shtml

[2017.03.31] 苏有朋:没有人再叫我"小乖"了 过了被束缚的年纪
https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/1426443280727494

ซูโหย่วเผิง:ไม่มีคนเรียกผมว่า “เสี่ยวไกว(เทวดาน้อย/เด็กดีเชื่อฟัง)” อีกแล้ว ผมผ่านวัยที่จะถูกสิ่งเหล่านั้นผูกมัดไปแล้ว
ตอนนี่เขาไม่ถือสาที่สาธารณะชนเรียกเขาว่า “เสือเชื่องๆ” และ ”องค์ชายห้า” ในใจของเขาได้ผ่านวัยที่ถูกรัศมีเหล่านั้นผูกมัดผ่านพ้นไปแล้ว
ซูโหย่วเผิง ซูโหย่วเผิง

ในตอนนี้ภาพยนตร์เรื่อง 《การปรากฎตัวของผู้ต้องสงสัยX The Devotion Of Suspect X》ผลงานชิ้นที่สองของผู้กำกับซูโหย่วเผิง กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ การสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้บางคนก็บอกว่าเป็นการเลือกที่ฉลาด  เนื่องจากอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะซึ่งเป็นผู้ประพันธ์มีแฟนหนังสือมากมาย พวกเขาจะกลายเป็นผู้ชมของภาพยนตร์อย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ยังมีญี่ปุ่นและเกาหลีต่างก็เคยทำนวนิยายเรื่องนี้มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาแล้ว ดังนั้นผู้ชมจึงคุ้นเคยกับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างดี แน่นว่ามีบางคนคิดว่า มันเป็นเพราะนวนิยายและ ภาพยนตร์ในเวอร์ชั่นก่อนต่างได้รับความชื่นชมมากมาย ซูโหย่วเผิงจึงอยากที่จะท้าทายต่อข้อจำกัดเหล่านี้

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ ผลงานที่ซูโหย่วเผิงกำกับก็ได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจน นอกจากฉายา ”เสือเชื่องๆ” และ  “องค์ชายห้า” แล้ว เขายังสามารถแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาและความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่อย่างไรก็ดีการผันตัวมาเป็นผู้กำกับในครั้งนี้ที่จริงแล้วเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงภายนอก ประสบการณ์ที่เขาเก็บสะสมมาตลอดหลายปียังคงอยู่ภายในใจของเขา ก็เหมือนกับคำพูดที่เขาได้กล่าวเอาไว้ ตอนที่เขาไม่ถือสาที่สาธารณะชนเรียกเขาว่า “เสือเชื่องๆ”และ”องค์ชายห้า” ในใจของเขาได้ผ่านวัยที่ถูกรัศมีเหล่านั้นผูกมัดไปแล้ว

“ถ้าตัวคุณไม่ชอบนวนิยายเรื่องนี้ คุณก็คงไม่อดทนต่อความยากลำบากที่จะถ่ายทำภาพยนตร์ต่อไป”

นักข่าว:เดิมที่ต้นฉบับนวนิยายเรื่อง 《การปรากฎตัวของผู้ต้องสงสัยX The Devotion of Suspect X 》ของอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะก็มีชื่อเสียงมากมายอยู่แล้ว และยังมีภาพยนตร์ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเกาหลีอีก ทำไมคุณยังเลือกผลงานเรื่องนี้มารีเมคอีกครั้ง

ซูโหย่วเผิง:ผมคิดว่าตัวผมไม่ใช่องค์กรสร้างหนังเพื่อการเชิงพาณิชย์ ผู้กำกับโดยทั่วไปอาจจะมีรูปแบบในการสร้างหนังเพียงหนึ่งอย่าง ในขณะเดียวกันทีมงานของเขาอาจจะผ่านการศึกษาหรือป่มเพาะมาเพื่อทำงานในด้านนี้ แต่ผมไม่ใช่ แรกเริ่มผมไม่ได้มีความคิดที่จะเป็นผู้กำกับ ทั้งหมดนี้มันไม่ได้อยู่ในแผนการชีวิตของผม

เมื่อง 2 ปีก่อนตอนที่เราถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "หูข้างซ้าย "The Left Ear"" ผมนำเทคนิคเกี่ยวกับวรรณกรรมและศิลปะมาใช้ในการถ่ายทำมากพอสมควร ในตอนนั้นทุกคนตีความหมายของภาพยนตร์แนววัยรุ่นไว้ค่อนข้างแคบ ดังนั้นจึงเกิดการถกเถียงกันเกี่ยวกับผลงานเรื่องนี้ ซึ่งมันเป็นบทเรียนราคาแพงมากสำหรับผม คนแต่ละคนมาดูหนังด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน บางคนมาเพื่อพิจารณา บางคนมาเพื่อเสพความบรรเทิง ดังนั้นผมที่เป็นผู้กำกับต้องหาความสมดุลจากความต้องการของตลาดและสิ่งที่ตัวผมต้องการถ่ายทอด ผมเชื่อว่าผู้กำกับหลายท่านต่างก็พยายามมองหาจุดสมดุลที่ว่านี้

หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์ ”หูข้างซ้าย” "The Left Ear" ผลงานชิ้นถัดมาผมไม่ได้มีการวางแผนอะไรไว้เป็นพิเศษ แรกเริ่มมีคนสนับสนุน IP ขนาดใหญ่ให้กับผม แต่ผมคิดว่าเวลาแค่ 2 ชั่วโมงของภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง ผมตัดแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งมาก็คงไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ  และเรื่องงที่ถ่ายทอดคงไม่มีคุณค่ามากพอ ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องหนึ่งถ้าหากการถ่ายทอดไม่มีคุณค่ามากพอก็เสี่ยงเกินไป มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้ยินว่าผลงานนวนิยายเรื่องนี้ของอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะสามารถนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ได้  ที่จริงแล้วมีคนมากมายให้ความสนใจอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะ รวมถึงตัวผมเองก็เป็นแฟนหนังสือของท่านเช่นกัน แต่ลิขสิทธิ์ผลงานของอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะค่อนข้างซับซ้อน เมื่อก่อนไม่มีใครสามารถแตะต้องผลงานของท่านได้  ในตอนนั้นมีคนบอกผมว่าเรื่องนี้สามารถสร้างเป็นภาพยนตร์ได้ นั่นทำให้ผมมีความสนใจเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าสำหรับคนที่เป็นผู้กำกับแล้ว ถ้าหากคนที่เป็นผู้กำกับไม่ได้มีความชอบเรื่องนั้นจริงๆแล้ว มันก็จะทำให้คุณไม่อยากที่จะอดทนต่อความยากลำบากในการถ่ายทำต่อไป

นักข่าว:สิ่งที่ทำให้คุณประทับใจนวนิยายเรื่องนี้ที่สุดคืออะไร?

ซูโหย่วเผิง:ความซับซ้อนของมัน มันไม่สามารถพูดออกมาได้เพียงจุดเดียว ไม่ว่าคุณจะไปดูหนังเพื่อเสพความบรรเทิง หรือเพื่อให้ได้แง่คิดใหม่ๆ ผู้ชมสามารถหาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้จากภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน ความสำเร็จของการดัดแปลงบทภาพยนตร์คือการที่ผู้ชมรู้สึกว่าคุณไม่ได้มีการดัดแปลงมัน

นักข่าว:ความยากของการดัดแปลงบทภายตร์คืออะไรค่ะ?

ซูโหย่วเผิง:ตอนที่ตัดสินใจทำภาพยนตร์เรื่องนี้ นักลงทุนต่างมีข้อสงสัยต่อการตัดสินใจของผม  ในเวลานั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากมาย จนกระทั่งเรื่องนี้ได้แพร่ออกไป ถึงได้พบว่าในประเทศจีนมีแฟนหนังสือของอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะมากมาย ในโซเชียลต่างมีแกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมถึงได้เข้าใจว่าที่จริงแล้วเรื่องนี้ได้รับความสนใจมากกว่าที่ผมคิด ผมต้องจัดการกับเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ

ความยากที่สุดคือกลิ่นไอของท้องถิ่นที่สอดแทรกอยู่   เนื้อเรื่องในต้นฉบับเกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มีบางสิ่งบางอย่างที่ถ้าหากไม่จัดการให้ดี อาจทำให้ผู้ชมรู้สึกต่อต้าน ดังนั้นต้องทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีการแก้ไขดัดแปลงใดๆทั้งสิ้น แบบนี้ถึงจะเรียกได้ว่าการดัดแปลงบทภาพยนตร์ของคุณประสบความสำเร็จ แต่ทำให้ผู้ชมรู้สึกติดขัด แก้ไขในบ้างในบางจุด ทำแบบนั้นการแก้ไขบทก็จะมีเกิดปัญหาตามามา

นอกจากนี้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือการถ่ายทอดเรื่องราว มันไม่ใช่คำพูดทั่วไปหรือบทละคร มันคือส่วนสำคัญต่อการกำหนดตรรกะความสามารถและอารมณ์ของผู้กำกับ ดังนั้นการถ่ายทอดเรื่องราวให้กับผู้ชมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

นักข่าว:ในช่วงหลายปีมานี้ภาพยนตร์ที่สอดแทรกกลิ่นไอความเป็นท้องถิ่นเอาไว้ ในตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นหัวข้อที่ผู้สร้างหนังของทั้งฮ่องกงและไต้หวันต่างก็พยายามศึกษา คุณเป็นผู้กำกับชาวไต้หวันคนหนึ่ง การนำผลงานที่สอดแทรกกลิ่นไอความเป็นท้องถิ่นเอาไว้เข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่ คุณจะทำได้อย่างไร?

ซูโหย่วเผิง:ผมใช้ชีวิตอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่มานานแล้ว นอกจากนี้ผมยังมีทีมงานผู้สร้างของตัวเองให้ความร่วมมือด้วย แต่อย่างไรก็ดีชาวเน็ตต่างก็ชอบที่จะวิพากษ์วิจารณ์ พวกเราก็ต้องเสียดทานให้มากกว่าชาวเน็ต เราต้องมีเป้าหมายของตัวเอง ในทีมงานของผมมีคนไต้หวัน เช่น การดัดแปลงบทมี 6 คน มี 1 คนเป็นคนไต้หวัน  บทภาพยนตร์ของจีนแผ่นดินใหญ่สามารถให้ภูมิปัญญาและประสบการณ์แก่ภาพยนตร์ที่สอดแทรกกลิ่นไอความเป็นท้องถิ่นของเราได้ เพียงเพื่อให้ได้คำเสียดทางภาษาใต้หวัน พวกเราต้องอดหลับอดนอนมาหลายคืน

นักข่าว:ในขั้นการดัดแปลงแก้ไขบทคุณได้มีการปรึกษาอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะมั๊ย?

ซูโหย่วเผิง:ปรึกษาบ้างครับ ท่านเป็นนักเขียนที่โลกส่วนตัวสูงมาก ดังนั้นช่องทางการติดต่อค่อนข้างยาก แต่ท่านก็มีเงื่อนไขว่าในตอนที่เราแก้ไขเรียบร้อยแล้วต้องนำบทละครไปให้ท่านดูก่อน ซึ่งในตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว เงื่อนไขของท่านไม่ใช่ต้องการแทรกแซงการทำงานของพวกเรา เพียงแต่ต้องการเตือนพวกเราอย่างหวังดีว่าไม่ควรละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะสิทธิของท่านคือเนื้อหาในนวนิยาย เวอร์ชั่นญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนแปลงของเขา รวมถึงเวอร์ชั่นเกาหลีเองก็มีการเปลี่ยนแปลงของตัวเองเช่นกัน  ถ้าเรามีส่วนที่ซ้ำกับพวกเขา อาจารย์ก็จะเตือนพวกเรา แต่ท่านก็เคารพการสร้างสรรค์ของพวกเรา ซึ่งในครั้งนี้เป็นการสร้างสรรค์ของพวกเราคนจีนทั้งหมด และอาจารย์เองก็รู้สึกว่าบทภาพยนตร์ที่เราแก้ไขทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก และหวังว่าจะได้เห็นภาพยนตร์ที่เสร็จสมบูรณ์โดยเร็ว

“ถ้าคุณไม่เคารพตลาดนี้ ผู้ชมก็จะต่อต้านคุณ”

นักข่าว:เคยมีผู้กำกับท่านหนึ่งบอกกับฉันว่า ความยากของภาพยนตร์แนวลึกลับคือความซับซ้อนของตรรกะและเงื่อนงำ เช่นถ้าในตอนต้นเรื่องนำเสนอเงื่อนงำมากเกินไป สุดท้ายก็ไม่สร้างความประหลาดใจอะไรให้แก่ผู้ชม หรือถ้าทิ้งเงื่อนงำไว้น้อยเกินไป คนดูก็จะไม่เข้าใจ มันเป็นแบบนี้ใช่มั๊ยค่ะ?

ซูโหย่วเผิง:ที่จริงแล้วการเปลี่ยนบทบาทจากผู้อ่านมาเป็นผู้กำกับนับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี  การเป็นผู้อ่าน คุณไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ว่านักเขียนใช้เทคนิคอะไรที่ทำให้ในตอนท้ายของเรื่องตรึงใจนักอ่านอย่างเราได้ แค่เพลิดเพลินไปกับการอ่านก็พอ แต่ว่าผมในตอนนี้กลายเป็นผู้กำกับคนหนึ่ง จำเป็นต้องเข้าใจถึงโครงสร้างต่างๆของเรื่องราว ต้องวิเคราะห์เทคนิคในการถ่ายทอดเนื้อเรื่องออกมาว่าที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น คุณใช้วิธีการอะไรมาทำเรื่องนี้ ตอนแรกคุณอธิบายถึงอะไรและตอนท้ายพูดถึงอะไร และต้องกำหนดความรู้สึกของผู้ชมว่าจะอยู่ในจุดไหน

ประเด็นสำคัญของเรื่อง《การปรากฎตัวของผู้ต้องสงสัย X》(The Devotion of Suspect X) คือเรื่อง “ปรัชญา” เฉินในนวนิยาย(สือหงในภาพยนตร์) คนนี้เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่แสนจะบริสุทธิ์ของตัวเอง เขายอมใช้วิธีการผิดๆ นี่คือต้นเหตุของเรื่องนี้ ในฐานะผู้กำกับ ตอนที่ดัดแปลงบทภาพยนตร์ ใจความสำคัญของเรื่องคือสิ่งที่ห้ามแตะต้อง การถ่ายทอดเรื่องราวของคุณจะแสดงถึงมุมมองที่คุณใช้ตัดสินเรื่องนี้ แต่มุมมองที่ใช้ตัดสินต้องไม่เด่นชัดจนเกินไป มิฉะนั้นมันจะส่งผลกระทบต่ออรรถรสในการับชมของผู้ชม ดังนั้นผู้กำกับมุมการตัดสินของผู้กำกับต้องแอบๆสอดแทรกอยู่ภายใน ผมหวังจะนำเสนอมุมมองที่ค่อนข้างครอบคลุม ให้ผู้ชมเป็นผู้ตัดสินด้วยตัวเอง นี่คือจุดที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นก่อนๆ

นักข่าว:ในช่วงหลายปีมานี่ตลาดภาพยนตร์ของจีนแผ่นดินใหญ่เติบโตเร็วมาก ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวฮ่องกงและไต้หวันนับวันยิ่งต้องการเข้าตลาดแห่งนี้มากขึ้น แต่เพราะต้องเผชิญกับอุปสรรคจากความแตกต่างด้านวัฒนธรรม ในเรื่องนี้คุณจะได้รับผลกระทบด้วยมั๊ยค่ะ?

ซูโหย่วเผิง:ในตอนนี้ทุกคนต่างเห็นว่าตลาดของจีนแผ่นดินใหญ่มีการเติบโตอย่างมั่นคง ผมคิดว่าการจะสร้างภาพยนตร์เรื่องหนึ่งถ้าคุณยังมีความกลัวอยู่ คุณก็ไม่สามารถคิดถึงเรื่องที่จะสร้างเงินได้ นอกจากนี้ผมคิดว่าถ้าคุณต้องการที่จะเติบโตในตลาดนี้ คุณต้องเคารพมัน  ต้องใช้เวลาเพื่อเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของมัน ต้องมีความใกล้ชิดกับผู้ชม คุณถึงสามารถทำมันออกมาได้สอดคล้องกับท้องถิ่นนั้นๆได้ ถ้าคุณหลงระเริงไปกับการถ่ายทอดทัศนคติของตัวเองให้กับที่นี่ ผู้ชมต้องต่อต้านมัน ยกตัวอย่างคุณหลี่อันประสบความสำเร็จในอเมริกาเพราะเขาเข้าใจวัฒนธรรมของอเมริกา

ผมผ่านวัยที่จะถูกสิ่งเหล่านั้นผูกมัดไปแล้ว

นักข่าว:คุณประเมินตัวเองอย่างไร จากการเป็นนักร้องสู่การเป็นนักแสดง และสุดท้ายก็ผันตัวมาเป็นกำกับ?

ซูโหย่วเผิง:ไม่ได้ตัดสินจากมุมมองของตัวเองทั้งหมด แต่จะพูดว่าตัวตนที่ผมชื่นชอบที่สุดตอนนี้คือการเป็นผู้กำกับ ตอนนี้ผมไม่ได้มีความต้องการมากมายที่จะเป็นนักแสดง เพราะลักษณะนิสัยของผมไม่ค่อยเหมาะกับการแข่งขันกับทุกคนผ่านจอเงิน ในหลายๆปีมานี้มีกลยุทธิ์การโฆษณาเกิดขึ้นมากมาย แต่ผมเองก็ไม่เคยใช่มันมาก่อน ผมคิดว่าการเป็นผู้กำกับนั่งอยู่หลังจอมอร์นิเตอร์เหมาะกับลักษณะนิสัยของผมมากกว่า

นักข่าว:คุณถือสาต่ออคติที่ทุกคนมองคุณมั๊ย? เช่นพูดว่า “ซูโหย่วเผิงก็นึกถึงฉายา “เสือเชื่องๆ” หรือ “องค์ชายห้า”

ซูโหย่วเผิง:เมื่อก่อนผมเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว ชีวิตของผมก้าวผ่านหลายๆช่วงมาแล้ว ทั้งร้องเพลง ถ่ายละคร ภาพยนตร์ เล่นละคร และในตอนนี้ก็เป็นผู้กำกับ ในทุกๆช่วงของชีวิตผมมีผลงานชิ้นเอกของตัวเอง ในขณะนั้นผมมีความสุขมากเพราะถูกทุกคนให้ความสนใจ แต่ทุกครั้งเมื่อกระแสลดลง ระดับของชื่อเสียงก็กลายเป็นเหมือนหมวกที่ถูกสวมอยู่บนหัว ยากที่จะถอดออก ความมุ่งมั่นของคุณทุกคนต่างมองไม่เห็น  ผมรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมมากๆ

เมื่อก่อนเคยมีคนถามว่า:”ซูโหย่วเผิงทำไมคุณถึงไม่ชอบพูดถึงเสี่ยวหู่ตุ้ย?” เพราะสำหรับผมในตอนที่อายุ 15 เสี่ยวหู้ตุ้ยเปิดตัวครั้งแรกผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว วงการเพลงผ่านมาหลายรุ่นแล้ว ผมควรหาวิธีการที่จะขุดเอาความสามารถอื่นๆของตัวเองเองออกมาแสดงให้ทุกคนเห็นดีกว่า ผมจึงจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ เช่นทำอัลบั้มหรือผลงานชิ้นใหม่ออกมา สิ่งที่ทุกคนถามตลอดมักจะเป็นความสำเร็จอดีต มันทำให้ผมรู้สึกว่าทำไมคุณมองไม่เห็นความพยายามของผมในตอนนี้?

แต่ตอนนี้ผมไม่ต่อสู้กับมุมมองเหล่านี้อีกแล้ว การที่เขาถามคุณแบบนี้ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ชอบคุณ แต่เขาอาจจะชอบคุณในแบบที่อยู่ในใจเขา หลายๆเรื่องเวลาจะให้คำตอบกับคุณ เหมือนกับในตอนอายุ 15 เป็นไกวไกวหู่ เพิ่งจะผันตัวเองมาเป็นนักแสดง ผมบอกคุณว่า “อย่ารู้สึกว่าผมเป็นนักร้องไอดอล ตอนนี้ผมเป็นนักแสดง ผมจริงจัง” ต่อให้คุณพูดไปมากมายแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ คุณต้องใช้ผลงานและเวลาเพื่อพิสูจน์มัน ผมในวัยนี้รู้สึกว่าหมวกในอดีตไม่สามารถตีกรอบผมได้อีกแล้ว ไม่มีคนเรียกผมว่า “เสี่ยวไกว (เทวดาน้อย)” อีกแล้ว ผมผ่านวัยที่จะถูกสิ่งเหล่านั้นผูกมัดไปแล้ว

48
ซูโหย่วเผิง: เหนื่อยแต่ก็มีความสุข    “เมื่อเราซื่อสัตย์ต่อตนเอง ภาพยนตร์ก็จะออกมาในแบบที่คุณเป็น”
(ฉินหว่าน :สัมภาษณ์)

หลังจากผลงานภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear”ได้เสร็จสิ้นไปซูโหย่วเผิงกับบริษัท Beijing Enlight Media Co., Ltd. ก็มีสัญญากำกับภาพยนตร์กันอีก 1 เรื่อง ด้วยปัจจัยหลายๆด้านทำให้เขาเลือกสร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์เรื่อง “The Devotion of Suspect X” ที่ทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับผลงานภาพยนตร์จากงานประพันธ์ของคุณฮิงาชิโนะเคโงะเวอร์ชั่นประเทศจีนคนแรกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ทว่า  ใครๆต่างก็รู้   ว่าชื่อเสียงของคุณฮิงาชิโนะเคโงะเนี่ย โด่งดังมากแค่ไหน แถมยังมีภาพยนตร์ที่ถูกสร้างเป็นเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเวอร์ชั่นเกาหลีมาก่อนแล้วด้วย ซึ่งสำหรับผู้กำกับหน้าใหม่อย่างซูโหย่วเผิงแล้วนี่นับได้ว่าเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มากๆเลยทีเดียว ซึ่งเขาพูดด้วยรอยยิ้มที่ฝืนๆว่า  “ผมรู้ว่าพวกเขาจะต้องเตรียม “ลับมีด” ไว้รอจับผิดผมอยู่แน่ๆ” 

เพื่อเผชิญหน้ากับ “การจ้องจับผิด” ที่กำลังมาถึง พลังแห่งกลุ่มดาวหญิงสาว (ราศีกันย์) ของเขาก็ปะทุออกมา เขาต้องการให้จางหลู่ยีเพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้นตามระยะเวลาที่เขากำหนด และต้องการให้หวังข่ายที่แม้แต่ช่วงซักซ้อมการแสดงถึงจะเป็นแค่การขยับลูกกะตาเพียงเล็กน้อย ก็ห้ามโดยเด็ดขาด หรือแม้แต่เพื่อนที่สนิทสนมกันมานานหลายปีที่ขนาดพึ่งตั้งครรภ์ไปแต่ก็ยังมาช่วยแสดงให้อย่างหลินซินหยู  ก็ยังถูกเขาสั่งให้เอาใหม่ซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่นแหละซึ่งในระหว่างการถ่ายทำ เขาได้วัดพละกำลังกันกับเพื่อนร่วมงานของเขา ถ้าหากยังทำได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องการล่ะก็  ก็ไม่ต้องหยุดพักกันล่ะ!ซึ่งในที่สุด“The Devotion of Suspect X”เวอร์ชั่นนี้ ก็เป็นที่ยอมรับของคุณฮิงาชิโนะเคโงะ จนได้

เมื่อย้อนกลับไปมองประสบการณ์การเข้าสู่วงการของซูโหย่วเผิงก็นับว่าเป็นแบบอย่างของศิลปินหน้าใหม่ในตอนนี้จริงๆ เขาเคยถอดภาพลักษณ์ของหนุ่มโอปป้าออก แล้วลองพลิกบทบาทการแสดงครั้งยิ่งใหญ่จนสามารถคว้ารางวัลช่อดอกไม้(Hundred Flowers Awards)ไปได้ กับบทบาท “ไป๋เสี่ยวเหนียน” จากภาพยนตร์เรื่อง  “The Message”ที่ทำให้ฝีมือการแสดงของเขาได้รับการการันตีและจากกระแสในตอนนี้ เขายังกลายเป็น “ผู้กำกับการแสดง” ในเครือคนแรกที่บริษัทกวงเสี้ยน(EnlightPictures)เป็นผู้ปลุกปั้นออกมา นับเป็นช่องทางเกิดที่ไม่เหมือนกับผู้กำกับหน้าใหม่กลุ่มอื่นๆเลยจริงๆส่วนเรื่องของระดับความทุ่มเทที่มีให้กับผลงานของเขานั้นเรียกได้เลยว่า “ไร้เทียมทาน”

นี่เป็นครั้งที่สองกับการมาเยือนรายการเฟยฉางเต้า (ent.ifeng.com/fcd) ของซูโหย่วเผิงและถือเป็นการประกาศผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขาไปด้วยในตัว กับเส้นทางการเป็นผู้กำกับ เขาได้เปลี่ยนวิถี “ค่อยเป็นค่อยไป” มาเป็นมีความมั่นใจในการเป็นผู้กำกับมากยิ่งขึ้น ถึงแม้เส้นทางการเดินสู่การเป็นผู้กำกับนั้นจะเป็นอะไรที่น่าปวดหัว แต่เขาก็รู้สึกว่า ถึงแม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุข

ดังนั้น หลังจากผลงานภาพยนตร์“The Devotion of Suspect X” เสร็จสิ้นลง เขาก็มีแนวโน้มที่จะเดินหน้าบนเส้นทางของการเป็นผู้กำกับต่อไป

49

บทสัมภาษณ์พิเศษ 《The Devotion Of Suspect X》ซูโหย่วเผิง :ในทุกๆวันผู้กำกับต้องทำการตัดสินใจ 200 เรื่องขึ้นไป

ปี 2015 ผลงาน《จั่วเอ่อร์ The Left Ear》ของผู้กำกับซูโหย่เผิงได้เข้าฉายที่โรงภาพยนตร์นี่คือผลงานชิ้นแรกหลังจากที่เขาได้ผันตัวจากนักแสดงมาเป็นผู้กำกับ ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ซูโหย่วเผิงได้ใช้ความสามารถของผู้กำกับในการเข้าร่วมกลุ่มอีกครั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับ《จั่วเอ่อร์ The Left Ear》แล้วโปรเจคครั้งนี้ที่ซูโหย่วเผิงรับมา《The Devotion Of Suspect X》ค่อนข้างยากลำบาก แต่ว่าซูโหย่วเผิงได้นำเอาขั้นตอนนี้มาพรรณนาเป็นสถานการณ์ที่ผ่านการต่อสู้กับปีศาจ “หลังจากผ่านด่านที่หนึ่งมาตัวเองก็สามารถเข้มแข็งขึ้นมาได้บ้าง แต่อุปสรรคในด่านที่สองก็ยากกว่า”

ต้นฉบับนวนิยายของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานของ ฮิงาชิโนะ เคโงะ  นักเขียนผู้ลือนามของญี่ปุ่น ,มีคนรักหนังสือในแบบต้นฉบับมากมาย ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ยังเคยรีเมคนิยายเรื่องนี้ด้วย นอกจากนั้นภาพยนตร์แนวลึกลับก็ค่อนข้างได้รับความนิยมน้อยในตลาดภาพยนตร์ นำมาซึ่งความกดดันในทุกรูปแบบ แต่ซูโหย่วเผิงยังคงเดินหน้าทำต่อไปอย่างไม่ลังเล

“พิถีพิถัน จุกจิกจู้จี้ จริงจังตั้งใจ” คำสำคัญไม่กี่คำในช่วงโฆษณานี้ได้กลายเป็นจุดกระแสของนักสร้างสรรค์ผลงานที่ได้ ”แขวะ” ซูโหย่วเผิง จางหลู่อี ที่รับบทเป็นสือหงเรียกให้ซูโหย่วเผิงนำนาฬิกาจับเวลามาจับเวลาแสดงของเขา หวังข่าย ที่รับบทเป็นถังชวนกล่าวว่าซูโหย่วเผิงพิถีพิถันแค่กระพริบตาไม่กี่ครั้งก็ต้อง เทค! เทค! ใหม่หมด ในด้านการตอบคำถามนักแสดงของซูโหย่วเผิงใครที่เป็นการเซอร์ไพรส์คุณมากที่สุด ที่ค่อนข้าง ”มีความหมายลึกซึ้ง” เขากล่าวว่า “ผมรู้สึกว่าทุกคนล้วนเป็นความเซอร์ไพรส์ทั้งนั้น สามารถอดทนต่อผมได้ล้วนเป็นการเซอร์ไพรส์ได้เหมือนกัน”

ภาพยนตร์ใกล้จะเข้าฉายแล้ว ในนามผู้กำกับซูโหย่วเผิงได้เริ่มเข้าสู่ช่วงโปรโมทที่ยุ่งวุ่นวาย ครั้งนี้ที่ได้เจอเขาที่ Enlight Media เขาใส่แว่นตาที่มีกรอบสีทอง ราวกับนักสืบที่เดินออกมาจากโรงหนังยังไงอย่างงั้น ได้แบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับมุมมองในการคัดเลือก การเขียนบท รายละเอียดของสถานที่ในการถ่ายทำ ในการพูดถึงระดับปัญหาของการผลิต เป็นการยากมากที่คุณจะติดต่อถึงเขาและนักแสดงซูโหย่วเผิงได้อีกครั้ง แต่เขาก็ยอมรับนะว่าปัจจุบันนี้ได้เพลิดเพลินกับสถานะการเป็นผู้กำกับ ไม่ได้คิดถึงเรื่องการแสดงไปชั่วคราว ”ปัจจุบันนี้ไม่มีแพลนการแสดงที่พิเศษอะไร ไม่ได้คิดทุ่มเทอะไรเป็นพิเศษในเรื่องนี้”

ฮิงาชิโนะ เคโงะ ไม่ได้เป็นอุปสรรคในความสร้างสรรค์ของพวกเราเลย

ต้นฉบับนวนิยายของภาพยนตร์เรื่องนี้ 《The Devotion Of Suspect X》ได้รับการตีพิมพ์ในปี 2005 ในช่วงนั้นก็ได้รับรางวัลหลายรายการตรรกะในนิยายก็เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายซูโหย่วเผิงเคยอ่านนิยายเรื่องนี้ตั้งแต่ประมาณปี 2005 หลังจากที่ถ่ายทำเรื่อง《จั่วเอ่อร์ The Left Ear》เสร็จ Enlight Media ก็คาดหวังว่าซูโหย่วเผิงจะลองสร้างสรรค์ผลงานในแนวอื่นๆ ซูโหย่วเผิงก็นึกถึงนิยายเรื่องนี้ สำหรับเขาแล้ว เขาไม่อยากลองกับสิ่งที่มันเป็นเชิงพาณิชย์มากเกินไป แต่ 《The Devotion Of Suspect X》 สามารถที่จะเข้าถึงภาวะสมดุลบางอย่างในใจของเขาได้

จากผู้อ่านสู่ผู้กำกับ การเปลี่ยนแปลงของสถานะก็มีความหมายต่อการคิดที่ต้องการจะดำเนินการเปลี่ยนแปลง “ผมคิดว่าตอนนั้นสามารถที่จะเพลิดเพลินไปกับความสุขอันบริสุทธิ์ของการเป็นผู้อ่านได้ แค่คุณเพลิดเพลินไปกับผลของชิ้นงานนั้นที่นำความประทับใจมาให้คุณและความรู้สึกที่ได้ก็โอเคแล้ว ไม่ต้องใช้เหตุผลมากมายขนาดนั้นในการวิเคราะห์มัน แต่ตอนนี้ในฐานะของผู้กำกับ ผมก็ต้องจำเป็นต้องกระโดดออกมาจากการคิดแบบผู้อ่าน”

การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือเริ่มจากการเขียนบท นิยายต้นฉบับก็ถือว่าเป็น IP ขนาดใหญ่ มีคนรักการอ่านที่เชื่อถือได้ดังนั้นเริ่มจากโครงสร้างภาพยนตร์ มีคนรักการอ่านไม่น้อยที่ในใจนั้นคัดค้าน ซูโหย่วเผิงได้แบกรับ ”ชื่อเสียงด้านลบ”อย่างน้อยในระยะแรกผลงานที่ปกติแล้วมีแฟนคลับมากมายถูกย้ายขึ้นสู่หน้าจอก็ได้รับการไถ่ถาม จะพูดยังไงดีกับเรื่องนี้ ใช้วิธีการไหนในการนำเสนอที่จะสามารถทำให้แฟนนิยายที่ ”เคยอ่านหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน” นั้นพอใจ แล้วก็ถูกใจผู้ชมที่ ”ไม่เคยดู” ซึ่งเป็นโจทย์ยากอันแรกที่ซูโหย่วเผิงได้เผชิญ

ทีมงานเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ทุกคนต่างมีจุดเด่นในส่วนงานของตัวเอง บทภาพยนตร์ในตอนแรกนั้นเขียนไว้หลายฉบับมาก ฮิงาชิโนะ เคโงะ ก็ได้อ่านบทภาพยนตร์นี้ด้วย รอถึงตอนที่เริ่มถ่ายทำอย่างเป็นทางการ บทภาพยนตร์ได้แก้ไปแล้ว 35 ครั้งแล้ว แต่สำหรับ ฮิงาชิโนะ เคโงะ ได้มีประเด็นปัญหาของบทภาพยนตร์ ซูโหย่วเผิงอยากจะขอชี้แจงผ่านพวกเราสักหน่อย "คุณฮิงาชิโนะ เคโงะไม่ได้อยากมาก้าวก่ายเกินไปในส่วนของความสร้างสรรค์ของทุกๆฉบับ เขาเพียงแค่อยากจะมาเตือนอย่างเป็นมิตร อันที่ผมอนุญาตนั้นก็คือเนื้อหาจากนิยายของผม ส่วนที่เรียบเรียงใหม่ของสำนักพิมพ์ญี่ปุ่นกับสำนักพิมพ์เกาหลีใต้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการมอบอำนาจของผม ดังนั้นเขาก็จะดูแหละว่ามีข้อพิพาทด้านลิขสิทธิ์ ส่วนที่ถกเถียงกันหรือไม่ ถ้าไม่มีส่วนนี้ ตามหลักการเขาก็จะเคารพการสร้างสรรค์ของพวกเรา ”

“ผมหวังว่าพระเอกทั้งสองคนจะมีฝีมือพอๆกัน เข้าถึงบรรยากาศการต่อสู้ของทั้งสองอัจฉริยะได้ ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทรุดตัวลง ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะไม่ได้สร้างขี้น ”พูดถึงปัญหามุมมองในการคัดเลือก ซูโหย่วเผิงได้เน้นว่านักแสดงมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ ถังชวนกับสือหง รับบทเป็นสองพระเอกในเรื่อง คนหนึ่งเป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในชีวิตที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่อีกคนหนึ่งเป็นกลุ่มที่ผิดหวังไม่ได้ดั่งที่ตั้งใจในชีวิตทั้งสองคนต่างมีลักษณะเฉพาะที่ชัดเจนของตัวละครที่กำหนดซูโหย่วเผิงหาจางหลู่อีกับหวังข่ายผู้ที่จะมาเล่นสองบทบาทนี้เจอแล้วซูโหย่วเผิงยอมรับตรงๆว่าไม่เคยชมผลงานใดๆของพวกเขามาก่อน แต่ก็รู้พอคร่าวๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความรู้สึกตอนสัมภาษณ์ “พวกเขาเหมาะสมกับบทบาทเหล่านี้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว อันนี้จริงๆแล้วได้ผ่านการพิจารณามาหลายรอบมากๆ ท้ายที่สุดแล้วจริงๆพวกเขาล้วนเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุด”

และได้หาหลินซินหยูมาแสดงเป็นนางเอกเฉินจิ้ง ซูโหย่วเผิงอธิบายว่า ไม่ได้คาดหวังให้นางเอกเซ็กซี่เกินไป ที่ให้มีสือหงก็เพราะให้เป็นภาพมายากระตุ้นอารมณ์ผู้ชม เขาหวังว่านักแสดงคนนี้จะมีความรู้สึกแบบอบอุ่น และหลินซินหยูก็เหมาะสมกับบทบาทนี้ อีกทั้งยังให้แรงกระตุ้นที่อยากจะปกป้องดูแลแก่ผู้คนด้วย "ติ๊ด...ยืมการ์ดเพื่อน" (เป็นคำแสลง  หมายถึงเพื่อนที่ความสัมพันธ์ดีมาก สามารถขอความช่วยเหลือได้ทุกเรื่อง)  ตามที่ซูโหย่วเผิงผู้เป็นเพื่อนสนิทได้เชิญให้หลินซินหยูมาแสดงบทบาทนี้ ก็ถือว่าเป็นการเซอร์ไพรส์ที่น่าประหลาดใจเช่นกัน

ผู้กำกับทำการตัดสินใจสองร้อยเรื่องขึ้นไปในทุกๆวัน

หลายปีต่อมาซูโหย่วเผิงยังคงจดจำสถานการณ์การถ่ายทำภาพยนตร์《The Message》ในตอนนั้นได้นั่นเป็นสิ่งที่เขาชื่นชมที่สุดและก็คิดว่าเป็นสถานการณ์การสร้างสรรค์โดยรวมที่ยอดเยี่ยมที่สุด“นักแสดงทุกคนในเรื่องต่างก็แสดงบทบาทของตัวเองออกมาถึงขีดสุด การถ่ายทำละครทั้งหมดสไตล์ของทุกคนล้วนแต่ตกอยู่ในภวังค์ แม้แต่พนักงานผมก็คิดว่าเขาก็ตกอยู่ในภวังค์ของละครนั้น”  ซูโหย่วเผิงได้พรรณนาถึงสภาพการณ์การทำงานในตอนนั้น ไม่มีใครทะเลาะวิวาท แม้แต่การเดินก็ยังเสียงเบา ไม่มีใครหัวเราะเฮฮาเล่นมือถือที่กองถ่าย รอถึงตอนถ่ายก็ค่อยเข้าฉาก ลักษณะของงานแบบนี้ มีส่วนช่วยต่อตัวเขาเป็นอย่างมาก “ผมหวังตลอดมาว่าในใจจะสามารถสร้างบรรยากาศส่วนรวมแบบนี้ให้เกิดขึ้นได้” การถ่ายทำละครทั้งหมดล้วนต้องอยู่ในนั้น ดังนั้นตอนที่อยู่กองถ่ายผมก็เข้าสู่สภาพการณ์แบบนี้อย่างสมบูรณ์ (เงียบทุกคนต้องเงียบ)

สามารถกล่าวได้ว่า ซูโหย่วเผิงก็ได้นำสภาพการณ์แบบนี้มีใช้ในการทำงานภาพยนตร์ของตนเองเช่นกันอย่างน้อยเขาก็ทำได้แล้ว เขาพรรณนาฤดูแห่งการถ่ายทำภาพยนตร์ว่าเป็น “เข้าสู่สมรภูมิรบ” ทุกวันก็จะมีสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น และมีคิวในการแสดงที่ต้องทำให้เสร็จด้วย“ในทุกๆวันอาจจะต้องทำการตัดสินใจอย่างน้อยสองร้อยเรื่องขึ้นไป ผมขอร้องให้ตัวเองพยายาม ทุกการตัดสินใจต้องไม่ผิดพลาด คุณตัดสินใจถูก หนังก็จะเพิ่มขึ้น 1 คะแนน ตัดสินใจผิดก็หัก 0.5 คะแนน อะไรประมาณนี้ การตัดสินใจทั้งหมดของคุณ สะสมไปเรื่อยๆก็คือคะแนนอันสุดท้ายของภาพยนตร์นั่นเอง” ทันทีในการตัดสินใจนั้น เป็นช่วงที่ซูโหย่วเผิงจะสามารถรู้สึกถึงการเป็นผู้กำกับของตัวเองได้โดยตรงค้นพบปัญหาเป็นเพียงแค่พื้นฐาน ต้องแก้ไขปัญหาอยู่ตลอดถึงจะสำคัญที่สุดถึงแม้ว่าการตัดสินใจในทุกวันมันจะน่ากลัว แต่ก็เพราะกระบวนการแบบนี้แหละที่ผู้กำกับอาชีพที่ท้าทายนี้นับวันยิ่งดึงดูดความสนใจจากเขาและสิ่งเหล่านี้ก็คือปัจจัยเบื้องต้นที่ทำให้ได้รับความสำเร็จ

การตัดสินในหลายร้อยอย่างที่ซูโหย่วเผิงพูดมาทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในกองถ่ายหนังเท่านั้นในช่วงก่อนการผลิตก็ต้องการให้เขามาควบคุมเช่น สถานที่ในการถ่ายทำนั้นเลือกที่ไหน ฤดูในการเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์คือฤดูร้อน แต่อารมณ์ของเรื่องออกไปแนวค่อนข้างหนาวเย็น ความรู้สึกที่ถ่ายทอดผ่านหน้าจอดูร้อนเกินไปซึ่งแตกต่างจากอารมณ์ของหนังซูโหย่วเผิงก็ได้เดินทางไปยังภาคเหนือเพื่อหาสถานที่ ไม่ได้สนใจการคัดค้านจากช่างกล้องและศิลปินในที่สุดก็ตกลงเอาที่ฮาร์บิน ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์ให้เห็นว่าในที่สุดผลลัพท์ที่ออกมาก็ไม่เลวจริงๆ

ในรูปแบบประเด็นสำคัญข้างต้น ซูโหย่วเผิงมีความเข้าใจของตัวเอง ถ่ายทำที่ฮาร์บินเหมือนกัน หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบรูปแบบเดียวกันกับ《Black Coal, Thin Ice》ซูโหย่วเผิงได้ตอบกลับว่า “《Black Coal, Thin Ice》น่าจะหนาวกว่านี้หน่อยนะ เรื่องนี้ก็จะอยู่ในแนวนั้น จะต้องเป็นแนวออกหนาวๆ ในโทนของสีก็ต้องเป็นสีออกฟ้าๆหรือไม่ก็สีเขียว ตามหลักการแล้วผมหวังว่าหนังจะออกมาดูดีหน่อย ดังนั้นผมจะระวังในจุดนี้ให้ดี ดังนั้นถ้าเอา 《ดอกไม้ไฟกลางวัน》มาเปรียบเทียบแล้วสีสันของพวกเราก็ไม่ได้ดูน่าสิ้นหวังขนาดนี้

ปัจจุบันไม่มีแพลนการแสดง ไม่อยากมาทุ่มเทมากในเรื่องนี้

นี่คือผลงานชิ้นที่สองในการเป็นผู้กำกับของซูโหย่วเผิงเดิมทีเขานึกว่าตัวเองน่าจะคุ้นชินกว่านี้กับสถานะผู้กำกับนี้แต่เขากลับพบว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไหร่ “ผมมักจะทำการเปรียบเปรย ก็เหมือนที่คุณผ่านอุปสรรคมาได้ โจทย์ที่ด่านแรกให้คุณมาต้องใช้ค่าประสบการณ์หรือไม่ก็ความสามารถของคุณ การจัดสรรอาวุธ อาจจะกำลังดี คุณต้องพยายามมากๆ คุณจะผ่านด่านแรกได้ ต่อมาคุณมีอาวุธชิ้นใหม่ คุณคิดว่าตัวเองแกร่งขึ้นมา ก็จะพบว่าอุปสรรคในด่านที่สองนั้นยากยิ่งกว่า ความสามารถของผมเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนบ้าง แต่ว่าโจทย์ในครั้งนี้ก็ยากกว่าเมื่อก่อนเหมือนกัน”

อาจจะเป็นเพราะหลงใหลใน”การต่อสู้กับปีศาจ”.ที่นำมาซึ่งความท้าทายและความรู้สึกที่มาจากความสำเร็จปัจจุบันซูโหย่วเผิงยิ่งเพลิดเพลินไปกับการเป็นผู้กำกับมากขึ้น “ปัจจุบันไม่ได้มีแพลนพิเศษเกี่ยวกับการแสดง ไม่ได้คิดทุ่มเทเป็นพิเศษในเรื่องนี้” สรุปแล้ว ปัจจุบันไม่วางแผนว่าจะเล่นละครแล้ว อยากจะอยู่หลังฉาก ถามว่าถ้ากลับไปตอนแรกที่เข้าวงการได้ อยากจะอยู่หน้าฉากหรือหลังฉากมากกว่ากัน ซูโหย่วเผิงเลือกอย่างไม่ลังเลว่าอยากอยู่หลังฉาก “การอยู่หน้าฉากจะได้รับในสิ่งที่คนทั่วไปไม่ได้รับ แต่สิ่งที่จ่ายไปก็คือสิ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยต้องการที่จะจ่าย สิ่งของเหล่านั้น ก็เหมือนกับผม ที่ตัวเองก็อายุไม่ถึง 20 ที่เข้าวงการ ในอายุแค่นั้นแบกรับความกดดันแบบนั้น สำหรับผมแล้ว ก็ลำบากนิดหน่อยในช่วงเวลานั้น ถ้าให้ผมเลือกได้อีกครั้ง ผมอาจจะอยู่หลังฉากก็น่าจะดีขึ้นมาหน่อย โตมาจะได้สมบูรณ์แบบกว่านี้”

บนเส้นทางของการเป็นผู้กำกับนี้เขาค่อนข้างชื่นชม "หลี่อัน" เป็นพิเศษ ในเวยป๋อของเขาก็สามารถดูออก “หนังของเขาหลายๆเรื่องล้วนสุดยอดทั้งนั้น ช่วงนี้หนัง《Billy Lynn's Long Halftime Walk》,《พยัคฆ์ระห่ำ มังกรผยองโลก》,《หุบเขาเร้นรัก》,《การเดินทางของพาย พาเทล》ก็ชอบมากๆ ”

และความสัมพันธ์ด้านความรู้สึก ถามว่าจะเหมือนกับสือหงในหนังหรือไม่นั้น พอได้รักก็สั่นสะท้านไปทั่วโลก ซูโหย่วเผิงบอกว่าตัวเองค่อนข้างมีสติสัมปชัญญะ “ตอนเด็กๆค่อนข้างจะมีนิสัยซนๆ ตอนนี้พอถึงอีกช่วงอายุหนึ่ง สำหรับความรู้สึกก็ค่อนข้างมีสติในการเข้าใจ ดังนั้นก็ไม่ค่อยที่จะตาบอดขนาดนั้น ก็ค่อนข้างที่จะใช้สติ มองแบบมีวิสัยทัศน์มากขึ้น”

17760795_1132840593493450_7692302353706935905_o.jpg" border="0
17834825_1132840656826777_1607950999953856155_o.jpg" border="0
17855172_1132840596826783_2840409456111497844_o.jpg" border="0
17855593_1132840600160116_988663031156959965_o.jpg" border="0
17879973_1132840660160110_6873875580277214483_o.jpg" border="0
17880093_1132840646826778_9090956749597311215_o.jpg" border="0

50
[207.03.31] โรดโชว์ภาพยนตร์-Suspect X ที่เซินเจิ้น 深圳

宇宙無敵小tomtom
http://www.weibo.com/1705856117/EDalXk3QU?type=repost#_rnd1491439650106

宇宙無敵小tomtom

http://www.weibo.com/1705856117/ECmJo5MNW?type=repost#_rnd1490962723368

宇宙無敵小tomtom
http://www.weibo.com/1705856117/ECnX1ywZa?type=repost#_rnd1491008826029


อัลบั้มรูป
https://www.facebook.com/pg/AlecfanclubinThailand/photos/?tab=album&album_id=1360500383988451

宇宙無敵小tomtom
http://www.weibo.com/1705856117/EDalXk3QU?type=repost#_rnd1491439650106

https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/1366814040023752

宇宙無敵小tomtom
http://www.weibo.com/1705856117/ECmJo5MNW?type=repost#_rnd1490962723368

VDO
http://www.weibo.com/5746403567/EClXouslI?type=repost

苏有朋工作室
http://www.weibo.com/2721711263/ECppjDIu7?type=repost#_rnd1491007086474

宇宙無敵小tomtom
http://www.weibo.com/1705856117/ECnX1ywZa?type=repost#_rnd1491008826029

钱钱EQ84
http://www.weibo.com/1333158493/ECowU4n6u?type=repost#_rnd1491008750564

Mickyll
http://www.weibo.com/3523529257/ECoN8t7IQ?type=repost#_rnd1491008857922

Su-华妃
http://www.weibo.com/3285393630/ECoZDffnm?type=repost#_rnd1491008880684

蘇有朋廣東後援會
http://www.weibo.com/1803982130/ECnIjEHpy?type=repost#_rnd1491007372590

熊綠小子
http://www.weibo.com/2351629681/ECqXc6qo7?type=repost#_rnd1491007209090

蘇有朋香港後援會
http://www.weibo.com/2174617200/ECosmpgCP?type=repost#_rnd1491007206397

Susan_PV
http://www.weibo.com/5104929496/ECprDvdo9?type=repost#_rnd1491044324317

魚呀呀呀
http://www.weibo.com/1704905521/EComTchMq?type=repost#_rnd1491044799096

木子掦辰摄影
http://www.weibo.com/5737793661/ECoOOuhgF?type=repost#_rnd1491058557586

51




[2017.03.30] 专访|苏有朋笑谈王凯、张鲁一:抓住机会就骂我
http://ent.qq.com/a/20170330/020285.htm


52
[2017.03.29] 从《嫌疑人X的献身》看苏有朋的逆袭人生路
http://movie.weibo.com/movie/langreview/pcindex/object_id/1022:2308244090769983029874

[2017.03.29] ดูชีวิตโต้คลื่นของซูโหย่วเผิงจากการกำกับเรื่อง《The Devotion of Suspect X》

ในชีวิตเรา เรามักเห็นตัวอย่างชีวิตหลายรูปแบบของผู้ที่ประสบความสำเร็จ ส่วนมากจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตั้งแต่อายุยังน้อย คนที่กิจการครอบครัวรุ่งเรืองและมีเกียรติยศมีมากมาย แต่ผู้แข็งแกร่งที่ประสบความสำเร็จโดยอาศัยความพยายามของตนเองและใช้ชีวิตโต้คลื่นนั้นน่าจะยกย่องมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ซูโหย่วเผิงที่ติดตามในฐานะแฟนคลับมาตลอด 30 ปีนี้ เขาได้ใช้ชีวิตโต้คลื่น   ในทุกๆจุดเปลี่ยนของชีวิต ทำให้คนต้องเหลียวมอง เขาเป็นผู้ชนะในชีวิตที่แท้จริง

หากนิยามของคนส่วนมากของ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคือ เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตฟู่ฟ่า กิน ดื่ม เล่น เที่ยว งั้นซูโหย่วเผิงกลับใช้พลังทั้งหมดทุ่มเทไปกับผลงานด้านนิเทศน์  จากร้องเพลงจนแสดงละคร จากโปรดิวเซอร์เป็นผู้กำกับ ไม่เคยห่างหายจากวงการบันเทิงเลย กลับท้าทายตัวเองยากขึ้นไปอีก นี่ก็คือชีวิตที่เต็มไปด้วยพลังแห่งแรงบันดาลใจ เมื่อมองย้อนกลับไปพัฒนาการตลอดเส้นทางของซูโหย่วเผิง จะพบว่าเขามักจะทำเรื่องที่ไม่สามารถเป็นไปได้ให้เป็นไปได้

จากนักร้องไอดอลสมาชิกวงเสี่ยวหู่ตุ้ย ได้แสดง 《องค์หญิงกำมะลอ》 โด่งดังไปทั่ว จากแสดงละครที่มีเรตติ้งสูงที่ถูกจัดให้เป็นละครอับดับต้นๆ สู่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง 《The Message》 ได้รับรางวลนักแสดงสมทบดีเด่นจากงาน Hundred Flowers Awards  สร้างละคร 《Destiny by Love》ในฐานะผู้จัดและนักแสดงหลัก เป็นละครสมัยใหม่ของช่อง CCTV ที่ขายได้ราคาสูงสุด และยังสร้างหนังเรื่อง 《The Left Ear》ในฐานะผู้กำกับ ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลผู้กำกับดีเด่นในงาน Golden Horse Film Festival และยังได้รับรางวัลผู้กำกับที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่นักศึกษาจากงานเทศกาลหนังมหาวิทยาลัยปักกิ่งครั้งที่ 23 ตลอดเส้นทางนี้ เขาไม่หยุดนิ่งในการปีนป่ายขึ้นที่สูง ก้าวแต่ละก้าวบันไดแต่ละขั้น ไม่เคยลดละและไม่เคยวิ่งออกนอกเส้นทาง ถ้าหากย้อนเวลากลับไป 30 ปี คาดว่าไม่น่าจะมีใครเชื่อว่า ไกวไกวหู่ผู้ดูหน่อมแน้ม วันหนึ่งจะกลายเป็นผู้กำกับภาพยนต์มาดเข้มเผ็ดร้อนในวันนี้

สำหรับซูโหย่วเผิงในตอนนี้นั้น อดีตที่มีสีสันของเขาพูดยังไงก็คงไม่หมด แต่ถึงจะมีอดีตที่รุ่งโรจน์ยังไง ตอนนี้ก็ได้ลงหลักปักฐานเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนกับว่าเขาจะมุ่งเน้นในบทบาทของผู้กำกับ และถูกลิขิตให้เดินในเส้นทางนี้ ยิ่งเดินยิ่งไกล ยิ่งบินยิ่งสูง  ดังนั้นจะมีคนน้อยมากที่ยังพูดถึงภาพลักษณ์ "ไกวไกวหู่" หรือ  "องค์ชายห้า" คนส่วนมากจะเคยชินกับการเรียกเขาว่า "ผู้กำกับซู" ซะมากกว่า  หรือกระทั่ง "พี่ผู้กำกับ"  จากการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก 《The Left Ear》จนมาถึง《The Devotion of Suspect X》ไม่สงสัยเลยว่าทำไมซูโหย่วเผิงถึงได้ครองตำแหน่งผู้ชนะในเส้นทางการแข่งขันในชีวิต

《The Devotion of Suspect X》เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องที่สองที่เป็นผลงานกำกับโดยซูโหย่วเผิง เมื่อเทียบกับหนังเรื่อง
《The Left Ear》เมื่อสามปีที่แล้ว ตั้งแต่เรื่องราวจนถึงสไตล์ของผลงานภาพยนตร์ชิ้นนี้ ทั้งความสมบูรณ์จนคุณภาพ ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่ก้าวกระโดด 《The Left Ear》นั้นดัดแปลงมาจากนิยายความรักในโรงเรียนของเหยาเสวี่ยม่าน 《The Devotion of Suspect X》นั้นดัดแปลงมาจาก นิยายลึกลับของ Keigo Higashino  จากนิยายรักวัยรุ่นสู่ นิยายผู้ต้องสงสัยอาชญากรรม นี่ก็คือการสร้างและเล่าเรื่องที่ใหญ่กว่าเดิม ในขอบเขตที่กว้างกว่าเดิม ซึ่งก็คือการก้าวจากการทำภาพยนตร์ขนาดเล็ก สู่การทำภาพยนตร์ขนาดใหญ่

ถ้าหากพูดว่าการที่ดัดแปลงนิยาย《The Left Ear》 ที่โด่งดังในอินเตอร์เนทของเหยาเสวี่ยม่านนั้น มีความตั้งใจแฝงคือให้มีกระแส อย่างนั้นการดัดแปลงนิยายของ Keigo Higashino  ที่คนส่วนใหญ่รู้จักอย่าง《The Devotion of Suspect X》กลับต้องพบกับความท้าทายที่มากกว่า อย่างแรกคือ ในฐานะที่ต้นฉบับของนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายลึกลับคลาสสิก จึงเป็นที่ชื่นชอบที่ฝังรากอยู่ในใจกลุ่มผู้อ่านมานานแล้ว หากดัดแปลงแล้วผิดเพี้ยนจากต้นฉบับมากไป จะต้องถูกต่อต้านอย่างแน่นนอน อย่างที่สองคือ ภาพยนตร์เวอร์ชั่นญี่ปุ่น เกาหลี ที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้ ล้วนได้ฉายมาแล้ว หากว่าผลงานครั้งนี้ทำได้ไม่เท่า นั่นก็ถือว่าทำไม่สำเร็จ เตรียมรับคำวิจารณ์ได้เลย แต่หากอยากจะทำให้ดีกว่า มันก็คือความท้าทายที่ใหญ่มากเช่นกัน

เมื่อมีข่าวมาว่าซูโหย่วเผิงจะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง 《The Devotion of Suspect X》ไม่สงสัยเลยว่ามันเป็นข่าวที่ทำให้คนไม่ค่อยจะสบายใจนัก เพราะเบื้องหลัง ของภาพยนตร์เรื่องนี้และอีกหลายๆปัจจัย ล้วนทำให้มีความคาดหวังและความกดดันที่มากเกินไป  โชคดีที่ว่าหลังจากดูหนังจบ จ้านไถเฟง(นักวิจารณ์หนัง) ถอนหายใจโล่งอก กล่าวโดยสรุปก็คือ หนังสนุกใช้ได้เลยทีเดียว ดัดแปลงเรื่องราวได้เข้ากับคนในท้องที่ได้ดี เลือกนักแสดงได้เหมาะสม ควบคุมอารมณ์และจังหวะของหนังได้ดี คำนึงถึงความพอดีในระดับของความอาร์ตและธุรกิจ  พร้อมทั้งมีความสมดุลระหว่างสองอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้หนังมีผลตอบรับที่น่าพอใจในด้านของรายได้และการถูกพูดถึง ความสดุลแบบนี้ ดูเหมือนจะง่าย แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ง่ายเลย

ดู 《The Devotion of Suspect X》จนจบเรื่อง การปรับเรื่องราวให้เข้ากับคนในท้องถิ่นนั้นสมเหตุสมผลมาก ดูไม่เหมือนกับว่ามันสร้างมาจากนิยายญี่ปุ่นเลย แต่ก็ยังคงความลึกลับแบบฉบับของ Keigo Higashino   ได้อย่างฝังแน่น จังหวะและความยืดหยุ่นของหนังทำได้ดี เรื่องราวที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงแล้วมีความน่าหวาดเสียวและตื่นเต้นไม่ขาด จังหวะขึ้นลงของหนังทำเอาฉี่เล็ดได้ มีวิธีการเล่าเรื่องให้เชื่อมโยงตลอดทั้งเรื่อง  สไตล์เดียวกับ 《The Left Ear》แต่สิ่งที่เหนือกว่าคือ การแสดงออกทางอารมณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งค่อนข้างเก็บกด ไม่ได้ให้จงใจให้ระเบิดอารมณ์หรือใช้เทคนิคอะไรมากเกินไป แต่ให้ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน ใส่ใจในรายละเอียด ไม่ได้สื่อทางภาพและเสียงมากมาย แต่ค่อยๆระบายออกมา จะเห็นได้ว่าฝีมือการกำกับของซูโหย่วเผิงนั้นพัฒนาขึ้น กล่าวโดยสรุปก็คือ《The Devotion of Suspect X》 เป็นภาพยนตร์ที่ยังให้ความรู้สึกสดใหม่และมีอะไรที่คาดไม่ถึง ควรค่าแก่การดู

4d193e05ba24053bae5663f5c2e6c7a1.jpg" border="0
5f0882bcb1d1faaec1fb737b6f7724fd.jpg" border="0
18d03de335fe816d8acfdb2c300cdc36.jpg" border="0
55104a7250e8e12617ca5f122d23f5bf.jpg" border="0
975408a51345cfd57bd37ea1d2190c81.jpg" border="0
ab282ccbfb122e4b7743339179d49336.jpg" border="0
b3c5160b30898dba7a29cacd9a070242.jpg" border="0
fcfd421075db8bdd67ddce8bfedf390b.jpg" border="0

53

https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/1471357239569431

[2017.03.29] 苏有朋:改编《嫌疑人X的献身》压力特别大 最开始被书
http://www.weibo.com/ttarticle/p/show?id=2309351000894090565091298603#_0

【专访】苏有朋:改编《嫌疑人X的献身》压力特别大 最开始被书迷骂懵了
http://www.jiemian.com/article/1206945.html

ซูโหย่วเผิง:แรงกดดันอย่างหนักจากการปรับ-เรียบเรียงบทภาพยนตร์ “The Devotion of Suspect X”ในช่วงแรกถึงกับโดนบรรดาหนอนหนังสือด่าจนงงไปเลย

ถึงวันนี้ ซูโหย่วเผิงในฐานะผู้กำกับ ไม่สนใจกับฉายา “ไกวไกวหู่” (เสือน้อยสามตัวในสมัยนั้น)อีกต่อไป

หลังจาก ผลงานชิ้นแรกจากการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” เสร็จสิ้นไปในปี 2015ภาพยนตร์เรื่องที่ 2ของผู้กำกับซูโหย่วเผิง เป็นอีกครั้งที่เขาเลือกปรับ-เรียบเรียงเนื้อหาภาพยนตร์มาจากในนิยาย แต่ทว่า ในครั้งนี้นิยายที่ว่านั้น เป็นผลงานประพันธ์เรื่อง“The Devotion of Suspect X”ของคุณฮิงาชิโนะเคโงะ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือจำนวนฐานผู้ชมก็ชนะ“The Left Ear” ไปอย่างขาดลอย นอกจากนี้ก่อนที่จะมีการนำมาดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นภาษาจีน ก็ได้มีการนำมาดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเกาหลีมาแล้วเมื่อเป็นงานเขียนอันเลอค่ามาก่อน จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่จับตามองของบรรดาผู้ที่คลั่งไคล้ในผลงานนิยายฉบับoriginalซึ่งงานนี้ก็สร้างแรงกดดันให้แก่ผู้กำกับไปไม่น้อย

ถึงแม้ว่าภาพยนตร์วัยหนุ่มสาวอย่าง “The Left Ear” จะไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไรนัก โดยล่าสุดจากการให้คะแนนโดยกลุ่มโซเชียลเน็ตเวิร์คจีน พบว่าคะแนนยังแตะไม่ถึง 6.0ของเส้นระดับมาตรฐานคะแนนแต่อย่างไรก็ตาม ผลงานของเขาก็ยังกวาดตั๋วชมไปถึง 480ล้านใบเลยทีเดียว ทำให้ซูโหย่งเผิงคว้ารางวัลม้าทองคำปีนี้ไปครองจากการได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปีซึ่งสำหรับผู้กำกับหน้าใหม่แล้ว การได้ก้าวมาถึงจุดนี้ถือเป็นสถิติความสามารถที่ไม่ธรรมดาการประสบความสำเร็จเชิงธุรกิจได้สร้างความมั่นใจแก่ซูโหย่วเผิงในการเดินหน้าสู่การเป็นผู้กำกับอย่างไม่ต้องสงสัย คราวก่อนที่ซูโหย่วเผิงได้ถูกขอสัมภาษณ์ เขาได้กล่าวถึงหัวใจสำคัญเกี่ยวกับสายการทำงานของเขาว่า การเปลี่ยนแปลงของตนเองนั้นถือว่ามีความเด็ดขาดมาก เมื่อเลือกแล้วก็จะไม่มีการหันหลังกลับไปอีกแน่นอน

“The Devotion of Suspect X”ถือเป็นการเรียบเรียงผลงานการประพันธ์ของคุณฮิงาชิโนะเคโงะ ให้ออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์เป็นเวอร์ชั่นแรกของจีน ซึ่งในประเทศจีนนั้นงานประพันธ์ของคุณฮิงาชิโนะเคโงะ ชิ้นนี้นับว่ามีหนอนหนังสือที่คลั่งไคล้ในนิยายเรื่องนี้อยู่เป็นจำนวนมาก แค่จำนวนผู้อ่านในโซเชียลเน็ตเวิร์คจีน ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นไหนก็ล้วนได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ไปกว่าหมื่นข้อความ  และในขณะเดียวกัน การให้คะแนนก็มักจะอยู่ในระดับ 9.0 โดยประมาณ   

แต่จะว่าไป ในกลุ่มผลงานประเภทที่มีแฟนคลับของผู้ประพันธ์ฉบับ original เยอะมากๆแบบนี้ แต่ไหนแต่ไรมาเมื่อจะมีการนำมาเรียบเรียงให้ออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์ ก็มักจะต้องเจอกับคำถามของเหล่าบรรดา FC ทั้งหลายว่า คุณจะสามารถสะท้อนเรื่องราวของนิยายเรื่องนั้นให้ออกมาเจ๋งได้หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นซีรีย์ต่างประเทศเรื่อง... แฮรี่พอตเตอร์ หรือจะเป็นซีรีย์จีนเรื่อง “บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน”ก็ตาม ในช่วงเริ่มปรับ-เรียบเรียงเป็นบทภาพยนตร์ใหม่ๆก็มักจะต้องเผชิญกับปัญหาในทำนองนี้เช่นกัน

สำหรับผู้กำกับที่มีผลงานเพียงแค่ชิ้นเดียวอย่างซูโหย่วเผิงแล้ว กับผู้คนที่สงสัยในตัวเขาที่มีจำนวนมากมายมหาศาลเต็มเหยียดตั้งแต่ขุนเขายันมหาสมุทร เมื่อข่าวการเข้ามารับตำแหน่งผู้กำกับของเขาได้ถูกประกาศออกไป ผู้ที่คลั่งไคล้ในผลงานประพันธ์ฉบับดั้งเดิมในอินเทอร์เน็ตก็เริ่มสงสัยในความสามารถของเขาว่าจะสามารถนำนิยายเรื่องนี้ถ่ายทำออกมาให้ดีได้หรือไม่ ได้มีเพื่อนชาวเน็ตออกมาพูดล้อแบบขำๆว่า “นักแสดงน่ะ ฉันเลื่อมใสจริงๆแหละนะ แต่ผู้กำกับนี่สิ มันน่าตะขิดตะขวงใจยังไงก็ไม่รู้อ่ะ”  กับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้ ซูโหย่วเผิงก็ออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในช่วงเริ่มต้น ผมรู้สึกกดดันมาก ก่อนหน้านี้ก็ถูกบรรดาหนอนหนังสือออกมาด่าจนผมถึงกับงงไปเลย เพราะฉะนั้นผมจะต้องทำให้มันออกมาดีให้ได้เท่านั้น”

ในงานแถลงข่าวภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์แห่งนครเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของกระบวนการการจัดงาน จากรูปแบบงานแถลงข่าวที่ซับซ้อนเหมือนเมื่อก่อนตามแบบฉบับของที่ปักกิ่งกลายมาเป็นรูปแบบงานที่ซูโหย่วเผิงกับหวังข่ายและจางหลู่ยีได้ออกมาพูดหยอกล้อกันแทนและประเด็นที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือ ประเด็นที่ก่อนหน้านี้มีเหล่านักแสดงได้ออกมาฟ้องว่า ผู้กำกับซูโหย่วเผิงนั้น เข้มงวดจนโหดร้ายเกินเหตุหวังข่ายพูดแบบหัวเราะว่า ในช่วงที่ถ่ายทำ เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้กำกับจะลุกขึ้นยืน เพราะมันจะแปลว่าเขาค่อนข้างพอใจในการแสดงที่พึ่งถ่ายเสร็จไปเมื่อกี๊ น่าจะไม่ต้องถ่ายซ้ำแล้ว ในส่วนที่เลือกหวังข่ายและจางหลู่ยีเข้ามารับบทนักแสดงนำ ซูโหย่วเผิงได้ให้เหตุผลว่า “ขอแค่เขามีคาแรคเตอร์ที่เหมาะกับตัวละครในนิยาย มีมาดของความเท่ห์ รวมไปถึงมีแววตาของคนประเภทที่ไอคิวสูงๆแบบที่ผมหวังไว้ ซึ่งพวกเค้าทั้งคู่ก็มีน่ะนะ” ในขณะเดียวกันกับการเลือกใช้นักแสดงประเภทที่ “เรทติ้งแรง” แบบนี้  เขาเชื่อว่าในการทำภาพยนตร์ควรจะต้องคิดในเรื่องของความบาลานซ์ในส่วนที่เป็นความต้องการของตลาดกับความเป็นศิลปะให้ดี ไม่ควรทุบเรทติ้งทิ้งด้วยไม้ไผ่เพียงท่อนเดียว 

และกับผู้ซึ่งเป็นคนที่รู้จักสนิทสนมกันมานานอย่างหลินซินหรู ซูโหย่วเผิงได้กล่าวว่า “ทุกคนต่างก็ยิ่งมีชีวิตอยู่ก็จะยิ่งไม่รู้สึกหวั่นเกรงต่อสิ่งใด ยิ่งไม่ต้องรู้สึกว่าถูกอะไรผูกมัด ยิ่งมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง” และเขายังพูดแบบล้อเล่นอีกว่า  “ต่อไปจะไม่มีทางไปเล่นหนังเรื่องที่มีหลินซินหรูเป็นผู้กำกับเด็ดขาดครับ เพราะเธอจะต้องแก้แค้นผมแน่ๆ”

บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิงโดย jiemian.com (เจี้ยเมี่ยนบันเทิง)

เจี้ยเมี่ยนบันเทิง:นี่เป็นผลงานชิ้นที่ 2 ที่คุณเป็นผู้กำกับ จากภาพยนตร์เรื่องแรกที่เป็นหนังแนววัยรุ่น เสร็จแล้วก็มาต่อด้วยเรื่องที่สองที่เป็นหนังแนวระทึกขวัญไปเลยทำไมคุณถึงเลือกที่จะฉีกแนวการทำหนังแบบนี้คะ

ซูโหย่วเผิง:คือ...ปกติแล้ว ผู้กำกับที่เป็นระดับมืออาชีพ ในมือพวกเขาที่กำลังถ่ายทำงานชิ้นนี้อยู่ ข้างหลังก็อาจมีแผนงานชิ้นอื่นๆรออยู่แล้ว ค่อยรอดูว่าจะหยิบงานชิ้นไหนออกมาถ่ายก่อน ตอนแรกที่ผมถ่ายทำเรื่อง “The Left Ear”  ถือเป็นความสำเร็จแบบที่ไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรมาก ถือว่าเป็นกรณียกเว้นเลยด้วย พอถ่ายเสร็จก็เลยไม่มีใครมาช่วยผมสานต่อ ทีนี้ทุกคนก็เลยช่วยคิดเรื่องแนวภาพยนตร์แทน ตอนนั้นที่เลือกแนวภาพยนตร์ก็แอบมีความใฝ่ฝันของตัวเองด้วยเล็กๆก็คือ.. หวังว่ามันจะมีกลิ่นอายของความเป็นศิลปะ แล้วก็มีใจความสำคัญของเรื่องที่ชวนให้เก็บไปคิด จะต้องดูมีรสชาติ

ซึ่งของแบบนี้ บางทีมันก็ดูเข้มข้นไปครับ คนดูอาจจะรับไม่ไหว ก็เลยคิดว่าอยากจะให้มีส่วนที่เอาใจความต้องการของตลาดบ้าง ก็...อาจจะมีท้องเรื่องที่สนุกสนานรวมไปถึงมีเนื้อหาที่เข้มข้นซ่อนอยู่ภายใน เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ว่า พอถ่ายทำหนังแนววัยรุ่นเสร็จก็คิดจะเปลี่ยนมาเป็นแนวระทึกขวัญเลย จริงๆแล้วมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรขนาดนั้นครับ ผมก็แค่คิดแบบซื่อๆว่าอยากจะเป็นผู้กำกับที่สามารถเล่าเรื่องราวแบบนี้ออกมาได้ก็เท่านั้นเอง

เจี้ยเมี่ยนบันเทิง:จากผลงานเรื่องแรก “The Left Ear”เป็นผลงานที่มีเนื้อหาเรียบเรียงมาจากนิยาย ทำไมในเรื่องที่สอง ถึงยังเลือกเรียบเรียงเนื้อหาจากนิยายที่เป็นที่รู้จักอีกคะ

ซูโหย่วเผิง: ตามหลักแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรที่ซ้ำซากจนเกินไปครับ เพราะฉะนั้น ในทุกๆครั้งก็มักจะเป็นการสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ เหมือนกับตอนที่เราสู้กับสัตว์ประหลาดอยู่น่ะครับ ในด่านแรก เราก็คิดว่า กว่าจะผ่านมาได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ ก็เลยรู้สึกว่าโอเคละ  ปรากฏว่าพอมาด่านที่สองสัตว์ประหลาดก็จะเก่งขึ้นกว่าเดิม ในด่านที่สองสำหรับผมเป็นผลงานที่นับว่าเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก มีผู้คนจำนวนมากที่กำลังจับตามองในเรื่องนี้อยู่ เพราะอย่างนั้น ระดับความยากก็เลยเพิ่มขึ้นครับ ตามหลักแล้ว ผมไม่ชอบอะไรที่ซ้ำๆ แต่จะชอบความรู้สึกที่แปลกใหม่  ตอนปี2005 สมัยนั้นผมก็อ่านนิยายนะครับ รู้สึกว่านิยายเรื่องนี้สนุกดี ต่อมาพอทุกคนพูดถึงหนังแนวนี้ขึ้นมา ก็เลยเหมือนมีประเด็นมาพาให้ผมเข้ามาจัดการพอดี ก็เลยเริ่มต้นกันแบบนี้แหละครับ

เจี้ยเมี่ยนบันเทิง: สำหรับบรรดาหนอนหนังสือแล้ว “The Devotion of Suspect X” (ฉบับนิยาย) นับว่าเป็นงานประพันธ์ที่เรียกได้ว่าเป็นคัมภีร์เลยทีเดียว แบบนี้แล้ว ในช่วงที่คุณปรับ-เรียบเรียงบทภาพยนตร์ คุณพยายามยึดตามแบบของต้นฉบับเดิม หรือได้มีส่วนที่ตัวคุณเองตีความเพิ่มเข้าไปด้วยคะ

ซูโหย่วเผิง:ในครั้งนี้พวกเราได้วิเคราะห์กันค่อนข้างเยอะครับ ผมคิดว่าตัวผมเองก็เหมือนหนึ่งในบรรดาหนอนหนังสือที่ผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับนะครับ มันจะต้องสรุปกระบวนการอย่างเป็นขั้นตอน ในตอนแรกผมเองก็เป็นผู้ที่คลั่งไคล้ในการอ่านหนังสือคนนึง ในตอนนั้นผมแค่มีความสุขในเทคนิคของการเขียนและสุดท้ายก็ส่งไปให้หัวใจของตัวเองได้รู้สึกและสัมผัสกับมัน แต่ว่า พอผมมาเป็นผู้กำกับ ผมจะต้องทำความเข้าใจกับมันใหม่ทั้งหมด ว่าจริงๆแล้วคดีมันเป็นยังไงกันแน่ มันเป็นเรื่องราวของอะไร คุณใช้กลยุทธในการเขียนแบบไหนที่ทำให้ได้ผลตอบรับจากคนดูในแบบที่คุณต้องการ ผมจะต้องคงคุณค่าของเทคนิคการเขียนของผู้ประพันธ์เดิมไว้ครับ

หลังจากที่เข้าใจในเทคนิคการเขียนแล้ว ผมก็จะต้องสรรหามุมของผมที่จะหันมามองเรื่องเรื่องนี้ ที่จะนำมาเล่าเรื่องราว นอกจากนี้ยังจะต้องทำให้มีความแตกต่างกับเวอร์ชั่นอื่นๆด้วย เพราะในเวอร์ชั่นอื่นๆก็มักจะมีการแสดงออกถึงเทรนด์ของคุณค่าเชิงวรรณกรรมที่ค่อนข้างจะโดดเด่น หมายถึง เรื่องนี้กับการตีความของผู้สร้างนั่นเอง ซึ่งผมก็มีการแสดงท่าทีในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่การแสดงท่าทีของผมนั้นก็จะค่อนข้างจะคลุมเครือนิดนึง ผมอยากจะเก็บพื้นที่ไว้ให้ผู้ชมได้วิเคราะห์ต่อเองด้วย เพราะฉะนั้น ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะมีบางส่วนที่ทำออกมาไม่ค่อยเหมือนกันกับเวอร์ชั่นอื่นๆ

เจี้ยเมี่ยนบันเทิง: เนื่องจากทางต้นฉบับได้มีบรรยากาศที่แสดงออกถึงความเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นพอนำเรื่องนี้มาถ่ายทำที่ประเทศจีน ก็จะมีหลายๆอย่างที่จะต้องปรับเปลี่ยน คุณได้คิดเรื่องที่จะปรับเปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำอย่างไรบ้างคะ

ซูโหย่วเผิง:พวกเราขบคิดเกี่ยวกับปัญหาในเรื่องนี้ไม่หยุดเลยครับ คอยหาช่องโหว่กับเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา ในการถ่ายทำภาพยนตร์ของเรา เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านมา ที่สำคัญคือเมื่อสัปดาห์ก่อนก็มีเสียงซักถามในสื่อโชเชียลที่พากันด่าผมจนผมถึงกับงงไปเลย ผมก็เลยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถทำให้มันออกมาดีให้ได้ เพราะฉะนั้นพวกเราเลยเต็มที่และจริงจังกับทุกๆรายละเอียดและที่คุณพูดถึงรายละเอียดในเรื่องฉากการถ่ายทำ ในส่วนนี้พวกเราทำออกมาดีมากครับ อย่างเช่น จักรยาน จากเนื้อเรื่องในนิยายได้พูดถึงจักรยานใหม่ที่หายไป ซึ่งเจ้าของจักรยานก็ไปแจ้งความและเมื่อแจ้งความแล้วก็จะสามารถระบุเวลาที่จักรยานของเขาถูกขโมยได้และจะนับว่าเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งของเขาเลย ทีนี้ในข้อแรก ที่ประเทศจีนเวลาที่คุณซื้อจักรยานดีๆมาซักคัน คุณจะไม่มีทางจอดมันทิ้งไว้ข้างถนนแน่ๆ แต่ถ้ามันเป็นแค่จักรยานธรรมดาๆ ถ้าคุณจอดมันทิ้งไว้ข้างถนนแล้วมันหาย คุณก็คงจะปล่อยมันหายๆไปคุณคงไม่ถึงกับไปแจ้งตำรวจหรอก ปัญหาแบบนี้พวกเราจำเป็นต้องช่วยกันคิดหาทางแก้ครับ ปัญหาแบบที่ว่ามานี้มีอยู่เยอะเลยนะครับซึ่งพวกเราจะต้องทำเต็มที่จนทุกคนสามารถรู้สึกได้ว่ามันใช่และดูน่าเชื่อมากที่สุด ผมคิดว่าเมื่อเข้าไปในหนังแล้วการที่คนดูจะเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่เรื่องราวนั้นๆได้สะท้อนออกมานั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

จดหมายจากคุณฮิงาชิโนะเคโงะ

“ประเทศจีนในวันนี้นับว่าเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีภาพยนตร์จากทั่วโลก การที่นิยายของผมได้ถูกนำมาถ่ายทำที่ประเทศจีนนั้น นับเป็นเกียรติของผมเป็นอย่างยิ่ง ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ตั้งใจ การที่ได้เห็นผู้ที่มีความสามารถอันยอดเยี่ยมอย่างพวกคุณช่วยกันรังสรรค์ผลงานภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์และไม่ได้ยึดติดกับต้นฉบับมากเกินไปจนขาดความยืดหยุ่นนั้นทำให้ผมรู้สึกยินดีและรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นผลงานของพวกคุณในเร็ววัน”

เจี้ยเมี่ยนบันเทิง:ในระหว่างการปรับ-เรียบเรียงบทภาพยนตร์ ได้มีการติดต่อกับคุณฮิงาชิโนะเคโงะ บ้างไหมคะ

ซูโหย่วเผิง:จริงๆแล้วไม่ได้ติดต่อกันเลยครับ เขาเป็นเทพนะอันนี้ต้องบอกก่อนเลย แต่สุดท้ายที่พวกเราได้รับจดหมายฉบับนั้นจากเขาก็ทำให้รู้สึกคาดไม่ถึงเหมือนกันนะครับข้อตกลงสันติภาพทางด้านลิขสิทธิ์ฉบับเมื่อก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่ามันค่อนข้างยาวผมก็เลยไม่ค่อยเคลียร์กับมันเท่าไหร่ จนผมเขียนบทละครไปถึงช่วงกลางๆท้ายๆของเรื่องแล้วนั่นแหละ จู่ๆก็ได้รับข่าวแจ้งมาว่าคุณฮิงาชิโนะเคโงะ อยากจะเห็นตัวบทละครของพวกเรา จนวันนี้แหละครับผมถึงจะเข้าใจในความหมายของเขาว่าจริงๆแล้วเขาไม่ได้มีเจตนาเข้ามาก้าวก่ายการรังสรรค์ผลงานของพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียวเขาเพียงแค่ต้องการจะเตือนพวกเราด้วยความปรารถนาดีและด้วยความมิตรมากๆว่า ผู้ที่มีอำนาจในลิขสิทธิ์นั้นคือตัวนิยายของเขาเองก็คือ...ลิขสิทธิ์ของผลงานฉบับที่เรียบเรียงใหม่ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นก็ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสถานีโทรทัศน์ฟูจิเทเลวิชัน ส่วนผลงานที่เป็นเวอร์ชั่นเกาหลีก็เป็นลิขสิทธิ์ของเกาหลีทางนั้นไป เพราะฉะนั้นจำไว้นะพรรคพวก ในเวลาที่พวกคุณสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นเวอร์ชั่นของจีนไม่ต้องแคร์กับเรื่องข้อพิพาททางลิขสิทธิ์นะ จุดประสงค์ของเขาเท่าที่ผมเข้าใจก็คงจะเป็นประมาณนี้แหละครับ 

เจี้ยเมี่ยนบันเทิง:ทำไมสุดท้ายคุณถึงเลือกหวังข่ายกับจางหลู่ยีเข้ามารับบทแสดงนำคะ ในมุมของผู้กำกับ สองคนนี้มีอะไรที่คุณรู้สึกว่าเหมาะกับบทบาทของตัวละครในท้องเรื่อง?

ซูโหย่วเผิง:พวกเขาสอดคล้องกับคาแรคเตอร์น่ะครับ คนทั้งสองที่ต่างก็มีความเป็นอัจฉริยะในหลายๆด้าน แต่ในอีกหลายๆด้านก็ยังเป็นตัวที่เอามาใช้วัดกันได้แบบพอดิบพอดี แบบนี้ถึงจะสามารถเพิ่มบรรยากาศของการตัดความสัมพันธ์ของชายทั้งสองได้ ซึ่งจริงๆแล้วพวกเขาทั้งสองคนต่างก็มีผลงานการแสดงไม่น้อยนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะดูไม่หมด แต่ผมก็พอมองออก ที่สำคัญที่สุดคือต้องมาเจอหน้ากันจริงๆแล้วลองมาพูดคุยกันน่ะครับ พวกเราต่างก็เป็นนักแสดง ถ้าคุณดูแค่สิ่งที่แสดงออกมาในภาพยนตร์ที่เขาเล่น คุณจะรู้ได้ยังไงว่าจริงๆแล้วเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่ผมคิดว่าการคุยกันแบบเจอหน้ากันจริงๆเนี่ยเป็นขั้นตอนที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีโอกาสได้เลือก นักแสดงที่เก่งๆเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกเช่นกันนะครับว่าพวกเขาจะไปอยู่ในกองถ่ายแบบไหน ไปอยู่กับผู้กำกับแบบไหน ซึ่งจริงๆแล้วผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆที่ได้เจอพวกเขาทั้งสองคน

เจี้ยเมี่ยนบันเทิง:บรรดาหนอนหนังสือที่คลั่งไคล้ในนิยายฉบับ original เนี่ยมีเยอะมากมายขนาดนั้น และในขณะเดียวกัน ภาพยนตร์ที่เป็นเวอร์ชั่นญี่ปุ่นกับเกาหลีก็ยังมีจุดพีคที่ดีไม่แพ้กันเลยทีเดียว ผู้กำกับอย่างคุณรู้สึกกดดันบ้างหรือเปล่าคะ? เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นที่ผ่านมา คุณคิดว่าความพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเวอร์ชั่นจีนอยู่ตรงไหนคะ?

ซูโหย่วเผิง:แรงกดดันเนี่ยจัดว่าได้ใจสุดๆไปเลยครับ มันเป็นการฝึกฝนทางจิตใจอย่างหนึ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนให้ความเศร้าและปวดร้าวกลายมาเป็นพลังให้ได้ เพราะฉะนั้นการบ้านที่ผมจะทำก็คือ หาคำตอบว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหนังแนวปริศนานี้กันแน่ มันเปรียบเทียบกับอะไรไม่ได้เลย แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่หนังแนวปริศนาจริงๆหรอก แต่ก็เป็นลักษณะที่มีความเป็นปริศนาคลุมไว้ภายนอก ข้างในมันเต็มไปด้วยอารมณ์ที่พันกันอยู่เต็มไปหมด   จริงๆแล้วคำพูดที่แฝงไปด้วยความรู้สึกต่างหากที่ดูน่าสงสัย ผมพูดแบบนี้เดี๋ยวก็มีบรรดาหนอนหนังสือออกมาไม่พอใจผมอีก (หัวเราะ) โดยหลักการแล้ว มันไม่ใช่หนังแนวไขคดีปริศนาซะทีเดียวหรอกนะครับ  ผลงานเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้นภาพยนตร์ของเราจะเซ็ตให้มันออกมาเป็นหนังแนวปริศนาไปเลยก็ไม่ได้ ถ้าหากคุณอยากจะดูหนังในแนวไขปริศนาแบบเพียวๆแล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่าถ้าคุณเดินเข้าโรงหนังแล้ว คุณจะต้องเดินออกมาด้วยความผิดหวังแน่ๆ เพราะมันสอบตก แนวภาพยนตร์ของหนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน การถ่ายทำในเวอร์ชั่นของพวกเราก็จะพยายามใช้มุมมองในหลายๆอย่างที่ไม่เหมือนกัน โดยมองเรื่องนี้ในแง่มุมที่ไม่เหมือนกันเพื่อให้ทุกๆคนได้คิด-วิเคราะห์ในมุมที่แตกต่างกันไป

55
[207.03.28] Suspect X แถลงข่าวการฉายรอบปฐมทัศน์ ที่เซี่ยงไฮ้ 上海
https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/1359709247400898

格瓦拉生
http://www.weibo.com/1644150884/EBT6hFL9m?type=repost#_rnd1490700660606

ForFans追星App
http://www.weibo.com/5612234891/EBUGFjcSv?type=repost#_rnd1490705202077

[ซูโหย่วเผิง หวังข่าย Wang Kai จางหลูอี Zhang Luyi เฮฮา และแกล้งกันที่เซี่ยงไฮ้] เย็นวันนี้ ภาพยนตร์เรื่อง[การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX]  ซูโหย่วเผิง หวังข่าย จางหลูอี สามเกลอแกล้งจิกกัดกันอย่างเฮฮา "ผู้กำกับซาตาน ซูโหย่วเผิง ต้องขอพูดเพื่อตัวเองบ้าง หลายครั้งที่แสดงทั้งสองมี 1-2 เส้นทางมาให้เลือก จางหลูอี Zhang Lu yi บอกว่าขับรถต้องใช้เทคเดียวเท่านั้น หวังข่ายบอกว่าอย่างน้อยต้อง 2-3 เทค ไม่ในเทคเดียวก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหมือนกัน จางหลูอี Zhang Lu yi บอกว่า "ผมโตมาพร้อมกับเพลงของเขา ผมชอบ ชิงผิงกั๋วเล่อหยวน" (สวนสนุกแอปเปิ้ลสีเขียว) พร้อมร้องสดกลางงาน"

ซูโหย่วเผิง บอกว่าตอนเจอกันครั้งแรก สายตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความสงสัย คนๆนี้จะไหวหรอ? จางหลูอี Zhang luyi บอกว่าได้เจอกับไอดอลวัยเด็ก หวังข่าย Wang Kai เองได้เจอเขาตอนเดินพรมแดงครั้งแรก ได้เห็นแค่หลังของเขา ไม่น่าเชื่อว่าผ่านไปไม่กี่จะมีโอกาสได้ร่วมงานกัน











56
1. ภาพยนตร์เสียนอี๋เหรินฯ #งานปฐมทัศน์รอบสื่อมวลชนที่ปักกิ่ง
เสียนอี๋เหรินฯ งานแถลงข่าวจบลงอย่างงดงาม คืนนี้ โปรดติดตาม

2.ภาพยนตร์เสียนอี๋เหรินฯ #งานปฐมทัศน์รอบสื่อมวลชนที่ปักกิ่ง
ในงานแถลงข่าวมีการเผยแพร่จดหมายจากลายมือของคุณฮิงาชิโนะ เคโงะ  เป็นครั้งแรก มีใจความว่า "ขอให้เสียนอี๋เหรินฯสามารถสะเทือนโลก และพวกคุณได้" ขอบคุณการสนับสนับสนุนและการยอมรับจากคุณเคโงะ

3.ภาพยนตร์เสียนอี๋เหรินฯ ตอบข้อสงสัย: เทียบกับภาคญี่ปุ่นและเกาหลีแล้ว ภาคจีนเป็นอย่างไร? เนื้อเรื่องและตัวละครของนิยายต่างประเทศจะสามารถทำให้เป็นบรรยากาศแบบจีนได้หรือไม่? พวกเขาจดจำ ถังชวน (คุรากาวะ) ,สือหง (อิชิงามิ), เฉินจิ้ง(ยาสุโกะ) ภาคจีนได้หรือไม่? ผลงานกำกับชิ้นที่ 2 ของซูโหย่วเผิง มีความพัฒนาหรือไม่? ภาพยนตร์สามารถเอาชนะใจแฟนหนังสือและดึงดูดคนทั่วไปได้หรือไม่? โดยเฉพาะผู้ชมจากเมืองเล็กๆ หวังข่ายและจางหลู่อีที่แสดงนำเป็นครั้งแรกจะสามารถทำออกมาได้ดีไหม? .... ดูแล้วมีข้อสงสัยเยอะมาก นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์ธรรมดาๆแล้วล่ะ

4. ภาพยนตร์เสียนอี๋เหรินฯ #งานปฐมทัศน์รอบสื่อมวลชนที่ปักกิ่ง
งานแถลงข่าวรอบปฐมทัศน์เสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการแล้ว วันที่ 31 มีนาคมไปโรงภาพยนตร์ดู เสียนอี๋เหรินฯ ด้วยกันนะ

[207.03.27] The Devotion Of Suspect X แถลงข่าวการฉายรอบปฐมทัศน์


vdo 電影《嫌疑人 x 的獻身》北京首映禮發佈會
https://www.youtube.com/watch?v=MVlHqjvUZ8E

อัลบั้ม
https://www.facebook.com/pg/AlecfanclubinThailand/photos/?tab=album&album_id=1356641487707674

อัลบั้ม 2
https://www.facebook.com/pg/AlecfanclubinThailand/photos/?tab=album&album_id=1357741270931029











57
อัลบั้มรูป
https://www.facebook.com/pg/AlecfanclubinThailand/photos/?tab=album&album_id=1355527387819084

苏有朋工作室
http://www.weibo.com/2721711263/EBD55gdSA?type=repost#_rnd1490541398978

牧雨高登
http://www.weibo.com/6015161735/EBBLJdqn5?type=repost#_rnd1490542543859

陈志朋的妖妖
http://www.weibo.com/2713268780/EBBcosHxo?type=repost#_rnd1490538607209

[2017.03.26] โรดโชว์ภาพยนตร์-Suspect X ที่ไท่โจว
http://www.weibo.com/5746403567/EBASFlfZg?type=repost#_rnd1490523928757

#ภาพยนตร์เสียนอี๋เหรินฯ #ตามหาผู้ต้องสงสัย x1ที่ไถโจว台州

ถามถึงความแตกต่างของมุมกล้องระหว่างเสียนอี๋เหรินฯและโจ่วเอ่อ ผู้กำกับซูโหย่วเผิงตอบว่า "ผลงานคนละประเภท มุมกล้องที่ใช้ก็ย่อมไม่เหมือนกัน โจ่วเอ่อเป็นหนังวัยรุ่น ภาพก็จะค่อนข้างกว้างๆ แต่ของเสียนอี๋เหรินฯจะถ่ายจากหลายมุม" ทางโรงภาพยนตร์ได้เตรียมเค้กก้อนใหญ่ไว้ให้ผู้กำกับตัดแบ่งพวกคุณด้วยตัวเองนะ






58
[2017.03.25] 苏有朋聊新作《嫌疑人X的献身》:对电影严格到林心如差点翻脸
http://news.sina.com.cn/c/2017-03-25/doc-ifycsukm3649199.shtml

苏有朋聊新作《嫌疑人X的献身》:对电影严格到林心如差点翻脸

四川在线消息(文/杨琳 图/肖雨杨)改编自日本推理小说家东野圭吾到同名小说,苏有朋执导的第二部电影《嫌疑人x的献身》将于3月31日全国公映。3月25日,苏有朋来蓉与影迷见面,聊起新作,他感叹道,比起《左耳》,这次的压力“就想空气一样如影随形”。

影片由王凯、张鲁一、林心如主演,讲述了一个“烧脑”的故事:在刑警学院任职的物理天才唐川与中学教师石泓年少相识,因彼此对数学的共同兴趣而惺惺相惜,多年后唐川在调查一桩杀人案时,身为石泓邻居的陈婧被列入警方的“嫌疑人”之中,石泓与唐川因此再度重逢,而唐川却在调查中发现了更大的秘密,并由此展开了一场高智商对决。

被网友骂反而成为动力

同名小说受到全球书迷的喜爱,此前,同名小说已被改编成日本电视剧和韩国电影。苏有朋坦言,原著丰富的人性表达是其决意执导的重要原因,“东野圭吾的作品善于用悬疑、犯罪的外衣包裹故事想要传达的人性的纠葛和复杂的情感。”近日片方公布了原作者东野圭吾的亲笔信。信中,东野圭吾对电影《嫌疑人x的献身》表示高度肯定,盛赞制作团队的努力。

虽然有原作者的鼓励,但苏有朋坦言:“很显然,这次题材比《左耳》难很多,压力比以前大,之前好不容易累积的经验,到这一部感觉好像不够用,还是要非常努力地去完成。”苏有朋还无奈地表示,“当听说我要拍东野圭吾的小说,我在网上就被骂得够呛,多亏了网友们的监督和探讨,促使我们剧组把这部电影拍好。”

精益求精 林心如差点翻脸

在压力之下,苏有朋对这部作品更“较真”了。为了让影片在好看、感动的同时,表达深刻的人性,苏有朋在项目启动之初就与团队多次深谈,从剧本到表演、摄影乃至配乐,逐一敲定每个部分。苏有朋说,“这个题材比较复杂,小说传达东西特别多,让观众看明白这么多转折,看懂真相是怎么回事,考验讲故事能力,这次真的是一道挺难的题。在做剧本的时候,里面每一个字都要认真地调,希望里面没有一个废字,所以每天对剧本都要对到天亮。”

对剧本严格”把关“也引来演员们的”抱怨“,苏有朋笑称,林心如差点跟他翻脸,”这样也是为了把戏拍好,对得起书迷和观众。“苏有朋也透露,“我们剧组的氛围挺压抑的,张鲁一跟王凯本来性格开朗,拍完沉默寡言,我把他们拍老了,我把自己也拍得满脸浮肿,把自己都拍老了,真是难为他们了。”

59
Online Interviews & Updates / [2017.03.23] รายการ 《明星大侦探》Who's The Murderer
« เมื่อ: มีนาคม 26, 2017, 06:34:38 AM »
[2017.03.23] 撒贝宁吐槽苏有朋身材引发何炅不满 一言不合就互怼
http://ent.cri.cn/20170323/747be470-e82b-c352-991b-61568113c2f1.html#0-tsina-1-34877-397232819ff9a47a7b7e80a40613cfe1

[2017.03.23] 撒贝宁吐槽苏有朋身材引发何炅不满 一言不合就互怼

 上周芒果TV《明星大侦探2》之《恐怖童谣》下卷播出后,精彩剧情和缜密逻辑获得好评,再次掀起讨论热潮。本周五即将播出的《绝望的主妇》中,何炅、撒贝宁、白敬亭等齐聚大保健身房,智破命案,全民偶像苏有朋惊喜加盟,扮演健身房苏前台。何炅一见苏有朋立刻开启小粉丝模式,惹撒贝宁狂吐槽。此外节目秉承一贯的烧脑风格,复杂剧情让众人感叹脑袋不够用,最后真相也让众人震惊,大呼“鸡皮疙瘩都起来了”。

  苏有朋加盟《绝望的主妇》 何炅秒变粉丝

  在本期《绝望的主妇》中,各明星来到大保健身房,杨蓉、王嘉尔化身健身房工作人员,展现好身材,何炅继续发扬“地主”体质,继上周继承六百间房的城堡后,本周再次成为房东,让撒贝宁羡慕不已。本周剧情再次烧脑升级,除死者外,还增加其他人物令线索更加复杂。此外,苏有朋也成为健身房前台,橘色休闲装尽显悠然本色。作为苏有朋迷弟,何炅也秒变小粉丝,在搜证时与苏有朋同框自拍,让一旁的撒贝宁表情无奈,督促两人赶紧寻找线索破案。

  撒贝宁吐槽苏有朋身材 引发“双北”CP互怼

  在《明星大侦探》里,何炅与撒贝宁的“双北”CP相爱相杀深受网友喜爱,本期撒贝宁何炅也因为苏有朋的到来再次互怼。许久不见苏有朋身材略微发福,在游戏过程中撒贝宁耿直吐槽苏有朋是“中等身材”,还不听劝反复强调,何炅却不满撒贝宁的表述起身维护称苏有朋是高等身材,两人一言不合再次互怼。苏有朋会有何回应?谁又是本案的凶手?本周五《明星大侦探2》之《绝望的主妇》,更加烧脑的剧情继续悬疑上线。

===========================================

苏有朋加盟《明星大侦探2》
http://www.weibo.com/ttarticle/p/show?id=2309351000984087950567689591#_0


   本报讯(记者 花蕾)近日,社交媒体上掀起“童谣”风,《明星大侦探》第二季的连贯案件《恐怖童谣》花样霸占热搜榜,不少自媒体大号也不断跟风安利。昨日,本报记者采访了该节目的工作人员,他告诉记者,第七案《恐怖童谣》播出后就已破十亿的播放量。


  事实上,《明星大侦探》 的节目不仅仅只是探案,还具有一定的社会意义。“比如关于网络暴力的《周五见》,从一个人气花旦的离奇身亡,玩家们抽丝剥茧,将背后的网络暴力、娱乐圈潜规则、粉丝行为都一一揭露,还有不少娱乐圈真人真事的还原,让看过节目的网友有了许多思考的余地。”工作人员告诉记者,几乎每一期都有意义,“再比如《2046》中,从一个实验室教授的过世,引发人类与人工智能的博弈、人类科技发展与人伦道德孰重孰轻的思考。”


  除了剧情,该节目也给了演员发挥的空间,例如撒贝宁,他的段子手属性得到了实战空间。人气小生白敬亭,之前一直是青春偶像剧中的“校园男神”,但两季节目下来,他逻辑清晰智商在线让网友印象深刻,已经成为娱乐圈少有的“智商担当”。本周五将播出的《绝望的主妇》中,“五阿哥”苏有朋也将初次试水推理综艺。至于他能否延续“学霸”?还要在节目中寻找答案。

60
#ภาพยนตร์เสียนอี๋เหรินฯ #ตามล่าหาผู้ต้องสงสัย x₁ ที่เฉิงตู

พูดถึงฉากหนึ่งในภายนตร์ ผู้กำกับซูโหย่วเผิงเผยว่า เขาอยากให้ฉากเหล่านี้สามารถบอกเล่าเรื่องราวไปในตัว สามารถช่วยให้คนดูเข้าใจจิตใจของตัวละคร และสำบัดสำนวนที่พวกเขาพูดกันในเรื่องได้มากขึ้น สำหรับที่ว่าฉากเหล่านี้บอกอะไรนั้น อยากให้ทุกคนได้สัมผัสด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ฉากต้นไม้ธรรมดาทั่วๆไปที่ทุกคนเห็น แต่เห็นแล้วกลัวไปเป็นวันเลยนะ










หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 21