จะพูดเรื่องราวโหย่วเผิงของฉัน แน่นอน
ต้องเริ่มจากวันที่ 11 ก.ย.ปี 1973
วันนั้นซึ่งเป็นวันไหว้พระจันทร์ของพวกเรา
พอดีเลย ผมเกิดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ของไทเป การคลอดทุกอย่างราบรื่น
ผมไม่แน่ใจว่าเกิดมาหนักกี่บอนด์ แต่ได้
ฟังจากคุณแม่ผมเป็นเด็กไม่อ้วน 
แต่ร่างกายก็แข็งแรงดี ตอนนั้นผมเป็นลูกคนเดียวในครอบครัว ฉะนั้นได้รับความรักจากพ่อแม่อย่างมาก มาย ทำไมผมถึงได้ชื่อว่าโหย่วเผิงสองคำนี้ เพราะว่าผมเกิดในเทศกาลไหว้พระจันทร์ บังเอิญคุณแม่ก็เกิดในวันนี้เหมือนกัน 月 แล้วสองตัวมารวมกันก็ได้กลายเป็น ็朋 เผิง ฉะนั้นผมจึงชื่อว่าโหย่วเผิง -有朋 น้องชายผมอายุห่างจากผมหกปี ตอน เด็กนั้นก็เหมือนกับพ่อแม่มีลูกคนเดียว ความรักความห่วงใยของพ่อแม่ล้วนอยู่ ที่ผม พวกท่านได้ให้ผมเียนอะไรมาก มาย พูดง่ายๆ คือเรียนทั้งหมดที่มีให้ เรียนเลย จากจุดหนึ่งสามารถมองเห็น ความรักที่พวกท่านมีต่อผม ความคาด หวังต่อผมนั้นสูงมาก นอกจากนี้ พ่อแม่ ่ก็ให้ความสำคัญกับการเรียนของผมเป็น อย่างมากด้วยแท้จริงแล้วคุณพ่อนั้นเคร่ง กับการเรียนของผมเป็นพิเศษ เพราะ ท่านเข้าใจว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญที่
สุดโดยเฉพาะผู้ชายนั้นจำต้องเรียน
หนังสือให้จบ ถึงจะมีอนาคตที่ดีได้
จากตรงนี้ทุกคนก็สามารถรู้ได้ว่าพ่อแม่
ของผมนั้นล้วนเป็นคุณพ่อที่เคร่งกับคุณแม่
ที่ใจดี ฉะนั้นคุณแม่จะสนิทกับพวกเรามาก
กว่า จนบัดนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเรานั้นดี
มากๆ มีเรื่องอะไรผมก็จะบอกกับคุณแม่
สำหรับคุณพ่อนั้นค่อนข้างห่างเหิน อาจ
เป็นเพราะภาพลักษณ์ของพ่อนั้นเคร่งขรึม
น่าเกรงขาม ผมกับท่านนั้นก็จะไม่เหมือน
กับแม่ที่อะไรก็พูดได้หรือว่าอายุผมมาก
หน่อยหรือว่าเป็นผู้ใหญ่ึขึ้นหน่อย ความ
สัมพันธ์ของผมกับพ่อก็คงจะดีขึ้น พูดถึง
ความสัมพันธ์ขอน้องกับผม

ก่อนอื่นอยากขอบพระคุณพ่อแม่ที่ให้เขา
เกิดมาในโลกนี้ นอกจากที่เขาจะเป็นน้อง
ชายของผมแล้ว ทั้งยังเป็นเพื่อนที่รู้ใจที่
สุดของผมด้วย หากผมมีเรื่องในใจอะไร
ก็มักจะระบายให้กับเขา เขาเป็นผู้ฟังที่
ยอดเยื่ยมมาก ทั้งยังให้ข้อแนะนำที่ดีกับ ผมมากมาย แม้อายุของพวกเราจะต่างกัน
หกปี และตอนนี้เขาเองก็กำลังเรียนอยู่
แต่พวกเราไม่มีช่องว่างระหว่างวัย ความ
สัมพันธ์ตอนเด็กกลับไม่ดีเหมือนตอนนี้
เพราะว่าตอนที่เขายังเด็กๆ นั้นผมก็เริ่ม
ทำงานแล้ว เวลาที่ได้เจอกันหรืออยู่ด้วย
กันนั้นน้อยมาก
 
ถามว่ามีเรื่องอะไรที่ลืมยากในสมัยเด็ก
จริงๆ แล้วผมก็ไม่มีอะไรที่จะจำมันได้
แล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงที่อยู่
อนุบาล นึกภาพไม่ออกจริงๆ แต่ว่าคุณ
แม่เคยเล่าเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง ผมคิดว่า
น่าสนใจมาก สามารถเล่าให้พวกเราฟัง
กันขณะที่ผมอายุห้าหกขวบนั้น ครั้งหนึ่ง
ได้หลงทาง แน่นอนคุณพ่อคุณแม่นั้น
กังวนใจแทบแย่ หาผมทุกจุดทุกมุม
ตอนหลังตำรวจบอกกับพวกท่านว่าเจอ
ผมแล้วและตำรวจได้นำตัวผมไปที่สถา
นีตำรวจแล้วให้คุณพ่อคุณแม่มารับ อาจ
เป็นเพราะ อายุผมนั้นน้อยมาก จนไม่รู้
จักกลัว ฉะนั้นยังไปขออาหารกับทาง
คุณน้าตำรวจกินเลย จนเป็นที่หัวเราะ
ของพ่อแม่ไปด้วย
ตอนเด็กแม้ว่าพ่อแม่จะปกครองดูแลผม
อย่างเคร่งครัด แต่จริงๆแล้วพวกท่านรัก
ผมมาก ผมขออะไร พวกท่านจะยอม
ให้ทุกครั้ง เช่นการเรียนเปียโน แม้ว่า
เศษฐกิจทางบ้านจะไม่ใช่ผู้ร่ำรวย พวก
ท่านก็จะสนับสนุนผม แต่ว่าพูดถึงเรื่อง
เล่น พวกท่านก็คงไม่อนุญาตทุกอย่าง

โดยเฉพาะเป็นที่นิยมในช่วงวัยเด็ก ชอบ
เครื่องเล่นเกมส์มาก เหตุเพราะเครื่องเล่น
เกมส์เหล่านี้ทำให้ผม ซื่งคุณพ่อไม่ค่อยตีนั้น
กลับถูกตีอยู่เสมอตอนนั้นมีร้านเกมส์เปิดและ
นิยมเล่นกันมาก ผมชอบไปที่นั้น แต่ว่าผม
นั้นไม่ไ้ด้เล่นเพียงแค่ได้ดูคนอื่นเล่นก็รู้สึกมัน
่แล้ว ครั้งหนึ่งผมดูมันจริงๆ จนลืมกลับ
บ้าน ปกติแล้วผมจะกลับบ้านตรงเวลา ตาม
การปกครองที่เคร่งครัดของคุณพ่อ ครั้งนี้
เป็นการแหกกฏที่รุนแรงมาก แน่นอนยาก
จะหลีกเลี่ยงการถูกตี ตอนหลังพ่อแม่ยอม
ซื้อเครื่องเล่นเกมส์ให้ผมเล่น แต่ด้วย
สาเหตุอะไรนั้นผมจำไม่ได้ค่อยได้แล้ว
จำไ้ด้ว่าเป็นเพราะเครื่องเล่นอันนี้ ปกติแล้ว
ผมเป็นคนที่ชกต่อยไม่เป็น แต่ไปชกต่อย
กับคนอื่นจนได้
ครั้งหนึ่งมีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งได้ยืมเครื่อง
เล่นเกมส์ที่ผมรักมากไปเล่น วันแล้ววันเล่า
ก็ไม่ยอมคืนให้ผม ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่
ยอมเอามาคืน วันหนึ่งจนผมทนไม่ได้แล้ว
จนตัดสินใจเลียนแบบหนังเขียนจดหมายท้า
ประลองกับเขา นัดเขาหลังเลิกเรียน ไป
เจอกันที่สนามข้างโรงเรียน ตอนนี้เมื่อคิด
แล้ว มันรู้สึกน่าขำมาก และเรื่องที่น่าขำที่
สุดก็คือ เขานั้นได้มาตามนัดด้วย และที่น่า
ขำที่สุดก็ คือพวกเราสองคนล้วนไม่เคยชก
ต่อยมาก่อนเลย การชกต่อยครั้งนั้นไม่
เพียงไม่มีเลือดแต่กลับเป็นเรื่องตลกน่าขำ
แขนเขาลัดคอผมไว้ ผมก็กอดหัวเขาไว้
สุดท้ายการต่อสู้ครั้งนี้ก็ไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะ ก็
แค่อย่างนั้นเอง ผมจำไม่ไ้ด้แล้วว่าสุดท้าย
่ได้ของคืนหรือเปล่า ตอนนี้นึกขึ้นมาแล้วรู้
ู้สึกว่าทำเหมือนเด็กๆ จริงๆ

 
เหตุที่ได้รับอิทธิพลจากครอบครัว แต่ไหนแต่ไรผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับผลการเรียนเ็ป็นอย่างมาก
บวกกับการที่ผมชอบแสดงด้วยความรู้สึกที่อยากเป็นที่หนึ่ง ฉะนั้นผมจะตั้งใจเรียนตลอดเวลา หากว่า
ผมเห็นว่าใครโกงข้อสอบ ผมก็จะฟ้องครูแน่นอนเหตุนี้ทำให้เด็กเรียนหลายคนไม่ชอบขี้หน้าผม ส่วน
พวกเด็กไม่รักเรียนก็ยิ่งเกลียดผม ตอนเรียนหนังสือ เพื่อนของผมนั้นจะไม่เยอะแม้ว่าผลการเรียนผม
จะดีแต่ก็ไม่เห็นว่าคุณครูจะรักผมเลย เพราะผมเป็นคนที่พูดมาก แต่ก็ผลการเรียนดี จนทำให้ครู
ไม่รู้จะ่ว่าผมอย่างไร แม้การเรียนผมจะดี ผมก็ไม่ต่างกับคนอื่นๆ ผมก็มีวิชาที่ผมไม่ชอบเรียนเหมือน
กัน ผมชอบภาษาอังกฤษกับคณิตมากๆ ผมเกลียดวิชาประวัติศาสตร์มากๆเพราะผมก็เหมือนกันเด็ก
คนอื่นๆ ที่ไม่ชอบท่องจำ แม้เพื่อนในโรงเรียนผมจะไม่เยอะ แม้จะมีสองสามคนแต่มาถึงวันนี้พวก เรา
ก็ยังติดต่อกันอยู่ หวังเหวินเหลียงก็เป็นหนึ่งในนั้น ในช่วงประถมศึกษานั้นเขาเป็นคนที่แย่งชิงที่หนึ่งกับ
ผม พวกเราสองคนแทบจะไม่เป็นเพื่อนกันเลย บางครั้งก็ยังรู้สึกว่าเป็นศัตรูกัน แต่ว่าตอนหลังเขาย้าย
บ้านย้ายโรงเรียน มาถึงช่วงมัธยมเราสองคนถึงได้ร่วมชั้นเดียวกันอีก ตอนที่ผมได้ไปทำงานในราย
การ “ชิงชุนเจินป้าจ้าง” นั้นเขากลายไปเป็นเพื่อนผม มาจนถึงทุกวันนี้พวกเราก็ยังติดต่อกันอยู่
พูดได้ว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีมากในสมัยเรียนของผมเลย ตอนขึ้นมัธยมนั้น ผมก็เหมือนกับทุกคนได้ย่าง
เข้าสู่วัยรุ่น

ตอนนั้นผมใส่ใจเรื่องหน้าตารูปลักษณ์มากมักจะส่องกระจกบ่อยๆ จะใส่ใจทรงผมตลอด ก็เหมือนกับ
็เด็กหนุ่มทั่วไปที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นศิลปินดารา มีดาราขวัญใจของตัวเอง ดาราที่ผมชื่นชอบที่สุดใน
ตอนนั้นคือ มาดานนากับจงเซินสือ ใช่โดยเฉพาะมาดอนนา ความคลั่งของผมในตอนนั้นไม่น้อยกว่า
ตอนนี้ที่ทุกคนคลั่งบ้าดารา แน่นอนผมไม่มีปัญญาที่จะบินไปติดตามเธอไปที่อเมริกา แต่ว่าทั้งอัลบั่ม
เพลงและกระทั่งโปสเตอร์ของเธอนั้นผมก็ซื้อทั้งหมด แต่หากผมจะพูดให้คนอื่นฟังพวกเขาคงไม่เชื่อว่า
ผมคลั่งเธอ น่าจะเป็นเพราะว่าภาพลักษณ์เสี่ยวไกวของผมนั้นมันฝังอยู่ในใจของทุกคนลึกเกินไป แท้
จริงผมเองก็ไม่ได้เป็นคนดีพร้อมอย่างที่ทุกคนคิดเอาไว้อย่างนั้น
 
การที่ผมเข้าไปร่วมประกวดเพื่อเข้าสู่วงการบันเทิงซึ่งก็เหมือนกับคนทั่วๆ ไป ก็คือ
ลองเข้าไปร่วมแข่งขัน จากการที่สถานี “ชิงชุนเจินป้าจ้าง” ได้จัดการคัดเลือกเพื่อ
จะสรรหา “เสี่ยวหู่ตุ้ย” มาคู่กับ “เสี่ยวเมาตุ้ย” ผมยังจำได้ว่าหลังจากที่ได้ส่งจด
หมายไปที่สถานีได้ไม่นาน ทางโน้นได้ตอบรับเรียกผมไปสัมภาษณ์ ผมรู้สึกดีใจ
มากๆ ตื่นเต้นจนกระโดดโลดเต้น ตอนนั้นอายุเพียง 15 สามารถบอกได้ว่าเป็นช่วง
ที่ไม่รู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างไร ทั้งยังไม่กลัวความกลัวด้วย ทางสถานีขอให้เรา
เตรียมการแสดงการเต้นมาหนึ่งรายการ คือให้แสดงช่วงสัมภาษณ์ ผมก็ได้ซ้อมเต้น
กับเพื่อนๆ ที่บ้าน ถึงวันที่จะไปสัมภาษณ์ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้คะแนนอะไร ก็คือผม
เคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วคือผมได้ไปกับเพื่อนคนนั้นที่ชื่อหวังเหวินเหลีียง
เมื่อไปถึงสถานที่สัมภาษณ์ ก็รู้บรรดาผู้มาสอบสัมภาษณ์นั้นตัวเองเป็นคนที่อายุน้อย
ที่สุด เชื่อว่าตอนนั้นก็ยังเป็นคนที่ไม่โดดเด่นอะไรเลย เห็น “ฉีหลง” รู้ว่าเขาเต้น
และสามารถตีลังกาได้ก็รู้สึกว่าเขาเก่งมาก เห็น “จื้อเผิง” ก็เต้นบัลเล่ต์ได้ด้วย มัน
เยี่ยมจริงๆ แถมยังแอบปรบมือให้กับพวกเขาในขณะที่สอบสัมภาษณ์ แต่สำหรับผม
นั้นเต้นได้ธรรมดามากๆ ทั้งยังเต้นไม่เข้าจังหวะด้วย สรุปคือไม่รู้จะบรรยายยังไง
ฉะนั้นในตอนนั้นตัวผมก็คิดว่าคงไม่มีความหวังอะไรเลย อาจเพราะผมมาก็เพื่ออยาก
จะเล่นๆดู ก็เลยทำให้ดูการเต้นของคนอื่นนั้นสนุกมากๆ ฉะนั้นก็เลยไม่รู้สึกเสียใจ
อะไรหากไม่ได้ และแล้วผมก็ได้เข้ารอบหกคนสุดท้าย ตัวเองยังตกใจคิดไม่ถึงเลย

การสอบสัมภาษณ์รอบนี้นั้นเป็นการสอบสัมภาษณ์ต่อหน้ากล้อง ผมก็ยังพูดติดๆขัดๆ
เหมือนเดิม แต่สุดท้ายก็สามารถทำได้สำเร็จ ได้เป็นหนึ่งในสามของเสี่ยวหู่ตุ้ย ตอน
หลังพึ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วจางเสี่ยวเยี่ยนผู้จักรายการได้เห็นบางอย่างของผม อยากให้
ผมลองดู หากว่าไม่ใช่ท่านแล้ว วันนี้พวกเราคงไม่เห็นผมหรอก

นอกจากนี้ ยังมีผู้จัดรายการอีกท่านหนึ่งคือแม่วซิ่วลี่ ยังแนะนำตัวผมเป็นพิเศษ
ฉะนั้นหากว่าวันนั้นไม่มีพวกเขาเหล่านั้นที่ค่อยแนะนำ ก็คงไม่ีมีโหย่วเผิงในวันน
ี้เหมือนกัน

ก่อนนี้เคยเอ่ยถึงถูกพ่อที่เคร่งขรึมกับคุณแม่ผู้ใจดี การที่ผมได้เข้าร่วมแข่งขันซึ่งเป็น
เรื่องใหญ่อย่างนี้ ทุกคนก็จะคิดว่าคุณพ่อผมนั้นต้องคัดค้านอย่างแน่นอน แต่นั้นก่อน
ผมเองก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน ฉะนั้นก็ได้ร่วมมือกับคุณแม่แต่เนิ่นๆ เริ่มแรกที่เข้าแข่ง
ขันนั้นจะปิดบังไม่ให้คุณพ่อรู้ แต่ไหนแต่ไรผมเองก็คิดว่าคงไม่ชนะ แต่ตอนหลัง
กลับชนะได้เข้ารอบ
ตอนแรกๆ พวกเราก็ยังปิดบังท่านอยู่ ให้คุณแม่ไปช่วยพูดกล่อมท่านก่อน แล้ว
ค่อยๆ ให้ท่านดูรายการที่ผมเป็นพิธีกร เพื่อให้ท่านได้เข้าใจถึงการงานของผม ให้รู้
ว่าเป็นรายการที่ปกติทั่วไปของเยาวชน เมื่อท่านไดู้ดูไปนานๆ แล้วครั้งหนึ่งแม่บอก
กับท่านว่า “รายการนี้สนุกไหม? ดูซิลูกชายเราก็อยู่ในรายการด้วย” ถึงตอนนั้น
ท่านก็ปฏิเสธไม่ได้แล้ว ก็คือข้าวสารนั้นหุงสุกแล้ว จะกลับไปเป็นข้าวสารเหมือนเดิม
ไม่ได้อีกแล้ว ตอนนั้นคุณพ่อจะคัดค้านก็รู้ว่าไม่ทันเสียแล้ว
แต่ทัศนะของท่านนั้นผู้ชายจะพึ่งหน้าตาหากินนั้นมันเป็นสิ่งที่น่าอาย หน้าตาคุณพ่อ
นั้นดีมาก สามารถพูดได้ว่าเกิดมาเพื่อเป็นดารา ช่วงวัยหนุ่มของท่านนั้น มีคนมา
ทาบทามท่านให้เป็นดาราด้วย แต่ท่านก็ปฏิเสธเสียงแข็ง อย่างไรก็ตามท่านก็ให้ผม
สัญญาว่าจะไม่กระทบต่อการเรียน จะไม่ทำให้เสียคน จึงยอมให้ผมทำงานที่สถานี
ีต่อ แน่นอนผมก็ตอบตกลงกับท่านทุกข้อ จนทำให้ผมต้องลางงานเกือบปีเพื่อจะมา
เตรียมการเีรียนของผมให้ดีขึ้น
หลายคนได้บอกว่างานหลักของผมนั้น จะเน้นในด้านภาพยนตร์และละครทีวี จนทำ
ให้ละเลยในการที่จะร้องเพลงและบางคนก็ยังสงสัยว่าผมจะลาจากวงการเวทีเพลง
เปล่า จริงๆแล้วผมจะไม่ลาจากอาชีพการร้องเพลงเป็นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม
เสี่ยวไกว และโหย่วเผิงที่พวกเราคุ้นเคยกันดีนั้นล้วนเริ่มต้นไต่เต้ามาจากการร้อง
เพลงเพียงแต่ความสนใจในตอนนี้นั้นมันอยู่ที่หนัง บวกกับหาเวลาว่างในการไปวาง
แผนออกอัลบั่มนั้นไม่ค่อยมี

ดูภายนอกเหมือนกับว่าทิ้งมันไปแล้ว แต่ข้างในจิตใจนั้นยังรักมันอยู่ ผมไม่อยากจะ
ออกอัลบั่มที่แค่ตอบสนองแฟนเพลงโดยที่ไม่ได้ทุ่มเทกับมัน การออกอัลบั้มอย่าง
นั้นมันอาจจะสนองความต้องการของแฟนๆ ได้ชั่วคราว แ่ต่ว่าทำอย่างนี้นั้นมันทำให้
้จิตใจเราไม่สบายเลย หากว่าทุกคนล้วนยืนหยัดที่จะทำในสิ่งที่ตนเองรักชอบ ชีวิต
อย่างนี้ก็คงจะมีความสุขไม่น้อยเลย
ปัจจุบันเหมือนกับว่าผมจะเรียนรู้อะไรหลายอย่างจากทางหนังละคร เช่น เทคนิคการ
แสดงอย่าเข้าใจผิดว่าผมอยากจะคว้ารางวัล แม้ว่าเรื่องที่ผมเล่นไปนั้นจะไม่ได้รับราง
วัลก็ไม่เป็นไร เพียงแค่มีโอกาสในการพัฒนาตัวเอง นี่ก็เป็นสิ่งที่อิ่มใจแล้ว ด้วยเหตุ
นี้ ผมจึงไม่ปฏิเสธที่จะรับแสดงทุกบทบาท แม้ว่าจะเป็นบทที่ทำลายภาพลักษณ์ที่สะ
สมมานานของผม ผมก็ยินดีลองดู เช่น นักเปาหนิวในเรื่อง
“เปาหนิวจวงเจีย”
กับบททีรับแสดงใน “ฉิงเซ่อ” ยังมี “หงเหนี่ยง” “จิงต้าปันเตอจุ้ยโห่วอี้แย่” “เปียนหยินชิงเหนียน” เป็นต้น ผมล้วนตั้งใจใน
การไปไต่ตรองบทเหล่านี้ พูดตามตรงว่าในด้านการแสดงนั้นผมยังเป็นน้องใหม่คนหนึ่งอยู่ ควรจะรับการท้าทาย

สำหรับฝีมือในการแสดงของตัวเองนั้น ผมสามารถจะพูดได้ว่าผมนั้นมีการพัฒนาขึ้นเยอะมาก แน่นอนหากว่าจะให้มาตรฐานใน
การยอมรับนั้นจำต้องให้ผู้ชมมาประเมินเอง เช่นนี้จะถือได้ว่าไม่เข้าข้างตัวเอง แท้จริงผมเป็นคนที่คิดอะไรง่ายๆ จะไม่ใช่เป็นคนที่
ไม่ดีไม่ยอมอย่างงั้น ก็เหมือนชื่อเสียงกับเงินทอง ถ้ามีก็เป็นสิ่งที่ดี หากไม่มีก็จะไม่ดิ้นรนหา ทุกอย่างขอให้ทำให้ดีที่สุด ทำอย่าง
สุดกำลังผมก็สุขสบายใจแล้ว
 

Copyright © 2010 baansuyoupeng.com