Alec Su Youpeng fanclub in Thailand

Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน => Interviews & Video Clips => ข้อความที่เริ่มโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 26, 2010, 07:43:42 PM

หัวข้อ: 2004 Suyoupeng in Super Talk
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 26, 2010, 07:43:42 PM
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง"
หย่าเชียน เช่าจี่ฝั่นเวิ้น 17-08-2004

Alec Su : ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 1
https://www.youtube.com/watch?v=cbzQTJmtK8E

Alec Su : ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 2
https://www.youtube.com/watch?v=8RtrXgaqgl0&t=168s


http://www.tudou.com/programs/view/Ex1Agka4n-U/
http://www.tudou.com/programs/view/oaWtACSHghs/


(https://www.picz.in.th/images/2017/07/23/13686722_915328648577980_6196545186998861641_n.jpg)
(https://www.picz.in.th/images/2017/07/23/13707784_915328598577985_6034653300514814992_n.jpg)
(https://www.picz.in.th/images/2017/07/23/13726817_915328601911318_5933350199166343120_n.jpg)
(https://www.picz.in.th/images/2017/07/23/13754626_915328605244651_4098571039569184276_n.jpg)
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 28, 2010, 07:51:14 PM
ตอน 1. บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง"

ช: ขอยินดีต้อนรับเพื่อนที่มาร่วมรายการกับพวกเราอย่างคับคั่ง

ญ: บรรยากาศของวันนี้นั้นคึกคักเป็นอย่างมาก

ช: ใช่เพราะศิลปินที่จะมาในวันนี้นั้นเป็นศิลปินที่ดังมากๆ

ญ: อย่างไรก็ตาม ก่อนที่แขกรับเชิญจะออกมานั้น ก็จะต้องเข้าสู่รายการของเราคือ การสัมภาษณ์พิเศษ เราขอเสียงปรบมือให้กับต่วนซิ่นจี้เล้อ เอาล่ะถ้างั้นจะร่วมสนุกกับ (การสัมภาษณ์พิเศษ)นี้กับพวกเราได้อย่างไร เราจะมาแนะนำการใช้ FW ของต่วนซิ่นจี้เล้อว่าจะทำอย่างไร คือ 366358

ช: การใช้ FW นั้น ส่งไปที่ 996356

ญ: แค่เพียงเท่านี้ก็สามารถร่วมสนุกกับเราแล้ว

ช: ทุกคร้งพวกเราก็จะเอาสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้มาร่วมรายการกับแขกรับเชิญของเรา

ญ: ใช่ คุณดูครั้งที่อู่จิงมานั้น เขาเป็นศิลปะการต่อสู้ ฉะนั้นในรายการก็มีผู้ชอบศิลปะการต่อสู้ เป็นอย่างมาก

ช: แม้กระทั่งเด็กที่มาก็ยังฝึกกังฟูเลย

ญ: ตอนที่เราทำเฉียนหยงฮู

ช: ก็มีผู้ชมวัยกลางคนมามากมาย

ญ: ใช่ๆๆ แต่ว่าในวันนี้แปลกมาก ฉันเองก็งงเหมือนกัน เพราะครั้งนี้นั้น มีคุณแม่มาด้วย มีคุณยาย มีเด็กๆ

ช: มีคุณย่า

ญ: มีคุณปู่ มีคุณน้า มีคุณอา

ช: แขกรับเชิญครั้งนี้เขาน่าจะมีคนชอบทุกวัยเลย มีทั้งชายหญิงเด็กคนแก่รวมกันหมดเลย

ญ: แล้วคุณคิดว่าคนนี้เป็นใครกัน ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้

ช: ก็หมายความว่าอายุปีที่เขาเริ่มเข้าสู่วงการของเขานั้นยาวนานมาก เมื่อพูดถึงเริ่มเข้าสู่วงการจนมาถึงวันนี้นั้น รวมทั้งหมดก็ 15 ปีเต็มๆ 15 ปี นั่นก็แสดงให้เห็นว่าอายุของเขาคงเยอะแล้ว
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 28, 2010, 07:54:24 PM

ญ: ตามที่ฉันเข้าใจมา คุณกับเขาก็ไล่เรี่ยกันแหล่ะ

ช: น้อยกว่าผมด้วยซ้ำไป เขานั้นเข้าสู่วงการเร็ว เป็นดาราเด็กเลยแหล่ะ อยากจะดูไหมว่าตอนเด็กๆเขาเป็นอย่างไร

ญ: ใช่ พวกเรามาดูซิว่ารูปถ่ายของเขามีหน้าตาเป็นอย่างไร เชิญเลยค่ะ

ช: นี่เป็นรูปติดใบสมัครนี่

ญ: ฉันรู้สึกว่า เขาเป็นคนหล่อในดวงใจเราเลยแหล่ะ แต่ทำไมรูปนี้มัน ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่มันสง่าอะไรอย่างนั้นเลย

ช: มันเหมือนกับช่วงที่เขาเพิ่งเข้าสู่วงการเลย คุณดูสายตาของเขา เหมือนกับมีความเขินอาย

ญ: ยังมีความรูสึกที่เป็นเด็กเชื่อฟัง(ไกว)

ช: อย่าไปพูดว่าไกวๆ เด็ดขาดนะ เขาเกลียดคนที่เรียกเขาว่าไกวๆมากๆ เขาไปออกรายการที่อื่นแล้วเคยพูดว่า หากคุณจะเรียกผมว่า ไกวๆหู่ หรือเรียกผมว่า เสี่ยวไกวๆ ผมจะต่อยคุณเลยแหล่ะ

ญ: จริงหรอ งั้นพวกเราจะเรียกเขาว่าอะไรดี พีพี(ดื้อ) เขาไม่ไกว (ไม่ดื้อ)ก็ต้องเรียก พีพี

ช: เสี่ยวเถา (ซน) แล้วช่วงนี้บุคลิกนิสัยของเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างไรบ้างแล้ว พวกเราขอเชิญแขกรับเชิญพิเศษของเรา คือ ซูโหย่วเผิง ของพวกเราเอง

ญ: สวัสดีค่ะ ๆ มา โหย่วเผิงมาทักทายกับทุกคนหน่อย
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 28, 2010, 08:00:03 PM
โหย่วเผิง: สวัสดีครับทุกท่าน สวัสดีๆ ดีใจมากที่วันนี้ได้มีโอกาสมาพูดคุยกับพวกเราที่นี่

ญ:เมื่อกี้พวกเราก็ได้พูดไปแล้วว่า จริงๆแล้วพวกเราดูรูปนี้ไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้เอารูปที่หล่อที่สุดของคุณออกมาโชว์ คุณดูซิ ดูเองก็แล้วกัน

ช: คุณคิดว่าตัวเองหล่อไหม

โหย่วเผิง: นี่เป็นรูปถ่ายติดไว้ใน เฟรนด์ชิพ (Friendship)ตอนที่ผมจบมัธยมต้น หน้าตาตอนอายุ 14-15 ก็ยังไม่โตเต็มที่ ในช่วงนั้นเพราะว่าก่อนหน้านี้นั้นผมเองเป็นคนสายตาสั้นมาก จนถึง ม. 2 มั้ง ก็ได้ใส่คอนแทกเลนส์แล้ว ฉะนั้นตอนนั้นยังไม่ค่อยชินกับการใส่เท่าไหร่ แล้วตอนนั้นก็รู้สึกน่าเกลียดที่ตัวเองตาโตมาก ฉะนั้นตาก็จะเป็นลักษณะนี้ ตาเปิดกว้างๆแล้วถ่ายรูป

ช: แต่คุณดูซิว่า เหมือนกับว่าสายตาคุณนั้นไร้ความรู้สึกเลยแหล่ะ

ญ: อย่างไรก็ตามคุณก็ได้เจอสุดหล่อแล้ว คุณก็มักจะไปหาจุดด้อยของพวกเขา นี่คุณร้ายมากเลยนะ

ช: นอกจากสายตาที่ไร้ความรู้สึกแล้ว อีกด้านหนึ่งคือเขาเป็นเด็กที่น่าสงสารอะไรอย่างนั้น เด็กประเภทนี้มันเยอะมากจริงๆใช่ไหมครับ เมื่อเดินไปที่ถนนก็จะเจอแต่เด็กประเภทอย่างนี้ (สายตาสั้น)
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 29, 2010, 06:31:13 PM
โหย่วเผิง: พูดมาก็ถูกนะ

ญ: พูดจนแขกรับเชิญจะหนีแล้ว ครั้งนี้ที่โหย่วเผิงมาเราดีใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อกี้ได้พูดไปแล้ว จริงๆแล้วคุณได้ผ่านช่วงเวลาแห่งวัยมาหลายช่วง งั้นวันนี้ที่มาที่นี่ ทางรายการของเราก็มีอะไรพิเศษ คือทางรายการของเราจะเจาะเรื่องราวเบื้องหลังชีวิตหลายอย่างของคุณที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน ทำไมคุณมองฉันอย่างนั้น

ช: มีปัญหาอะไรไหม แบบว่าพวกเรามาแค่พูดคุยๆกันเอง คงไม่มีปัญหานะ

ญ: มางั้นพวกเราสามารถที่จะสัมภาษณ์พิเศษได้เลย


The end part 1
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 30, 2010, 09:49:29 AM
ตอน 2. บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง"

ช: เอ่ยถึงโหย่วเผิงแล้ว พวกเราทุกคนล้วนชื่นชอบ และที่ทางรายการของเราก็มีผู้เข้าร่วมรายการมากมายที่เป็นแฟนเพลงแฟนละครจากที่ต่างๆได้นำช่อดอกไม้มามอบให้

ญ: ยังมีทั้งของขวัญและผลไม้มากมายอีกด้วย สิ่งที่พวกเราได้เห็นเมื่อกี้นี้คือ รูปในสมัยมัธยมของคุณ เป็นรูปที่ตอนจบมัธยมต้น

ช: ตอนเด็กคุณก็ได้สวมแว่นอันใหญ่เลยใช่ไหม

โหย่วเผิง: ใช่ ตอนประถมศึกษา (ป.2) ผมก็สายตาสั้นแล้ว

ช: มันสั้นขนาดไหน

โหย่วเผิง: จนถึงผมจบมัธยมต้นแล้ว ก็สายตาสั้นถึงประมาณ 600 กว่าละมั้ง และจบมัธยมปลายก็ประมาณ 800 กว่า

ช: หากว่าถอดแว่นออกคุณก็จะมองไม่ชัด

โหย่วเผิง: ก็ประมาณนั้นแหล่ะ

ญ: เราลองมาดูซิว่า รูปถ่ายตอนเด็กของโหย่วเผิงรูปหนึ่ง โฮ้ มันไม่เหมือนคุณเลย ตอนนั้นอายุเท่าไรหรือ

โหย่วเผิง: นี่เป็นรูปตอนจบอนุบาล ผมยังจำได้ว่าตอนนั้น คือก่อนจะจบ ทุกคนก็จะไปถ่ายรูปที่ชายหาด ไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แล้วผมเองก็เป็นเด็กที่ซนมากๆ เพราะตั้งแต่เด็กผมก็ซนอยู่แล้ว เป็นพวกชอบอยู่ไม่สุข เมื่อเราไปถึงที่ชายหาด ผมก็ไม่สนใจในการที่จะเกาะกลุ่ม ผมวิ่งไปเล่นน้ำอีกที่หนึ่ง แล้วทำให้เปียกไปทั้งตัว คุณครูก็โมโหมากๆ ก็ให้ผมถอดเสื้อผ้าจนหมด จากนั้นสุดท้ายทุกคนมีเสื้อคลุย มีเพียงผมคนเดียวที่อยู่อย่างนี้ ไม่มีเสื้อผ้าใส่ อายมากเลยไปหลบอยู่ข้างๆ


ญ: เด็กผู้ชายไม่ใส่เสื้อ ทำไมต้องปิดด้วย จริงๆแล้วไม่เป็นไรนี่

ช: อายุแค่ 4-5 ขวบ คงไม่มีเขินอายมั้ง

โหย่วเผิง: ผมเริ่มมีความเขินอายแล้ว ผมเป็นพวกแก่แดด

ช: เรามาดูรูปที่สองกัน

โหย่วเผิง: นี่น่าจะอยู่ในช่วงประถมศึกษานะ

ช: แต่ว่าดูคุณแล้วรู้สึกโตมากเลยนะ

โหย่วเผิง: เพราะว่าช่วงประถมศึกษานั้น ทุกคนก็มีชุดนักเรียนแล้ว ผมจำได้ว่าตอนที่จบประถมศึกษานั้น ผมกับเพื่อนๆไม่เหมือนกัน ทุกคนล้วนใส่แจ๊คเก็ต ผมเป็นคนที่แตกต่างไป โดยไปตัดชุดสูท แล้วก็สวมแว่นหนาๆอันหนึ่ง ฉะนั้นในบรรดาหมู่เพื่อนๆแล้ว มันจะทำให้ผมรู้สึกแก่มาก

ช: คุณนั่งอยู่ในกลุ่มแล้วใส่สูท ถ้าดูไปแล้วคุณจะเหมือนครูใหญ่หรือเปล่า

โหย่วเผิง: คงเหมือนนิดหน่อย

ช: ความรู้สึกเหมือนเป็นครูใหญ่น้อย

ญ: และในวันนี้ ฉันรู้สึกว่าเขาอยากจะสื่อผ่านทางการแต่งกายของเขาให้รู้ว่าเขาเป็นนักเรียนดี อะไรอย่างนั้น

โหย่วเผิง: ตอนเด็กผมจำได้ว่าผมเองก็เป็นเด็กศิลปะประมาณนั้น
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 30, 2010, 09:54:25 AM
ญ: โหย่วเผิง คุณรู้ว่าสมาชิกในเสี่ยวหู่ตุ้ยของพวกคุณนั้น เคยได้มาร่วมรายการของพวกเราด้วย

โหย่วเผิง: ผมรู้ ผมรู้ อู่ฉีหลง

ญ: เขาเคยพูดกับคุณไหม เขาได้พูดความรู้สึกที่มาในรายการนี้ไหม ได้มีโอกาสคุยกับเขาหรือเปล่า

โหย่วเผิง: เพราะตอนนี้เขาเป็นอาเสี่ยไปแล้ว ยุ่งมาก

ญ: แล้วคุณอยากจะฟังสิ่งที่เขาให้คำแนะนำกับคุณไหม

โหย่วเผิง: ผมไม่อยาก

ญ: ไม่อยากฟังหรือ เพราะอะไรล่ะ

โหย่วเผิง: ไม่หรอก ล้อเล่น

ช: แค่คุณบอกว่าไม่อยากฟัง พวกเราก็ยากในการดำเนินรายการต่อไปแล้วนะ รู้ไหมยังมีหลายรายการรออยู่

ญ: เขาล้อเล่น

ช: เขามีการแนะนำหลายอย่างที่จริงใจมาก เขามีข้อระวังหลายเรื่องที่แนะนำก่อนจะมาออกรายการนี้ คุณลองฟังดูก่อน ดีไหม

อู่ฉีหลง: หวัดดี โหย่วเผิง ได้ยินไหม ผมจะบอกกับคุณว่ารายการนี้เนี่ย ผมเองก็พึ่งไปมาไม่นานนี้เอง คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว เพราะรายการนี้นั้น เขาได้ถามอย่างละเอียดมากๆ บางครั้งทำให้คุณร้องไห้เลย บางครั้งก็ทำให้คุณหัวเราะ แล้วพวกเขาจะเอาเรื่องอดีตหลายๆเรื่องของคุณ บางครั้งเรื่องบางอย่างที่คุณคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะรู้ล้วนจะถูกพวกเขาขุดออกมาทีละเรื่องทีละเรื่อง ฉะนั้นสู้ๆ ระวังหน่อย อย่าเป็นเหมือนผม ขายหน้าจริงๆ ยังมี เหตุเพราะมีผมที่เคยมาร่วมรายการก่อนคุณ อยากจะเตือนคุณที่นี่หน่อย หากมีเรื่องอะไรตัวเองต้องพูดก่อน พูดตรงๆจะทำให้ไม่ลำบาก ปิดๆเปิดๆจะลำบาก คุณเข้าใจนะ ตัวผมเองโดนมาก่อนแล้ว ก็ไม่เป็นไรแล้ว

ช: มา พวกเรามาขอบคุณอู่ฉีหลง

ญ: มีเรื่องอะไรที่ตัวเองเจอก่อนแล้ว

ช: คุณรู้ไหมวันนั้นที่ดำเนินรายการกับอู่ฉีหลง เขามาอย่างดีอกดีใจ แต่ขากลับถูกหามส่งออกไป

ญ: ยิ่งกว่านั้นตัวเขาเองก็รู้สึกว่า เขาล้มเหลวไม่มากก็น้อย ก็คือสังเกตุเห็นว่าตัวเองคบเพื่อนไม่ระวัง แล้วยังไปเปิดร้านอาหาร ให้พวกเขามากินๆดื่มๆ สุดท้ายก็รู้ว่าพวกนั้นไม่ใช่เป็นเพื่อนจริงๆ

โหย่วเผิง: ใช่ กลับไปแล้วก็ปิดร้านไปเลย
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 30, 2010, 10:07:44 AM
ช: พูดถึงโหย่วเผิงแล้ว ภาพลักษณ์ของคุณที่มีมาตลอดก็คือ ภาพที่ดีเชื่อฟัง ตอนเด็กคุณเหมือนเด็กในวัยเดียวกันกับคุณอย่างนั้นหรือเปล่าที่

ญ: เขาห้ามพูด "ไกว" อีก

ช: คือ ทั้งเกเร ทั้งซุกซน เป็นอย่างนั้นไหม

โหย่วเผิง: มี แน่นอนอยู่แล้ว มันก็ต้องมี

ช: แล้วซนจนถึงจุดไหน

โหย่วเผิง: ตอนเด็กนั้นผมเป็นคนร่าเริงมากๆ เป็นเด็กไฮเปอร์

ญ: ตอนเด็กๆหรือ

โหย่วเผิง: ใช่ ตอนอยู่ประถม ผมเป็นเด็กไฮเปอร์ คุณครูสอนหนังสืออยู่ข้างบน เสียงที่ผมอยู่ข้างล่างพูดนั้นก็จะดังเหมือนเสียงที่ครูสอนอะไรอย่างนั้น

ช: พูดจริงหรือพูดเล่น

โหย่วเผิง: จริงๆ

ญ: ฉันรู้ว่าเด็กอย่างคุณในตอนนั้นเป็นพวกเด็กที่น่ารำคาญมาก

โหย่วเผิง: แต่ว่าการบ้านผมกลับทำได้ดีนะ ฉะนั้นคุณครูก็จะไม่ได้คิดอย่างที่คุณคิดอย่างนั้น

ช: เวลาที่คุณเกเรนั้นมักจะเป็นอย่างไร

ญ: เคยแบบมีความรู้สึกว่าครูให้ท้ายอย่างนั้นหรือเปล่า

ช: ใช่ ตัวเองกลับมาคิดดูแล้ว ว่าตอนเกเรนั้นตัวคุณเป็นอย่างไร

ญ: ตอนที่อยู่กับเพื่อนๆ

โหย่วเผิง: ทำไมรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอย่างนั้น

ญ: แต่ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นการมาร่วมรายการของคุณก็ดี ไม่ว่าจะให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวก็ดี ก็ยังนับว่าปกติอยู่ แล้วตอนที่อยู่กับเพื่อนๆปกติอย่างนี้หรือเปล่า

โหย่วเผิง: ตอนเด็กนั้นผมเองไม่ปกติจริงๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นชอบแสดงออกอะไรอย่างนั้น

ญ: แล้วตอนนี้ยังชอบแสดงออกอยู่หรือเปล่า

โหย่วเผิง: ตอนนี้ก็นับว่าดีขึ้นหน่อยแล้ว

ญ: ไม่นะ ตอนนี้ก็ยังมีคนอื่นว่าคุณชอบแสดงออกมากเลย มาลองฟังว่าเพื่อนคุณพูดว่าไง


อู่ฉีหลง: จะบอกถึงความปัญญาอ่อนของเขาให้คุณฟัง ยกตัวอย่างช่วงปี 92 เสี่ยวหู่ตุ้ยได้มีการทัวร์คอนเสิร์ด ผมจำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง เป็นช่วงที่เสร็จจากงานคอนเสิร์ดแล้วเนี่ย พวกเราก็ไปพักอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งธรรมดาแล้วร้านอาหารก็จะเป็นแบบถนนยาวๆ พวกเราก็เลือกห้องที่ใกล้ที่สุด แล้วเขาก็กระโดดจากถนน โดดไปอย่างน่าตื่นเต้น โดดไปโดดมา ยิ่งโดดยิ่งสูงๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทันใดที่เขาโดดขึ้นสูงๆแล้วทำฝ้าของคนอื่นแตกจนเป็นรู แล้วหัวของเขาก็ได้รับบาดเจ็บ นี่ก็คือสุขตัวเองแต่ต้องเจ็บตัว แต่ว่าจากจุดนี้ก็ให้คุณเห็นถึงความเดียงสาของเขา ความน่ารักของเขา ก็คือเวลาที่สบายใจ เขาก็จะมีความสุขสุดสุด


หลินซินหยู: จริงๆแล้ว ฉันรู้สึกว่าตัวเขาเองจะอยู่ในบริเวณที่คิดว่าปลอดภัย คือไม่มีคนนอก ไม่มีอะไรที่จะให้ตัวเองไปกังวลนั้น เขาก็จะสบายๆมาก เขาจะเล่นกับคุณอย่างสบายๆ ไม่ว่าจะหยอกล้อเล็กๆน้อยๆ หรือว่าจะเป่ายิงฉุบ หรือว่าเวลาที่พวกเราร้องเพลงด้วยกัน แม้กระทั้งมีกิจกรรมที่แปลกๆเขาเองก็ปรับตัวกับมันได้ เขายังสามารถเลียนแบบอารมณ์ของฉันได้ คุณสามารถให้เขาทำให้คุณดูก็ได้
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 30, 2010, 08:49:15 PM
ญ: เรื่องที่อู่ฉีหลงเล่าไปนั้น

โหย่วเผิง: เรื่องที่เขาเล่านั้นเป็นเรื่องจริง ใช่ ประมาณ 11 ปีก่อนคือเสี่ยวหู่ตุ้ยได้มาที่จีน เป็นกลุ่มแรกของไต้หวันที่มาออกทัวร์คอนเสิร์ด ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมพึ่งสอบผ่าน เป็นช่วงที่อัลบั้ม(รัก)พึ่งออกจำหน่าย และตรงกับช่วงที่ผมสอบเข้ามหาลัยได้ ฉะนั้นในใจนั้นมีความสุขมากๆ ยิ่งกว่านั้นในช่วงที่ผมเป็นนักเรียนนั้นผมชอบเล่นบาสมากๆ บางครั้งว่างๆก็จะกระโดด จั๊ม ก็คืออยู่ที่ทางเดิน ใช่ ก็เดินไปแล้วจั๊มไป โดดๆ จั้มๆ แล้วสังเกตุว่าเอวเราจะโดดได้สูงมาก สุดท้ายก็โดดสูงจนโดนฝ้าจริงๆ เลือดไหลไม่หยุดเลย

ช: โอ้ คุณได้ชนเพดานนั้นจนทะลุเลยหรอ แล้วตรงหัวก็ได้รับบาดเจ็บมีแผลเป็นด้วย

โหย่วเผิง: จริงๆแล้วฝ้าบางชนิดก็ไม่ใช่ว่าแข็งขนาดนั้น ตอนนั้นก็เหมือนกับว่ามันมีกรอบแล้วเอาฝ้ามาวางในกรอบมันเป็นแผ่นๆ แค่วางไว้ที่กรอบเท่านั้นเอง ฉะนั้นคุณสามารถชนมันออกมาได้ คุณเข้าใจความหมายของผมไหม ใช่ ผมก็ได้ชนฝ้าทั้งแผ่นออกไปแล้วหัวก็ไปคาที่กรอบของมัน หัวก็ไปชนถูกกรอบของมัน

ญ: แล้วคุณได้เห็นทิวทัศน์บนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

โหย่วเผิง:ใช่ แม้แต่ตัวเองก็ยังคิดไม่ถึงว่าจะโดดได้สูงขนาดนี้

ญ: ฉันรู้สึกว่าคุณจะเป็นพวกโรคไฮเปอร์ อะไรอย่างนั้น

โหย่วเผิง: ตอนเด็กนั้นผมเองเป็นคนร่าเริงมากๆ เป็นเด็กประเภทหยุดนิ่งไม่ได้

ช: แล้วเรื่องที่หลินซินหยูเล่าล่ะ

โหย่วเผิง: ผมเองก็ไม่ค่อยสนิทกับเธอสักเท่าไหร่ เรื่องที่เขาเล่านั้นอาจไม่จริง

ญ: ไม่นะ เขาบอกว่าคุณเนี่ยเซียนมากๆ คือเลียนแบบอารมณ์โมโหของเธอได้

โหย่วเผิง: ผมจำได้ว่า คือน่าจะเป็นละครเรื่องแรก(องค์หญิงกำมะลอ)เรื่องนั้น เพราะตอนนั้นตัวเองไม่มีประสบการณ์การแสดงเลยสักนิด ฉะนั้นผมมักจะ..ก็คือ ช่วงที่ตัวเองไม่ได้เข้าฉากนั้นผมก็จะไปดูพี่ๆ หรือว่านักแสดงคนอื่นแสดงอย่างไร แล้วตอนนั้นก็มักจะไปเลียนแบบคนอื่น และผมเองก็รู้สึกว่าที่เขาแสดงเป็นจื่อเวยนั้นก็มีเอกลักณ์ของจื่อเวย คุณรู้ไหม เวลาที่เธอพูดก็มักจะตาโตๆ
 

ญ: แล้วตอนที่หลินซินหยูโมโหจะเป็นอย่างไร เขาบอกว่าคุณเลียนแบบได้เนียนมาก

โหย่วเผิง: พี่หัวโต เธอชอบเรียกผมว่า "พี่ซูหัวโต"

ญ: แล้วใช้ได้ไหม

โหย่วเผิง: ต้องดูสถานการณ์ เพราะผมกับเธอไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่

ช: แล้วหัวคุณใหญ่จริงๆหรอ

โหย่วเผิง: หัวผมใหญ่ แต่เด็กหัวก็โตแล้ว หากว่าคุณสังเกตุรูปถ่ายวัยเด็กของผม ก็จะเห็นว่าหัวผมโตมาก แล้วแบกไม่ไหว เวลาเดินๆเดินๆก็จะเอียงไปข้างหลังอย่างนี้ ในจีนผมเห็นเพียงแค่หัวของจางหยีเท่านั้นที่ใหญ่กว่าของผม


The end part 2
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 30, 2010, 08:54:37 PM
ตอน 3 บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง"

ญ: ภาพยนตร์แนวชุดโบราณของคุณเยอะมาก ฉันเข้าใจว่านักแสดงก็จะมีการเปลี่ยนไปตามสถานที่ เมื่อกี้คุณบอกว่าพักที่โรงแรมบ่อยมาก แล้วที่ปักกิ่งไม่มีบ้านของตัวเองมั้ง

โหย่วเผิง: ไม่มี บ้านก็ยังอยู่ที่ไทเป

ช: อยู่ที่ไทเป แล้วบ้านคุณสะอาดไหม เพราะว่าพวกเราได้ทำการสำรวจมา มันแปลกมาก ยกตัวอย่าง ขณะที่เป็นแขกรับเชิญได้ถามว่า คุณเป็นคนที่รักสะอาดไหม คุณเป็นคนที่มอมแมมไหม แล้วเพื่อนๆของเขาก็จะบอกกับพวกเรา แต่ว่าสำหรับเพื่อนๆของคุณนั้นแปลกมาก พวกเขาได้บอกเราว่า โหย่วเผิงเป็นคนที่มอมแมมที่มีความสะอาดด้วย

โหย่วเผิง: จริงๆแล้วในจิตใจนั้นเป็นคนที่รักความสะอาด แต่ในการกระทำน้นจะออกแนวมอมแมม พูดอย่างนี้ไม่รู้เข้าใจไหม

ช: มีนักแสดงมากมาย ขณะที่เราไปสัมภาษณ์พวกเขาแล้วมักจะบอกว่า บ้านนั้นสำหรับข้าพเจ้าเสมือนโรงแรม

โหย่วเผิง: สองสามปีมานี้ก็จะเป็นอย่างนั้น ยุ่งจริงๆ

ช: แล้วโรงแรมในบ้านของคุณนั้นสกปรกไหม

โหย่วเผิง: โรงแรมนั้นก็สกปรกมากนะ เดินยากมาก

ญ: แล้วคุณเห็นด้วยกันการพูดอย่างนี้ไหม คือมอมแมมแต่สะอาด

โหย่วเผิง: ก็คงเป็นอย่างนั้นแหล่ะ
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 30, 2010, 09:02:09 PM
ญ: ให้เรามาฟังว่าพวกเพื่อนของเขาจะวิจารณ์เรื่องนี้อย่างไร

ช(เพื่อน): บ้านของเขานั้นมันยุ่งไปหมด เมื่อเดินเข้าประตูปุ๊บ บทละคร ซีดี เสื้อผ้าของเขาแน่นอนเยอะมากๆ ชุดทำงาน อาหารอะไรอีกมากมาย ในห้องที่ยุ่งนั้นมีเพียงที่เดียวที่ว่างอยู่นั่นก็คือเตียงนอน ที่อื่นนั้นเต็มไปด้วยของ แม้แต่ที่จะเหยียบเดินก็ไม่มี


หลินซินหยู: ไม่เพียงแต่ห้องนอนรก รถก็ยังรก เพราะว่าก่อนหน้านี้ฉันเคยนั่งรถของเขา ฉันก็บอกกับเขาว่าเบาะหลังเป็นที่นั่งของขยะใช่เปล่า รวมทั้งห้องนอนของเขา ยากที่จะหาที่ยืนหรือที่นั่งได้ คุณต้องก้าวข้ามสิ่งของหลายๆอย่าง ถึงจะหาที่ว่างเจอ


ญ(เพื่อน): ตอนที่ฉันไปบ้านทีเซี่ยงไฮ้ของเขานั้น เมื่อเข้าไปในห้องของเขาปุ๊ปก็ตกใจ มันขาวไปหมด เหมือนกับเป็นห้องนอนของผู้หญิง มันสะอาดมากๆ เมื่อฉันดูแล้วคิด เอ้ เป็นห้องของโหย่วเผิงหรือที่มันสะอาดอย่างนี้



ช: พวกเราก็แยกไม่ออกว่าคุณเป็นคนมอมแมมหรือสะอาดกันแน่

โหย่วเผิง: เพราะในตอนนั้น พึ่งย้ายเข้ามาที่บ้านเซี่ยงไฮ้ ยังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์เลย

ญ: ฉันเข้าใจแล้ว มันใหม่ ก็เลยยังสะอาดอยู่
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 30, 2010, 09:04:45 PM
ช: แล้วตอนนี้เป็นไงบ้าง ตอนนี้กลายเป็นสีดำไปหมดแล้วหรือเปล่า

โหย่วเผิง: ไม่หรอก เราไปที่นั่นน้อยครั้งมาก ก็คือปกติแล้วจะเอาเป็นที่เก็บของ แต่ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นก็เป็นความจริง โดยเฉพาะในรถของผมนั้น ผมก็มักจะเรียกว่าเป็นสุสานของซีดี เพราะผมเป็นคนที่ชอบฟังดนตรีมากๆ ฉะนั้นก็มักจะมีพวกซีดีมากมาย แล้วซีดีของผมเมื่อหยิบจากที่บ้านไว้ในรถแล้วก็มักจะหาไม่เจอ ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน ไม่รู้ว่าถูกฝังไว้ส่วนไหนของรถ แล้วน้องชายก็รกยิ่งกว่าผมอีก เพราะผมอยู่กับน้องชาย เขาแย่กว่าผมอีก ใช่นี่เป็นกรรมพันธ์ของตระกูลพวกเรา และรวมทั้งพ่อก็เป็นคนรกเหมือนกัน

ช: แม้แต่กรรมพันธ์ยังเอาออกมา คือรกไปทั้งบ้าน ในการรกนั้นก็มีระเบียบด้วยใช่เปล่า

โหย่วเผิง: ฉะนั้นคุณแม่ก็เลยเป็นบ้า แม่ผมเองก็เป็นคนทีไม่ค่อยชอบทำงานบ้านด้วย แต่ว่าทุกครั้งก็ทนดูไม่ได้

ช: คุณแม่คุณก็ไม่ชอบทำงานบ้านด้วย

โหย่วเผิง: แต่ว่าอย่างไรก็ตามเขาเป็นคนที่ทำงานบ้านเก่งทีสุดในบ้านของเรา อย่างไรเขาก็เป็นแม่นี่

ญ: แต่ว่าคุณออกมาก็เห็นว่าสะอาดเรียบร้อยดี มีท่าทีอะไร

ช: คุณมีอะไรขัดแย้งไหม

ญ: ก็คือในบ้านเนี่ยสกปรกได้ แต่ออกมาแล้วต้องเนี้ยมสะอาด
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 30, 2010, 09:14:37 PM
โหย่วเผิง: ไม่หรอก มันไม่ใช่ว่าจะตั้งใจให้ป็นอย่างนั้น ช่วงที่มีของรกก็คือตอนไปถ่ายละครหนังนั้นก็มักจะนอนไม่ค่อยอิ่ม รวมทั้งผมและบ้านที่ไทเป เพราะไปพักที่นั่นก็เป็นเพียงพักชั่วคราวเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อกลับไปถึงแล้ว ก็ไม่ค่อยมีเวลาในการไปทำความสะอาดมัน หวังว่าทุกคนคงรับเหตุผลอันนี้ของผมได้

ช: อย่างคุณที่เมื่อถ่ายละครเสร็จก็จะต้องจากกองถ่าย แล้วจะใช้เวลาในการจัดข้าวของนานเท่าไหร่

โหย่วเผิง: ก็ยังนับว่าดีที่ตัวเองรู้สึกว่าในท่ามกลางความรกนั้นตัวเองยังมีระเบียบอยู่ ผมรู้สึกว่าทุกคนที่รกไม่มีระเบียบในชีวิตนั้นก็จะมีหลักการของเขาอยู่ เช่นตรงนั้นวางอะไร ของนี้จะวางไหน มันก็จะหาเจอได้เหมือนกัน

ช: ใช่นะ หากว่าคุณจะไปจัดทำให้มันสะอาดแล้วไปหาของดูจะหาของที่เราต้องการนั้นยากมาก

โหย่วเผิง: ผมว่าคุณก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เลวนะ

ช: ผมเองก็เป็นคนอย่างนี้เหมือนกัน

ญ: บ้านเขานั้นสะอาดมากๆเลย ตอนนี้ยังเป็นอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า


ช: ตอนที่คุณไปถ่ายที่บ้านผมนั้น ก็เป็นช่วงที่พึ่งปรับปรุ่งเสร็จใหม่ๆ เอาล่ะ พูดเรื่องต่อไป พูดถึงอู่ฉีหลง เมื่อกี้ที่คุณพูดว่า ตอนนี้เขาเป็นเถ้าแก่ไปแล้ว ตอนนี้เปิดร้านอาหารที่ปักกิ่ง

ญ: คุณเคยไปร้านของเขาหรือเปล่า

โหย่วเผิง: ในถนนเซียวหยินใช่เปล่า ใบมะนาว

ช: ใช่ คุณเคยช่วยเขาโฆษณานี่

โหย่วเผิง: นี่มันเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว

ญ: คุณเห็นคนอื่นทั้งร้องเพลงเป็น ทั้งเปิดร้านอาหารด้วย แล้วตัวคุณเองเคยเปิดร้านอาหารบ้างหรือเปล่า

โหย่วเผิง: อื่ม เมื่อก่อนผมเคยเปิดร้านอาหาร

ช: เคยเปิดด้วยเหรอ

ญ: แล้วร้านยังอยู่หรือเปล่า

โหย่วเผิง: เปิดได้เพียงเดือนสองเดือน สามเดือนก็เจ๊งไปแล้ว

ช: เปิดเป็นร้านขายอะไร

โหย่วเผิง: ผมเปิดร้านขายชาไขมุก นี่น่าจะเป็นสิ่งใหม่ๆ
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 30, 2010, 09:19:34 PM
ช: ใช่ แล้วทำไมถึงปิดร้านแล้วล่ะ

โหย่วเผิง: มันไม่ค่อยดีเท่าไร

ญ: รสชาติไม่อร่อยหรือเปล่า หรือว่าบริหารได้ไม่ค่อยดี

โหย่วเผิง: เหตุที่ปิดร้านไม่ใช่ว่าไม่อร่อยมั้ง ตอนนั้นมันไม่มีประสบการณ์ แล้วคุณก็รู้ว่าตอนนั้นผมกับน้องคนหนึ่งทำ พวกเราจำได้ว่าเราไปเปิดร้านข้างๆโรงเรียน จริงๆแล้วทุกวันก็มีคนเยอะแยะ ก็คือพวกเด็กนักเรียนชายหญิงก็จะต้องเดินผ่านอยู่แล้ว

ญ: มีคนมาเยอะเลยหรือ

โหย่วเผิง: ใช่ มีคนเยอะมาก แต่ว่าไม่สามารถจะปรุงทัน ก็มักจะมีคนต่อแถวยาวๆ แต่เราทำได้ไม่เร็ว แล้วทำให้ทุกคนก็บ่นว่า

ญ: ก็คือปรุงชาแดงไม่ทันว่างั้น

โหย่วเผิง: ใช่ๆๆ

ช: จริงๆแล้วไม่จำเป็นให้คุณไปปรุงมันเองนี่

โหย่วเผิง: ผมไม่ได้ไปปรุงเอง

ช: แล้วคนอื่นไปปรุงแล้วเกี่ยวอะไรกับคุณ

ญ: ก็หาคนมาปรุงให้เยอะกว่านี้หน่อยก็โอเคแล้วนี่

โหย่วเผิง: ร้านเราเล็กมาก ผมรู้สึกว่ามันปรุงไม่ทันจริงๆ

ญ: ฉันว่าเขาไม่ใช่พวกหัวทำการค้าประมาณนั้น

โหย่วเผิง . ผมเองก็รู้สึกว่าผมไม่ถนัดในด้านนี้

ช: ปรุงไม่ทันสุดท้ายก็ปิดไป

โหย่วเผิง: ใช่ สุดท้ายต้องขาดทุน แล้วปิดร้านไป ผมเป็นคนควักทุน หม่าก่อเสียนเป็นคนลงแรง ฉะนั้นเขาก็สะบัดก้นแล้วก็ไปเลย เหลือผมต้องทำเอง
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 30, 2010, 09:24:25 PM
ญ: ฉันคิดว่าการที่เขาเปิดร้านอาหารนั้นมันมีข้อแม้มาก่อน เพราะได้ข่าวว่า คุณเป็นคนที่ชอบกิน

โหย่วเผิง: ผมเหรอ?

ช: พวกกินจุ

โหย่วเผิง: ตอนเด็กนั้นผมเองกินจุมาก เมื่อก่อนที่อยู่ในวงเสี่ยวหู่ตุ้ยก็ใช่

ช: แล้วตอนนี้ล่ะ

โหย่วเผิง: ตอนนี้ก็รู้จักควบคุมบ้าง เพราะว่าคุณก็รู้ว่า เมื่ออายุมากแล้วกินเยอะก็จะอ้วน

ช: แล้วตัวคุณเองมีการควบคุมการกินไหม

โหย่วเผิง: ควบคุมการกินหรือ ควบคุมอยู่ เพราะว่าตัวเองก็ออกหนังสือเจินจี๋เล่มหนึ่ง เพราะว่าก่อนจะเขียนหนังสือเล่มนี้นั้น ผมเองได้ไปร้านฟิตเนสไปฟิตร่างกายตัวเองก่อน ถึงจะรู้ว่าตัวเองจะต้องขจัดไขมันบางส่วนออกไปซึ่งมันเป็นเรื่องที่ว่ายากมากๆ จากนั้นมาผมก็รู้สึกว่า อย่าไปทรมานตัวเองเลย

ช: พูดถึงโหย่วเผิง พวกเราเคยเห็นข้อมูลอันหนึ่ง บอกว่ามีครั้งหนึ่งที่คุณไปออกรายการ แล้วบอกว่าช่วงนี้ต้องลดไขมันและทรมานมาก ยังกล่าวว่าไม่ว่าอะไรก็จะทำเป็นแกงจืด

โหย่วเผิง: ใช่ๆๆๆ

ช: คุณมีการกินอย่างนี้ช่วงหนึ่งใช่ไหม

โหย่วเผิง: มี

ญ: หมูก็ยังต้มแบบน้ำเปล่าเลย

โหย่วเผิง: มี มันทำได้ยังไง คุณลองดูซิ ยังมีไข่ ไข่ขาวก็ยังใช้น้ำต้มเอา

ญ: เนื้อนั้นใช้แต่น้ำต้มอย่างเดียว ไม่ใส่อะไรเลย ก็กินอย่างนั้นเลย

โหย่วเผิง: ไม่ใส่เกลือเลย อกไก่ไม่ให้มีมันเลย ก็เพื่อที่จะร่วมมือกัน เพราะว่าพวกเราในตอนนั้นได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลร่างกาย แล้วทำการอบรมแบบระยะสั้น ฉะนั้นคุณต้องซ้อมต้องมีกล้าม ร่างการต้องการลดโคลเรสเตอร์ลอร์มากๆ และในช่วงนั้น วันหนึ่งก็จะกินไข่ขาวประมาณหกถึงแปดฟอง แล้วเวลากินไข่ขาวนั้น มันก็จะเหมือนคุณเคี้ยวหมากฝรั่งคุณรู้สึกไหม มันโหดจริงๆ ยังมีน้ำต้มอกไก่ด้วย รวมทั้งไม่สามารถใส่เกลือ ทุกวันเลย ใช่ ไม่ใส่เกลือเลย

ช: ในเกลือมันมีอะไรหรือ ทำไมถึงใส่เกลือไม่ได้เลยล่ะ

โหย่วเผิง: เกลือ เขาบอกว่าเกลือก็เหมือนกับว่ามันจะทำให้เซลล์คุณง่ายต่อการดูดน้ำ แล้วมันจะบวมด้วย และมันยังทำให้เค็มช้าด้วย และในตอนนั้นก็นับว่าเห็นผลจริงๆ และผมเองก็รู้สึกว่าไม่ว่าอะไรก็ตามจำต้องมีการทุ่มเทลงทุนด้วย
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 30, 2010, 09:28:46 PM
ญ: แล้วตอนนั้นกล้ามคุณเป็นอย่างไรบ้าง

โหย่วเผิง: ผมรู้สึกว่ามันเหมือนสปริงจริงๆ อย่างน้อยหากเปรียบกับก่อนหน้านั้นแล้ว ผมรู้สึกว่ามันยังมีกล้ามเป็นเส้นๆ

ช: ผอมเล็กลงไปหลายปี แล้วมีกล้ามขึ้นมาในทันใด แน่นอนน่าจะไปอวดโชว์ให้กับใครๆหรือเปล่า

ญ: ใช่ ตามความเข้าใจของพวกเราแล้ว ในช่วงเวลานั้น คุณมักชอบในการอวดโชว์ร่างกายอันแข็งแรงสวยงามของคุณกับคนอื่น

ช: อยากฟังไหมว่า หุ่นสวยไม่สวย

ญ: ช่วงบนของร่างกาย มีไหม

โหย่วเผิง: ไม่ถึงขนาดรักมากอย่างนั้น

ช: มา ลองมาฟังดู

หลินซินหยู: ฉันเห็นเขาระยะนั้นกำลังโชว์อยู่ เขาชอบในการโชว์หน้าอกและไหล่ น่าจะเป็นเพราะเขาไปเล่นกล้ามมาก่อน เขารู้สึกว่า อกของเขามีกล้าม กล้ามท้องด้วย ไม่ว่ากล้ามที่ไหนก็ฝึกขึ้นมาแล้ว เขาก็รู้สึกว่าสามารถโชว์ให้คนอื่นดูแล้ว บ่งบอกถึงว่าเด็กน้อยเติบโตแล้วนะ ฉันเองก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่นั้นก็ชอบใส่แบบเซ็กส์ซี่เหมือนกัน เช่นกระดุมเสื้อเชิ๊ตหนึ่งแถว ธรรมดาพวกเราก็จะไม่ติดกระดุมสองเม็ด เขานั้นจะไม่ติดสามสี่ตัว จะเริ่มติดตั้งแต่ช่วงท้ายสะดือ

โหย่วเผิง: หลินซินหยูมารายการเมื่อไหร่นั้น ผมเองก็จะกังวลใจทุกที

ญ: แต่ว่าคนอื่นพูด เม็ดหนึ่งเม็ดสองไม่ติด เม็ดที่สามที่สี่ก็ไม่ติด

โหย่วเผิง: ไม่มีหรอกที่บอกว่าไม่ติดสามสี่เม็ด คุณมองนี่ซิ ใส่ร้ายป้ายสีชัดๆ สามเม็ดไม่ติด

ช: หนึ่งเม็ด สองเม็ด สามเม็ด น่าจะสามเม็ด

โหย่วเผิง: ก็ปกติแล้วก็จะเปิดถึงนี่ เป็นที่ที่ปกติธรรมดา

ญ: ใช่ๆ

ช: แต่ว่าเมื่อกี้ที่คุณออกมาจากข้างใน ตอนคุณก้มเคารพ ผมเห็นสะดือของคุณจริงๆนะ

โหย่วเผิง: ผมว่าคุณมองผมละเอียดเกินไปหน่อยแล้วนะ

ช: ให้พวกเรามาดูกันหน่อย (หยิบหนังสือขึ้นมาโชว์)

ญ: นี่เป็นการเขียนเจินจี๋ หุ่นดีจังเลย

โหย่วเผิง: นี่เป็นภาพถ่ายของปีที่แล้วที่กรีก ในการเขียนเจินจี๋


The end part 3
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 30, 2010, 09:48:27 PM
ตอน 4  บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง"

โหย่วเผิง: นี่ดูแล้วเหมือนดุเข้มจริงๆเลย

ช: เมื่อดูแล้วหน้าอกเป็นมัดๆเลย

โหย่วเผิง: ตัวเองยังภูมิใจมากๆ เลย แต่ว่าตอนนี้มันไม่มีแล้ว เพราะก่อนหน้านี้นั้นมีการอับเสกที่ลำไส้กับกระเพาะ รูปร่างเลยเล็กลง หนังสือเล่มนี้นั้นอยากจะอธิบายกับทุกคนหน่อยว่า ในช่วงเดือนมิถุนานั้น คิดว่าจะออกจำหน่ายในจีน เป็นการเสริมและคู่ไปกับอัลบั้มใหม่ของผมด้วย แล้วออกจำหน่ายพร้อมๆกัน แล้วถึงเขียนเจินจี๋นี้ออกมา ชื่อเรื่องคือ "ผู้ชายกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน"

ช: หุ่นรูปร่างในช่วงนี้ของคุณนั้น เป็นช่วงที่คุณดังที่สุดเลยหรือเปล่า

โหย่วเผิง: รุ่งดังหรือ ก็นับว่าชาตินี้นั้นช่วงนี้เป็นช่วงรุ่งดังที่สุดแน่นอน มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ญ: ณ บัดนี้จะขอเริ่มต้นเป็นทางการ เริ่ม ณ บัดนี้ ฉันจะให้แฟนเพลงผู้ชมที่ชื่นชอบในตัวของโหย่วเผิงนั้น ได้เห็นถึงข้อมูลมากมาย ดีไหม

โหย่วเผิง: ข้างหลังมีการประกาศมาว่า ถึงเวลาเลิกแล้ว ผมจำต้องลาแล้ว

ช: แล้วคุยกันไหม่ แล้วเจอกันใหม่

ญ: จะไป คงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก พวกเราจะถามแบบทางการหน่อย

ช: รายการของเรา ชื่อรายการของเราคือ “ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง” เพราะจะรวบรวมหลายๆอย่างที่มันเป็นครั้งแรกของคุณ

ญ: ใช่ ก่อนอื่นพวกเรามากล่าวอะไรเอ่ยหน่อย เสี่ยวหู่ตุ้ยมาจนณวันนี้เป็นเวลา 15 ปีแล้ว

โหย่วเผิง: ถูกแล้ว  15 ปีเต็มๆ



ญ: ฉะนั้น ในช่วง 15 ปีนั้น สามารถพูดว่า เวที ละครทีวี โฆษณา ร้องเพลง ได้ถ่ายทำมาแล้วมากมายใช่ไหม และเดี๋ยวนี้เราอยากถามว่า ครั้งแรกที่คุณได้ออกในโทรทัศน์นั้น คือเมื่อไหร่

ช: ยังจำได้ไหม ครั้งแรกในการออกโทรทัศน์ของคุณ

โหย่วเผิง: น่าจะเป็นช่วงเสี่ยวหู่ตุ้ยมั้ง

ญ: ไม่ถูก ถามอย่างนี้ ครั้งแรกที่คุณเป็นตัวชูโรงคณะนั้นเมื่อไหร่ ตัวชูโรงคณะที่เราพูดถึงคือเจียเหยียนห้าว คือหามเสา หามสิ่งของ

โหย่วเผิง: ก็เป็นช่วงเสี่ยวหู่ตุ้ยแหล่ะ เริ่มต้นนั้นเพราะพวกเราเป็นผู้ช่วยรายการ

ญ: เป็นรายการอะไร ชื่อรายการนั้นคือ

โหย่วเผิง:  ชิงชุนต้าตุ้ยคั้น

ญ:  ชิงชุนต้าตุ้ยคั้น

โหย่วเผิง: ผู้ช่วยรายการ ก็คือขณะที่ทุกคน ก่อนที่รายการนั้นจะเริ่มอัด ก็จะเอาอุปกรณ์แจกให้กับผู้เข้าร่วมรายการทุกคนก่อน แล้วบอกเนื้อหาดำเนินรายการให้กับทุกคน รายการต่อไปคือ.. พิธีกรจะบอกประกาศว่า ทุกคนให้เขย่ากระดิ่ง ทำเป็นไหม คืออย่างนี้นะ แล้วก็ไปอยู่ข้างหลังกับผู้ถ่าย ว่าจะโยกย้ายขนอะไรบ้าง ก็จะสั่งให้พวกเราไป

ญ: รู้สึกว่าฉันได้ยินมาว่า ฉันไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า ก็คือมีการแสดง แล้วเมื่อถึงเวลาโฆษณา พวกคุณ 3 คนก็จะพูดต่อหน้ากล้องว่า ช่วงเวลาโฆษณาครับ อีกประเดี๋ยวเดียวจะกลับมานะครับ ใช่หรือเปล่า

โหย่วเผิง: ใช่ๆๆ ตอนนั้นยังมีคำขวัญอยู่ มีคำขวัญมากมาย เช่น อะไรนะ "ชิงชุนต้าตุ้ยคั้น" เออๆ ไม่กลัว อะไรๆนะ เพียงแต่ เออๆๆอะไร ลืมไปแล้ว
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 05:59:12 PM
ญ: ช่างมันเถอะ คุณไม่ต้องมานึกมาคิดอีกแล้ว พวกเราได้มาแล้ว

ช: ช่วยคุณทบทวนความจำหน่อย

ญ: พวกเราได้ข้อมูลรายการนี้ของคุณมาแล้ว มาดูครั้งแรกที่โหย่วเผิงออกโทรทัศน์(ชิงชุนต้าตุ้ยคั้น) นี่คืออู่ฉีหลง
 
(ดู VTR)

โหย่วเผิง: เอ้ ภาพตอนนี้ตอนที่อู่ฉีหลงมาออกรายการนั้น ได้ฉายหรือเปล่า

ช: ไม่มี ไม่เคยฉายเลย

โหย่วเผิง: จริงๆหรือ เอาเปรียบเขาจริงๆเลย

ญ: แล้วคำพูดประโยคนั้นของคุณนั้นมายังไง

โหย่วเผิง: เพราะว่าอายุผมน้อยที่สุด ฉะนั้นจึงเรียกว่า ไกวไกวหู่

ญ: ลองเล่าดูซิว่าช่วงนั้นเป็นสถานการณ์อย่างไร เป็นจางเสี่ยวเยี่ยนที่มองเห็นถึงพวกคุณสามคนหรือเปล่า

โหย่วเผิง: ในช่วงนั้น

ญ: ก็คือขณะที่ยังอยู่ในวัยรุ่นนั้น อย่าไปทำอะไรผิดเด็ดขาด

โหย่วเผิง: ผมเองก็ว่างั้นแหล่ะ หากว่าทำอะไรผิดแล้ว ก็รีบทำลายหลักฐานเสีย ตอนนั้นจะเป็นอย่างนี้


ญ: ช่วงนั้นทำอย่างไรจึงเอาพวกคุณสามคนมาอยู่ด้วยกัน

โหย่วเผิง: มาพูดแต่เริ่มแรกเลย รายการของพวกเรานั้น (ชิงชุนต้าตุ้ยคั้น)นั้นเป็น ช่วงนั้นเป็นเที่ยงวันของวันเสาร์ น่าจะเป็นช่วงเวลาสิบสองโมงสี่สิบนาทีประมาณนั้น เริ่มออกรายการ อาทิตย์ละหนึ่งตอน แล้ววันหนึ่ง พิธีการได้บอกว่าอยากจะมีผู้ชายเพิ่มสักสามคน มาเป็นผู้ช่วยรายการ แล้วชื่อว่าเสี่ยวหู่ตุ้ยประมาณนี้ หลังจากนั้นผมได้ดูแล้ว เพราะว่าตั้งแต่ช่วงมัธยมต้นก็เพราะ เริ่มมีขวัญใจที่ผมชื่นชอบมากมาย แล้วผมก็เริ่มฟังดนตรีของฝรั่งมากมาย เพราะว่าตัวเองก็ชื่นชอบมากๆ ตอนเด็กก็เข้าคณะนักร้องประสานเสียง แล้วเรียนเปียโน ก็หวังว่าสามารถจะเป็นดารา นักร้อง สามารถร้องเพลง ตอนนั้นก็มีความใฝ่ฝันเป็นดารา หลังจากนั้นได้ได้ส่งประวัติส่วนตัวไปสมัครด้วยตัวเอง

ญ: ส่งไปด้วยตัวเองหรือ

โหย่วเผิง: ใช่ๆๆ ผมยังจำได้ ไปถึงที่บริษัทบนโต๊ะประชุมนั้นมีรูปถ่ายกองอย่างภูเขาเลย เสมือนใบนามบัตรเล็กๆใบเดียวอย่างนั้น ยังกับไม่ใช่เป็นจดหมายนะ เป็นเพียงใบนามบัตรอย่างนั้น กองอย่างกะภูเขาอย่างนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขาถูกใจผมได้อย่างไร

ญ: ฉันเคยได้ยินคำให้สัมภาษณ์ของจางเสี่ยวเยียน บอกว่าทำไมถึงเลือกพวกคุณ แล้วจางเสี่ยวเยียนก็กล่าวว่า อู่ฉีหลงนั้นดูปุ๊บก็รู้ว่าหล่อ ตอนนี้ถ้าเป็นภาษาวัยรุ่นคือ***ม

ช: ใช่ เธอกล่าวว่าเห็นเขาปุ๊ป ก็รู้ว่าเขามีแววของดารา รู้สึกว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะเป็นซุปเปอร์สตาร์ เฉิงจื้อเผิงนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาเหมือนจางก๋อหยง

ช: ใช่

ญ: แล้วเหตุไรถึงเลือกคุณล่ะ

โหย่วเผิง: จะต้องมีคนไปเป็นเพื่อนประกอบกับเขาสองคน

ญ: เพราะว่าคุณเชื่อฟังดี เพราะว่าพวกเขาสองคนทั้งร้องเป็น เต้นเป็น

ช: พูดถึงคุณ จากนัยน์ตาของคุณนั้น ได้เห็นถึงความเดียงสา ซึ่งเด็กสมัยนั้นไม่มีคำเดียงสานี้

ญ: ตอนนั้นเดียงสาใช่ไหม

โหย่วเผิง: ตอนนั้นชีวิตเดียงสามาก ใช่ๆ
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 06:07:37 PM
ญ: แต่ว่ารายการของพวกคุณออกอากาศมานั้นมันฟิตแบคอย่างนั้น แม้ว่าพวกคุณไม่ได้เป็นตัวหลัก แต่ว่าความสนใจที่มีต่อพวกคุณนั้นมีเยอะมากเป็นพิเศษ

โหย่วเผิง: เพราะว่าพวกเรา ลืมไปแล้วว่ารายการเราหนึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงครึ่ง แล้วทุกคนก็มาจากเพื่อนนักเรียนที่แสดงศิลป์ หากว่าในท่ามกลางพวกเรา อาจจะมีการดูแล้วเบื่ออะไรอย่างนั้น แล้วพิธีกรก็จะพูดว่า ดี งั้นให้ทีมเสี่ยวหู่ตุ้ยของพวกเรา นำรายการสนุกๆมาให้กับผู้ชม ก็จะเป็นลักษณะนี้ ก็คือจะอยู่ในระหว่างรายการแทรกเข้ามาอย่างนี้ แต่คิดไม่ถึงว่า มีการตอบรับที่ดีมาก แล้วในตอนนั้นก็มีจดหมายเข้ามามากมาย ได้ส่งมาที่รายการ แล้วทางบริษัทก็นำไปคิด คิดไม่ถึงว่า ทำอะไรลงไปแบบไม่หวังผลแล้วมีผลออกมาให้ด้วย ก็เลยลองอยู่ในอัลบั้มอิวฮวงไพ่ตุ้ยของศิษย์พี่นั้น ให้พวกเรามีเพลงเดี่ยว ก็คือ "ชิงผิงก่อเล่อเหยียน" หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องคาดคิดไม่ถึง แล้วผมเองก็ยังจำได้อยู่ ก็คือครั้งแรกที่ได้ยินเพลงนี้ของเสี่ยวหู่ต้ย "ชิงผิงก่อเล่อเหยียน" จากนั้นในอาทิตย์แรก รวมทั้งหมดก็คือจะมีการประกาศเพลงยอดฮิตตั้งแต่ยี่สิบลงมา อาทิตย์แรกนั้นติดอับดับที่สิบห้า จากนั้นก็สิบ ต่อจากนั้นก็น่าจะเป็นเออ ห้า สาม หนึ่ง มั้ง เพียงห้าอาทิตย์ก็ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง ผมยังจำได้ว่า ครั้งแรกที่ได้ยินว่าเป็นอันดับหนึ่ง ตอนนั้นผมก็เรียกแม่ของผม แม่ๆๆ รีบมาฟังเร็วๆ ผมติดอันดับแล้ว ใช่เพลงของตัวเองติดอันดับหนึ่งแล้ว

ช: ตอนนั้นแทบจะเป็นบ้าไปแล้วมั้ง

โหย่วเผิง: ใช่ ตอนนั้นยังใหม่ๆอยู่ เป็นครั้งแรกที่มีชื่อเสียงหรือดัง ยังเด็กอยู่ ตื่นเต้นมากๆ ผมยังจำได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ลงหนังสือพิมพ์ ตอนนั้นพวกเรากับศิษย์พี่วงอิวฮวนไพ่ตุ้ย พวกเรา 5 คน ได้ไปถ่ายรูปที่กั้นหนังสือนอกสถานที่ด้วยกัน แล้วตอนนั้นผมเองจำได้ว่า หนังสือพิมพ์ในตอนนั้นก็คือหนังสือพิมพ์ของไต้หวัน รูปก็ใหญ่ประมาณขนาดนี้ ประมาณนี้แหล่ะ จากนั้นผมก็รู้สึกว่า ผมก็รู้สึกว่า วันนั้นที่ผมได้ดูหนังสือพิมพ์แล้ว เดินออกจากประตู้ก็รู้สึกว่า ไม่เหมือนเดิมแล้ว ทุกคนก็จะต้องรู้จักผมแน่นอน จากนั้นก็เดินไปบนถนน ก็ไม่มีใครสนใจผม ในใจผมก็คิดว่า ทำไมเป็นอย่างนี้ พวกคุณไม่อ่านหนังสือพิมพ์หรือ

ช: คิดมากไป คิดมากไปแล้ว

ญ: หนังสือพิมพ์นั้นอาจจะขายส่งไม่ทั่ว

ช: คุณคิดมากไปหรือเปล่า แล้วรูปภาพในหนังสือพิมพ์นั้นใหญ่ขนาดไหน

โหย่วเผิง: ก็ใหญ่ประมาณนี้แหล่ะ แล้วก็ต้องแบ่งหัวคนหนึ่งหัวก็จะเหลือให้เห็นประมาณนี้

ช: แล้วยังต้องแบ่งให้ตั้ง 3 หัวด้วย ก็กว้างแค่เท่านี้เอง

โหย่วเผิง: มี 5 คนนะ ตอนนั้นยังมีวงอิวฮวนไพ่ตุ้ย ฉะนั้นหัวคนของแต่ละคนก็น่าจะใหญ่ประมาณนี้เองแหล่ะ


ญ: ฉะนั้นเพลง "ชิงผิงก่อเล่อเหยียน" ตอนนั้นนำการเปลี่ยนแปลงมาให้กับคุณ จริงๆแล้วให้ชีวิตของพวกเราเข้าบรรยากาศของสิ่งใหม่ๆที่พิเศษมาก

ช: ตอนนั้นสิ่งที่มีอยู่ในรอบตัวก็คือช่วงพริบตาเดียว ชั่วค่ำคืนเดียว ได้ออกมาหลายๆอย่างเช่นอะไร ชิงผิงก่อชางถิง ชิงผิงก่อฟาหลัง ชิงผิงก่ออะไรๆ

ญ: แล้วทุกหน้าปกของฟาหลังพวกคุณสามคนก็มีท่านี้ (เหมือนกับวันนั้นที่ร้องเสียงดัง)เนื้อเพลง

โหย่วเผิง: (บอกว่าฉันรักคุณ มอบดวงที่สว่างที่สุดให้คุณ บอกคำว่าฉันรักคุณ)ร้องเพลง

ญ: (ให้ท้องฟ้านั้นได้ยิน ให้เมฆขาว.. ให้ท้องฟ้านั้นได้ยิน ให้เมฆขาวนั้นได้เห็น)ร้องเพลง

โหย่วเผิง: (ไม่มีใครสามารถลบคำสัญญาของพวกเราได้ )ร้องเพลง

ช: พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหลายปี คุณยังจำมันได้ แน่มาก มันตั้งสิบกว่าปีแล้ว คุณยังจำมันได้

โหย่วเผิง: มันฝังใจมาก

ญ: มันเป็นความทรงจำช่วงหนึ่งของพวกเรา

โหย่วเผิง: และยังเป็นความทรงจำที่ทรงคุณค่าสำหรับผม
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 06:14:49 PM
ช: ใช่ แต่ในบรรดา 3 คนนั้นคุณเสียเปรียบที่สุดเลย

โหย่วเผิง: เสียเปรียบเรื่องอะไร

ช: อู่ฉีหลงนั้นเก่งกังฟู เฉินจื้อเผิงนั้นเรียนเต้นบาเล่มา ตอนนั้นคุณกับพวกเขาได้เต้นด้วยกันกัน พวกเขารังแกคุณหรือเปล่า

โหย่วเผิง: แน่นอน รังแก ...พวกเขาไม่เคยห่วงใยสนใจทีมเพื่อนร่วมงานเลย ก็คือไม่สนใจช่วยเหลือคนในทีมที่มีความสามารถด้อยกว่า

ช: สามารถหมุนตามความเร็ว เฉินจื้อเผิงนั้นหมุ่นมากว่าหลายรอบ

โหย่วเผิง : ก็อย่างนี้แหล่ะ หยุดอยู่บนอากาสไม่ลงมา แล้วไม่สนว่าในทีมมีใครโดดไม่ขึ้น แล้วคนที่โดดไม่ขึ้นก็ตกลงมา

ช: แล้วคุณเคยมีส่วนไหนที่ตัวเองถนัดไหม ก็คือระหว่างที่คุณเต้นกับพวกเขา

โหย่วเผิง: ใช่ การเต้นหรอ การเต้นนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ผมถนัดเลย เริ่มแรกที่เข้าสู่วงการนั้น ก็ได้มีชื่อเสียงดังเพราะการเต้นช้าครึ่งจังหวะ พวกคุณไม่รู้หรอ

ช: แต่ว่าผมจะบอกกับคุณว่า เรื่องอย่างนั้นมันจะต้องออกจากที่ เช่น คุณโดดได้สูงก็ต้องออกจากที่ คุณหมุนไป 2 รอบก็ออกจากที่ คุณช้าไปครึ่งจังหวะก็ยังดังได้

โหย่วเผิง: เอ้ คุณไม่เลวเลยนะ

ช: คุณช้าครึ่งจังหวะก็ยังดังได้

โหย่วเผิง: ผมไม่ได้ตั้งใจเลย แต่ว่าในตอนนั้นผมเองก็ตั้งใจฝึกนะ ใช่ อย่างน้อยก็ทำอย่างสุดกำลัง ผมรู้สึกว่า ก็คือแค่เด็กผมก็รู้สึกว่าไม่ยอมแพ้ ฉะนั้นในเวลานั้น แม้ว่าไม่ทันคนอื่น ผมก็จะใช้เวลาในการฝึกให้เยอะหน่อย

ช: หากว่าผมเอาการเต้นช้าครึ่งจังหวะของคุณทั้งหมดมาตัดต่อเป็นแผ่นเดียว คุณจะโกรธเคืองผมไหม

โหย่วเผิง: ผมเข้าใจคุณผิดนึกว่าคุณเป็นคนดี

ญ: เขาย่อมโกรธคุณแน่ แต่ว่าพวกเราก็จะต้องดู จะดูไหม


The end part 4
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 06:22:10 PM
ตอน 5 บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง"

ช: โหย่วเผิงที่ช้าครึ่งจังหวะ

ญ: น่ารักมากๆเลย

ช: ผมรู้สึกว่าคุณเนี่ยน่ารักเป็นพิเศษเลยจริงๆ

ญ: และตัวฉันเองรู้สึกว่าคุณน่ารักเป็นพิเศษก็คือการเป็นที่สนใจของคนอื่น แค่แป๊ปเดียวก็สามารถสังเกตได้ คุณเด่นกว่าคนอื่น

ช: คุณเด่นจริงๆ

ญ: ดูการแสดงออกของเขาซิ

โหย่วเผิง: ไม่ได้เจตนาทำจริงๆ

ช: คุณเด่นจริงๆ

ญ: ฉันสังเกตุเห็นว่าคนอื่นเขาลุกแล้ว คุณยังอยู่บนพื้น

โหย่วเผิง: นั่นมันเป็นการช้าครึ่งจังหวะทั้งหมดจริงๆ และภาพตอนนั้นนั้น ตอนนั้นอยู่ที่ไต้หวัน การเปิดดูนั้นมันมีสถิติสูงมาก จากอันนั้น เพราะว่า เพลงชุด(สุขสันต์ปีใหม่)นี่ พวกเราออกจำหน่ายในช่วงตรุษจีน แล้วได้เต้นรำ หลังจากที่ฉลองตรุษจีนปีนั้นแล้ว จากนั้นไปชื่อเสียงผมก็ตกหายเลย ได้สร้างความสำเร็จในความพิเศษที่แปลก


ช: แล้วตอนหลังที่คุณถ่ายทำ ผมได้ดูละครทีวีที่คุณถ่ายทำ จางอู่จี้ หนังบู้ ก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไรสักนิดเลยนิ

ญ: โถ นั่นเป็นการใช้เทคนิคมาช่วย

โหย่วเผิง: นั่นมันสิบปีให้หลังแล้ว ยังไม่พัฒนา ผมยังถูๆไถๆไป

ญ: งั้นเราจะมีพูดครั้งแรกอีกอย่างหนึ่ง ละครหนังเรื่องแรกของคุณชื่ออะไร

โหย่วเผิง: ภาพยนตร์เรื่องแรก (อิ๋วเสียเอ๋อ)มั้ง

ญ: (อิ๋วเสียเอ๋อ) แสดงเป็นอะไร

โหย่วเผิง: เพราะในช่วงนั้นผมได้เรียนโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดของเมืองไทเป ฉะนั้นพวกเขาเลยให้บทตามภาพลักษณ์ตัวของผม ให้ผมรับบทเป็นนักประดิษฐ์ ก็คือแบกกระเป๋าใบหนึ่ง จากนั้นจริงๆแล้วนั่นเป็นรูปทรงจรวด ปกติแล้วผมจะไปมาด้วยสเก็ตบอร์ด จากนั้นเมื่อเจออุปสรรค์นั้น ผมจะรูดที่นี่แล้วกระเป๋าก็จะบิน แล้วสเก็ตบอร์ดก็ไม่หลุดด้วย

ช: ปกติคุณเล่นสเก็ตบอร์ดเป็นไหม

โหย่วเผิง:ไม่เป็น

ช: แล้วเมื่อหนังได้ฉายออกไปแล้ว ได้รับการตอบรับดีไหม

โหย่วเผิง: การตอบกลับเยอะมาก ก็นับว่าไม่เลว

ญ: แต่ว่าทางด้านเรานั้น หลายคนไม่ได้ชม

โหย่วเผิง: ทุกคนก็ล้วนดูจากทางแผ่นก็ได้

ช: มีที่ไหน มันนานขนาดนั้น จะหาซื้อได้ที่ไหนกัน

โหย่วเผิง: ก็ให้มันผ่านไปก็แล้วกัน
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 06:27:54 PM
ญ: เอาล่ะ จะให้มันผ่านไปคงผ่านไม่ได้ มาดูภาพยนตร์เรื่องแรก (อิ๋วเสียเอ๋อ) ตัวอย่าง (ดู VDR)

โหย่วเผิง: นี่น่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ของผม

ช: ผมเคยดูหนังเรื่องนี้แล้ว

โหย่วเผิง: นี่เป็นเด็กเทพแปลกๆ

ช: ผมเคยดูหนังเรื่องนี้แล้ว

โหย่วเผิง: การประดิษฐ์ของเด็กเทพที่แปลกๆ คือผมเอง

โหย่วเผิง: เถาต้าเหว่ย(ภาพใน vdr คนที่แสดงเป็นพ่อ)

ช: พ่อของเถาจี

โหย่วเผิง: ใช่ พ่อของเถาจี จื้อเผิงน่าจะเป็นครูปรุงเหล้า ประมาณนั้น จื้อเผิงเป็นครูปรุงเหล้า และในตอนนั้นเสียงผมยังแตกไม่หมด คุณไม่รู้สึกหรือว่าเป็ดกำลังร้องอยู่

ญ: เสียงตัวเองหรือ

โหย่วเผิง: ใช่

ญ: ทำไมเสียงเป็นอย่างนี้

โหย่วเผิง: เสียงยังแตกไม่หมด

ญ: อายุเท่าไรแล้ว

โหย่วเผิง: ม.4 อายุสิบหกปีมั้ง สิบหก เจ็ด สิบหกกว่า

ช: ดูไปแล้วรู้สึกว่าเดียงสามากๆ รู้สึกยังไงบ้าง

โหย่วเผิง: น่ารักมากๆ
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 06:47:43 PM
ญ: น่ารักจริงๆ

ช: สนุกจริงๆ ณ วันนี้ผ่านมาหลายๆปีแล้วมาดูอีก ก็ยังรู้สึกว่าสนุกมากๆ

โหย่วเผิง: ผมรู้สึกว่านี่เป็นบันทึกอย่างหนึ่ง เพราะว่าทุกช่วงวัยนั้น ก็ล้วนมีการบันทึกผลงานบางอย่าง ก็จะสะท้อนถึงสภาพสังคมในสมัยนั้นๆ

ญ: ตอนนั้นอายุ สิบหก ม.4

โหย่วเผิง: ม.4 จะขึ้นม.5 เป็นช่วงนั้น

ช: ตอนนั้นหนังของคุณได้ฉายออกไป แล้วมีอิทธิพลท่ามกลางเด็กนักเรียนนั้นมากหรือเปล่า

โหย่วเผิง: ลืมแล้ว อิทธิพลนั้นผมไม่ค่อยรู้ แต่ว่าจำได้ว่าตอนนั้นตั๋วเข้าชมก็นับว่าไม่เลวเลย

ช: แล้วเมื่อคุณไปที่โรงเรียน พวกเขาเรียกคุณเสี่ยวไกว เสี่ยวไกว ฉันรักคุณ

โหย่วเผิง: ไม่มี โรงเรียนเราชายล้วน เพื่อนๆไม่ค่อยสนใจหนังเท่าไหร่

ช: ไม่หรอก คือช่วงเวลาที่คุณเลิกเรียน เวลาเดินออกไปนอกโรงเรียนแล้วมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งอยู่ที่หน้าประตูเรียกว่า เสี่ยวไกวๆ ฉันรักคุณ มีหรือเปล่า

โหย่วเผิง: อย่างงั้นก็ตามก็คงไม่เวอร์ขนาดนั้นหรอก ตอนนั้นอาจมีบ้าง

ญ: เป็นอย่างนั้นก็คงเกินไปแล้ว

โหย่วเผิง: มีบ้างเล็กน้อยที่รออยู่หน้าประตูโรงเรียน


The End Part 5
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 06:51:00 PM
ตอน 6 บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง"

ญ: เอาล่ะ พวกเราก็พึ่งได้เห็นนี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรก งั้นตอนนี้พวกเราอยากถามคุณหน่อย

ช: เขามีครั้งแรกมากมาย ภาพยนตร์ครั้งแรก ละครทีวีครั้งแรก การถ่ายโฆษณาครั้งแรก เล่นละครเวทีครั้งแรกนั้นเมื่อไหร่

ญ: เป็นเรื่องอะไร ยังจำได้ไหม

โหย่วเผิง: ละครเวที

ช: คุณไม่เคยแสดงละครเวทีหรือ งั้นชีวิตนี้รู้สึกเสียดายเลยนะ

ญ: ละครเวทีแต่ว่าเรื่องนี้ถ้าพูดขึ้นมาแล้ว ผู้ชมทางห้องส่งของพวกเราก็น่าจะไม่มีใครไม่รู้จัก

ช: ไม่มีใครไม่รู้จัก ใช่ ดังมากๆ มีคุณค่ามากๆ คุณดูท่าทางของเขาซิ

ญ: พวกเรามาพูดชื่อเรื่องนี้พร้อมกัน

ช.ญ.: (จี่ตู้ซีหยางหง)

ช: เขาจำไม่ได้สักนิดเลย

โหย่วเผิง: ผมลืมไปจนหมดแล้ว

ช: ทางด้านนี้แฟนหนังได้บอกว่า พวกเราก็ไม่รู้

ญ: เพราะว่าละครเรื่องนี้ใครเป็นคนแสดง

ช: ฉิงฮั่น หลินชิงเสียแสดงมั้ง

ญ: คุณนั้นได้แสดงละครเวที คุณลืมไปแล้ว

ช: ฉิงฮั่นแสดงเป็นอะไร หยางหมิงเหยียนใช่หรือเปล่า แน่นอนคุณจะล่วงลึกไม่ถึงที่แสดงเป็นหยางหมิงเหยียน คุณลองมาดูซิว่าคุณแสดงอะไร ดีไหม มา มาดูโหย่วเผิงของพวกเรา ที่แสดง(จี้ตู้ซีหยางหง)   
(ดู vdr)
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 06:54:44 PM
ญ: ตัวเขาเองก็ยังสงสัยอยู่

โหย่วเผิง: โอ้โห หล่อไม่เบาเลย

ญ: เขาลืมไปหมดแล้ว

ช: คุณยังจำอะไรได้บ้างไหม

โหย่วเผิง: นี่น่าจะเป็นการแสดงในรายการบางรายการหรือว่าอาจเป็นการมอบรางวัลอะไรบางอย่างในการเตรียมการแสดงที่พิเศษมั้ง

ญ: ลืมไปหมดแล้ว

ช: เป็นละครอวยพรที่ข้ามปี

โหย่วเผิง: อ๋อ น่าจะเป็นรายการพิเศษในการส่งท้ายปีเก่า ก็เลยเชิญทุกคนได้แสดงละครสั้นๆ หนึ่งตอน

ช: พวกเขานั้นรังแกคุณจริงๆ คนหนึ่งแสดงเป็นพระเอก คนหนึ่งก็เป็นรองพระเอกเมื่อคุณขึ้นมาปุ๊ปก็คุณป้า

โหย่วเผิง: พวกเขาไม่รังแกผมแล้วจะไปรังแกใครล่ะ

ช: ใช่ ก็คือถ้าเป็นเด็กก็จะให้คุณแสดง ก็คือบทเด็กก็ให้คุณมาแสดง

โหย่วเผิง: นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ผมได้เห็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปี นึกไม่ขึ้นจริงๆ ก็ยังโหดอยู่

ช: จำอะไรไม่ได้เลย

โหย่วเผิง: จำไม่ได้เลยสักนิด ไม่อยากจะเผชิญด้วย


The End Part 6
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 06:58:49 PM
ตอน 7 บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง"

ญ: เป็นคนอย่างพวกคุณอย่างนี้เนี่ย ตอนนั้นที่อยู่ในโรงเรียน ทุกคนก็ล้วนเป็นเพื่อนนักเรียนด้วยกันอย่างปกติ แล้วคุณก็ได้เป็นดารา รสชาติอย่างนั้นเป็นรสชาติแบบไหนหรือ เป็นรสชาติที่ดี เป็นที่สนใจของคนอื่น หรือว่าจริงๆแล้วในใจนั้นมีความกดดัน

โหย่วเผิง: จริงๆแล้วมีความกดดันมากๆ เพราะว่าตอนที่ตัวผมเรียนนั้นสอบเข้าได้ที่โรงเรียนมัธยมเจี้ยนกั่วของไทเป ก็คือเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุด

ญ: แต่ว่าเป็นชายล้วน

โหย่วเผิง: ใช่ พวกเราเป็นโรงเรียนชายล้วน จากนั้นจริงๆแล้ว ภายในโรงเรียนนั้นก็นับได้ว่าต่างคนต่างเป็นนักเรียนที่สุดยอดของมัธยมต้นของโรงเรียนต่างๆ ทุกคนต่างอยู่ในโรงเรียนนั้น ก็คือมีบรรยากาศในการแข่งขันกันเรียนอย่างนั้น ฉะนั้นธรรมดาแล้วเพื่อนนักเรียนและก็เป็นเพื่อนนักเรียนชายล้วน ใครจะไปสนใจว่าคุณเป็นขวัญใจดาราอะไร พวกเขานั้นเกลียดคนประเภทนี้มากๆ ใช่ไหม บางทีมีการงานอะไรนั้น ในบางระดับของพวกเขานั้น ก็ไม่เห็นพวกเขาอยากพาผมไปด้วย และตอนนั้นผมเองก็รู้สึกว่า ตัวเองนั้นไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองเลย ก็ได้เดินไปมาในโรงเรียนอย่างขาดความมั่นใจ เพราะว่าตอน ม.4 และม.5 นั้น วงเสี่ยวหู่ตุ้ยดังมากๆ การจะทุ่มเวลาในการอ่านหนังสือจึงน้อยมาก ฉะนั้นช่วง ม.4,ม.5 บ่อยครั้งผมเองก็มักจะอยู่อันดับต้นๆของการนับจากข้างหลังมา โรงเรียนของพวกเรานั้น เพื่อนนักเรียนจะไม่ค่อยมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะว่าคุณต้องรู้ว่า การเรียนของโรงเรียนอย่างนี้นั้น การเรียนของทุกคนนั้น

ญ: มีการแข่งขันสูงทีเดียว

โหย่วเผิง: ใช่ สิ่งเหล่านี้นั้นพวกเขาก็จะไม่รู้สึกว่าจะต้องช่วยเหลือแบ่งปันให้คุณ และเป็นตัวคุณที่เลือกไปร้องเพลงเอง ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา ฉะนั้นในตอนนั้นเครียดสุดๆเลย ยิ่งกว่านั้นก็มีสื่อมากมายก็กำลังจ้องอยู่ว่า โอเค ดีนี่ เสี่ยวหู่ตุ้ยนี่ เคยบอกว่าร้องก็เก่งเรียนก็เก่ง ฉะนั้นพวกเราจะรอดูเขา อะไรอย่างนี้

ญ: แล้วตอนนั้นตัวคุณเองเคยคิดไหมว่าจะทิ้งการสอบเข้ามหา’ลัย ในเมื่อความกดดันมันมีมากมาย

โหย่วเผิง: ไม่ได้หรอก เพราะว่าตอนนั้นจริงๆแล้วก็มีผู้ใหญ่หลายคน ร่วมถึงคนในครอบครัวผมเองด้วย ก็จะรู้สึกว่าการเป็นพระเอก อาชีพนักแสดงนั้นทำจนชั่วชีวิตก็คงไม่ได้ รู้สึกว่าเมื่อเป็นผู้ชายคนหนึ่งแล้ว ก็น่าจะมีความรู้ใบปริญญาให้กับชีวิตสักหน่อย การเรียนหนังสือนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องเรียน รวมทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นนับได้ว่าผลการเรียนนั้นไม่เลวด้วย ก่อนจะเข้าวงเสี่ยวหู่ตุ้ย
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 07:05:45 PM
ญ: แต่ว่าฉันเข้าใจว่าคณะที่คุณไปสมัครนั้น เป็นคณะที่สอบยากที่สุดในมหา’ลัยของไต้หวัน คณะที่สอบเข้ายากมาก ชื่อว่าอะไรนะ คุณสามารถบอกพวกเราไหม

โหย่วเผิง: ตอนนั้นผมสอบได้คณะวิศวะของมหาลัยไต้หวัน

ญ: อ้าว แล้วทำไมคุณถึงเลือกคณะวิศวะล่ะ

โหย่วเผิง: ในตอนนั้นก็คงไม่มีเหตุผลอื่นใด ผมก็เพียงแค่จะเลือกคณะต้นๆที่ดีให้คนอื่นดู

ญ: แต่ว่าฉันรู้สึกแปลกมากๆ ตอนนั้นคุณเลือกคณะนั้นโดยไม่ได้ไตร่ตรองว่า “ผมชอบไหม” แต่ว่ากลับคิดว่านี่เป็นคณะที่สอบเข้ายากนี่ งั้นดี “ผมก็จะสอบเข้าคณะนี้แหล่ะ”

ช: ก็เพื่อให้คนอื่นดู

โหย่วเผิง: ใช่ ในตอนนั้นไม่มีทางอื่นให้เลือก

ญ: งั้นคุณแคร์ความรู้สึกที่คนอื่นจะมองคุณอย่างไร

โหย่วเผิง: เพราะว่าช่วงนั้นๆเป็นช่วงที่ได้รับการตอบรับที่ดีมากๆสำหรับเสี่ยวหู่ตุ้ย ไกวๆหู่ก็เป็นที่รู้จักกันไปทั่ว ทุกคนก็รู้ว่าไกวๆหู่นั้น เก่งทั้งร้องเพลง เก่งทั้งเรียน ในตอนนั้นเพราะว่า ผมรู้สึกว่าจิตใจที่ยังเยาว์ของผมนั้น ตลอดเวลาผมเพียงรู้สึกว่า ผมจะสอบตกไม่ได้เด็ดขาด หากผมสอบตกแล้วเมื่อผมออกไปข้างนอก คุณแม่ก็จะจูงมือลูกของเขามองคุณว่า “คนขี้โกหก ไกวๆหู่คนนั้นก็ดีแต่ร้องเพลง แต่การเรียนนั้นไม่เอาไหนเลย ก่อนหน้านี้ก็เป็นพวกหลอกลวง” ในสมองของผมนั้น ก็จะมีคำนี้จำฝังอยู่ตลอด ผมจึงรู้สึกว่าไม่ว่าจะอย่างไร ผมจะต้องปากกัดตีนถีบทำมันให้ได้


ช: แต่ว่าในทางกลับกันนั้น ตอนนี้คุณลองคิดดู ในตอนนั้นๆคุณล้วนอยู่เพื่อคนอื่น

โหย่วเผิง: แต่ว่าเวลาผ่านไปนานแล้วผมค่อยรู้สึกได้ว่าสิ่งนี้มันไม่ถูกต้อง จนถึงช่วงที่ผมเรียนมหาลัยปีสามแล้วหล่ะ ผมถึงรู้สึกได้ ตลอดระยะทางที่ผ่านมานั้นก็ได้เดินตามความหวังของคนอื่น ไปสนองความต้องการของทุกคนที่มีต่อไกวๆหู่ แต่ก็จะรู้สึกผิดต่อตัวเองเล็กน้อย

ช: คนอื่นเขาก็สร้างรูปปั้นที่น่าเลื่อมใสขึ้นมา แล้วคุณก็เอาทองคำไปเคลือบมัน ได้ทำให้มันใหม่อีกครั้ง ถูกหรือเปล่า

โหย่วเผิง: เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นไม่อยากจะให้คนอื่นผิดหวังอย่างนั้นมั้ง ก็เหมือนกับเมื่อกี้ที่ผมพึ่งพูดไป ผมยอมแพ้ไม่เป็น เป็นคนที่มุ่งชนะอะไรอย่างนั้น

ช: หลังจากที่สอบได้แล้ว สังคมข้างนอกหรือว่าสื่อนั้นมีการตอบสนองอย่างไร

โหย่วเผิง: ตอนพึ่งสอบเข้ามหาลัยได้หรือ

ช: ใช่ ๆๆ

โหย่วเผิง: ตอนนั้นยังรู้สึกฮึกเฮิมมากๆเหมือนกัน ก็เป็นเหมือนกับการผ่านเข้าไปเป็น ครั้งนี้นั้นไม่ใช่อยู่ในหน้าข่าวสังคมแล้ว มันข้ามไปถึงหน้าของข่าวครอบครัวไปแล้ว จริงๆนะ ทุกคนก็จะรู้สึกว่า สื่อก็รู้สึกว่า นี่คือ เด็กวัยรุ่นที่เป็นแบบอย่างที่เยี่ยมมาก ใช่ ชั่วนาทีก็ได้ยกฐานะผมขึ้นสูงมากๆเลย ก็เหมือนกับเป็นเทวดา คงอะไรอย่างนั้น

ญ: งั้นหลังจากที่คุณไปที่มหาลัยแล้ว คุณสังเกตุเห็นว่าคณะนี้ไม่ได้เป็นคณะที่คุณชอบที่สุด แล้วคุณเคยคิดที่จะเปลี่ยนคณะ หรือย้ายคณะหรือเปล่า

โหย่วเผิง: จริงๆแล้วเพื่อนนักศึกษามากมายของพวกเรานั้น หลายคนเข้าไปแล้วถึงรู้ว่าคณะวิศวะนั้นมันน่าเบื่อมากๆ ฉะนั้นในตอนนั้น ความเห็นของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน บางคนก็คิดว่า เรียนๆโดดๆไปสี่ปีเดียวก็จบเอง
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 07:11:21 PM
ช: ในเมื่อมาแล้วก็จะต้องทำให้มันถึงที่สุด

โหย่วเผิง: ใช่ แต่ก็มีบางคนก็คือเหมือนกับที่เป็นอย่างผม เป็นพวกที่ดื้อมากๆ พวกเรานักศึกษาก็จะมีประมาณ สองสาม สามสี่คน ทุกคนก็ได้นัดกัน เทอมที่หนึ่งของปีแรกพวกเราก็มีความคิดตัดสินใจจะย้ายคณะแล้ว ทุกคนก็เริ่ม ที่จะไม่เข้าเรียนเอาหน่วยกิตของวิศวะ ก็จะไปเรียนเอาหน่วยกิตของการบริหารธุรกิจ พวกเราคิดอยากจะไปเรียนคณะอุตสหกรรมการพาณิชย์ คณะบริหารธุรกิจ

ญ: อยากย้ายคณะ

โหย่วเผิง: ใช่ อยากมากๆ คณะบริหารธุรกิจเป็นคณะที่ฮิตมากๆ ในที่สุดเพื่อนๆของผมนั้นล้วนได้ย้ายไปคณะนั้นจนหมดแล้ว เหลือเพียงตัวผมคนเดียวที่ยังไม่ย้าย

ญ: เพราะอะไร

โหย่วเผิง: อาจเป็นเพราะตอนหลังข่าวนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร ก็คือเพื่อนร่วมงานในบริษัทของเรานั้นมีคนปากมาก ได้พูดออกไปก่อนแล้วในหนังสือพิมพ์ว่า โหย่วเผิงอยากจะย้ายคณะ สุดท้ายในมหาลัยนั้นก็มีมรสุมที่ใหญ่มาก เพราะในตอนนั้นนั้นดังแล้ว ฉะนั้นทันใดนั้นก็มีข่าวที่เท็จจริงอะไรมากมาย ตอนนั้นในคณะบริหารธุรกิจก็มี ก็คือขณะที่อาจารย์กำลังสอนอยู่นั้น ก็จะเรียกนักศึกษาที่อยู่ข้างหลัง ว่าพวกเรามา พวกคุณเห็นด้วยไหม ที่โหย่วเผิงจะย้ายมาในคณะเราอะไรอย่างนั้น เรื่องนี้นั้นก็ใหญ่โตขึ้น ก็เริ่มจะมีอะไรหลายๆ ก็จะมีเสียงต่างๆนาๆ บ้างก็เห็นด้วย บ้างก็ไม่เห็นด้วย ก็กลายเป็นว่า เรื่องมันเหมือนกับกลายเป็น คุณรู้นะว่ามันได้กลายเป็น จุดเด่นประเด็นร้อนแล้ว เรื่องมันก็ได้กลายเป็น อะไรที่ไม่ง่ายเลย ฉะนั้นมาถึงหลังๆแล้วก็ได้กลายเป็นว่า เขาอยากจะรับผมไว้ แต่ก็ยากที่จะรับผมไว้อะไรอย่างนั้น

ญ: จริงๆแล้วฉันคิดว่าอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น ยิ่งกว่านั้นที่คุณเองก็มีการตัดสินใจแล้ว ว่าตลอดชีวิตผมจะเป็นคนหนึ่งที่ เรียนเก่ง ร้องเก่ง งั้นทั้งเรียนเก่ง ทั้งร้องเก่งนั้น ได้กลายเป็นวิธีการในการทำงานของคุณมาตลอด ในการที่ต้องทำมันให้ได้ แล้วเมื่อถึงจุดนี้แล้ว พวกเราได้ยินเรื่องหนึ่งว่า คุณได้เลือกทำ สิ่งที่คนทั้งโลกก็ไม่คาดคิดมาก่อน

ช: ได้ลาออกในช่วงปีสาม

โหย่วเผิง: ใช่ ผมได้พักการเรียน

ญ: พักการเรียนแล้ว

ช: พักการเรียนไป

ญ: ตอนนั้นเพราะอะไรหรือ

โหย่วเผิง: เพราะว่าตอนนั้นถึงปีสามแล้ว ก็ยังย้ายไปไม่ได้ ตามปกติแล้ว

ช: ปีสองคุณก็ได้ย้ายแล้ว ใช่หรือไม่

โหย่วเผิง: ใช่ ปีสองผมก็ย้าย ปีสามก็ยังลองย้ายอีก จริงๆแล้วทั้งสองครั้งก็ไม่สำเร็จ แล้วหากปีสามยังย้ายไม่ได้ก็จะไม่สามารถจบการศึกษาได้ เพราะว่าผมเป็นคนดื้อมาก ผมได้ตั้งใจเดินคนเดียว ผมก็เรียนเก็บหน่วยกิตของบริหารธุรกิจมามากมาย แล้ววิชาคณะวิศวะนั้นผมแทบจะไม่ได้เรียนเก็บหน่วยกิตเลย

ช: แล้วตอนหลังเป็นอย่างไร

โหย่วเผิง: ใช่ ตอนหลังพึ่งรู้ อ้า..แล้วจะทำไงดี แล้วผมก็ค่อยไปตรวจสอบอย่างจริงจัง ว่าตลอดเส้นทางที่เดินมานั้นมันถูกหรือเปล่า จริงๆแล้ว เอาล่ะ ก็คือจะเดินในทางของไกวๆหู่ที่ทุกคนชื่นชอบ ก็ค่อยๆที่จะเปลี่ยนตัวเอง


The End Part 7
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 07:17:32 PM
ตอน 8 บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง"

โหย่วเผิง: ก็ได้กลายเป็นคนที่ คุณทราบไหม ภาพลักษณ์ที่เหมือนกับเป็นเซนส์(เป็นคนที่บริสุทธิ์เซนส์จอห์น เซนส์โยเซฟของคาทอลิก) แต่ในความเป็นจริงแล้วมันทำไม่ได้ ผมเองก็รู้ว่า จริงๆนะ เอาล่ะ หากว่าตัวผมเอง ดี ผมเรียนไปได้หกปีหรือเจ็ดปี ผมสามารถเอาปริญญาของวิศวะมาได้ แล้วก็จะยังงั้น จริงๆแล้วเมื่อผมออกจากที่นั่นแล้ว สิ่งที่ผมทำนั้น ก็จะเป็นการแสดงอยู่ดี ผมเอาใบปริญญานี้จะเป็นสิ่งที่ เพียงแค่ให้คนอื่นยืนยันว่า ยังเป็นไกวไกวหู่ของพวกคุณอยู่นะ แต่ในความเป็นจริงแล้วชั่วชีวิตผมนั้น ก็คงจะไปเป็นวิศวกรไม่ได้หรอก ผมเองก็รู้สึกว่า วัตถุประสงค์ในการเรียนนั้นคงไม่ถูกต้อง

ญ: แต่ว่าคุณเคยคิดไหม คุณออกจากการเรียนแล้ว คุณก็จะทำลายภาพลักษณ์ของไกว(เชื่อฟัง)ไป ก็คือกลายเป็นไม่เชื่อฟังไปแล้ว คุณไม่เชื่อฟังแล้ว พ่อแม่จะมองคุณอย่างไร สังคมจะมองคุณอย่างไร แล้วคนเหล่านั้นที่ยกคุณเป็นแบบอย่างล่ะ พวกเขาจะพูดถึงคุณอย่างไร

โหย่วเผิง: ผมยังจำได้ว่าเมื่อผมได้จบการแถลงเรื่องการลาออกจากการเรียนแล้ว ใช่ วันที่สองนั้นจริงๆแล้ววันต่อๆมา หนังสือพิมพ์ทุกฉบับของไต้หวัน พาดหัวข้อใหญ่ของหน้าบันเทิง ผมนั้นต้องหลบซ่อนอยู่ในบ้าน ผมไม่กล้าออกมาเดินบนท้องถนน ผมรู้สึกว่าไม่รู้สิ คนอื่นจะดูผมอย่างไร

ช: คุณลาออกแล้วยังมีการไป แถลงออกข่าวอีกด้วยเหรอ

โหย่วเผิง: ใช่ ยังต้องมีการอธิบายให้ความกระจ่างกับทุกคนด้วย

ช: มีคนต่อว่าด้วยถ้อยคำเสียหายไหม

โหย่วเผิง:มี มีหลายคนต่อว่าได้แสบมาก


ญ: ต่อว่าว่าอะไร ไม่เป็นเด็กดีสักนิดเลย?

โหย่วเผิง: ก็ไม่เชิงที่ว่าไม่เป็นเด็กดีสักนิดเลย มีหลายคนก็ได้พูดว่า “ก่อนหน้าภาพลักษณ์ของเขานั้นเป็นการหลอกลวงคนอื่น จริงๆแล้วเดิมทีการเรียนของเขานั้น เรียนไม่ได้เรื่องเลยสักนิด ทำไมต้องพูดออกมาว่าเรียนเก่ง ร้องเก่งด้วย ที่แท้แล้วเขาทำไม่ได้อย่างที่พูดไว้เลย” ก็จะเป็นการพูดลักษณะนี้ ยังว่าอีกว่า ก่อนหน้านี้นั้นภาพลักษณ์ของเขานั้นสร้างภาพขึ้นมาเอง อะไรๆในลักษณะนี้

ช: ก็รู้สึกว่าคุณหลอกคนอื่นมาตลอด

โหย่วเผิง: ก็จะเป็นการพูดในทำนองนี้แหล่ะ จริงๆแล้วในช่วงเวลานั้น ยังมีภาพฝังใจที่ลืมยากมาก ผมจำได้ว่า หนังสือพิมพ์ในตอนนั้นจะมีคอลัมน์ที่ยาวมีโฆษณา ก็คือมีเทคโนโลยีใหม่ๆ คอมพิวเตอร์ แล้วคุณสามารถดูในช่องข้างบนนั้นดูว่ามีอะไรบ้าง หลักๆ ก็คือจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แล้วหัวข้อที่พาดข้างบนเพิ่มขึ้นมา คืออะไร ก็คือได้พูดถึงเว็ปไซน์ปัจจุบันที่ฮอตที่สุดคือการต่อว่าซูโหย่วเผิง แถมยังไม่เขียนชื่อผมด้วย มันเขียนว่าอะไรนะ ซูอิ้วเพิ่ง ก็จะเป็นในลักษณะอย่างนี้

ญ: แล้วคุณทุกข์ใจหรือเปล่า

โหย่วเผิง: ทุกข์ใจมากๆ แทบไม่กล้าไปอ่านเลย จากนั้นก็จะเป็นการต่อว่าคุณ เป็นหัวข้อที่ฮอตที่สุดในตอนนั้นเลย

ญ: ยามที่ชื่นชอบคุณนั้น คำหวานคำซึ้งล้วนมอบให้คุณจนหมด จากนั้นคุณก็เป็นแบบอย่าง คุณเป็นผู้สัตย์ซื่อ และแล้ววันหนึ่งคุณกลับถูกโยนลงก้นเหว มีคนมากมายมาต่อว่าคุณ ในช่วงนั้นอารมณ์ความรู้สึกคุณเป็นอย่างไร

โหย่วเผิง: ในตอนนั้นอารมณ์ผมนั้นรู้สึกว่า ก็ไม่รู้นะ รู้สึกว่า ชะตาชีวิตกับโชคนั้นมันกลั่นแกล้งคนอย่างยิ่งเลย เพราะว่าคุณดูผมได้ลาออกช่วงปีสาม ตอนปีหนึ่งที่พึ่งสอบเข้าใหม่ๆนั้น ว้าว ในตอนนั้น ทุกคน จริงๆนะ ทุกคนล้วนยึดผม ยกผมเป็นแบบอย่างของสังคมไปเลย จากนั้นสามปีให้หลัง ใช่ จริงๆแล้วผมเองก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เวลาที่ผมทำไม่สำเร็จนั้น ทุกคนก็.. ผมรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นเลย ตอนนั้นไยต้องปีนป่ายสูงขนาดนั้น ตอนนี้นั้นกลับตกลงมาอย่างน่าสังเวชอะไรอย่างนั้น
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 07:24:12 PM
ญ: คุณยังกล้าที่จะเผชิญกับมันไหม ในเวลานั้น

โหย่วเผิง: ในตอนนั้นได้ทำอัลบั้มหนึ่งออกมา ชื่อว่า “รอยแผล” เนื้อหานั้นก็จะพูดถึงอะไรที่เป็น คือจิตใจที่ปวดร้าว จิตใจก็หนักหน่วง

ช: “รอยแผล” นั้นยอดจำหน่ายเป็นอย่างไร

โหย่วเผิง: ครึ่งหนึ่งของอดีต

ญ: คุณดูสิ

โหย่วเผิง: ผมรู้สึกว่า การตัดสินใจทุกอย่างของคุณ โดยธรรมชาติแล้วก็คือ ก็จะอย่างนี้ แน่นอนก็คือ จะมีส่วนหนึ่งสนับสนุน อีกส่วนหนึ่งก็จะรับไม่ได้ และตอนหลังนั้น ในช่วงเวลานั้น หลังจากที่ได้ทำอัลบั้มชุดนั้นเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ได้ขึ้นเวทีอีกเลย ภายหลังจากนั้นผมไปอังกฤษ เรียนต่ออีกช่วงเวลาหนึ่ง

ญ: นั่นคือ จะเป็นการหลบหนีอย่างนั้นหรือเปล่า

โหย่วเผิง: เป็นการเนรเทศมากกว่า

ญ: เนรเทศ รักอะไรๆอย่างนั้น

ช: ไม่ใช่อย่างนั้น ผมจะไปที่หนึ่ง ที่ที่ไม่มีใครรู้จักผม ผมจะไปพเนจร

โหย่วเผิง: ใช่ จะเป็นอารมณ์อย่างนั้นเสียมากกว่า ใช่ จริงๆแล้วในช่วงนั้น มันมัวจริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดไว้ ว่าได้แบกกระเป๋าไปอย่างมีความสุข แล้วไปท่องเที่ยวทั่วโลก

ช: เพราะว่าในตอนนั้นเขาอยู่ที่เอเซียนั้น ไม่สามารถอยู่แล้ว คุณพูดมาสิว่าคุณไปอยู่มุมไหนของเอเซีย ที่ไม่มีใครรู้จักคุณเลย

โหย่วเผิง: และผมในช่วงนั้น ช่วงที่ยังไม่ไปที่อังกฤษนั้น จริงๆนะผมไม่กล้าที่จะเจอหน้าคนเลย ล้วนอยู่แต่ในบ้านคนเดียว แล้วอารมณ์จิตใจก็วุ่นวายมาก จากนั้นตัวเองก็ได้ขับรถเรื่อยเปื่อย ก็ตั้งใจจะไปที่ที่ ก็เป็นที่ที่กลางคืนเดินเที่ยวอย่างนั้น แล้วไปถนนที่ตัวเองไม่เคยไปเลย และมักจะหาเส้นทางที่ไม่รู้จัก แล้วเลี้ยวเข้าไป ก็จะเป็นอย่างนี้ตัวคนเดียว ไปมั่ว ในป่าในดง ก็น่าจะสะท้อน คุณสามารถรู้อารมณ์ความรู้สึกผมในตอนนั้นว่า อะไรที่เป็นอย่างนั้น จิตใจอารมณ์ที่ตายไปแล้ว


ญ: ในนี้นั้นฉันได้รับข้อความข่าวในช่วงนั้นตอนหนึ่ง ก็คือช่วงที่คุณอยู่ที่อังกฤษ เนื้อความมีอยู่ว่า ได้สัมภาษณ์คุณว่า คุณอยู่ที่อังกฤษ เกิดป่วยหนักขึ้นมา ก็คือคำพูดของคุณในตอนนั้น ได้พูดไว้อย่างนี้ว่า “ต่อมทอนซิลผมอักเสบขึ้น เจ็บจนแทบจะกลืนน้ำลายไม่ได้ และไข้ขึ้นสูงตลอด”

โหย่วเผิง: ทรมานมาก

ญ: “บางครั้งก็ได้สลบไป เหมือนกับว่าจะตายแล้ว รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารมาก ไม่มีผู้ชมแล้ว ไม่มีใครรักแล้ว ตายไปก็จะดีกว่า” เป็นคำพูดของคุณในตอนนั้น ตอนนั้นเคยคิดไหม

โหย่วเผิง: ในช่วงนั้นรู้สึกว่า ถึงจุดตันของชีวิตแล้ว ไม่รู้ว่าอนาคตตัวเองนั้น จะเดินไปอย่างไร พูดจริงๆ เป็นแบบนี้จริงๆ ในช่วงพริบตาเดียวก็มีคนมากมายได้จากไปแล้ว จากนั้นเพราะว่า พูดตรงๆนะ ดังมีชื่อเสียงแต่เด็ก ผมเองจะไปทำงานสมัครงานก็ไม่ได้ แท้จริงก็ไม่มีอะไร ทนได้ตลอดนี่ ใช่ไหม แม้ว่าบริหารธุกิจจะเรียนมาบ้าง แต่คุณก็ไม่มีใบปริญญา จะทำอะไรได้ แล้วงานการแสดง ก็ไม่สามารถที่จะไปต่อไปได้ จริงๆก็ไม่รู้ว่า อนาคตจะทำอย่างไรดี ฉะนั้นเวลานั้น แท้จริงแล้วกังวลมากๆ ก็คือตันมากๆ อะไรอย่างนั้น

ญ: ตอนนั้นเคยคิดที่จะตายไหม

โหย่วเผิง: หมดอาลัยตายอยากจริงๆ ก็คือเมื่อป่วยแล้ว โอเค นอนอยู่บนเตียง ในเมื่อยังไงก็ไม่มีใครมาดูแล ให้มันตายไปเองก็แล้วกัน

ช: คุณไปซื้อยาเองไม่ได้เหรอ

โหย่วเผิง: พูดตามตรงว่าตอนนั้นดูแลตัวเองไม่ค่อยเป็น ครั้งแรกตัวเองก็เป็นอย่างนั้น จริงๆตอนนั้นผมเอง ก็แทบจะไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรเลย ในช่วงนั้นด้านหนึ่งก็ยังคิดว่า ปล่อยไปตามกรรม เจอเรื่องอย่างนี้แล้ว ตอนนั้นผมจำได้ว่า ตอนอยู่ไต้หวันนั้น ยังมีผู้ใหญ่ให้เบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนๆที่อยู่อังกฤษ ให้เบอร์ผมมา กำชับว่าหากเกิดอะไรขึ้นมาแล้ว สามารถโทรศัพท์ไปหาพวกเขาได้ ผมก็ว่าดีๆ รับไว้ เมื่อหันกลับแล้ว ผมก็ไม่เอามัน ผมจะพึ่งตัวเอง
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 07:29:44 PM
ญ: ฉันรู้สึกว่าความแตกต่างอย่างนั้น จุดสำคัญอยู่ที่คำพูดของคุณ “ไม่มีผู้ชมแล้ว ไม่มีใครรักแล้ว บางครั้งคนเราอยู่ในช่วงที่ป่วยอยู่นั้น จะรู้สึกว่าหดหู่มาก แล้วคุณก็จะไปคิดถึงอะไรมากมาย รู้สึกว่าตัวเอง ทำไมตอนนี้ถึงเป็นอย่างนี้ อนาคตผมจะทำอย่างไรต่อไป” ก็จะไปคิดกับมัน

โหย่วเผิง: ถูกต้อง

ญ: แล้ว 3 เดือนให้หลังแล้ว คุณก็ได้กลับไต้หวัน

โหย่วเผิง: แต่ว่าในช่วงนั้นผมก็ยังมีความคิดบางอย่างที่เปลี่ยนไป ผมรู้สึกว่าการออกไปในครั้งนั้น ก็ไม่ใช่ว่าออกไปโดยเปล่าประโยชน์(ไปอังกฤษ) เพราะว่าสิ่งนั้นได้สัมผัสถึงความอิสระอย่างจริงๆ ก็คือจริงๆ ขณะที่คุณเดินอยู่บนถนน คุณจะไม่รู้สึกเลยว่า รอบตัวคุณนั้นจะมีสายตามาจ้องมองคุณอยู่ คือคุณสามารถที่จะเป็นตัวของตัวเอง คุณไม่ต้องไปคิดว่า คุณยังเป็นไกวๆหู่ในสายตาของทุกคนหรือเปล่า

ญ: ไม่ต้องล้างหน้าก็สามารถออกไปเดินเล่นได้ ไม่เป็นไร

โหย่วเผิง: ใช่ ก็คือ เพราะว่าไกวๆหู่ ในช่วงอดีตนั้น มันเวอร์ไปจริงๆ ผมจำได้ว่าตอนนั้นเสี่ยวหู่ตุ้ยพึ่งก่อตั้งขึ้นมา มีวันหนึ่งผมจำได้ ซ้อมเต้นซ้อมดึกไปหน่อยมั้ง สี่ทุ่มกว่าแล้ว ผมก็อยู่ข้างถนน จะเรียกแท็กซี่กลับบ้าน เรียกรถกลับบ้าน ก็จะมีคนมาพูดว่า คุณไม่ใช่ไกวๆหู่คนนั้นเหรอ ทำไมดึกขนาดนี้แล้ว ยังอยู่ข้างถนนอยู่ล่ะ

ญ: อย่างนี้จะเป็นเด็กดีได้ไง

โหย่วเผิง: ใช่ๆ สี่ทุ่มกว่าๆ ก็คือคุณรู้ไหม ว่าภาพลักษณ์ในตอนนั้น เพราะว่ามันดีเลิศขนาดไหน ทุกคนก็รู้สึกว่า คุณเป็นเด็กเพื่อนบ้านที่ดีเยี่ยมที่สุดของเขา

ช: คาดเดาไปแล้ว ถ้าสี่ทุ่มกว่าๆ ก็คงจะนอนกรนอยู่บนเตียงแล้วล่ะซิ

โหย่วเผิง: ในตอนนั้น มารตฐานของทุกคนก็สูงมาก รวมทั้งเพราะว่าก็เหมือนกับเมื่อกี้ที่พวกคุณพึ่งพูดไป ก็คือเหมือนกับว่า ไกวๆหู่นั้นน่าจะมีบางอย่าง เป็นภาพลักษณ์เหมือนอย่างแม่พิมพ์ จะรู้สึกว่าเป็นคนที่เรียนดี งั้นเขาก็น่าจะเป็นสงบเสงี่ยมมากๆ เขาก็น่าจะเป็น คนที่ไม่ชอบคุย คุณรู้ใช่ไหม ก็คือผู้คนล้วนมีความคิดอย่างนั้น รวมทั้งตอนที่ผมไปออกรายการ(ทีวี) แท้จริงแล้วผมในช่วงนั้น ได้คำนึงถึงหลายๆด้านอย่างลำบากมาก แต่ว่าเมื่อถึงเวลาของรายการจริงๆแล้ว ผู้ดำเนินรายการก็ยังปฏิบัติต่อผมอย่างดี ก็คือว่า ขอยินดีต้อนรับโหย่วเผิงที่เรียนดี จริงๆแล้วผมอยู่ข้างล่างเวที ผมก็ว่าอย่าแนะนำผมอย่างนี้อีกเลย มันกดดันมากๆ แต่ว่าทุกคนก็จะมีอย่างหนึ่ง เมื่อมีภาพลักษณ์ที่ดีอยู่แล้ว ก็ได้ยึดผม ยกผมขึ้นสูงๆ อยู่ตรงนั้น


ญ: คุณก็คือเป็นคำนามของนักเรียนที่เรียนเก่ง

โหย่วเผิง: คำนาม

ช: แม้ว่าจะได้เรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นนักเรียนที่ดีที่สุดของห้อง

ญ: แต่ว่าฉันคิดว่าอย่างนี้ จะเป็นที่ชังของคนอื่น ก็คือคุณได้เพิ่มยศให้กับเขา เขาก็จำเป็นที่จะต้องไปทำมัน และจำเป็นที่จะต้องไปทำมันให้ดี

ช: รวมทั้งเมื่อกลับไปที่โรงเรียน เพื่อนนักเรียนก็จะใช้ สายตาแบบอื่นมามองคุณ

ญ: ใช่แล้ว

ช: ก็จะพูดว่าแท้จริงคุณอยู่ในห้องนั้น ก็อยู่ในอันดับท้ายๆเลย แล้วคุณยังพูดว่าคุณเป็นนักเรียนที่เรียนดี

โหย่วเผิง: แต่ว่านั่น ไมใช่ผมเป็นคนพูด

ช: ใช่ มันเหนื่อยจริงๆ
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 07:41:44 PM
ญ: แล้วหลังจากสามเดือนแล้ว เพราะอะไรถึงได้กลับไต้หวัน

ช: กลับมาแล้วคุณก็จะไปใช้ชีวิตเดิมๆอีกแล้วซิ

(มีภาพคั่นรายการ)

ช: กลับมาแล้วคุณก็จะไปใช้ชีวิตเดิมๆอีกแล้วซิ

โหย่วเผิง: กลับมา

ช: เพราะอะไรคุณถึงกลับมา

โหย่วเผิง: กลับมาในตอนนั้น้พราะยังมีงานอยู่ ผมก็ยังไม่ได้ลาออกจากการเป็นนักแสดงเลย รวมทั้งยังไม่มีค่าเทอมอีกด้วย

ช: ช่วงที่เสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น ไม่ได้หาเงินไว้เยอะๆเหรอ

โหย่วเผิง: แท้จริงแล้วไม่มีเลย ตอนนั้นก็ล้วนให้ที่บ้าน ก็คือให้กับทางบ้าน รวมทั้งการซ่อมแซมในบ้าน หรือว่าต่อเติมดาดฟ้าบ้านอะไรอย่างนี้ จริงๆแล้วก่อนนั้นเงินที่หาได้ก็ไม่ใช่ว่าเยอะ เพราะว่าพวกเราทำงานเป็นช่วงปิดเทอมหนึ่งเทอมสอง มีเพียงขายอัลบั้มเพลง ก็มีแต่ค่าเปอร์เซนต์ของเทปเพลง ยิ่งกว่านั้นยังต้องหาร 3 อีกด้วย


ช: ถ้างั้น หลังจากที่กลับมาจากอังกฤษแล้ว คุณมีงานกี่ชิ้น แล้วงานนั้นได้รับเงินเท่าไหร่

โหย่วเผิง: จริงๆแล้วได้รับเงินเท่าไหร่นั้นจำไม่ได้ หลังจากที่กลับมาแล้ว ได้ออกอัลบั้มหนึ่ง "โจ่ว" ต่อมายังได้มีผลงาน "วันเวลาของผมที่เจี้ยนจง" ก็คือในตอนนั้นได้ออกผลงานหนังสือหนึ่งเล่ม

ช: ละครทีวีเรื่องแรกที่โหย่วเผิงแสดงนั้น ก็อยู่ในช่วงนั้นใช่หรือไม่ ชื่อเรื่องคือ "โอ่วเสี่ยงอี้จีปั้ง"

ญ: ก็คือได้ถ่ายทำหลังจากการกลับมาของครั้งนี้

ช: หลังจากกลับจากอังกฤษ เล่นละครเป็นขวัญใจ

ญ: การแสดงในเรื่องนั้น บทของคุณนั้นสำคัญไหม

โหย่วเผิง: เป็นหัวหน้าของร้านสะดวกซื้อประมาณนั้น หัวหน้าร้านสะดวกซื้อ

ช: ผมไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ก็คือพึ่งกลับมาจากอังกฤษใหม่ๆ ตอนนั้นสายตาที่ทุกคนมองคุณ ก็ยังคงไม่ลืมหมด ดังนั้นบทที่คุณเล่น ก็คือผิดกับภาพลักษณ์ในอดีตของคุณ ไปเล่นตลก ชีวิตของคุณในช่วงนั้นมันตลกอย่างนี้เลยเหรอ

โหย่วเผิง: ไม่นะ ช่วงนั้นมีความกดดันในเรื่องการดำเนินชีวิตมากๆ

ช: มีความกดดันอะไรบ้าง

โหย่วเผิง: จริงๆแล้ว ในช่วงหนึ่งหรือสองปีนั้น ไม่เพียงแต่ด้านการงานที่เจอกับอุปสรรค แท้จริงก็ไม่รู้ว่า คือผมรู้สึกว่าบางเวลา ในช่วงที่เฮงซวยนั้นอะไรก็ไม่ดีไปหมด ในบ้านก็ได้เกิดเรื่องเยอะแยะ ครอบครัวเราทั้ง 4 คน ตอนนั้นอยู่กันคนละที่  4 คน  4 ที่ ที่ต่างกันไป

ช: หมายความว่าอะไร 4 คนอยู่กัน 4 ที่


The End Part 8
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 07:49:35 PM
ตอน 9 บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง"

โหย่วเผิง: ก็คือบ้านเราเกิดเรื่องขึ้น พวกเราจริงๆแล้ว ไม่ใช่ประเภทครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าอย่างนั้น อะไรอย่างนั้น คุณรู้นะ ก็คือเป็นครอบครัวที่ไม่ใช่ครอบครัว

ช: ได้มีปัญหาเกิดขึ้นในระหว่างคุณพ่อ คุณแม่ใช่หรือไม่

โหย่วเผิง: พูดอย่างนั้นก็ได้นะ จากนั้นคุณแม่ผมก็ออกจากบ้าน ท่านคิดอยากยืนด้วยลำแข้งตัวเอง จากนั้นน้องชาย เพราะว่าช่วงนั้นยังต้องเรียน จึงไปพักอยู่ใกล้ๆโรงเรียน แล้วเหลือคุณพ่อคนเดียวที่อยู่ที่บ้าน

ญ: ในครอบครัวได้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ในตอนนั้นการงานของคุณนั้น พวกเราก็รู้ว่า เหมือนกับว่าไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่นักใช่ไหม

ช: พวกเราลองมาคำนวนดูว่า ละครขวัญใจนั้น หนึ่งตอนได้เงินเท่าไหร่

โหย่วเผิง: ไม่กี่พัน

ช: ไม่กี่พัน

โหย่วเผิง: เพราะว่าเป็นละครของค่ายในบริษัทของเราเอง ยังต้องมีการหักเปอร์เซนต์อีกด้วย

ช: ได้ข่าวว่าได้ไปเป็นพิธีการรายการด้วย ใช่ไหม

โหย่วเผิง: พิธีกร เหมือนกับว่าน่าจะก่อนหน้านี้นะ จากนั้นก็ได้เป็นพิธีกรรายการ

ญ: ไม่ว่าอย่างไรก็คือเงินที่ได้นั้นน้อยกว่าก่อนมากๆ ยังต้องจ่ายค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ใช่ไหม

ช: เอาล่ะ ผมจะมาคำนวนคิดดูกับคุณ

ญ: คุณเป็นนักบัญชีหรือ

ช: แสดงละครทีวีบวกกับพิธีกรรายการ เหมือนกับว่ารวมกันทั้งเดือนแล้ว ก็ประมาณสองหมื่นเหรียญไต้หวัน ประมาณนี้ไหม

โหย่วเผิง: ประมาณนี้แหล่ะ


ช: จากนั้นเพราะว่าราคาบ้านในไต้หวันนั้น มีราคาสูงจริงๆ คุณจะต้องแบ่งจ่ายค่าเช่าบ้านทั้ง 3 ที่ใช่หรือไม่

โหย่วเผิง: ยังมีบ้านเก่าด้วย จริงๆแล้วบ้านเก่าก็ยังมีค่าเช่าอยู่

ช: ยังต้องมีค่าเช่าอยู่

โหย่วเผิง: ใช่ จากนั้นตัวผมเองในช่วงนั้น บ้านที่อยู่ก็ต้องมีค่าเช่าด้วย รถของตัวเองก็ยังต้องผ่อนจ่ายด้วย แล้วผมก็ได้ซื้อรถคันหนึ่งให้คุณแม่ก็ยัง ก็ต้องไปกู้เงิน ส่วนน้องชายนั้น ทุกๆเดือน ก็ยังต้องให้ค่าเช่าห้องของเขานิดหน่อย

ช: มารวมยอดทั้งหมดแล้ว

ญ: ทั้งบ้านล้วนเป็นคุณดูแล

ช: หนึ่งเดือนคุณจะต้องใช้จ่ายเงินเท่าไหร่ ค่าบ้าน ค่ารถ รวมทั้งรายจ่ายทั้งหมด

โหย่วเผิง: ประมาณห้าหมื่นเหรียญมั้ง

ช: ห้าหมื่นเหรียญ แล้วที่ขาดอีกสามหมื่นนั้นทำยังไง บัตรของคุณนั้นคุณเคยไหม ทุกๆเดือนเมื่อถึงเวลาต้องจ่ายเงินนั้น ไปเช็คดูก่อน เดือนนี้ยังเหลือเงินอยู่เท่าไหร่

โหย่วเผิง: เคยนะที่เกือบจะล้มละลาย

ช: เคยมีหรอ

โหย่วเผิง: มี ก็คือบัญชีฝากของธนาคารทั้งหมดนั้น เหลือเพียงไม่ถึงสองหมื่นเหรียญไต้หวัน ในเดือนต่อไปก็สามารถล้มละลายได้ทันทีเลย อะไรอย่างนี้

ช: แล้วทำอย่างไรล่ะ

โหย่วเผิง: ลืมไปแล้วว่าทำอย่างไร แต่ก็น่าจะเป็นสวรรค์นั้นยังเมตตาผม ผมลืมแล้วน่าจะก็คือ บังเอิญมีเงินก้อนหนึ่งได้โอนเข้ามา ก็พอดีเลยที่สามารถมาใช้จ่ายทัน
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 07:51:57 PM
ช: ก็คือเอาตรงโน้นมาแปะตรงนี้

โหย่วเผิง: ใช่ ก็คือพอดี สามารถที่จะผ่านพ้นไปได้ แต่ว่าในช่วงนั้น พูดจริงๆ นะแล้วก็เป็นการบังเอิญจริงๆ ก็คือในช่วงนั้น ยังเป็นช่วงก่อนถ่ายทำ “องค์หญิงกำมะลอ” ก็คือ ไม่รู้จริงๆว่าจะทำอย่างไรดี ชีวิตไม่มีทางอยู่ต่อไปแล้ว

ญ: คุณในตอนนั้น หวังอยากจะได้ความเข้าใจเห็นใจจากพ่อแม่เป็นพิเศษอย่างมากใช่หรือไม่

โหย่วเผิง: ใช่ อาจจะเพราะว่าในช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าในบ้าน ระดับหนึ่งนั้นไม่รู้ว่าช่วงนั้นผมเองเริ่มเจอกับปัญหาบ้างจริงๆ ขณะที่ลำบากมาก ขณะที่ขัดคล่องมากๆ จริงๆนะแม้แต่อนาคตตัวเองก็หาแทบไม่เจอว่าอยู่ที่ไหน รวมทั้งในช่วงนั้น ตอนนั้นคุณพ่อก็ใช้เงินเยอะเหมือนกัน จากนั้น

ช: ท่านหันกลับมา ยังมาใช้เงินของคุณ

โหย่วเผิง: ในช่วงนั้นก็เคยมี ก็คือท่านอยากเปิดสมุดเช็คจากธนาคาร ก็คืออยากจะเปิดเช็ค ฉะนั้นจำเป็นต้องมีเงินก้อนหนึ่งมาเป็นเงินฝากไว้กับธนาคาร จากนั้นธนาคารถึงสามารถให้เครดิตนำสมุดเช็คไปใช้ได้ ใช่ ในตอนนั้นได้ฝากไว้แล้ว ผมจำได้ว่าประมาณหนึ่งแสนเหรียญใต้หวัน(สองหมื่นห้าพันหยวนจีน) ใช่ ก่อนหน้านี้ผมได้พูดยืนยันกับท่านว่า ทำสิ่งเหล่านี้นั้นคุณต้องรู้ว่ามันจริง เพราะว่าผมเองก็ไม่มีเงินแล้ว ทุกคนก็ล้วนอยู่อย่างลำบาก

ญ: ทุกคนในบ้านก็ลำบาก

โหย่วเผิง: ใช่ๆ เรื่องนี้นั้นจำเป็นต้องแน่ชัดว่ามันจริง สุดท้ายตอนหลังเงินก้อนนี้นั้นก็ได้สูญไป เดิมทีท่านได้พูดว่า หลังจากที่ได้เปิดบัญชีแล้วจะคืนเงินผมทันที สุดท้ายก็ไม่ได้คืนผม ตอนนั้นผมก็ยังรู้สึกว่า อย่างนี้ไม่ดีเลย ก็คือใช่ สภาพของลูกชายคุณนั้น จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดไว้ว่ามันสวยงามอย่างนั้น ก็ไม่น่าจะทำอย่างนี้ สำหรับคุณแม่ในช่วงนั้น ผมรู้สึกว่าท่านยิ่งใหญ่มาก ก็คือตั้งแต่ก่อนให้กำเนิดผมนั้น ท่านเป็นอาจารย์ จากนั้นท่าน หลังจากคลอดผมท่านก็เลิกสอน แล้วก็ออกมาดูแลผมอย่างจริงจัง นานแล้วทีท่านไม่เคยเข้าไปสอนในโรงเรียน ทันทีนั้นเหตุการณ์ในบ้าน ก็คือมีเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้นท่านเลยคิดว่าตัวท่านเองนั้นต้องพึ่งตัวเองแล้ว
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 07:58:46 PM
ญ: ท่านกลับไปทำงานใหม่

โหย่วเผิง: ใช่ ท่านไม่มีผู้ชายที่สามารถจะให้ความไว้วางใจได้ ฉะนั้นท่านก็เลยต้องพึ่งตัวเอง ท่านก็ ใช่ ท่านขยันมากๆ ท่านกลับไปสอน เพราะว่าตอนหลังคุณจะเห็น เมื่อผมโตขึ้นแล้ว นั่นก็ยี่สิบปีแล้ว ใช่ไหม ท่านอยากจะกลับไปเป็นครูสอนในโรงเรียนใหม่ ท่านได้กลับไปที่วิทยาลัยครูอีกครั้ง ไปเรียนเพิ่มวิชาศึกษาศาสตร์ หลังจากนั้นถึงสามารถไปสอบเข้าสอนอีก เริ่มทำจากอาจารย์อัตราจ้างก่อน เริ่มแรกนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะอยู่ในเมืองไทเป คือศูนย์กลางเมือง หรือสอนในโรงเรียนที่ดีที่สุด กลับต้องไปที่ไกลๆ ไปเริ่มงานในแถวชนบท จากนั้นก็คิดหาวิธี ท่านอยากจะใช้ชีวิตส่วนตัวอะไรอย่างนี้ ท่านก็ไม่อยากที่จะเป็นภาระให้กับลูกชาย ท่านก็รู้ว่าอาชีพของผมนั้น บางครั้งที่ดี บางครั้งหาเงินได้ เวลาที่ไม่ดีนั้น ทันใดนั้นก็คงจะไม่มีอะไรให้ทำเลยอย่างนั้น

ฉะนั้นช่วงนั้นก็คือ เป็นช่วงที่ผมซื้อรถให้ท่าน เพราะว่าเริ่มแรกการทำงานของท่านอีกครั้ง ท่านนั่งรถโดยสารไปทำงานตลอด นั่นคือชนบท ไกลมาก แล้วอากาศของเมืองไทเปก็ไม่ดีมากๆ ฉะนั้นในช่วงนั้น ก็ได้แต่ปากกัดตีถีบเพื่อจะซื้อรถให้ท่านคันหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้เป็นรถที่ดี แต่ว่าผมรู้สึกว่า ใช่ ลำบากมากๆ ฉะนั้นช่วงนั้นคุณแม่ก็ คือไปคนเดียว ก็คือได้ออกจากบ้านหลังเดิม ย้ายไปอยู่ที่อื่นด้วยตัวคนเดียว คิดวิธีใช้ชีวิตโดยลำพัง จากนั้นทุกคนก็คิดหาวิธี หาทางให้ตัวเองคนเดียวอยู่ให้ได้อย่างนั้น เพราะว่าไม่มีใครสามารถไปทำให้ทุกคนในครอบครัวกินดีอยู่ดีทั้งหมดได้

ญ: แท้จริงเบื้องหลังใบหน้ารอยยิ้มนี้นั้น มีความกดดันที่หนักหน่วงมากซ่อนอยู่ เป็นสิ่งที่พวกเราพึ่งรู้

โหย่วเผิง: ชีวิตคนเราก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างนี้บ่อยๆ


ญ: ก็คือพวกคุณได้เร็วไป

โหย่วเผิง: ผมรู้สึกว่าการเป็นศิลปิน จริงๆก็คือน่าจะนำอะไรดีๆมาให้ทุกคน มีใครบ้างที่ดูทีวีแล้วมาฟังคุณมาบ่นมาระบายความทุกข์ เรื่องในบ้านของผม เป็นเรื่องที่เบื่อหน่ายต่อคนอื่น ผมเปิดทีวี ผมยังจะดูดาราร้องไห้อย่างนั้นหรือ ฉะนั้นผมคิดว่า จริงๆ ก็คือตั้งแต่ที่พวกเราได้ก่อตั้งวงขึ้นมาแล้ว ทางค่ายบริษัทได้สอนพวกเราว่า ก็คือไม่ว่าจะอย่างไร ก่อนที่คุณจะขึ้นเวที อารมณ์คุณจะไม่ดีขนาดไหนก็ตาม ในบ้านจะมีเรื่องอะไรก็ตาม เมื่อขึ้นเวทีแล้ว คุณจะต้องนำรอยยิ้มให้กับทุกคน จริงๆแล้วมันก็ต้องเป็นแบบนี้

ญ: งั้นฉันอยากจะบอกว่า “องค์หญิงกำมะลอ” พวกเราก็ทราบอยู่ว่าค่ำคืนเดียว จ้าวเวย หลินซินหยูดังระเบิดทันที แล้วคุณด้วยใช่หรือไม่ ที่ชั่วคืนเดียวก็ดังระเบิด

โหย่วเผิง: ความรู้สึกของคุณในช่วงนั้น เพราะว่าจริงๆแล้ว “องค์หญิงกำมะลอ” เริ่มแรกนั้นได้ฉายที่ไต้หวัน จากนั้นตอนหลังก็มาฉายที่

ญ: ฮ่องกง

โหย่วเผิง: ที่จีนก่อนนะ ฉายที่จีนก่อน จากนั้นถึงค่อยไปที่ฮ่องกง แต่ว่าตลอดเวลาที่ฉายในฮ่องกงนั้น เพราะช่วงนั้นการนำเสนอนั้นเยี่ยมมาก จากนั้นผมจำได้ว่า ครั้งแรกที่ผมไปฮ่องกงคือไปกับซินหยูมั้ง งานนั้นจัดที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แจกลายเซ็นต์ หนังสือพิมพ์ได้เขียนว่า มีคนมาประมาณแปดพันคนมั้ง จริงๆแล้ว ผมได้ตกต่ำมาในหลายปีมานี้ ก็ไม่เคยเห็นภาพอย่างนี้มาก่อนเลย

ญ: ทุกคนล้วนเรียกคุณว่า “องค์ชายห้า” (อู่อาเกอ)

โหย่วเผิง: พริบตาเดียวได้ความรู้สึกที่เยอะแยะ ก็รู้สึกว่าตัวเองคิดไม่ถึงจริงๆว่าชาตินี้ยังมีโอกาสอย่างนี้อีก

ญ: ในใจลึกๆรู้สึกว่า เวลาที่รอมาถึงแล้ว

โหย่วเผิง: พูดไม่ออกเลย ช่วงนั้นที่อยู่ในงานแจกลายเซ็นนั้น แล้วนักข่าวเรียกผม ก็คือข้างล่างเป็นผู้มาร่วมงาน เดิมทีผมอยู่อย่างนี้แจกลายเซ็นให้กับทุกคน ทุกคนให้ผมหันหลังมา เอามวลชนมาเป็นฉากหลังของผม ขณะถ่ายรูปนั้น ช่วงนั้นผมได้ดูรูปเหล่านั้น เห็นใบหน้าของตัวเอง ทั้งหมดนั้นผมล้วนจำได้ ความรู้สึกจิตใจในช่วงนั้น ผมพูดไม่ออกเลยจริงๆ และก็ไม่ใช่เป็นการหัวเราะหรือยิ้มแบบเวอร์ๆอย่างนั้น พูดไม่ออกเลย


The End Part 9
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 08:05:37 PM
ตอน 10 บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง"

โหย่วเผิง: ก็คือพูดไม่ออกเลยแหล่ะ คิดไม่ถึงจริงๆ

ญ: แท้จริงคุณก็คิดว่าได้ผ่านประสบการณ์มามากมายแล้ว ครั้งนี้ยังได้รับการต้อนรับและเป็นที่ทุกคนชื่นชอบ ทุกคนวิ่งตาม กับช่วงอายุ 15 - 16 ก็คงจะไม่เหมือนกันแล้ว

โหย่วเผิง: ต่างกันมากๆ เพราะว่าครั้งแรกนั้น จริงๆแล้ว ตอนนั้นเป็นการเริ่มที่ไม่ได้ตั้งใจ เป็นการลองทำไป เด็กอายุ 15 คนหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่ามันสนุก แท้จริงแล้วก็ไม่ได้ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีอะไร ก็ไม่รู้ว่าดำเนินชีวิตนั้นคืออะไร หรือว่าอาชีพในอนาคตนั้นคืออะไร แล้วภายหลังก็คือ ช่วงนั้นก็นับว่าระเบิดครั้งเดียวก็ดังแล้ว ต่อจากนั้นก็คือ เริ่มรอโอกาส หลังจากที่ได้รออย่างลำบากมานานหลายปี จากนั้นสิ่งที่มาอีกนั้น ความรู้สึกอย่างนี้เนี่ยมันไม่เหมือนเดิมจริงๆ

ญ: อาจจะเป็นเพราะ การขึ้นขึ้น ลงลงเหล่านี้มั้ง ฉันรู้สึกว่าโหย่วเผิงนั้นยิ่งรู้จักใช้โอกาสที่เขามีอยู่ ณ วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นละคร ไม่ว่าจะเป็นการออกคอนเสิร์ด ไม่ว่าจะเป็นทุกครั้งที่ได้ให้สัมภาษณ์ก็ดี เพื่อนรอบข้างของคุณ ได้ผ่านทางวีดีโอได้บอกกับพวกเราว่า คุณเป็นคนหนึ่งที่เคารพและรับผิดชอบกับอาชีพเป็นอย่างมาก พวกเรามาฟังกัน


ซินหยู: เขาเป็นคนที่เคารพรับผิดชอบต่องานมาก ก็คือว่าพวกเรา ขณะที่ถ่ายทำนั้น ก่อนหน้านี้เขาเล่น “มนต์รักในสายฝน” จากนั้นก็มีการพักช่วง จริงๆแล้วเขาก็พักผ่อน แค่ชั่วครู่ แล้วเขาก็ไปต่ออีก จากนั้นก็มีอดหลับอดนอน ทำโน่นทำนี่ ก็มีนะ ก็คือช่วงเวลาพักผ่อน เขาก็จะไม่ถ่ายแล้ว ผมจะลาออกจากวงการแล้ว อดหลับอดนอนมันลำบากอย่างโน้นอย่างนี้ โหย่วเผิง เขาก็ ทันใดนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมามีกำลังขึ้นอย่างนั้น คือเขาเคารพในการงานมาก แม้ว่าเขาจะพูดบ่นอยู่ว่าไม่อยากจะถ่ายทำแล้ว เหนื่อยๆๆ นี่ก็เป็นคำพูดที่พวกเราอยากจะพูดเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อถึงเวลาทำงาน ก็ยังทุ่มเทกับการงานเหมือนกัน


เพื่อน : มีครั้งหนึ่งคือ เป็นความทรงจำที่ลึกมากสำหรับผม ก็คือมาร่วมงานแจกลายเซ็นต์ที่ปักกิ่ง จำได้ว่าตอนนั้น เขาอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เหมือนกับว่าถ่ายหนัง คือเล่นบทเป็นตู้เฟย ก็คือการถ่ายทำนั้นก็เหนื่อยมากแล้ว แล้วอีกคืนหนึ่งก็ได้ไปที่ปักกิ่ง แล้วเขาอาเจียนจนน่ากลัวมากๆ ก็คืออาเจียนจนตัวเขาเองนั้นเพลียไปหมดแล้ว ผมเห็นได้ชัดว่า รู้สึกว่าร่างกายของเขานั้น อ่อนเพลียสุดๆเลย แต่ว่าก็ยังจะไป เพราะว่าคนเยอะขนาดนั้น แฟนเพลงและแฟนละครมากมาย กำลังรอลายเซ็นต์จากเขา ฉะนั้นเขาก็ไป เมื่อไปแล้วก็เพียง เซ็นต์ไปแป๊ปหนึ่ง แล้วก็ไปพักด้านหลังอีกแป๊ปหนึ่ง เซ็นต์แป๊ปหนึ่ง แล้วก็ไปพักอีกแป๊ปหนึ่ง ได้อดทนอย่างนั้นประมาณ ผมจำได้ว่าน่าจะถึง สอง สามชั่วโมงมั้ย สุดท้ายนั้นก็ทนไม่ไหวจริงๆแล้ว ก็คือเซ็นต์รวดเดียวหมด หลังจากนั้นได้กลับเข้าไปชั้นล่างของโรงแรม แล้วก็ไปคลีนิกแห่งหนึ่งไปหยอดน้ำเกลือ หยอดประมาณสองชั่วโมง ในสองชั่วโมงนั้น เขาก็มีเหงื่อออกตลอด นอนตลอดเวลา หลังจากที่หยอดน้ำเกลือเสร็จแล้วเนี่ย ทันใดรถก็จอดรออยู่ข้างนอก วิ่งไปที่สนามบินในทันใด กลับไปที่เซี่ยงไฮ้ ผมได้โทรศัพท์หาเขา วันรุ่งขึ้น มีข่าวช่วงห้า หก โมง ว่าไปเริ่มถ่ายละครต่ออีก ฉะนั้นจากเรื่องนั้นทำให้ผมรู้สึกว่า เขานั้นลำบากจริงๆ ลำบากมากๆจริงๆ


ช: คนเรานะ แน่นอนเมื่อเกิดการสูญเสียถึงจะรู้ว่ามีค่าควรถนอม

โหย่วเผิง: ตอนนั้นมันเป็นการแสดงของชีวิตจริงๆ เลย ก็คือคุณรู้ไหมว่าก่อนหน้านี้นั้น มีเพื่อนร่วมงานของบริษัทมาถามผมว่า “ในช่วงห้าปีก่อนหน้านั้น เป็นช่วงที่เริ่มจะไปเล่นละคร” “ใช่” “จากนั้น คุณเคยคิดไหมว่ามีวันนี้ได้” เขาได้ถามผมอย่างนี้ขึ้นมาทันใด ผมก็อึ้งและตกใจ เพราะว่าผมนั้นไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย ต่อจากนั้นสองสามวินาทีผมก็รู้สึกว่า แม้แต่ฝันก็ยังไม่เคยฝันเลย ในตอนนั้นจริงๆแล้ว เพียงแค่หวังว่า เอาล่ะ ก็ยังพอมีกำลังในการดูแลครอบครัว หรือว่ายังสามารถที่จะให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นกว่านี้ คิดไม่ถึงจริงๆแล้วตอนหลัง เก็บออม เก็บออม สามารถเดินมาถึงวันนี้ ฉะนั้นในช่วงนั้น โอกาสของภาพยนตร์ทุกๆเรื่องนั้น ผมก็มักจะพยายามอย่างสุดกำลัง
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 08:11:42 PM
ญ: คนในครอบครัวของคุณนั้น ก็จะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ใช่ไหม

โหย่วเผิง: ใช่ หวังว่าสามารถจะเป็นอย่างนั้น สะสางปัญหาบางอย่างได้ หน้าผมค่อนข้างบาง จริงๆ แล้วผมแทบจะไม่มีทางที่จะไปต่อรองค่าจ้างกับคนอื่น หรือว่าพวกนั้น ผมทำไม่เป็นจริงๆ ฉะนั้นตอนหลังผมรู้สึกว่า ใช่ ก็น่าจะเป็นงานนี้ น่าจะเหมาะกว่า ก็คือตัวเองจะต้องขยันอย่างสุดๆ จากนั้นก็รอโอกาส อะไรอย่างนี้

ญ: พวกเราได้ข่าวว่าช่วงที่คุณเหนื่อยที่สุดนั้น จะมีคติพจน์ของชีวิต คือ มั่วๆ จะอดตาย คุณหวังอย่างยิ่ง ไม่เอาการเอางานจะตาย ไม่ลงทุนแต่อยากจะได้ จริงๆแล้วฉันสังเกตุเห็นว่าคนอย่างคุณนั้น ก็จะยุ่งอยู่ตลอดเวลา คนก็มักจะต่อสู้ และแล้วแต่กลับมีคติพจน์อย่างนี้ ขณะที่มันให้คุณไม่ลงทุนแต่ได้รับ ก็คงเป็นไปไม่ได้

โหย่วเผิง: ไม่หรอก แค่พูดเล่นๆ ให้ตัวเองสบายใจ

ช: ก็คือหากพูดกลับมานั้น คุณบอกว่าอยากจะให้คนในครอบครัวของคุณมีชีวิตที่ดีขึ้น เรื่อง “องค์หญิงกำมะลอ” หนึ่งตอนนั้น ได้รับค่าเหนื่อยเท่าไหร่

โหย่วเผิง: น้อยมาก

ญ: คุณทำไมถามแต่เรื่องเงิน จริงๆแล้วได้เท่าไหร่กันแน่

ช: ในช่วงนั้นจริงๆแล้วน้อยมาก หนึ่งตอนก็ประมาณเงินไต้หวัน สองพันกว่าเหรียญมั้ง

ญ: ตอนนั้นนะ

โหย่วเผิง : มากกว่านั้นนิดหน่อย เพราะว่าช่วงนั้นผม อย่างน้อยๆก็ยังนับว่ามีชื่อเสียงบ้างเล็กน้อย กับเจ้าเว่ย ซินหยู เปรียบกับดาราใหม่ๆแล้วก็น่าจะดีกว่าหน่อยๆ แต่ว่าก็ไม่เยอะ ก็อย่าซักไซ้ถามอีกเลย ใช่

ญ: ถ้างั้นเจ้าเวย พวกเขาก็ยิ่งต่ำกว่า ห้าร้อย

ช: เพียงแต่ว่าโอกาสอย่างนี้นั้นหายาก

โหย่วเผิง: ใช่ เพราะว่าช่วงนั้น รวมทั้งในตอนนั้น ช่วงแรกที่ออกจากมหาลัยนั้น แท้จริงแล้วตอนนั้นจิตใจก็ยังเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน คุณรู้นะ เพราะว่า ใช่ รู้สึกชีวิตคนไม่ควรจะทำเพื่อ อื่มจะพูดอย่างไรดี การเล่าเรียนนั้นยังถือว่าทำเพื่อตัวเอง เกือบว่าเหมือนกับหลายๆคน หลังจากที่จบการศึกษาจากมหาลัยแล้ว เอาล่ะ จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่ วงการธุรกิจเข้าไปทำงานในตำแหน่งเหล่านั้น จากนั้นเมื่ออายุผ่านไปแล้วสามสิบปีแล้ว คุณก็จะไปลอง ก็คือ คุณอาจจะแต่งงานมีลูก จากนั้นเมื่อถึงอายุช่วงสี่สิบ สุดท้ายก็ได้ซื้อบ้านหลังแรกของชีวิตคุณ หรือว่ารถคันแรกของชีวิต แต่ว่าชีวิตต่อจากนั้นไป ลูกๆต้องจ่ายค่าเทอมแล้วนะ จากนั้นคุณก็ต้อง เพื่อบ้านหรือรถเหล่านี้ คุณก็จะต้องไปอย่างไม่หยุด ชาตินี้ก็จะต้องไปจ่ายหนี้เหล่านี้

ญ: ฟังแล้วความกดดันสูงมาก

โหย่วเผิง: ใช่ ผมจะรู้สึกว่า ผมไม่อยากจะไป ผมก็รู้สึกว่า ชีวิตอย่างนี้นั้นมันเบื่อหน่ายจริงๆ หวังว่าสามารถจะกระโดดข้ามวิถีแบบนี้ แต่ว่าเมื่อถึงช่วงเวลาที่ถ่ายเรื่องแรก “องค์หญิงกำมะลอ” ผมรู้สึกว่าสภาพจิตใจผม เป็นอย่างนี้จริงๆ จะรู้สึกได้ว่า “องค์หญิงกำมะลอ” เรื่องเดียว ให้ผมไปถ่ายทำตั้ง 5 เดือน แล้วเมื่อกลับมาแล้วเงินได้แค่นี้ กลับบ้านแล้วยังต้องจ่ายค่าโน้นค่านี่ ชีวิตเมื่อถึง 50 ปีแล้ว ก็ยังจะซื้อบ้านไม่ได้แน่ ก็จะรู้สึกว่า ทำอย่างไรดี เบื่อหน่ายจริงๆ

ญ: แต่ว่าเขามองไม่เห็น ว่าหลังจากที่ฉายจบแล้วเนี่ยดังขนาดไหน

โหย่วเผิง: ในตอนนั้นไม่มีใครคาดคิดเลย

ช: งั้นเรื่องที่ 2 นั้นน่าจะได้(ค่าจ้าง) ก็น่าจะเพิ่มหลายเท่าล่ะมั้ง

โหย่วเผิง: ไม่มี นิดเดียวก็ไม่มี ไม่มีเลยสักนิด เพิ่มแค่ไม่กี่ร้อยเอง


The End Part 10
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 08:17:35 PM
ตอน 11 บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง"

ญ: “องค์หญิงกำมะลอ” เรื่องหลายเรื่องนี้ คุณนั้นไม่ได้ร้องเพลงช่วงท้ายเลย

ช: เริ่มเรื่อง จบเรื่อง ก็ไม่มีคิวร้องของคุณเลย “ฉิงเซิงเซิง หยี่หมงหมง-มนต์รักในสายฝน” ก็ไม่มีคุณร้อง

ญ: คุณไม่ได้ฉวยโอกาสหรือเปล่า

ช: “เหลาฟ่างโหย่วสี่ - เราสองหัวใจเดียวกัน" ก็ไม่มีคุณร้อง

โหย่วเผิง: ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้ฉวยเอาไว้ แท้จริงแล้วในตอนนั้น ก็หวังที่สามารถจะร้องจริงๆ แต่ว่าตอนหลังผู้จัดการของผม ก็คือเขากับทางเหลี่ยงเหยานั้น มีบางอย่างที่ไม่สามารถที่จะตกลงร่วมกันได้อย่างนั้น ใช่ ทางผู้จัดการอาจจะยืนบนพื้นฐานจุดยืนที่ปกป้องตัวผม ก็เลยรู้สึกว่าคงไม่สามารถไปร้องได้ แท้จริงตัวผมเองนั้นช่วงนั้น คือเสียดายมากๆเหมือนกัน และเพราะว่าตัวเองนั้น ผมชอบร้องเพลงมากๆ ชอบร้องเพลงสุดๆเลย ตอนหลังเพราะว่าได้เจอเรื่องนั้น จริงๆแล้วก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องของการหยุดเรียน ได้ทำให้เกิดการขัดแย้งกันแล้ว ก็คือไม่มีโอกาสที่จะออกอัลบั้มเพลงอีก

แต่ว่าความฝันในจิตใจผมนั้น เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมนั้นคือ ผมได้ออกอัลบั้มเพลง ฉะนั้นตลอดเวลาของผม รวมทั้งตอนที่ผมถ่ายทำ “องค์หญิงกำมะลอ” ผมจะมีเครื่องเล่นเพลงที่ดีที่สุดติดตัวผมตลอด ก็คงไม่ใช่ว่าเป็นเครื่องเล่นที่ดีที่สุดแหล่ะ คือผมจะต้องติดเครื่องเล่นเพลงแน่นอน ไปที่กองถ่ายทำ ผมนั้นจะไม่ขอทิ้งมันไว้อย่างแน่นอน ทั้งหมดที่มีคือ เพลงที่ฮิตกันในช่วงนั้น ผมจะติดซีดีทั้งหมดไปฟังที่นั่น ฉะนั้นกลางคืนก็มักจะเปิดเสียงดังๆ จากนั้นผมอาบน้ำ อะไรก็ตาม หรือเล่นเกมส์อะไรเหล่านั้น ผมก็จะร้องเพลงตลอด ใช่ หลังจากช่วงนั้น ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ถึงจะได้ร้องเพลงอีก

จากนั้นผมจำได้แม่นมาก ผมได้อยู่ในเวลาช่วงนั้น เพราะว่าคนในบ้านจริงๆแล้วทุกคนล้วนก็ไม่มีกำลังพอที่จะดูแลซึ่งกันและกัน สุดท้ายช่วงเวลานั้น ผมได้เช่าห้องหนึ่งห้องที่ใหญ่มาก ให้น้องชายมาอยู่ด้วยกันกับผม เขาก็ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านของเขาแล้ว พวกเรามาอยู่ด้วยกัน ผมนั้นช่วงดึกๆดื่นๆ กลับมาเกือบถึงห้อง จริงๆ ผมยังไม่ทันเข้าบ้าน เขาก็รู้แล้ว่าผมกลับมา เพราะว่าผมอยู่ที่ คือ เพียงแค่เดินถึงบันได เมื่อออกจากลิฟปุ๊ป ผมก็จะร้องเพลง ได้ยินแค่เสียงเพลงของผมเท่านั้น ก็รู้ว่าผมกลับมา

ญ: เที่ยงคืนยังร้องเพลง

โหย่วเผิง: ใช่ เสียงเพลงกล่อมยามราตรี มันกลับมาแล้ว อะไรอย่างนี้ จากนั้นแล้วจริงๆเขาเข้าใจผมมาก เขารู้ว่าผมชอบร้องเพลง เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับผมว่า “พี่ ผมกำลังนอนอยู่” ผมก็นึกอยู่ตลอดเวลาว่าเขานั้นหลับสนิทไปแล้ว เขาคงไม่ได้ยินอย่างแน่นอนเลย คนอย่างนั้น สุดท้ายผิดแล้ว จริงๆแล้วเขาเข้าใจผมมาก เขาได้ยินหมด จนกวนเขาตื่นเลย แล้ววันหนึ่งเขาได้พูดกับผม

ช: คุณร้องได้ดังอย่างนั้นเลย

โหย่วเผิง: ผมนั้นลืมไปเลยว่า มันเกินไปจริงๆ

ช: จากนั้นเขาพูดอะไรกับคุณ

โหย่วเผิง: เขาได้พูดกับผม ตอนหลังขณะที่ผมมีโอกาสออกอัลบั้มอีกนั้น ผมได้พูดกับเขา เกี่ยวกับคำพูดที่เขาเคยพูดกับผม เขาก็จำไม่ได้แล้ว แต่ว่าตอนนั้น ผมจำขึ้นจิตใจเลย จำได้ชัดเจนมาก เขาบอกว่า “พี่” เพราะว่าในสายตาของเขานั้นก็คือรู้สึกว่า พี่ ช่างมันเถอะ ชาตินี้คงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว คุณก็รู้ ก็คือ นักร้องขวัญใจคนหนึ่งนั้น ตอนนั้นเข้าวงการ ก็คือเริ่มนับตั้งแต่เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็ประมาณ 7-8  ปีแล้ว ชาตินี้คุณนั้นคงไม่มีอีกแน่นอน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอย่างนั้น เขาแค่พูดว่า “พี่ หากว่าพี่มีโอกาส ออกอัลบั้มนะ ผมนั้นก็จะ จะคุกเข่าอยู่บนพื้นดินอะไร ประมาณนี้ จะจุดธูปเทียนอะไรอย่างนั้น ก็คือความหมายคล้ายๆประมาณนี้ ก็คือผมจะช่วยพี่อย่างแน่นอน คือจะขอบคุณสวรรค์อย่างมากเลยอะไรอย่างนี้” ซึ่งช่วงนั้นผม ในใจผมนั้นก็ยัง มีความใฝ่ฝันอย่างนี้ตลอดมา ผมก็รู้สึกว่า ผมจะกลับมาร้องเพลงอย่างแน่นอน
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 08:21:38 PM
ญ: ฉะนั้นอัลบั้มชุดนี้ขณะที่ออกจำหน่ายนั้น ฉันรู้สึกว่า เวลาที่ฉันฟังเพลงอัลบั้มนี้ ก็ได้ฟังด้วยการนึกถึงเรื่องราวของคุณ เพราะว่าฉันคิดไม่ถึงว่า มันยากอย่างนี้ มันมีอุปสรรค์ขนาดนี้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ในบรรดา 3 คนของเสี่ยวหู่ตุ้ย มีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่เคยจัดคอนเสิร์ต

โหย่วเผิง: ถูกต้อง ช่วงปี 2002

ช: ฉะนั้นก็คือได้สะสมมาตลอดจนถึงปี 2002 จึงจะมีคอนเสิร์ตส่วนตัวของคุณ

โหย่วเผิง: ใช่ ตอนหลังก็มีโอกาสอีก จัดงานคอนเสิร์ตของตัวเองอีกครั้ง จริงๆแล้วก็คือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผมได้ตั้งเอาไว้ ผมหวังตลอดเวลาว่าอยากจะมีเวทีของตัวเอง ก็คือว่าผมรู้สึกว่าเมื่ออยู่ข้างบนเวทีนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ข้างบน เล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ กำเริบเสิบสาน อะไรก็ได้ หรือว่าจะเต้นผิด ร้องผิด ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าข้างล่างนั้นทั้งหมดนั้น ล้วนมาดูมาชมคุณ คุณรู้สึกไหม อย่างนั้น ให้นักร้องอยู่ข้างบนจะรู้สึกว่ามีความปลอดภัยมากๆ นั่นเป็นเวทีที่เป็นของคุณทั้งหมด จากนั้นก็เพราะว่าช่วงนั้น งานคอนเสิร์ดครั้งนั้น ได้มีการจัดทำภาพย้อนอดีตมากมาย เหตุที่เข้าสู่วงการนานแล้ว มีอัลบั้มมากมาย เริ่มจากสมัยเสี่ยวหู่ตุ้ย ได้ฟังเพลงเก่าๆมากมาย บนเวทีคอนเสิร์ตนั้น จริงๆแล้วเมื่อจัดเรียงมาเรื่อยๆ มันล้วนมี ก็คือตัวเองนั้นได้หวนคิดถึงอดีตอีกครั้ง มีเรื่องราวมากมาย

ญ: แต่ว่านี่มันอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ จากนั้นก็เป็นช่วงปี 2002 และวันนี้พวกเราได้รับข้อมูลของช่วงนั้น พวกเรามาหวนย้อยอดีตอีกครั้ง บรรยากาศของงานคอนเสิร์ดในตอนนั้นดีไหม

ช: ดี มา มาดูกัน
(ดู vdr)


The End Part 11
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 08:24:49 PM
ตอน 12 บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ "ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง"

โหย่วเผิง: ได้เห็นภาพบรรยากาศเก่าๆแล้ว คุณก็รู้ว่าผมจะรู้สึกตื้นตันใจมาก โดยเฉพาะเมื่อกี้ ใช่  3 คนได้อยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพบรรยายอดีตบางอย่าง จริงๆ ช่วงวัยเด็กของคนเรานั้น คุณดู ช่วงเริ่มแรกของเสี่ยวหู่ตุ้ย ทุกคนล้วนเดียงสา บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทุกวันไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่ว่าใครจะไปรู้ ชีวิตอนาคตของคนเรา จะเป็นอย่างไร ขณะที่พวกเราได้มาอยู่บนเวทีอีกครั้งนั้น เวลาที่รวมกันนั้น อู่ฉีหลงได้ผ่านอะไรมาบ้าง ผมได้ผ่านอะไรมาบ้าง ผมจะรู้สึกว่าชีวิตคนเรานั้น บ่อยครั้งชีวิตคนเรามักจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิด หรือว่ามีทุกข์สุขมากมาย ที่คุณคิดไม่ถึง ใช่ ได้เห็นเด็กๆแต่ละคน ใบหน้าที่เดียงสา คุณจะรู้ได้อย่างไร เมื่อเขาโตขึ้นมาแล้ว ชะตาชีวิตในอนาคตของเขานั้นจะเป็นอะไร แต่ว่าพวกเรา 3 คน ก็ได้เติบโตมาอย่างนี้ และหลายปีที่ได้จากกันไป ก็ยังมีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกันอีก ได้เจอกันบนเวทีอีกครั้ง แต่ว่าแท้จริงแล้ว ทุกคนก็ล้วนได้ประสบผ่านหลายๆเรื่องราวที่แตกต่างกันไป

ญ: แท้จริงฉันกำลังคิดอยู่ ก็คือชีวิตคนไม่มี ตกต่ำไปตลอดกาล และไม่มีอยู่จุดสูงสุดตลอดไป

โหย่วเผิง: ใช่ ผมรู้สึก ผมอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ของผมให้กับทุกคน เพราะได้ดี เพราะความคิดความฝัน ทุกคนอย่ายอมแพ้มันง่ายๆ ผมก็เคยหลายๆครั้ง จริงๆผมรู้สึกว่า นี่เป็นทางสิ้นสุดของผมแล้ว สวรรค์จะฆ่าผมแล้ว ใช่ ก็จะรู้สึกว่าหนทางอนาคต ไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปอย่างไรดี แต่ว่าผมก็ แน่นอนผมรู้สึกว่าอีกด้านหนึ่งนั้นผมโชคดีมาก แต่อีกด้านหนึ่งนั้นผมรู้สึกว่าทุกคนอย่าไปยอมแพ้มันอย่างง่ายๆ ใช่ แท้จริงหลายๆครั้ง

ญ: ยืนหยัด ยืนหยัด

โหย่วเผิง: ใช่ มันยังมีโอกาสอยู่ ตลอดเส้นทางที่เดินมา แน่นอนผมรู้สึกว่า มองจากในใจของผมแล้ว ผมรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความหวานชื่น ผมหวังว่าสิ่งที่ฝากเอาไว้นั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ คุณรู้นะ ผมคิดว่าไม่ว่าจะอย่างไร เดินผ่านมาแล้วก็ล้วนหวานชื่น
หัวข้อ: Re: 2004 ครั้งแรกของซูโหย่วเผิง 17-08-2004
เริ่มหัวข้อโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 31, 2010, 08:35:03 PM
ช: ตั้งแต่เว็ปไซด์ของพวกเรา ได้ประกาศว่าโหย่วเผิงได้มาในรายการของเราแล้ว ได้รับแฟรซจากทั่วโลก

ญ: ที่นี่มีหนึ่งฉบับ เพื่อนที่อเมริกาส่งมาให้คุณ เขาเป็นศาสตราจารย์ที่มหาลัยเยล เขากล่าวว่า ฉันส่งมาจากอเมริกา เป็นขุนพลที่ข้ามทะเลมา นับตั้งแต่ที่ได้เป็นแฟนเพลงของคุณมา ไม่ว่าจะเป็นความขึ้นสูงตกต่ำของชีวิตหรือการงาน ล้วนมีเสียงเพลงของคุณเป็นเพื่อนฉัน สำหรับเด็กที่อยู่โพ้นทะเลอย่างพวกเรานั้น ได้มี ขวัญใจ เพื่อน คนในครอบครัว อย่างคุณอย่างนี้นั้น มันช่างเป็นความโชคดีจะหาไม่ สุดท้ายเขาได้เขียนว่า ขอให้คุณมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง ความสุขเต็มเปี่ยม ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือคิดสิ่งใดให้สมดังปราถนา ปี 2004 แฟรซมาจากอเมริกา

ช: ที่นี่ก็มีหนึ่งฉบับ มาจากญี่ปุ่น แฟรซมา พวกเราเป็นแฟนเพลงของคุณที่ญี่ปุ่น ขอให้คุณจำไว้ว่าจะมีแม่น้ำภูเขาขวางกั้น พวกเราก็ล้วนได้ติดตามคุณมาตลอด เคียงข้างคุณ รักคุณ สนับสนุนคุณ จะขอเป็นตัวแทนของแฟนๆที่ญี่ปุ่น ขออวยพรให้คุณมีสุขภาพแข็งแรง การงานราบรื่น

ญ: ฉบับนี้แฟรซมาจาก แฟนละครคนหนึ่งที่เวียดนาม ตั้งแต่ได้เห็นอู่อาเกอในปี 1997 จนมาถึง ณ วันนี้ พื้นฐานภาษาจีนของผมนั้น ภายในสามปี จากไม่รู้มาถึงวันนี้ คุณเป็นอาจารย์ทางไกลของผมมาตลอด เขานั้นได้ดูละครของคุณ แล้วก็เรียนภาษาจีนไปด้วย สุดท้ายสิ่งที่ผมอยากจะพูดคือ เป็นห่วงคุณมากๆ ขอให้คุณรักษาสุขภาพด้วย สุขภาพพลานามัยของคุณเป็นความสุขของแฟนเพลงแฟนละครของพวกเราตลอดไป อวยพรให้เสียงเพลงของคุณ ละครของคุณ งานศิลปกรรมของคุณ สามารถที่จะหนุนจิตใจคนมากมาย

นี่เป็นแฟนเพลงของโหย่วเผิง ส่งช่อดอกไม้สดมาเพื่อเขา ฉันขอช่วยคุณถือไว้ก่อน ฉันคิดว่าวันนี้มีแฟนเพลงมากมายไม่สามารถมาที่รายการได้ ผ่านทางจอรายการของเรา มอบคำพูดที่ลึกซึ่งจริงๆให้กับแฟนๆของคุณดีไหม


โหย่วเผิง: ขอบคุณทุกๆคน ผมรู้สึกว่าจริงๆแล้ว ศิลปินทุกคนเลย จริงๆแล้วนี่ก็เป็นเสียงในใจก่อนหน้านี้ของผม ก็คือศิลปินคนหนึ่งที่ไม่มีเวที นั้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมาก แต่ผมขอบคุณทุกๆคน ได้ให้โอกาสผมในการที่ผมทำงานที่ผมอยากจะทำ เป็นการสนับสนุนของทุกคนจริงๆ ผมรู้สึกว่าถึงสามารถยืนหยัดได้มาจนถึงวันนี้ ขอบคุณทุกท่าน และอย่างที่สองนั้นก็ยังจะ ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ไม่ดีของไกวไกวหู่นั้นมาอีกแล้ว ก็หวังเป็นอย่างยิ่ง สามารถที่จะให้มุมมองความคิดที่ถูกต้องที่ดีต่อทุกคน ผมรู้สึกว่าก็คือ ปราถนาว่าทุกคนจะได้เห็นถึง ตลอดทางที่เดินมา โหย่วเผิงก็มีความลำบากหลายอย่าง แต่ก็ยังยืนหยัดถึงวันนี้ และก็ยังมีผลที่เห็นได้อย่างนี้ ผมปราถนาก็คือ ทุกคนไม่เพียงแค่ดูละครของพวกเรา หรือว่าฟังเพียงเพลงของพวกเราเท่านั้น หวังว่าก็จากทางความพยายามหลายอย่างของศิลปินนั้น ได้เห็นว่าพวกเขาประสบความสำเร็จได้อย่างไร ได้ยืนต่อหน้าผู้คนอย่างสง่าได้อย่างไร ผมหวังว่าทุกคนล้วนต้องสู้ สู้ต่อไป

ญ: สู้ๆ ยืนหยัดต่อ และท้ายสุดนี้ ทางแฟนเพลงและแฟนละครคุณ วันนี้ยังนำเอาสิ่งที่น่าทานมากด้วย มา ส่งขึ้นมาเลย ขอบคุณคุณ ยังมีช่อดอกไม้ด้วย

ช: มาอันนี้ ผมขอช่วยคุณถือก่อน ที่นี่มีการ์ดใบหนึ่ง ได้เขียนไว้ว่า ขออวยพรให้อัลบั้มของโหย่วเผิงขายอย่างเทน้ำเทท่า สุขภาพแข็งแรง

โหย่วเผิง: ใช่ อัลบั้มเพลงอัลบั้มนี้นั้น ได้เป็นกำลังใจให้ผมเป็นอย่างมาก ชื่อว่า “อี่เฉียน อี่โฮ่ว  - อดีต อนาคต" จริงๆพอดีที่พวกเราพูดจบไป เนื้อหาเหล่านั้น แล้วมาฟังชื่อนี้ มีความรู้สึกที่พิเศษมากๆ

ช: เขาได้เอาประสบการณ์ของเขา ทั้งหมดได้หลอมเป็นดนตรี เนื้อเพลง ข้างในนี้ล้วนได้บันทึกไว้ และขณะได้ออกจำหน่ายแล้วขณะเดียวกัน ยังมีนิตยสารที่โหย่วเผิงเขียนด้วย ฉะนั้นอยู่ที่นี่นั้นพวกเราหวังว่า จะได้เห็นภาพยนตร์ละครของคุณก็ออกมาพร้อมกัน และในเวลาเดียวกันก็สามารถฟังเพลงใหม่ของคุณไปด้วย ฟังไปจนตลอด

โหย่วเผิง: ขอบคุณ

ญ: สุดท้ายจะขอมอบของขวัญเล็กๆน้อยๆ (เครื่องประดับ)พลอย ซึ่งอภินัทนาการโดยโจวต้าฟูถี่ ให้กับคนที่คุณรักนะ เอาล่ะ ขอขอบคุณทุกคนที่รับชมรายการของเรา


The End Part 12

### จบบริบูรณ์ ###